You are on page 1of 47

40101 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป

หน่วยที่ 1 พัฒนาการกำาเนิดความคิดทางกฎหมาย

1. การทำาความเข้าใจความหมายของ “กฎหมาย” ต้องทำาความเข้าใจ


ในปรัชญากฎหมายในสำานักความคิดต่างๆ และจะทำาให้ผู้ศึกษามี
ทัศนะคติที่กว้างขึ้น
2. สำานักความคิดต่างๆ หมายถึงแนวคิดหรือทฤษฎีทางกฎหมายที่
นักปราชญ์กฎหมายกลุ่มหนึง่ มีความคิดเห็นหรือความเชื่อตรงกัน
แม้ว่าจะเกิดขึ้นต่างยุคต่างสมัยก็ตาม
3. ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อกฎหมายมีส่วนสำาคัญหลายประการ ทั้ง
แนวความคิดทางศาสนา จารีตประเพณี ความคิดเห็นของนัก
ปรัชญากฎหมาย เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นปัจจัยที่สำาคัญ
ในการเกิดการเปลี่ยนแปลง การใช้และการพัฒนากฎหมาย

1.1 ประวัติสำานักความคิดต่างๆ ในทางกฎหมาย


1. แนวความคิดของสำานักความคิดกฎหมายธรรมชาติ ให้ความ
สำาคัญอยู่ที่การใช้เหตุผลของมนุษย์ตามธรรมชาติของมนุษย์
กฎหมายที่แท้จริงคือ เหตุผลที่ถูกต้อง สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ
ใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับการใช้อำานาจโดยชอบธรรม เป็นกระ
แสความคิดหลักในระบอบเสรีประชาธิปไตยที่มุ่งเน้นในการ
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และถูกใช้เป็นเครื่องมือใน
การใช้เหตุผลในการโต้แย้ง การใช้อำานาจรัฐ
2. แนวความคิดของสำานักกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง เน้นการมีระบบ
กฎหมายที่แน่นอน มีระเบียบและมีประสิทธิภาพ ทำาให้เกิดการ
พัฒนาแนวความคิดทางการเมืองและทฤษฎีกฎหมายที่จะ
สนับสนุนความชอบธรรมของการใช้อำานาจโดยเด็ดขาดของรัฐ ใน
การตรากฎหมายต่างๆ ขึ้นใช้บังคับในการปกครองประเทศอย่าง
ไม่มีข้อแม้ใดๆ
3. แนวความคิดของสำานักความคิดทางกฎหมาย ฝ่ายคอมมิวนิสต์ให้
ความหมายของกฎหมาย คือปรากฏการณ์ อันหนึง่ ซึ่งเป็นผล
สะท้อนมาจากการเมือง กล่าวคือ เศรษฐกิจและการเมืองต้องการ
จะแสดงคำาสั่งคำาบัญชาอย่างไร สิง่ ที่แสดงออกมาคือกฎหมาย
4. แนวความคิดของสำานักความคิดฝ่ายสังคมวิทยากฎหมายเห็นว่า
หากกฎหมายมีสภาพที่ตรงต่อความจริงในสังคม ก็ควรมีการเปลี่ยน
หลักแห่งกฎหมายทุกครั้งที่สังคมเปลี่ยนแปลง และหากผู้ใช้
กฎหมายเข้าใจในบริบทของสังคม การใช้กฎหมายจะลดความขัด
แย้ง รวมทั้งทำาให้มีการพัฒนากฎหมายให้ดีขน ึ้

1.1.1 ความหมายและความสำาคัญของสำานักความคิดในทางกฎหมาย
การศึกษาและจำาแนกความคิดในสำานักความคิดทางกฎหมายเป็น
ไปเพื่อประโยชน์ใด
สำานักความคิดทางกฎหมายสำานักต่างๆ เป็นพยายามสกัดเอา
อุดมคติหรือคุณค่าที่แท้จริงหรือแก่นสารของกฎหมาย เพื่อพยายาม
หาคำาตอบว่าด้วยความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของกฎหมาย หรือ
บทบาทและหน้าที่ของกฎหมาย เพื่อหาหลักการพื้นฐานของ
กฎหมาย โดยวิธีการแสวงหาคำาตอบที่แตกต่างกัน กลุ่มที่มีความคิด
อย่างเดียวกันถึงแม้จะเกิดขึ้นก่อนหรือภายหลัง แต่หากมีความคิด
เห็นที่สอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน หรือเพื่อให้
ทราบถึงแนวความคิดที่สง่ ผล หรือมีอิทธิพลต่อระบบกฎหมายหรือ
หลักกฎหมายที่ใช้อยู่ในแต่ละยุคสมัย

1.1.2 สำานักความคิดกฎหมายธรรมชาติ (School of Natural Law)


แนวความคิดสำานักกฎหมายธรรมชาติสามารถใช้ประโยชน์ได้
อย่างไร
สำานักความคิดกฎหมายธรรมชาติ เน้นการใช้เหตุผลตามธรรมชาติ
เป็นหลักการพื้นฐานในการต่อสู้และปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของ
มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์ ให้สอดคล้องกับการใช้อำานาจโดยชอบ
ธรรมในระบบเสรีประชาธิปไตยที่มุ่งเน้นในการคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพของประชาชน และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการใช้เหตุผลใน
การโต้แย้งการใช้อำานาจของรัฐ

1.1.3 สำานักความคิดกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง (School of Positive Law)


ประเทศไทยรับแนวความคิดสำาหรับนักกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองได้
อย่างไร และส่งผลต่อแนวความคิดของนักกฎหมายไทยอย่างไร
การส่งนักเรียนไทยไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษในขณะที่คำาสอน
ของออสติน ได้เป็นที่ยอมรับอย่างมากในวงการกฎหมายอังกฤษ
ทำาให้มีการนำาสอนในประเทศไทย และส่งผลให้แนวความคิดดัง
กล่าวเป็นที่ยอมรับในระบบความคิดของนักกฎหมายไทยมาเป็น
เวลานาน พิจารณาได้จากการบรรยายความหมายของกฎหมาย
ทำาให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า นักกฎหมายไทยหมกมุ่นกับการเล่น
ในตัวอักษรมากกว่าคุณค่าที่แท้จริงของกฎหมาย

1.1.4 สำานักความคิดกฎหมายฝ่ายคอมมิวนิสต์ (School of Communist


Jurisprudence)
สำานักความคิดทางกฎหมายฝ่ายคอมมิวนิสต์เห็นว่ากฎหมายมี
ลักษณะและบทบาทอย่างไร
กฎหมายเป็น “ปรากฏการณ์” (Phenomenon) และไม่ยอมรับว่ากฎหมาย
เป็นสิง่ จำาเป็นสำาหรับสังคมปรัชญากฎหมายของฝ่ายคอมมิวนิสต์ คือ
ความไม่เชื่อในกฎหมาย ไม่เชื่อในกฎแห่งธรรมชาติ หรือสิ่งที่อยู่
นอกเหนือขอบเขตของกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง และแม้ภายใน
ขอบเขตของกฎหมายฝ่ายบ้านเมืองเอง ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ไม่เชื่อว่า
สูงสุด หรือเป็นสิ่งสมบูรณ์ (The Absoluteness) สำาหรับบทบาทของ
กฎหมายมีข้อสรุปหลายประการคือ
1. กฎหมายเป็นผลผลิต หรือผลสะท้อนของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
หรือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ
2. กฎหมายเป็นเสมือนหนึง่ เครื่องมือหรืออาวุธที่ชนชั้นปกครอง
สร้างขึ้น เพื่อปกป้องอำานาจของตน
3. ในสังคมคอมมิวนิสต์ที่สมบูรณ์ กฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือ
ของการควบคุมสังคมจะเหือดหายและสูญสิ้นไป

1.1.5 สำานักความคิดกฎหมายฝ่ายสังคมวิทยา (School of Sociological


Jurisprudence)
การศึกษาของสำานักความคิดทางกฎหมายฝ่ายสังคมวิทยา กฎหมาย
มีประโยชน์อย่างไร
การศึกษาในทางสังคมวิทยาจะช่วยอธิบายเหตุผล ของกฎเกณฑ์
และเหตุผลของพฤติกรรมของคนในกลุ่มผลประโยชน์และบริบท
ของสังคมเพื่อใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับจารีตประเพณี และวิถี
ชีวิตของคนส่วนใหญ่เป็นการลดความขัดแย้งระหว่างกฎหมายกับ
ความประพฤติของบุคคล เป็นเครื่องช่วยให้การใช้กฎหมายเป็น
ธรรมขึ้น รวมทั้งช่วยการพัฒนากฎหมายให้ดีขนึ้ โดยฝ่ายนิติบัญญัติ

1.1.6 สำานักความคิดกฎหมายฝ่ายสัจจนิยม (School of Realist Jurisprudence)


สำานักความคิดทางกฎหมายฝ่ายสัจจนิยม มองกฎหมายอย่างไร
สำานักความคิดทางกฎหมายฝ่ายสัจจนิยม สนใจในความเป็นจริง
เพราะประเด็นข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกฎหมายหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐผู้ใช้กฎหมายก่อให้เกิดประสบการณ์ที่สั่งสมกัน ทำาให้บุคคลผู้
เกี่ยวข้องเกิดความสงสัยหรือคับข้องใจกับการหาเหตุผลของ
กฎหมาย จึงเกิดแนวความคิดที่พยายามอธิบายหรือหาคำาตอบที่มุ่ง
แยกแยะหาเหตุผลต่างๆ ว่าเหตุใดกฎหมายจึงบัญญัติเช่นนัน ้ หรือ
ทำาไมศาลจึงตัดสินเช่นนั้น โดยมีการนำาวิธีการในวิชาอื่นๆ มาใช้
อธิบายเรื่องต่างๆ ในทางกฎหมายด้วย

1.1.7 สำานักความคิดกฎหมายฝ่ายประวัติศาสตร์ (School of Historical


Jurisprudence)
ซาวินยีมีความคิดเกี่ยวกับกฎหมายอย่างไร
ซาวินยีเห็นว่ากฎหมายมิได้เป็นเรื่องของเหตุผล แต่เพียงอย่างเดียว
แต่เจือไปด้วยวัฒนธรรม และความรู้สึกร่วมกันเป็นเอกลักษณ์ของ
ชนชาตินั้นๆ ตามอารมณ์ ความรู้สึกทางจิตใจของแต่ละชนชาติมี
ความแตกต่างกัน อารมณ์ ความรู้สึกที่ว่านี้คือ “จิตวิญญาณ
ประชาชาติ” (Volksgeits หรือ The spirit of the people) และแสดงออกให้เห็นได้
จากกฎหมายประเพณี (Gewohnheitsercht) และภาษา

1.1.8 แนวโน้มใหม่ๆ ในการพัฒนาความคิดทางกฎหมาย


แนวโน้มของการพัฒนา ความคิดทางกฎหมายในปัจจุบันมีแนว
โน้มเป็นอย่างไร
แนวโน้มในปัจจุบัน คือการนำาปรัชญากฎหมายธรรมชาติมาผสมกับ
ปรัชญากฎหมายฝ่ายบ้านเมืองเพื่อหาส่วนที่ละม้ายกันและเป็น
ประโยชน์ต่อสังคมให้มากที่สุด ปรัชญาใหม่ไม่มีชื่อเรียกเป็นทางการ
บางครั้งเรียกว่า ปรัชญากฎหมายฝ่ายบ้านเมืองแผนใหม่ (The modern
positive law)

1.2 ความคิดในเชิงปรัชญากฎหมาย
1. รัฎฐาธิปัตย์ คือผู้มีอำานาจสูงสุดในรัฐ แต่ต้องเป็นอำานาจด้วย
ความเป็นธรรม มิฉะนั้นอาจจะถูกล้มล้างได้
2. ความยุติธรรม ตามความหมายโดยทั่วไปนั้นหมายถึง ความถูก
ต้อง ชอบด้วยเหตุผล ความหมายของความยุติธรรมนั้นยากที่จะให้
คำานิยาม เพราะขึ้นอยู่กับคตินิยม ปรัชญาของแต่ละคน
3. ดุลพินิจของผู้ใช้กฎหมาย ทำาให้เกิดการบังคับใช้กฎหมาย และการ
เปลี่ยนแปลงในกฎหมาย
4. กฎหมายเป็นเครื่องกำาหนดระเบียบวินัยของสังคม ประชาชนทั้ง
หลายจึงต้องเคารพนับถือกฎหมาย ผู้บริหารประเทศย่อมไม่มี
อำานาจตามอำาเภอใจ ต้องเคารพกฎหมายเช่นกัน

1.2.1 รัฎฐาธิปัตย์
หลักนิติรัฐและหลักการแบ่งแยกอำานาจมีผลต่อการจำากัดการใช้อำา
นาจของรัฎฐาธิปัตย์อย่างไร
หลักนิติรัฐหมายถึงรัฐที่ปกครองตามหลักแห่งเหตุผลเพื่อให้การ
อาศัยอยู่ร่วมกันของมนุษย์เป็นไปด้วยความสงบสุข หลักการแบ่ง
แยกอำานาจอธิปไตยเป็นหลักการที่กำาหนดขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำานาจอธิปไตยของรัฐ ประเทศที่
ปกครองด้วยหลักการดังกล่าวจะส่งผลให้รัฎฐาธิปัตย์ไม่สามารถใช้
อำานาจได้อย่างเต็มที่

1.2.2 ความยุติธรรม
อริสโตเติลได้กล่าวถึงความยุติธรรมอย่างไร
อยุติธรรมย่อมเกิดขึ้นเมื่อความเท่ากันถูกทำาให้ไม่ทัดเทียมกัน และ
เมื่อความไม่เท่ากันถูกทำาให้กลายเป็นความทัดเทียมกัน (In-just arises
when equals are treated unequally, and also when unequals are treated equally) อริสโตเติล
ไม่ยอมรับว่าความยุติธรรมเป็นคุณธรรมดังที่เปลโตเข้าใจ แต่บอก
ว่าความยุติธรรมเป็นเรื่องของการจัดระเบียบความสัมพันธ์ของ
มนุษย์ในสังคม โดยถือหลักว่า สิง่ ที่เหมือนกันควรได้รับการปฏิบัติ
เท่าเทียมกัน

1.2.3 ดุลพินิจของผู้ใช้กฎหมาย
การใช้ดุลพินิจของนักกฎหมายจะสอดคล้องกับความยุติธรรมใน
สังคมคืออะไร
การใช้ดุลพินิจจึงเป็นสิ่งสำาคัญสุดยอดข้อหนึ่ง ในการอำานวยความ
ยุติธรรมเมื่อใดที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ใช้ดุลพินิจ นักกฎหมายควร
ใช้ดุลพินิจไปในทางสอดคล้องต่อ “มโนธรรม ศีลธรรม และความ
ต้องการของสังคม คม””

1.2.4 การนับถือกฎหมาย
ประเทศที่เป็นนิติรัฐมีลักษณะอย่างไร
ประเทศที่เป็นนิติรัฐนั้นจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. ในประเทศนั้นกฎหมายจะต้องอยู่เหนือสิง่ ใดทั้งหมด การกระทำา
ต่างๆ ในทางปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำาของตำารวจจะ
ต้องเป็นไปตามกฎหมายและชอบด้วยกฎหมาย หลักประกันสิทธิ
และเสรีภาพของราษฎรอยู่ที่กฎหมาย ถ้าเจ้าพนักงานของรัฐมากลำ้า
กลายสิทธิและเสรีภาพของราษฎร โดยไม่มีกฎหมายให้อำานาจ เจ้า
พนักงานก็ย่อมมีความผิดอาญา
2. ในประเทศที่เป็นนิติรัฐ ขอบเขตแห่งอำานาจหน้าที่ของรัฐย่อม
กำาหนดไว้แน่นอน เริ่มตั้งแต่การแบ่งแยกอำานาจและมีขอบเขตใน
การใช้อำานาจทั้งสามนี้ ถัดจากอำานาจรัฐ อำานาจของเจ้าพนักงานที่
ลดหลั่นลงมาเป็นอำานาจที่วัดวัดได้ เป็นอำานาจที่มีขอบเขตเช่น
เดียวกัน และต้องมีการควบคุมการใช้อำานาจภายในขอบเขตเท่านั้น
3. ในประเทศที่เป็นนิติรัฐ ผู้พิพากษาต้องมีอิสสระในการพิจารณา
พิพากษาคดี โดยจะต้องมีหลักประกันดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญ
และเพียงแต่รัฐได้จัดให้มีผู้พิพากษาเป็นอิสสระสำาหรับพิจารณาคดี
แพ่งและคดีอาญาเท่านั้น
1.3 ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาความคิดในทางกฎหมาย
1. ศาสนาเป็นปัจจัยที่ให้ก่อให้เกิดกฎหมาย และมีอิทธิพลต่อการเกิด
และการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
2. จารีตประเพณี เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดกกหมาย และมีอิทธิพลต่อ
การใช้กฎหมาย
3. ความเห็นของนักกฎหมาย เป็นปัจจัยทำาให้เกิดกฎหมาย และมี
อิทธิพลต่อการใช้กฎหมาย
4. เหตุการณ์ในสังคม มีส่วนทำาให้เกิดกฎหมาย และมีอิทธิพลต่อการ
ใช้กฎหมาย

1.3.1 ศาสนา
กฎหมายตราสามดวงของประเทศไทยมีคติความเชื่อในทางศาสนา
อย่างไร
กฎหมายตราสามดวงของประเทศไทยประกอบด้วยส่วนสำาคัญ 2
ส่วนคือ พระธรรมศาสตร์และพระราชศาสตร์ เป็นกฎหมายที่ได้รับ
อิทธิพลจากศาสนาในการก่อกำาเนิดขึ้น ผ่านคติความเชื่อในศาสนา
ฮินดูและศาสนาพุทธ พระธรรมศาสตร์เป็นส่วนที่เน้นอุดมคติใน
เรื่องความยุติธรรม ส่วนพระราชศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องของบรรดา
กฎหมาย อรรถคดี พระราชบัญญัติ พระราชกำาหนด และพระราช
วินิจฉัยของพระมหากษัตริย์และยังได้กล่าวถึงลักษณะของการเป็น
ผู้พิพากษาที่ดีต้องยึดหลักอินทภาษ คือ เวลาพิจารณาคดีจะต้อง
ปราศจากอคติ 4 คือ ฉันทาคติ (รัก) โทษาคติ (หลง)
หลง) และภะยาคติ (กลั
ว) ล้วนแล้วมีความสอดคล้องกับความเชื่อในเรื่องสวรรค์และนรก
ในความเชื่อทางศาสนาทั้งสิ้น

1.3.2 จารีตประเพณี
จารีตประเพณีก่อให้เกิดกฎหมายได้อย่างไร
เมื่อจารีตประเพณีได้รับการยอมรับและยึดถือปฏิบัติ ก็จะมีการนำา
มาบัญญัติในกฎหมายลายลักษณ์อักษรขึ้น แต่จารีตประเพณีอีก
ส่วนหนึ่งที่ไม่ได้มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่สังคมก็ยัง
ยอมรับปฏิบัติกันต่อมา มีผลในการยอมรับปฏิบัติเสมือนเป็นกฎ
เกณฑ์ตามกฎหมาย

1.3.3 ความเห็นของนักปรัชญาทางกฎหมาย
ความเห็นของนักปราชญ์ทางกฎหมายมีอิทธิพลต่อกฎหมายอย่างไร
ความเห็นของนักปรัชญาทางกฎหมายหรือนักปราชญ์ทางกฎหมาย
หรือคำาพิพากษาของศาลหรือระบบของกฎหมายอาจเกิดขึ้นจาก
ข้อคิดเห็น ข้อโต้แย้งที่มีต่อตัวบทกฎหมายหรือคำาพิพากษาของศาล
หรือระบบของกฎหมายได้สร้างบทบาทและเปลี่ยนแปลงขึ้นใน
วงการกฎหมาย อาจส่งผลต่อระบบกฎหมายของประเทศ ระบบศาล
หรือมีกฎหมาย หรือแก้ไขกฎหมาย

1.3.4 เหตุการณ์
เหตุการณ์และสภาพปัจจัยแวดล้อมส่งผลกระทบต่อกฎหมาย
อย่างไร
เหตุการณ์และสภาพปัจจัยแวดล้อมของสังคมหรือของประเทศ มี
ส่วนสำาคัญอย่างยิ่งที่ทำาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวบทกฎหมาย
หรือมีบทกฎหมายขึ้น หรืออาจส่งผลต่อการใช้ การตีความกฎหมาย
ด้วย ดังเช่นการนำาเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่อง
คอมพิวเตอร์มาใช้ในชีวิตประจำาวัน การพัฒนาทางเทคโนโลยีทาง
คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมก่อให้เกิดระบบอินเทอร์เนต ส่งผลให้
ต้องมีการตรากฎหมายขึ้นรองรับ

แบบประเมินตนเองหน่วยที่ 1

1. สำานักความคิดทางกฎหมายคือ แนวคิดหรือทฤษฎีทางกฎหมาย
ของนักคิดทั้งหลายซึ่งมีความคิดเห็นตรงกัน แม้ว่าแต่ละคนหรือ
แนวความคิดแต่ละอย่างเกิดขึ้นต่างสมัยกันก็ตาม
2. สำานักความคิดกฎหมายธรรมชาติมีแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายคือ
กฎหมายต้องสอดคล้องกับธรรมชาติและความมีเหตุผล
3. การถือว่า “กฎหมายที่สมบูรณ์ใช้การได้จริงและเป็นไปตาม
เจตจำานงของผู้มีอำานาจรัฐ” เป็นแนวคิดของสำานักความคิด
กฎหมายฝ่ายบ้านเมือง
4. แนวความคิดว่า “กฎหมายคือปรากฏการณ์อันหนึง่ ซึ่งเป็นผล
สะท้อนทางการเมือง” เป็นแนวคิดของสำานักความคิดทางกฎหมาย
สำานักความคิดกฎหมายฝ่ายคอมมิวนิสต์
5. การมุ่งหาความจริงว่าเพราะเหตุใดกฎหมายจึงบัญญัติเช่นนัน ้
และทำาไมศาลจึงตัดสินคดีเช่นนั้นเป็นแนว ความคิดของ สำานัก
ความคิดกฎหมายฝ่ายสัจจะนิยม
6. สำานักความคิดทางกฎหมายใดที่เป็นว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่ค้นพบ
ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น มีลักษณะเฉพาะเช่นเดียวกับภาษา เป็นจิต
วิญญาณของประชาชาติ สำานักความคิดกฎหมายฝ่ายนิยม
ประวัติศาสตร์
7. รัฐาธิปัตย์ มีความหมายถุง ผู้มีอำานาจสูงสุดในรัฐ
8. กฎหมายจะสามารถใช้ให้เกิดความสงบสุขได้เมื่อ ประชาชนและผู้
มีอำานาจต่างเคารพนับถือกฎหมาย
9. ศาสนามีผลต่อกฎหมายคือ (1)เป็
(1)เป็นเครื่องกระตุ้นให้คนกระทำาใน
สิ่งที่เหมาะสมหรือมีความประพฤติเหมาะสม (2) ศาสนาเป็นเครื่อง
ควบคุมสังคมเช่นเดียวกับกฎหมาย (3) กฎหมายบางเรื่องมีที่มาจาก
หลักคำาสอนทางศาสนา (4) การนับถือศาสนาส่งผลให้คนปฏิบัติ
สอดคล้องกับกฎหมาย
10. จารีตประเพณีมีความสำาคัญต่อกฎหมายคือ จารีตประเพณีเป็น
บ่อเกิดของกฎหมาย

หน่วยที่ 2 วิวัฒนาการระบบกฎหมาย

1. กฎหมายนั้นได้วิวัฒนาการมาจากระเบียบ ความประพฤติ ศีล


ธรรม จารีตประเพณี ศาสนา แล้วกลายเป็นมีสภาพบังคับได้
2. ระบบกฎหมายไทยได้วิวัฒนาการมาเป็นขั้นตอนตามสภาพความ
เป็นเอกราชตลอดมา
3. ในการพัฒนาระบบกฎหมายไทยให้ถึงเป้าหมายนั้น ย่อมมีปัญหา
และอุปสรรคหลายประการ

2.1 วิวัฒนาการของระบบกฎหมายที่สำาคัญของโลก
1. ในสมัยดั้งเดิมนั้นยังไม่มีภาษาเขียน จึงต้องใช้คำาสั่งของหัวหน้า
ประเพณี ศีลธรรม ศาสนา และความเป็นธรรมตามความรู้สึกของ
มนุษย์ ให้มีสภาพบังคับตามนามธรรมเป็นกฎหมายได้
2. เมื่อมนุษย์รู้จักภาษาเขียน ก็ได้เขียนบันทึกสิ่งที่บังคับตาม
นามธรรมขึ้นใช้ และต่อมาก็ได้พัฒนาขึ้นให้เป็นกฎหมายลายลักษณ์
อักษรหรือประมวลกฎหมาย
3. ในบางประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ ยังคงยึดจารีตประเพณีที่
ปฏิบัติมาเป็นหลักกฎหมายและอาศัยคำาพิพากษาของศาลที่
พิพากษาวางหลักใช้เป็นกฎหมายในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์
4. กฎหมายในระบบอื่น เช่น กฎหมายสังคมนิยม กฎหมายอิสลาม
ย่อมจัดอยู่ในระบบประมวลกฎหมาย
5. เมื่อหลักกฎหมายของประเทศต่างๆ คล้ายคลึงกัน ย่อมใช้กฎหมาย
ฉบับเดียวกันได้ นักกฎหมายก็สามารถใช้กฎหมายฉบับเดียวกันได้
ทั่วโลก กลายเป็นหลักสากลขึ้น

2.1.1 กฎหมายในสังคมบรรพกาล
คำาสั่งหัวหน้าเผ่าเป็นกฎหมายได้อย่างไร
เมื่อมีกรณีพิพาทหรือโต้แย้งเกิดขึ้น ผู้ที่เป็นหัวหน้าเผ่าจะต้องเป็นผู้
ชี้ขาด ซึ่งต้องอาศัยความถูกต้องตามกฎเกณฑ์ การชีขาดดังกล่าว
บังคับแก่คู่กรณีได้ โดยจะต้องปฏิบัติตามและเชื่อฟังคำาชี้ขาดและกฎ
เกณฑ์เช่นนั้นจึงเป็นกฎหมาย
จารีตประเพณีเป็นกฎหมายได้อย่างไร
จารีตประเพณีเกิดจากพฤติกรรมการเลียนแบบของมนุษย์ตาม
ความเคยชินที่คนในสังคมนั้นจะกระทำาตามคนส่วนใหญ่ เมื่อ
พฤติกรรมเหล่านั้นได้มีการปฏิบัติต่อเนื่องกันมาเลื่อยๆ เป็นระยะ
เวลาอันยาวนานหากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ยอมประพฤติหรือปฏิบัติตามก็จะ
ได้รับการตำาหนิอย่างรุนแรงจากสังคม ในบางครั้งก็จะมีสภาพ
เป็นการลงโทษ ในที่สุดก็จะกลายเป็นหลักบังคับใช้กับประชาชนใน
ถิ่นนั้นๆ และเป็นกฎหมายจารีตประเพณีโดยไม่รู้ตัว
2.1.2 วิวัฒนาการของระบบประมวลกฎหมาย
ระบบประมวลกฎหมายนั้นจะมีลักษณะอย่างไร
จะมีลักษณะเป็นรูปร่างของกฎหมาย 3 ประการคือ
1. เป็นระบบกฎหมายที่มาจากกฎหมายโรมันและใช้กันอยู่ทั่วไปใน
ยุโรป ซึ่งแตกต่างไปจากกฎหมายจารีตประเพณี
2. เป็นการตั้งหลักเกณฑ์ที่ใช้บังคับถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ซึ่งแตกต่างไปจากกฎหมายมหาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะแตกต่างไป
จากกฎหมายอาญา
3. เป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับซึ่งตรงข้ามกับกฎหมายพระหรือ
ศาสนจักร

2.1.3 วิวัฒนาการของระบบคอมมอนลอว์
หลักเอ็คควีตี้ (Equity) หมายความว่าอย่างไร
เป็นการตัดสินที่อาศัยหลักมโนธรรม (Conscience) ที่ให้ความเป็นธรรม
แก่คู่กรณี โดยคำานึงถึงประโยชน์สุขและความยุติธรรมในสังคมเป็น
ใหญ่

2.1.4 วิวัฒนาการของระบบกฎหมายอื่นๆ
สตาลินได้เปลี่ยนหลักการใหม่ของกฎหมายสังคมนิยมว่าอย่างไร
สตาลินได้เปลี่ยนหลักการใหม่ของกฎหมายสังคมนิยมว่า ความ
ยุติธรรมมีอยู่เท่าที่กฎหมายกำาหนดเท่านั้นและต้องเป็นกฎหมายที่
รัฐบาลชั้นกรรมาชีพซึ่งอยู่ภายใต้การนำาของพรรคคอมมิวนิสต์
กำาหนดขึ้นเท่านั้น

2.1.5 แนวโน้มของวิวัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจุบัน
แนวโน้มของการวิวัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจุบันนี้จะ
เป็นอย่างไร
แนวโน้มในการวิวัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจุบันนี้ จะ
เป็นการใช้ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ทั้งหมด โดยสามารถจะจัดรูป
แบบและพัฒนาได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ โดยนักนิติศาสตร์ของประเทศ
ต่างๆก็จะนำาความคิดเห็นที่เป็นธรรมซึ่งมีอยู่โดยทั่วไป ไปบัญญัติใช้
ในกฎหมายในประเทศของตนเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกัน ต่อไป
นานเข้าหลักเกณฑ์ต่างๆของกฎหมายก็จะคล้ายคลึงกันทุกประเทศ
ในโลกเกือบจะเรียกว่าใช้กฎหมายฉบับเดียวกันกัน ซึ่งนักกฎหมาย
ก็จะสามารถใช้กฎหมายเรื่องเดียวกันได้ทั่วโลก ถือว่าเป็นหลัก
สากล

2.2 วิวัฒนาการของระบบกฎหมายไทย
1. ระบบกฎหมายไทยก่อนที่ยังไม่มีภาษาเขียนเป็นหนังสือ ซึ่งเริ่มใช้
ในสมัยพ่อขุนรามคำาแหงมหาราช ในสมัยสุโขทัยตอนปลาย และ
สมัยกรุงศรีอยุธยาจึงมีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรขึ้น
2. ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ได้มีการจัดทำากฎหมาย ในรูปของ
ประมวลกฎหมายไทยสำาเร็จ เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง
3. ในปัจจุบันนี้ในประเทศไทยได้มีกฎหมายในรูปของประมวล
กฎหมายครบถ้วน

2.2.1 ระบบกฎหมายก่อนกรุงรัตนโกสินทร์
ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำาแหงมหาราชเทียบได้กับกฎหมายอะไรที่
สำาคัญ และนักนิติศาสตร์เรียกว่ากฎหมายอะไร
ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำาแหงมหาราชเทียบได้กับมหากฎบัตร (Magna
Carta) ของอังกฤษ ซึ่งของอังกฤษถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของ
อังกฤษ เพราะในศิลาจารึกมีข้อความที่เป็นหลักประกันสิทธิและ
เสรีภาพของราษฎรในสมัยนั้น และนักนิติศาสตร์บางท่านเรียกว่า “
กฎหมายสี่บท” โดยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายมรดก กฎหมายที่ดิน
กฎหมายวิธีพิจารณา และกฎหมายร้องทุกข์

2.2.2 ระบบกฎหมายต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยในระบบกฎหมายอะไร
อย่างไร
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยได้ใช้ระบบประมวล
กฎหมายหรือกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพราะพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ชำาระกฎหมายขึ้นใหม่โดยจัด
ทำาเป็นประมวลกฎหมายขึ้นเรียกว่า “กฎหมายตราสามดวง” หรือ “
ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1”

2.2.3 ระบบประมวลกฎหมายในประเทศไทย
ประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และกรุง
รัตนโกสินทร์ ใช้กฎหมายระบบใด
ในสมัยกรุงสุโขทัยนั้น สมัยพ่อขุนรามคำาแหงมหาราชเป็นการใช้
หลักกฎหมายทั่วไปที่เห็นว่าเป็นธรรมและใช้ระบบกฎหมายใน
สังคมบรรพกาล ต่อมาในสมัยพญาเลอไท มีหลักฐานว่าได้มีการ
จารึกในลักษณะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร โดยปรากฏเป็น
เรื่องๆไป และหลักฐานยังปรากฏอีกว่า ในสมัยกรุงสุโขทัยยังมีการ
ใช้กฎหมายพระธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สืบทอดมาจากมนู
ศาสตร์ของชาวฮินดู นอกจากนี้ ก็ยังใช้พระราชศาสตร์ คือคำาสั่งของ
พระมหากษัตริย์เป็นกฎหมายอีกด้วย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานปรากฏชัดว่าได้ใช้กฎหมายลาย
ลักษณ์อักษรอย่างสมบูรณ์ กฎหมายที่ใช้ก็คือ พระธรรมศาสตร์ อัน
เป็นหลักกฎหมายที่มีต้นกำาเนิดมาจากอินเดีย นอกจากนี้ พระมหา
กษัตริย์ได้ทรงตรากฎหมายขึ้นเพื่อใช้บังคับแก่ราษฎร เรียกว่าพระ
ราชศาสตร์ ซึ่งมีกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรอยู่หลายเรื่องด้วย
กัน
ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์คงใช้กฎหมายเดิมของกรุงศรีอยุธยา
แต่ต่อมาได้มีการตรากฎหมายจัดทำาเป็นประมวลกฎหมายขึ้นเรียก
ว่า “กฎหมายตราสามดวง” หรือ “ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1” ทั้งนี้
เพื่อปรับปรุงให้เกิดความยุติธรรมยิ่งขึ้น จึงเป็นการใช้กฎหมายลาย
ลักษณ์อักษร โดยตรงต่อมารัชกาลที่ 5 ได้เริ่มดำาเนินการชำาระ
กฎหมายขึ้นเป็นหมวดหมู่ในลักษณะของระบบประมวลกฎหมาย
ในปัจจุบันนี้ประเทศไทยได้ใช้กฎหมายในระบบประมวลกฎหมาย
หรือกฎหมายลายลักษณ์อักษรตามระบบที่ต่างประเทศยอมรับและ
พัฒนาแล้ว ซึ่งมีการออกกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรในระบบ
รัฐสภาอย่างสมบูรณ์

2.3 ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาระบบกฎหมายไทย
1. ปัจจุบันการศึกษาวิชานิตศ
ิ าสตร์ได้กระจายอยู่ในหลายสถาบัน
ทำาให้เกิดแนวความคิดการใช้กฎหมายแตกต่างกัน เป็นภัยต่อแนว
ความคิดทางกฎหมายของประเทศเป็นอย่างยิ่ง
2. การฝึกอาชีพทางกฎหมายมีแยกจากกัน แล้วแต่หน่วยงานใน
อาชีพนั้นไม่อาจจะพัฒนาความคิดทางกฎหมายไปในแนวทาง
เดียวกัน
3. การร่างกฎหมายในปัจจุบันไม่เป็นไปตามระบบของการร่าง
กฎหมายที่ถูกต้อง จึงทำาให้ขัดต่อหลักการและกฎหมายอื่น
4. ประเทศไทยไม่มีระบบติดตามและประเมินผลการบังคับใช้
กฎหมาย จึงมีกฎหมายบางฉบับไม่มีประชาชนปฏิบัติตาม

2.3.1 ระบบการศึกษานิติศาสตร์
การศึกษาทางนิติศาสตร์ที่จะทำาให้กฎหมายได้มีการพัฒนาไปโดย
ถูกทางจะท้องทำาอย่างไร
ย่อมขึ้นอยู่กับการเรียนการสอนที่ถูกต้องตามระบบของกฎหมาย
ไทย โดยจะต้องมีการเรียน การสอนไปในทางเดียวกัน ให้ผู้ทำาการ
ศึกษากฎหมายมีแนวความคิดเห็นของตนเองเป็นอิสระ และต้อง
ปลูกฝังนักกฎหมายให้มีคุณธรรมในการรับใช้ประชาชน ไม่ให้มีการ
เอารัดเอาเปรียบสังคม

2.3.2 สถาบันวิชาชีพกฎหมาย
การแยกฝึกอาชีพนักกฎหมายเป็นแต่ละสาขาอาชีพมีผลต่อการ
พัฒนากฎหมายอย่างไร
การฝึกอาชีพทางกฎหมายแต่ละสถาบันไม่อาจจะพัฒนาแนวความ
คิดทางกฎหมายไปในทางเดียวกันได้ เพราะแต่ละสถาบันมีความคิด
เห็นของตนเอง จะเกิดความแตกต่างในการพัฒนากฎหมาย

2.3.3 กระบวนการนิติบัญญัติ
การบัญญัติกฎหมายแต่ละฉบับนั้นจะต้องอาศัยหลักอะไร
จะต้องร่างกฎหมายด้วยอาศัยหลักคุณธรรมและคำานึงถึงธรรมะ
เป็นสำาคัญ โดยไม่ออกกฎหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้
ใดหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยเฉพาะ
2.3.4 ระบบการติดตามและการประเมินผลการบังคับใช้กฎหมาย
เหตุใดที่ระบบกฎหมายไทยไม่พัฒนาไปเท่าที่ควร
เพราะฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีระบบการติดตามและประเมินผลการ
บังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยทำาให้มีการออกกฎหมายและ
ยกเลิกกฎหมายต่างๆอยู่เสมอ และบางครั้งกฎหมายออกมามาก
แต่ละฉบับจะขัดแย้งกัน

แบบประเมินตนเองหน่วยที่ 2

1. ความคิดเห็นที่ถูกต้องตามทำานองคลองธรรมเป็น หลักกฎหมาย
ทั่วไป
2. แบบอย่างที่ปฏิบัติสอดคล้องต้องกันมาในท้องถิ่นใดเป็นเวลาช้า
นาน จนสามารถบังคับใช้กับประชาชนในท้องถิ่นนั้นเรียกว่า
กฎหมายจารีตประเพณี
3. กฎหมายฮินดู ถือว่าเป็นกฎหมายศาสนา
4. ลักษณะของระบบประมวลกฎหมาย มาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งมี
สภาพบังคับได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
5. ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ถือว่าเป็นวิวัฒนาการเบื้องต้นของ
ระบบประมวลกฎหมาย
6. กฎหมายที่ออกโดยรัฐอย่างสมบูรณ์ฉบับแรกคือ กฎหมายสิบสอง
โต๊ะ
7. หลักคอมมอนลอว์ เป็นการตัดสินคดีที่ต้องมีเหตุผล
8. หลักกฎหมายเอ็คคริตี้ ใช้ควบคู่กันไปกับ หลักคอมมอนลอว์
9. พื้นฐานหลักกฎหมายคอมมอนลอว์ ได้มาจาก ผู้พิพากษา
10. ในทางอาญา ในประเทศไทยใช้กฎหมายลักษณะ กฎหมายลาย
ลักษณ์อักษร
11. กฎหมายเกิดจาก แนวความคิดเพื่อสร้างหลักเกณฑ์ในการ
ควบคุมมนุษย์ที่อยู่ในสังคม
12. กฎหมายในสมัยบรรพกาลจะมีลักษณะ นามธรรม
13. จารีตประเพณีมาจากลักษณะของ การที่คนประพฤติปฏิบัติตาม
แบบอย่างที่ปฏิบัติสอดคล้องต้องกันมาเป็นเวลาช้านาน หากผู้ใด
ฝ่าฝืนจะได้รับการตำาหนิอย่างรุนแรง
14. หลักกฎหมายทั่วไป เป็นกฎหมายดั้งเดิมของมนุษย์ในสังคม
15. พระเจ้าฮัมมูราบี เป็นคนคิดว่าประชาชนไม่สามารถอยู่อย่างอิสระ
ปลอดภัย โดยปราศจากกฎหมาย
16. กฎหมายสิบสองโต๊ะ ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นของวิชานิติศาสตร์
ด้วยหลักการที่ว่า กฎหมายควรเป็นสิ่งเปิดเผยให้คนทั่วไปได้รู้ได้
เห็นและศึกษาหาเหตุผลได้
17. ในสมัยแองโกล-
แองโกล-แซกซอน ศาลตัดสินโดยใช้หลัก กฎหมายจารีต
ประเพณี
18. กฎหมายอิสลามจัดอยู่ในสกุล กฎหมายศาสนา
19. แนวโน้มในการวิวัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจุบันนี้
จะใช้หลักกฎหมายระบบ ประมวลกฎหมายหรือซีวิลลอว์

หน่วยที่ 3 ที่มา ประเภท และศักดิ์ของกฎหมาย

1. ที่มาของกฎหมาย ในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบ


กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ระบบกฎหมายสังคมนิยมนั้น ย่อม
แตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของระบบกฎหมายแต่ละระบบ
2. การแบ่งประเภทของกฎหมาย อาจแบ่งออกได้เป็นหลายลักษณะ
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
3. กฎหมายที่ออกมาใช้ในสังคมนั้น เกิดจากองค์กรที่มีอำานาจในการ
ออกกฎหมายต่างกัน จึงมีลำาดับความสำาคัญไม่เท่าเทียมกัน
4. กฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าหรือมีศักดิ์เท่ากันกับกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง
ย่อมแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายฉบับหลังนั้นได้

3.1 ที่มาของกฎหมาย
1. ที่มาของกฎหมายย่อมมีความหมายแตกต่างกันไปตามระบบ
กฎหมาย
2. ที่มาของกฎหมายในระบบลายลักษณ์อักษรนั้น ได้แก่ กฎหมาย
ลายลักษณ์อักษร จารีตประเพณี และหลักกฎหมายทั่วไป
3. ที่มาของกฎหมายในระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่
จารีตประเพณี คำาพิพากษาของศาล กฎหมายลายลักษณ์อักษร
ความเห็นของนักนิตศ ิ าสตร์ และหลักความยุติธรรม
4. ที่มาของกฎหมายในระบบกฎหมายสังคมนิยม คือ กฎหมายลาย
ลักษณ์อักษร

3.1.1 ที่มาของกฎหมายในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร
ลองบอกชื่อกฎหมายลายลักษณ์อักษร
รู้จักรูปแบบของกฎหมายดังต่อไปนี้
1) รัฐธรรมนูญ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ. พ.ศ. 2517
2) ประมวลกฎหมาย เช่น ประมวลกฎหมายที่ดิน ประมวลรัษฎากร
3) พระราชบัญญัติ เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่าสงวนแห่ง
ชาติ พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน พระราชบัญญัตส ิ ่งเสริมพาณิชย์
นาวี
4) พระราชกฤษฎีกา เช่น พระราชกฤษฎีกากำาหนดเขตควบคุม
ศุลกากร เป็นต้น

จารีตประเพณีที่กลายมาเป็นกฎหมาย
ตัวอย่างของจารีตประเพณีที่กลายมาเป็นกฎหมาย คือ การที่บุตร
ป.พ.พ. มาตรา
ต้องอุปการะเลี่ยงดูบิดามารดาซึ่งได้นำาไปบัญญัติใน ป.
1563

การให้สินสอดที่ฝ่ายชายให้แก่ฝ่ายหญิงนั้นเป็นจารีตประเพณีหรือ
ไม่ และฝ่ายหญิงจะเรียกร้องจากฝ่ายชายได้เสมอไปหรือไม่
การให้สินสอดเป็นจารีตประเพณี เพราะเข้าตามหลักเกณฑ์ทั้ง 4
ประการ แต่ก็มิใช่เป็นเรื่องที่ฝ่ายหญิงจะบังคับเอากับฝ่ายชายได้
เพราะเป็นเรื่องที่ฝ่ายชายต้องสมัครใจให้แก่ฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทน
การที่หญิงยอมสมรสด้วย (ป.พ.พ. มาตรา 1437)
ลองสำารวจดูสุภาษิตกฎหมายที่เคยทราบมาแล้ว
สุภาษิตกฎหมายที่เคยทราบมาแล้ว เช่น
1) เป็นหน้าที่ของศาลที่จะต้องให้ความยุติธรรมแก่คนที่เข้ามาหาศาล
(ข้อ 13)
2) ผู้พิพากษาที่ดีย่อมวินิจฉัยคดีตามหลักความยุติธรรมและความถูก
ต้อง และถือความยุติธรรมสำาคัญกว่ากฎหมาย (ข้อ 24)
3) ความทุจริตกับความยุติธรรมอยู่ด้วยกันไม่ได้ (ข้อ 59)

3.1.2 ที่มาของกฎหมายในระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
จารีตประเพณีมีความสัมพันธ์ต่อระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์
อักษรอย่างไร
จารีตประเพณีเป็นต้นตอของกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อ
สมัยเริ่มแรกของระบบกฎหมายนี้ ศาลใช้จารีตประเพณีเป็น
กฎหมายในการตัดสินคดีจารีตประเพณีจึงเป็นที่มาพื้นฐาน ของ
ระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร

เหตุผลสนับสนุนคำากล่าวที่ว่า“กฎหมายที่มาจากคำาพิพากษาของ
ศาลเป็นหลักเกณฑ์ที่มั่นคง เช่นเดียว กับหลักที่เกิดจากจารีต
ประเพณี”
คำาพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็น
หลักเกณฑ์ที่มั่นคง เนื่องจากศาลในระบบกฎหมายนี้ยึดถือหลัก
แนวบรรทัดฐานคำาพิพากษาของศาล จึงทำาให้คดีที่มีข้อเท็จจริงอัน
เป็นสาระสำาคัญอย่างเดียวกันได้รับการตัดสิน ให้มีผลอย่างเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไปหลักเกณฑ์ที่ศาลวางไว้ในการตัดสินคดีย่อมได้รับ
การยอมรับมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นหลักกฎหมายที่มั่นคงในเวลา
ต่อมา

ในปัจจุบันกฎหมายลายลักษณ์อักษรกลับมีบทบาทสำาคัญต่อระบบ
กฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่ากฎหมายที่เกิดจาก
จารีตประเพณีและคำาพิพากษาของศาลนั้นเป็นความจริงเพียงใด
ในสมัยที่โลกมีความเจริญก้าวหน้า การที่จะรอให้กฎหมายเกิดขึ้น
จากจารีตประเพณีหรือคำาพิพากษาของศาลในคดีที่ขึ้นสูศ
่ าลนั้น
ย่อมจะไม่ทันต่อความต้องการ จึงต้องออกกฎหมายล่วงหน้าเพื่อ
วางระเบียบและกฎเกณฑ์ในสังคม หากจะรอให้กฎหมายเกิดขึ้นเอง
จะไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

เอคควิตี้คืออะไร
เอคควิตี้ คือระบบกฎหมายที่เป็นส่วนหนึ่งในระบบกฎหมายไม่เป็น
ลายลักษณ์อักษร เอคควิตี้เป็นระบบที่ยึดถือหลักความยุติธรรม โดย
มโนธรรมของผู้พิพากษาเป็นหลัก จึงก่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการ
ตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม โดยไม่ต้องอยู่ในกรอบของจารีต
ประเพณีหรือแนวบรรทัดฐานคำาพิพากษาของศาล

ศาลไทยยอมรับนับถือคำาพิพากษาของศาลในคดีก่อนเพียงใดหรือไม่
ศาลไทยอยู่ในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร จึงไม่ถือว่าคำา
พิพากษาเป็นกฎหมายที่ศาลทำาขึ้น ศาลคงยึดตัวบทกฎหมายเป็น
สำาคัญในการตัดสินคดี แต่ก็คำานึงถึงผลและเหตุผลของคำาพิพากษา
ในคดีก่อนอยู่บ้าง โดยเฉพาะคดีที่มีข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่ศาลสูง
เคยตัดสินไว้แล้ว แต่หากศาลล่าง (ที่อยู่ในชั้นตำ่ากว่า) มีเหตุุุผลเป็น
อย่างอื่น ก็อาจตัดสินให้เป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ โดยไม่ต้อคำานึงถึงคำา
พิพากษาในคดีก่อนๆนั้น

ความเห็นของนักนิตศ ิ าสตร์นั้นจะได้รับการยอมรับจากศาลในการ
พิจารณาพิพากษาคดีเพียงใด
แม้ว่าความเห็นของนักนิติศาสตร์จะไม่เป็นที่มาของกฎหมายใน
ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรแต่ความเห็น ของนักนิติศาสตร์
ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการกฎหมายโดยทั่วไป ก็อาจจะ
มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจคดีต่อมา

3.1.3 ที่มาของกฎหมายในระบบกฎหมายสังคมนิยม
พิจารณาว่าการที่ระบบกฎหมายสังคมนิยมมีที่มาของกฎหมาย คือ
กฎหมายลายลักษณ์อักษรแต่เพียงอย่างเดียวนั้น จะสามารถให้
ความยุติธรรมแก่อรรถคดีต่างๆได้เพียงพอหรือไม่
ในระบบกฎหมายสังคมนิยม ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นกลไก
ในการควบคุมสังคมให้เป็นไปตามที่วางเป้าหมายไว้ ความยุติธรรม
จะมีเพียงใดย่อมขึ้นอยู่ความเป็นอิสระของศาลในการตัดสินคดี หาก
ศาลต้องปฏิบัติตามนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่
ได้ โอกาสที่ประชาชนจะได้รับความยุติธรรมก็ย่อมน้อยลงได้ตาม
ลำาดับ

3.2 ประเภทของกฎหมาย
1. การแบ่งประเภทของกฎหมาย อาจแบ่งได้หลายลักษณะทั้งนี้ขึ้น
อยู่กับว่า จะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
2. กฎหมายนั้นอาจแบ่งได้อย่างคร่าวๆ เป็น 2 ประเภทคือ กฎหมาย
ภายในและกฎหมายภายนอก
3. กฎหมายภายในอาจแบ่งได้เป็น
1) กฎหมายลายลักษณ์อัก และกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
2) กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับ
ทางแพ่ง
3) กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
4) กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4. กฎหมายภายนอกอาจแบ่งออกได้เป็น
1) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
2) กฎหมายระว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา

3.2.1 บทนำา
การแบ่งกฎหมายภายในแบบใดที่ควรได้รับการยอมรับมากที่สุด
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนัน

การแบ่งกฎหมายภายในเป็นกฎหมายมหาชนและกฎหมาเอกชน น่า
จะได้รับการยอมรับมากที่สุดเพราะมีผลในการพิจารณาใช้หลัก
เกณฑ์ในการใช้และการตีความกฎหมาย เพื่อก่อให้เกิดความ
ยุติธรรมแต่คดีตามลักษณะกฎหมาย

3.2.2 ประเภทของกฎหมายภายใน
Unwritten Law คือ อะไร
Unwritten Law คือกฎหมายที่ยังมิได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์
อักษร

การแบ่งกฎหมายตามสภาพบังคับนั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
การแบ่งกฎหมายตามสภาพบังคับมีประโยชน์ในการพิจารณาคดี
แยกคดีเพื่อฟ้องศาลได้ถูกต้องเช่น คดีแพ่งจะฟ้องศาลใดที่กฎหมาย
กำาหนดได้บ้าง หรือคดีอาญาจะฟ้องศาลใดได้บ้าง

ถ้าไม่มีกฎหมายวิธีสบัญญัติจะเกิดผลประการใดบ้างต่อระบบ
กฎหมายของไทยในปัจจุบัน
ถ้าไม่มีกฎหมายวิธีสบัญญัติก็ไม่อาจดำาเนินคดีในศาลต่างๆ ได้

การแบ่งกฎหมายออกเป็นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนนั้น
มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
การแบ่งกฎหมายเป็นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนนั้น
ประเทศไทยยังไม่อาจมองเห็นประโยชน์ได้อย่างชัดเจน เพราะ
ประเทศไทยยังไม่ได้แยกคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนให้ขึ้น
ศาลปกครอง ในปัจจุบันคดีสว ่ นใหญ่ขึ้นศาลยุติธรรม ยกเว้นบางคดี
ที่จัดตั้งศาลพิเศษไว้พิจารณาพิพากษาคดีโดยเฉพาะ

3.2.3 ประเภทของกฎหมายภายนอก
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมีความสำาคัญและมีบทบาท
ต่อสังคมประชาชาติเพียงใด
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองมีความสำาคัญมาก เพราะ
เป็นกฎหมายที่กำาหนดกฎเกณฑ์ที่ให้รัฐต่างๆ ได้ปฏิบัติตามเพื่อ
ความสงบสุขของสังคมประชาชาติแต่ในปัจจุบัน กฎหมายนี้ขาด
ความศักดิ์สิทธิ์เพราะไม่มีองค์กรใดที่จะก่อให้เกิดสภาพบังคับ จึง
กลายเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุขขึ้นเสมอมา

กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลมีบทบาทต่อสังคมปัจจุบัน
เพียงใด
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลมีบทบาทสำาคัญต่อสังคม
ยุคปัจจุบันที่ประชาชนในแต่ละรัฐมีโอกาสติดต่อกัน หรือความ
สัมพันธ์กันในด้านต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างรัฐย่อมมี
ปัญหาที่จะใช้กฎหมายของรัฐใดบังคับ จึงต้องมีกฎหมายระหว่าง
ประเทศแผนกคดีบุคคลขึ้น เพื่อแก้ปัญหาว่าจะใช้กฎหมายใดบังคับ
แก่ความสัมพันธ์เหล่านั้น

การจี้เครื่องบินจากประเทศอื่นแล้วมาร่อนลงในประเทศไทย แล้ว
บังคับเครื่องบินให้เดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม ประเทศไทยจะมี
สิทธิเรียกให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามกฎหมายระหว่างประเทศแผนก
คดีอาญาหรือไม่
การจี้เครื่องบินเป็นการกระทำาผิดกฎหมายตามอาญากฎหมายไทย
หากผู้ร้ายที่กระทำาผิดบังคับเครื่องบินไปประเทศที่สาม และประเทศ
ที่สามมีข้อตกลงที่จะร่วมมือกันส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย ก็
อาจจะมีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้ แต่ความผิดนี้โดยปกติย่อมเป็น
ความผิดอาญาสากลซึ่งประเทศที่สามก็ย่อมจะลงโทษได้อยู่แล้ว
เพราะเป็นความผิดที่กระทำาอยู่ต่อเนื่องในอาณาเขตของประเทศ
นั้นด้วย

3.3 ศักดิ์ของกฎหมาย
1. กฎหมายที่ออกมาใช้ในสังคมย่อมเกิดจากองค์กรต่างกัน จึงมี
ลำาดับความสำาคัญไม่เท่าเทียมกัน
2. รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่สูงที่สุด จะมีกฎหมายอื่นมาขัดกับ
รัฐธรรมนูญไม่ได้
3. กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา หรือรัฐธรรมนูญได้มอบอำานาจให้ตรา
ขึ้นได้ในกรณีพิเศษ ตามความจำาเป็นและตามเงื่อนไขที่กำาหนด
ย่อมมีศักดิ์สูงรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ
4. กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร โดยอาศัยอำานาจกฎหมายที่ออก
โดยรัฐสภา ย่อมเป็นกฎหมายลำาดับรองลงมาจากกฎหมายที่ออก
โดยรัฐสภา
5. กฎหมายที่ออกโดยองค์กรปกครองตนเอง โดยอาศัยอำานาจ
กฎหมายอื่น ย่อมมีศักดิ์ตำ่ากว่ากฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาหรือฝ่าย
บริหาร
6. การจัดลำาดับของกฎหมายตามศักดิ์ ก็เพื่อให้ทราบว่ากฎหมายฉบับ
ใดมีความสำาคัญมากกว่ากัน และสามารถยกเลิกกฎหมายที่มีศักดิ์
เท่ากันหรือตำ่ากว่าได้ แต่ไม่สามารถยกเลิกกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่า
ได้

3.3.1 การจัดลำาดับความสำาคัญของกฎหมาย
เหตุใดจึงต้องมีการจัดลำาดับกฎหมายตามศักดิ์
การจัดลำาดับของกฎหมายนั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่ากฎหมายนั้นออกโดย
องค์กรใด และองค์กรนั้นมีความสำาคัญเพียงใด เมื่อออกกฎหมายมา
แล้ว กฎหมายที่ออกมาโดยองค์กรที่มีอำานาจออกกฎหมายที่สูงกว่า
ย่อมมีศักดิ์สูงกว่ากฎหมายที่ออกโดยองค์กรที่ตำ่ากว่า ย่อมไม่
สามารถยกเลิกเพิกถอนกฎหมายที่ออกโดยองค์กรที่สูงกว่าซึ่งมีศักดิ์
สูงกว่าได้

3.3.2 ประโยชน์ของการจัดลำาดับของกฎหมายตามศักดิ์
หาตัวอย่างการออกกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายระดับเดียวกัน
มาอย่างน้อย 1 ตัวอย่าง
การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะหุ้น
บริษัทโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ ฉบับที่ 9 (พ
(พ.ศ. 2521)

หาตัวอย่างการยกเลิกกฎหมายระดับเดียวกันมาอย่างน้อย 1
ตัวอย่าง
พระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่ 8 (พ
(พ.
ศ. 2519) ยกเลิกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5

แบบประเมินตนเองหน่วยที่ 3

1. กฎหมายในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรหรือซีวิลลอว์ มีที่มา
จาก กฎหมายลายลักษณ์อักษร จารีตประเพณี และหลักกฎหมาย
ทั่วไป
2. ที่มาประการสำาคัญของกฎหมายในระบบกฎหมายไม่เป็นลาย
ลักษณ์อักษร (Common Law System) คือ จารีตประเพณีและคำาพิพากษา
3. ที่มาของกฎหมายในระบบกฎหมายสังคมนิยม (Socialist Law System) คือ
กฎหมายลายลักษณ์อักษร
4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จัดอยู่ในกฎหมายประเภท
กฎหมายสารบัญญัติ
5. ประมวลกฎหมายอาญาจัดอยู่ในกฎเภท กฎหมายมหาชน
6. บริษัทไทยต้องการทำาสัญญาค้าขายกับบริษัทญี่ปุ่น ต่างฝ่ายต่าง
ต้องการใช้กฎหมายในประเทศของตนบังคับในสัญญาที่ทำาขึ้น
ระหว่างกัน กฎหมายที่ควรจะใช้บังคับกรณีที่มีความขัดแย้งกันนี้
คือ ประมวลกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
7. นายตี๋ ถูกจับและดำาเนินคดีข้อหาค้ายาเสพติดระหว่างคุมขังอยู่
นายตี๋ เล็ดลอดหนีข้ามแดนออกไปมาเลเซียได้ ต่อมาตำารวจ
มาเลเซียส่งตัวนายตี๋มาให้รัฐบาลไทยดำาเนินคดีและลงโทษต่อไป
รัฐบาลมาเลเซียปฏิบัติตาม กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดี
อาญา
8. กฎบัตรสหประชาชาติหมายถึง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดี
เมือง
9. การเรียงลำาดับศักดิ์ของกฎหมายจากสูงไปตำ่า ควรเป็นดังนี้คือ
รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา เทศบัญญัติ
10. รัฐธรรมนูญ มีศักดิส์ ูงกว่ากฎหมายใดๆทั้งสิ้น

หน่วยที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศาสตร์อื่นๆ

11. เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มีความสำาคัญที่จะทำาให้เกิดแนว
ความคิดในการยกร่าง ปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย ให้เป็นกติกาที่จะก่อ
ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
12. รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่จัดระบบกลไกการปกครอง โดยมีกฎหมาย
เป็นเครื่องมือในการปกครองและการบริหารประเทศ
13. เศรษฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่อาศัยกฎหมายในการกำาหนดทิศทาง
และควบคุม ดูแลระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อสร้างความเป็น
ธรรมในสังคม
14. กฎหมายมีบทบาทในการควบคุมการศึกษาค้นคว้า พัฒนา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อมิให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตราย
ต่อมนุษย์โลก

4.1 กฎหมายกับประวัติศาสตร์
1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันเป็นประวัติศาสตร์ในสังคมหนึ่งนั้น ย่อมมี
ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน และกฎหมายที่
จะร่างขึ้นมาใช้ในอนาคต
2. การศึกษาประวัติศาสตร์ในเชิงวิเคราะห์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะ
นำามายกร่างหรือปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ย่อมจะทำาให้เกิดความ
ชัดเจนในการยกร่างกฎหมาย หรือปรับปรุง แก้ไขกฎหมายให้เหมาะ
สมสอดคล้องกับวิถีของสังคมยิ่งขึ้น และทำาให้สังคมได้รับประโยชน์
จากกฎหมายมากยิ่งขึ้น

4.1.1 ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับประวัติศาสตร์
ยกตัวอย่างในอดีตที่มีผลต่อมาให้รัฐต้องออกกฎหมายมาควบคุม
ดูแล รวม 2 เรื่อง
1) กรณีปั่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทำาให้รัฐต้องปรับปรุงกฎหมายเดิม
คือ พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ พ. พ.ศ. 2518 มาเป็นกฎหมายใหม่
คือ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ. พ.ศ. 2525 ซึ่งจะมี
การลงโทษผู้ที่ปั่นหุ้นทั้งทางแพ่งและทางอาญา
2) กรณีที่ประชาชนถูกธนาคารและสถาบันการเงินเอาเปรียบใน
เรื่องสัญญาต่างๆ ที่ทำากับธนาคารและสถาบันการเงิน จึงมีการ
แก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ. พ.ศ. 2521 เพิ่มเติม
หมวดที่คุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่
ผู้บริโภคมากขึ้น

4.1.2 การศึกษาประวัติศาสตร์ในเชิงวิเคราะห์เพื่อใช้ในการร่างและ
ปรับปรุงกฎหมาย
วิจารณ์การยกร่างกฎหมายโดยไม่คำานึงถึงความเป็นมาในทาง
ประวัติศาสตร์ เกิดผลเสียอย่างไร ยกตัวอย่างมา 1 ตัวอย่างด้วย
กรณีเขียนบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเรื่องคุณสมบัติของวุฒส ิ มาชิก
หรือกรณีการใช้กฎหมายแรงงานกับรัฐวิสาหกิจ

4.2 กฎหมายกับรัฐศาสตร์
1. กฎหมายกับรัฐศาสตร์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด รัฐศาสตร์
จัดระบบกลไกการปกครองโดยให้มีกระบวนการนิติบัญญัติ ซึ่งก่อ
ให้เกิดกฎหมายขึ้นมาใช้บังคับแก่ประชาชน และในขณะเดียวกัน
กฎหมายก็เป็นเครื่องมือให้แก่การปกครองและการบริหารประเทศ
2. กฎหมายที่เป็นเครื่องมือในการปกครองนั้น ได้แก่ รัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด และกฎหมายรองลง
มา คือ กฎหมายปกครอง และกฎหมายมหาชนอื่นๆ ที่จะช่วยให้การ
บริหารแผ่นดินบรรลุผลตามเป้าหมาย อันจะก่อให้เกิดความสงบ
เรียบร้อย ความอยู่ดีกินดี และความเป็นธรรมในสังคมไทย

4.2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับรัฐศาสตร์
วิชากฎหมายหรือนิติศาสตร์มีความสัมพันธ์กับวิชารัฐศาสตร์เพียง
ใด
ศาสตร์ทั้งสองตัวต้องพึ่งพาอาศัยกัน คือรัฐศาสตร์จะสร้างระบบ
และกลไกในกระบวนการนิติบัญญัติของรัฐ เพื่อออกกฎหมายใช้
บังคับแก่ประชาชน ในขณะเดียวกันกฎหมายก็จะเป็นกลไกสำาคัญ
ในการเมืองการปกครองที่จะให้อำานาจรัฐในการออกกฎหมายภาย
ใต้ความยินยอมของประชาชน

4.2.2 กฎหมายในฐานะเป็นเครื่องมือในการปกครอง
วิเคราะห์ว่ากฎหมายใดบ้างเป็นเครื่องมือในการปกครอง และ
กฎหมายใดมีความสำาคัญสูงสุดในฐานะเป็นเครื่องมือในทาง
ปกครอง
กฎหมายที่เป็นเครื่องมือในการปกครองคือ รัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจักรไทย กฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชนอื่นๆ
กฎหมายที่มีความสำาคัญสูงสุดในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการ
ปกครองคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

4.3 กฎหมายกับเศรษฐศาสตร์
1. เศรษฐศาสตร์กับกฎหมายต่างเป็นวิชาทางสังคมศาสตร์ที่มีความ
เชื่อมโยงกัน เศรษฐศาสตร์ต้องอาศัยออกกฎหมายในการสร้าง
ความเป็นธรรมให้แก่สังคม และกฎหมายก็ต้องอาศัยหลักการใน
เศรษฐศาสตร์มาประกอบการยกร่างกฎหมาย
2. กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐในการกำาหนดทิศทางในด้าน
เศรษฐกิจของประเทศ และใช้เป็นกลไกควบคุม ดูแลระบบ
เศรษฐกิจ รวมทั้งการสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนที่ไม่ถูก
เอรัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ

4.3.1 ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับเศรษฐศาสตร์
กฎหมายและเศรษฐศาสตร์มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
กฎหมายมีส่วนเป็นกลไกสำาคัญในการควบคุมระบบเศรษฐกิจทั้งใน
ระดับเศรษฐกิจมหภาค คือระบบการเงินการคลังของประเทศและ
ในระดับเศรษฐกิจจุลภาค คือกำากับดูแลให้ความเป็นธรรมระหว่าง
ผู้ประกอบการกับประชาชนผู้บริโภคสินค้าและบริการ

4.3.2 กฎหมายกับการกำากับ ดูแลระบบเศรษฐกิจ


ยกตัวอย่างกฎหมายที่กำากับดูแลเศรษฐกิจมา 2 ฉบับ
กฎหมายที่กำากับดูแลระบบเศรษฐกิจ คือ ประมวลรัษฎากร พระราช
บัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติ
ศุลกากร พุทธศักราช 2469 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม
การฟอกเงิน พ.พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.
พ.ศ. 2520
พ.ศ. 2518 พระราชบัญญัติห้าม
พระราชบัญญัติสถานสินเชื่อท้องถิ่น พ.
เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พุทธศักราช 2475

4.4 กฎหมายกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1. วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นศาสตร์ที่มนุษย์ได้ศึกษา ค้นคว้า
และพัฒนา เพื่ออธิบายความเป็นไปของธรรมชาติและปากฎการณ์
ต่างๆ และนำามาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ให้แก่มนุษย์จึงต้องมี
กรอบการใช้ประโยชน์ที่เหมาะสมแก่สภาพสังคม โดยอาศัยกฎหมาย
เป็นตัวกำาหนดกรอบเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในสังคม
2. เมื่อมีเหตุการณ์เรื่องใดที่เกิดผลกระทบต่อสังคม ก็ควรจะต้องนำา
กฎหมายมาช่วยควบคุม กำากับดูแล เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
อันจะช่วยให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม

4.4.1 ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กฎหมายมีบทบาทต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างไร
กฎหมายมีบทบาทต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือ
1) ในด้านการควบคุมการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ให้อยู่ในกรอบที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และอยู่ใน
กรอบของศีลธรรมจรรยาอันก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคม และ
2) ในด้านการพิสูจน์พยานหลักฐานในคดีความ

4.4.2 กฎหมายกับการกำากับดูแลผลกระทบต่อสังคมอันเกิดจาก
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
กฎหมายที่กำากับดูแลผลกระทบต่อสังคมอันเกิดจากวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยียกตัวอย่างมา 2 ฉบับ
พระราชบัญญัติยา พ.พ.ศ. 2510 พระราชบัญญัติโรคพิษสุนข พ.ศ. 2535
ั บ้า พ.
พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ. พ.ศ. 2523 พระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อ
จิตและประสาท พ. พ.ศ. 2518 พระราชบัญญัติเครื่องสำาอาง พ.พ.ศ. 2535 พระ
พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม
ราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.
พุทธศักราช 2498 พระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
พ.ศ. 2498 และพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ. พ.ศ.
2544 เป็นต้น

แบบประเมินตนเองหน่วยที่ 4

1. การศึกษาประวัติศาสตร์มีสว
่ นช่วยในการศึกษาวิชากฎหมาย
เพราะว่า ช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลของเรื่องราวที่เกิดขึ้น
2. วิชาประวัติศาสตร์มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่างและปรับปรุง
กฎหมายคือ ใช้ประวัติศาสตร์มาประกอบการศึกษาและพิจารณาใน
การยกร่างกฎหมาย
3. แนวความคิดที่ว่า “เมื่อประชาชนมอบอำานาจของตนให้รัฐแล้ว รัฐ
ต้องมีหน้าที่ในการใช้อำานาจของรัฐเพื่ออำานวยประโยชน์ และก่อให้
เกิดความมั่นคง ความผาสุกแก่ประชาชน” ข้อความนี้หมายถึง
ทฤษฎีสัญญาประชาคม
4. รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีความสำาคัญสูงสุดในการบริหาร
ราชการแผ่นดิน
5. ความสัมพันธ์ระหว่างวิชานิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์นั้นเปรียบเทียบ
กันแล้วจัดว่าเป็น ลักษณะคู่แฝด
6. กฎหมายกับเศรษฐศาสตร์มีความสัมพันธ์กันคือ นำาหลักเกณฑ์ใน
ทางวิชาเศรษฐศาสตร์มาใช้เป็นหลักการและเหตุผลในการออก
กฎหมาย
7. กฎหมายฉบับที่ดูแลสภาพคล่องของการเงินของประเทศคือ พระ
ราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ. พ.ศ. 2485
8. กรณีที่เป็นการพิสูจน์หลักฐานในทางวิทยาศาสตร์เช่น การพิสูจน์
สาเหตุการตายของศพที่พบ
9. การที่นักกฎหมายต้องเรียนรู้ศาสตร์อื่นๆ นอกเหนือจากวิชา
กฎหมายเพราะ ช่วยทำาให้นักกฎหมายเข้าใจศาสตร์ต่างๆ และ
สามารถใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความเป็นธรรมได้ดี
ยิ่งขึ้น
10. กรณีที่ยังไม่มีกฎหมายใดที่จะช่วยลดผลกระทบต่อคนไทยและ
มนุษยชาติได้แก่ ภาวะเรือนกระจกบนโลก

หน่วยที่ 5 การใช้เหตุผลในทางกฎหมาย

11. การนำากฎหมายมาใช้บังคับอาจมีผลกระทบหรือเกิดสภาพบังคับ
แก่บุคคล จำาเป็นต้องมีการให้เหตุผลในการใช้บังคับกฎหมายที่ดี
เป็นธรรม สมเหตุผล หรือรับฟังได้ เพื่อให้เกิดการยอมรับของสังคม
และแก้ไขปัญหาได้ตรงกับสภาพปัญหาที่แท้จริง ซึ่งจะทำาให้
กฎหมายนั้นบรรลุวัตถุประสงค์และประสบผล
12. เหตุผลในกฎหมายสามารถวิเคราะห์ได้จากเหตุผลของผู้ร่าง
กฎหมาย ความเป็นธรรมของตัวกฎหมายนั้นเองและนำาผลการ
วิเคราะห์หาเหตุผลในกฎหมายมาใช้ประโยชน์ในการใช้กฎหมาย
13. การใช้เหตุผลในการวินิจฉัยคดีเป็นเรื่องสำาคัญที่จะช่วยรักษา
ความเป็นธรรมให้แก่คู่ความ โดยที่ฝ่ายแพ้คดีและสังคมยอมรับ การ
ใช้เหตุผลในคดีมีอยู่ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ในการต่อสู้คดีของคู่ความ
การทำาคำาพิพากษา การทำาความเห็นแย้งในคำาพิพากษา และในการ
ให้ความเห็นทางกฎหมายโดยทั่วไปด้วย

5.1 ความสำาคัญของเหตุผลในทางกฎหมาย
1. เหตุผลของกฎหมายที่ดีและเป็นธรรมที่มีมาจากแนวความคิดทาง
ปรัชญา โดยนักปรัชญาและนักนิติปรัชญาได้พยายามพัฒนาแนว
ความคิดเกี่ยวกับเหตุผลในการตรากฎหมาย และการใช้กฎหมายมา
โดยตลอด เพื่อให้ได้กฎหมายที่ดีและเป็นธรรมที่สุดแก่สังคม
2. การใช้เหตุผลในทางกฎหมายที่ดีมีคุณลักษณะสำาคัญประการหนึ่ง
คือ ความสมเหตุผลในทางตรรกวิทยา ซึ่งช่วยให้สามารถตรา
กฎหมายและนำากฎหมายมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้ตรงกับสภาพ
ปัญหาที่แท้จริง ไม่เบี่ยงเบนไป
3. การให้เหตุผลในกฎหมายมีความสำาคัญ เนื่องจากเหตุผลที่ดี เป็น
ธรรม สมเหตุสมผล หรือรับฟังได้ ก่อให้เกิดความเป็นธรรมและการ
ยอมรับของบุคคลที่เกี่ยวข้องและสังคม และแก้ไขปัญหาได้ตรงกับ
สภาพปัญหาที่แท้จริง ซึ่งจะทำาให้กฎหมายนั้นบรรลุวัตถุประสงค์
และประสบผล

5.1.1 ปรัชญากับกฎหมาย
ในปัจจุบันมีการนำาหลักทฤษฎีทางปรัชญาใดมาใช้ในการให้เหตุผล
ทางกฎหมายอย่างไร
แนวความคิดคิดทางนิติปรัชญาที่ยังคงใช้อยู่ในการให้เหตุผลทาง
กฎหมายในปัจจุบัน เช่น แนวความคิดเกี่ยวกับหลักนิติรัฐ (Legal State)
ซึ่งปัจจุบันมีการใช้เหตุผลทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้อำานาจของ
เจ้าหน้าที่ของรัฐว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐจะใช้อำานาจในทางที่ลิดรอน
สิทธิและเสรีภาพของเอกชนได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำานาจไว้อย่าง
ชัดเจนเท่านั้น

5.1.2 ตรรกวิทยากับกฎหมาย
การใช้เหตุผลในกฎหมายโดยใช้หลักตรรกวิทยามีความสำาคัญ
อย่างไร
การใช้เหตุผลในกฎหมายโดยใช้หลักตรรกวิทยามีความสำาคัญ
เพราะทำาให้เหตุผลที่ยกขึ้นกล่าวอ้างมีความสมเหตุผล และสามารถ
แก้ไขปัญหาได้ตรงตามสภาพของปัญหาที่แท้จริง

5.1.3 แนวคิดและความสำาคัญของเหตุผลในกฎหมาย
การใช้เหตุผลในกฎหมายที่ดีมีความสำาคัญอย่างไร
การใช้เหตุผลในกฎหมายที่ดีมีความสำาคัญ คือ สามารถอำานวยความ
ยุติธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องได้ตามความเหมาะสมแก่กรณี และเป็นที่
ยอมรับของบุคคลทั่วไป

5.2 การวิเคราะห์หาเหตุผลในกฎหมาย
1. กฎหมายสร้างขึ้นโดยผู้ร่างกฎหมายด้วยเหตุผลหรือเจตนารมณ์
อย่างใดอย่างหนึง่ โดยผู้ร่างกฎหมายจะกำาหนดโครงสร้างและกลไก
ของกฎหมาย และเขียนบทบัญญัติเพื่อให้กฎหมายบรรลุเจตนารมณ์
ตามที่ได้มุ่งหมายไว้ การจะหยั่งทราบเหตุผลในกฎหมายจึงสามารถ
กระทำาได้โดยการค้นหาเหตุผลของผู้ร่างกฎหมายได้ทางหนึง่
2. เมื่อกฎหมายได้ถูกตราขึ้นแล้ว นักกฎหมายฝ่ายหนึง่ เห็นว่าตัว
กฎหมายนั้นเองเป็นสิ่งแสดงเจตนารมณ์ หรือเหตุผลในตัวเอง การ
วิเคราะห์หาเหตุผลของกฎหมายจึงพิจารณาได้จากความเป็นธรรม
ของกฎหมายนั้นเอง
3. เหตุผลในกฎหมายจะถูกนำามาใช้เมื่อมีการใช้กฎหมาย เมื่อผู้ใช้
กฎหมายได้ทำาการวิเคราะห์เพื่อหาเหตุผลในกฎหมายได้โดยอาศัย
กระบวนการต่างๆ แล้ว จะสามารถนำาเหตุผลนั้นมาใช้อธิบายคำา
วินิจฉัยของตนทั้งในการพิจารณาคดี และการให้ความเห็นทาง
กฎหมายโดยทั่วไปอย่างสมเหตุสมผลและมีความเป็นธรรม

5.2.1 เหตุผลของผู้ร่างกฎหมาย
การวิเคราะห์หาเหตุผลของผู้ร่างกฎหมายมีประโยชน์ในการใช้
เหตุผลในกฎหมายอย่างไร
การวิเคราะห์หาเหตุผลของผู้ร่างกฎหมายมีประโยชน์ในการใช้
เหตุผลในกฎหมายเพราะจะทำาให้วินิจฉัยคดีได้ตรงตามเจตนารมณ์
ของกฎหมาย มิใช่เป็นเหตุผลที่ผู้ใช้กฎหมายนึกคิดขึ้นเอง

5.2.2 ความเป็นธรรมของกฎหมาย
การวิเคราะห์หาเหตุผลจากความเป็นธรรมของกฎหมายสามารถ
พิจารณาได้จากสิ่งใด
การวิเคราะห์เหตุผลจากความเป็นธรรมของกฎหมาย สามารถ
พิจารณาได้จากตัวบทบัญญัติของกฎหมายนั้นเองตามทฤษฎีอำาเภอ
การณ์ อย่างไรก็ดี ในการใช้กฎหมาย นักกฎหมายส่วนใหญ่มัก
พิจารณาประกอบกับเหตุผลของผู้ร่างกฎหมายและหลักการตีความ
กฎหมายต่างๆด้วย

5.2.3 การนำาผลการวิเคราะห์หาเหตุผลในกฎหมายมาใช้ประโยชน์
เหตุผลในกฎหมายที่วิเคราะห์ได้สามารถนำามาใช้ได้เฉพาะในการ
พิจารณาคดีหรือไม่
เหตุผลในกฎหมายที่วิเคราะห์ได้ไม่เพียงสามารถใช้ได้ในการ
พิจารณาคดีเท่านั้น แต่สามารถนำาไปใช้ในการให้ความเห็นทาง
กฎหมายของนักกฎหมายโดยทั่วไปได้

5.3 เหตุผลในการวินิจฉัยคดีและการให้ความเห็นทางกฎหมาย
1. เมื่อบุคคลมีข้อพิพาททางกฎหมายต้อเสนอคดีต่อศาลเพื่อให้มีการ
วินิจฉัยชี้ขาด คู่ความแต่ละฝ่ายต่างมีสิทธิยกเหตุผลที่ตนเห็นว่าดี
ที่สุดในการต่อสู้คดีเพื่อโน้มน้าวให้ศาลเห็นว่าฝ่ายตนสมควรชนะ
คดี
2. ประเทศไทยเป็นระบบที่ใช้ประมวลกฎหมาย (Civil Law) ตามหลัก
แล้วต้องพิจารณาข้อกฎหมายตามตัวบทกฎหมายโดยไม่จำาเป็นต้อง
ยึดถือแนวคำาพิพากษาหรือคำาวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐาน อย่างไรก็ดี
ในทางปฏิบัติ คำาพิพากษาที่มีการใช้เหตุผลที่ดี สมเหตุสมผล และ
เป็นธรรม สามารถนำามาเป็นแนวทางในการใช้เหตุผลในกฎหมาย
ได้ในกรณีที่มีข้อเท็จจริงคล้ายคลึงกัน
3. การให้เหตุผลในการเขียนคำาพิพากษาหรือการให้ความเห็นทาง
กฎหมาย มีหลักการซึ่งต้องคำานึงถึงหลายประการ เช่นหลักหรือ
ทฤษฎีกฎหมาย หลักการร่างกฎหมาย หลักการตีความกฎหมายและ
การอุดช่องว่างกฎหมาย และหลักอื่นๆ เช่น หลักตรรกวิทยา
สามัญสำานึก และศีลธรรมเป็นต้น
4. ในองค์คณะผู้พิจารณาคดีหรือผู้ให้ความเห็นทางกฎหมายอาจมีผู้
ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของอีกฝ่ายหนึง่ ซึ่งเป็นฝ่ายข้างมาก
กฎหมายให้สิทธิฝ่ายข้างน้อยในการแสดงความเห็นแย้ง เพื่อ
ประโยชน์ในการทบทวน หรือตรวจสอบคำาพิพากษา หรือความเห็น
ทางกฎหมายของฝ่ายข้างมาก

5.3.1 เหตุผลในการต่อสู้คดี
การใช้เหตุผลในการต่อสู้คดีมีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้เหตุผล
ในทางกฎหมายอื่นหรือไม่
การใช้เหตุผลในการต่อสู้คดีมีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้เหตุผล
ในทางกฎหมายอื่น เพราะเป็นการใช้กฎหมายเพื่อรักษาสิทธิและ
เสรีภาพของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณี จึงต้องมีความสมเหตุสมผล เป็น
ธรรม และสามารถจูงใจให้ผู้อ่านคล้อยตามได้

5.3.2 แนวบรรทัดฐานแห่งคำาพิพากษา
ในประเทศไทยสามารถยึดแนวบรรทัดฐานแห่งคำาพิพากษาในการ
ใช้เหตุผลทางกฎหมายได้หรือไม่
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศในระบบกฎหมายซีวิลลอว์ หรือ
ระบบประมวลกฎหมายจึงไม่จำาเป็นต้องยึดแนวคำาพิพากษาเป็น
บรรทัดฐานในการใช้เหตุผลทางกฎหมายอย่างไรก็ดีคำาพิพากษาที่มี
การใช้เหตุผลที่ดี สมเหตุ สมผลและเป็นธรรมสามารถนำามาใช้เป็น
แนวทางในการใช้เหตุผลในกรณีที่มีข้อเท็จจริงคล้ายคลึงกันได้ใน
ทางปฏิบัติ
5.3.3 เหตุผลในการเขียนคำาพิพากษาและความเห็นทางกฎหมาย
การหาเหตุผลที่ดีมีนำ้าหนักมาอธิบายให้ผู้เกี่ยวข้องยอมรับนับถือได้
จะต้องคำานึงถึงหลักเกณฑ์หรือเครื่องมือทางกฎหมายที่สำาคัญอย่าง
ใด
การหาเหตุผลที่ดี มีนำ้าหนัก มาอธิบายให้ผู้เกี่ยวข้องยอมรับนับถือได้
จะต้องคำานึงถึงหลักเกณฑ์หรือเครื่องมือทางกฎหมายที่สำาคัญดังต่อ
ไปนี้ คือ
1) หลักหรือทฤษฎีกฎหมาย
2) หลักการร่างกฎหมาย
3) หลักการตีความกฎหมายและการอุดช่องว่างกฎหมาย
4) หลักอื่นๆ เช่น หลักตรรกวิทยา สามัญสำานึก หรือศีลธรรม

5.3.4 การเขียนความเห็นแย้งในคำาพิพากษาหรือการให้ความเห็นทาง
กฎหมาย
การทำาความเห็นแย้งมีประโยชน์อย่างไร
การทำาความเห็นแย้งมีประโยชน์ในการทำาคำาพิพากษาหรือความ
เห็นทางกฎหมาย โดยเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้กฎหมายมีการ
พิจารณาเรื่องนั้นๆ อย่างรอบด้าน และเลือกใช้เหตุผลทางกฎหมาย
ที่เห็นว่าเหมาะสมและเป็นธรรมมากที่สุด

แบบประเมินตนเองหน่วยที่ 5

1. เหตุที่กฎหมายจำาเป็นต้องมีเหตุผลที่ดีคือ เพื่อให้กฎหมายนั้นเป็น
ที่ยอมรับของสมาชิกในสังคม
2. เหตุผลที่ดีควรมีลักษณะดังนี้ (1) เป็นธรรม (2) รับฟังได้ (3) สมเหตุ
สมผล (4) มีข้อเท็จจริงสนับสนุนที่หนักแน่น
3. หลักปรัชญาช่วยในการใช้กฎหมายมีเหตุผลที่ดีคือ เป็นเหตุผลที่มี
ความเป็นธรรมตามยุคสมัย
4. หลักตรรกวิทยาช่วยให้กฎหมายมีเหตุผลที่ดีคือ (1) เป็นเหตุผลที่มี
ความสมเหตุสมผล (2) สอดคล้องกับความเห็นของนักปรัชญา (3) เป็น
เหตุผลที่มีความเป็นธรรมตามยุคสมัย (4) สอดคล้องกับวิถีชีวิตของ
สมาชิกในสังคม
5. การวิเคราะห์หาเหตุผลของกฎหมายสามารถศึกษาได้จาก (1) ผู้ร่าง
กฎหมาย (2) การอภิปรายในสภา (3) บันทึกหลักการและเหตุผล (4)
รายงานการประชุมพิจารณาร่างกฎหมาย
6. การค้นหาเหตุผลของกฎหมายตามทฤษฎีอำาเภอการณ์คือการ
หาเหตุผลจาก ตัวบทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง
7. การค้นหาเหตุผลเพื่อสร้างความเป็นธรรมควรพิจารณาจาก
เหตุผลของ ผู้ร่างกฎหมายประกอบกับตัวบทบัญญัติของกฎหมาย
8. ผู้ที่สามารถใช้เหตุผลในทางกฎหมายได้คือ ทุกคนที่ใช้กฎหมาย
9. ในการพิจารณาของศาลไทย ศาลไม่ต้องผูกพันตามแนวคำา
พิพากษาเพราะประเทศไทยเป็นระบบประมวลกฎหมาย
10. การให้เหตุผลในการเขียนคำาพิพากษาควรคำานึงถึงหลัก (1) หลัก
ศีลธรรม (2) ทฤษฎีกฎหมาย (3) หลักตรรกวิทยา (4) หลักการตีความ
กฎหมายและการอุดช่องว่าง
11. กฎหมายที่มีการตราโดยมีเหตุผลที่ดีมีประโยชน์คือ ทำาให้
กฎหมายสามารถอำานวยความเป็นธรรมได้เหมาะแก่กรณี
12. เหตุผลที่ดีในการใช้กฎหมายมีที่มาจากหลักการคือ (1) ศีลธรรม (2)
ปรัชญา (3) นิติปรัชญา (4) ตรรกวิทยา
13. การศึกษารายงานการประชุมสภาในการพิจารณาร่างกฎหมาย
เป็นการค้นหา เหตุผลในลักษณะ เหตุผลของผู้ร่างกฎหมาย
14. การทำาความเข้าใจกฎหมายจากเนื้อความของกฎหมายเป็นการ
หาเหตุผลในลักษณะ เหตุผลของตัวกฎหมายนั้นเอง
15. การค้นหาเจตนารมณ์ของกฎหมายที่นักกฎหมายส่วนใหญ่เห็น
ว่าเป็นวิธีที่ดีคือ (1) ค้นหาจากผู้ร่างกฎหมาย (2) ค้นหาจากตัว
กฎหมายนั้นเอง (3) ค้นหาจากความเห็นของนักวิชาการ (4) ค้นหา
จากหลักการตีความกฎหมายทั่วไป
16. การใช้เหตุผลในทางกฎหมายสามารถปรากฏได้ใน (1) การต่อสู้คดี
(2) คำาพิพากษาของศาล (3) บทบัญญัติของกฎหมาย (4) การให้ความ
เห็นทางกฎหมาย
17. ลักษณะเฉพาะของศาลในระบบซีวิลลอว์ ศาลไม่ต้องผูกพันตาม
แนวบรรทัดฐาน
18. การให้เหตุผลในการให้ความเห็นทางกฎหมายควรคำานึงถึงหลัก
ในเรื่อง (1) หลักศีลธรรม (2) หลักตรรกวิทยา (3) หลักการร่างกฎหมาย
(4) หลักหรือทฤษฎีกฎหมาย

หน่วยที่ 6 กฎหมายกับการพัฒนาสังคม

19. สิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะมีหลักประกันให้มั่นคงอยู่ได้ก็ต้อง
อาศัยกฎหมายเป็นสิ่งสำาคัญ
20. กฎหมายกับสังคมเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การที่
จะควบคุมสังคมได้ย่อมอาศัยกฎหมายเข้ามาช่วย
21. ในกรณีที่สังคมจะพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมต้องอาศัย
กฎหมาย สังคมจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมั่นคง
22. กฎหมายมีความจำาเป็นต้องตราออกมาควบคู่กับสังคมยุค
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพื่อควบคุมการใช้เทคโนโลยีในทางที่ถูกที่
ควร

6.1 กฎหมายกับหลักประกันสิทธิเสรีภาพ
1. มนุษย์ต้องมีสิทธิต่างๆ อย่างที่มนุษย์มีกัน และจะต้องมีอยู่อย่าง
เท่าเทียมกัน ไม่ถูกกีดกัน การจำากัดสิทธิจะมีได้แต่กฎหมายเท่านั้น
2. ประเทศไทยได้กำาหนดหลักประกันสิทธิ เสรีภาพของปวงชนชาว
ไทยไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทย ซึ่งเป็นกฎหมาย
สูงสุดในการปกครองประเทศ
3. การใช้สิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ในสังคมจะต้องมีกฎหมาย
ควบคุมเสมอ

6.1.1 สิทธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชนหมายถึงอะไร
สิทธิมนุษยชนหมายถึง สิทธิความเป็นมนุษย์หรือสิทธิในความเป็น
คน อันเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาก็มีสิทธิ
ติดตัวมาตั้งแต่เกิด

6.1.2 หลักประกันสิทธิ เสรีภาพตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ


รัฐธรรมนูญได้กำาหนดขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลไว้
เพียงใด
รัฐธรรมนูญได้กำาหนดขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลไว้
ว่า บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการ
ปกครองระบบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่ง
มิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมิได้

6.1.3 กฎหมายกับสังคม
กฎหมายกับสังคมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
กฎหมายเป็นสิ่งสำาคัญสำาหรับสังคม ซึ่งกฎหมายจะต้องเกิดขึ้นเสมอ
พร้อมกันไปกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ซึ่งหากมีการ
เปลี่ยนแปลงไปในทางชั่วร้าย กฎหมายจะต้องเข้าไปควบคุมสังคม
นั้นให้ดี เมื่อสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้
ทันต่อเหตุการณ์นั้น กฎหมายจึงได้ออกมาตามการเปลี่ยนแปลงใน
ทางสังคม ลักษณะของกฎหมายจึงต้องบัญญัติโดยคำานึงถึงการ
เปลี่ยนแปลงของสังคมในอนาคตจึงจะถือว่าเป็นกฎหมายที่ดี

6.2 กฎหมายกับการควบคุมสังคม
1. กฎหมายมีความสำาคัญต่อความสงบเรียบร้อยในสังคมเป็นอย่างยิ่ง
เพราะกฎหมายสามารถควบคุมสังคมให้ตกอยู่ในความสงบ
เรียบร้อยได้
2. ความเป็นธรรมในสังคมจะมีได้ต้องอาศัยความถูกต้องของ
กฎหมายเท่านั้น
3. ปัญหาทุกปัญหาทางสังคมสามารถแก้ไขให้ยุติได้ด้วยกฎหมาย
6.2.1 กฎหมายกับความสงบเรียบร้อยของสังคม
กฎหมายเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของสังคมอย่างไร
ในแต่ละสังคมย่อมจะต้องมีกฎระเบียบ วินัย ทั้งนี้เพื่อให้สังคมนั้นมี
ความสงบเรียบร้อยได้ กฎ ระเบียบ วินัย เช่นว่านี้จะต้องมีสภาพ
บังคับในสังคมนั้นได้ จึงจะทำาให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย กรณีที่
จะให้มีสภาพบังคับได้จะต้องตราขึ้นเป็นกฎหมาย เมื่อได้ตรา
กฎหมายขึ้นมาแล้ว ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามบทกฎหมายนั้นย่อมเป็นผู้ก่อ
ความไม่เรียบร้อยขึ้น ก็จะต้องถูกลงโทษไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งหรือ
อาญา ความสงบเรียบร้อยก็ย่อมจะมีขึ้นได้

6.2.2 กฎหมายกับความเป็นธรรมในสังคม
เมื่อความไม่เป็นธรรมในสังคมเกิดขึ้นจะแก้ไขด้วยกฎหมายอย่างไร
เพราะอะไร
สังคมที่ขาดความเป็นธรรม การที่จะแก้ไขต้องออกกฎหมายมาแก้ไข
เปลี่ยนแปลงสิ่งไม่เป็นธรรมนั้น เพราะกฎหมายมีสภาพบังคับ
สามารถออกกฎหมายให้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงการกระทำานั้นเสีย
ความเป็นธรรมในสังคมนั้นก็จะเกิดขึ้น

6.2.3 กฎหมายกับการแก้ปัญหาในสังคม
กฎหมายช่วยแก้ไขปัญหาทางสังคมอย่างไร
เมื่อสังคมนั้นเกิดความขัดแย้งยากที่จะประสานให้เกิดความสามัคคี
กันได้วิธีการที่จะขจัดปัญหาในทางสังคมได้จะต้องอาศัยกฎหมาย
เป็นสำาคัญเพราะหากมีกฎหมายบัญญัติในปัญหานั้นไว้อย่างไรแล้ว
ก็ต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือบังคับการให้เป็นไปตาม
กฎหมายนั้น ปัญหาข้อขัดแย้งก็เป็นอันยุติได้ หากมีปัญหาขึ้นแต่ยัง
ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง ก็สามารถตรากฎหมายเพื่อขจัด
ปัญหานั้นให้เสร็จสิ้นไปโดยปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายจึงมีความ
สำาคัญที่สามารถแก้ปัญหาในสังคมได้

6.3 กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาสังคม
1. การพัฒนาการเมือง จะต้องตราบทกฎหมายหรือระเบียบ
แบบแผนต่างๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้นักการเมืองได้มีการพัฒนา
คุณธรรมและจริยธรรมนั้นอย่างมีสภาพบังคับได้
2. การที่จะพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบเสรีได้ต้องอาศัยการออก
กฎหมายมาบังคับเป็นสำาคัญ
3. การออกกฎหมายเพื่อพัฒนาสังคม สิง่ แวดล้อมนั้น จะต้องคำานึง
ถึงการพัฒนาคนและจิตใจของคนด้วย

6.3.1 กฎหมายกับการพัฒนาการเมือง
รัฐจะต้องพัฒนาทางการเมืองอย่างไร
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำาหนดว่า รัฐต้องจัดให้มี
แผนพัฒนาการเมือง จัดทำามาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม
ของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และพนักงาน หรือ
ลูกจ้างอื่นของรัฐ เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ
เสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ (รัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจักรไทย พ. พ.ศ. 2540 มาตรา 40)

6.3.2 กฎหมายกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
กฎหมายมีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเสรีอย่างไร
ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่บรรลุเป้าหมายได้ ต้องอาศัย
และเกี่ยวข้องกับกฎหมายทั้งสิน
้ เพราะหากไม่มีกฎหมายบังคับ การ
พัฒนาเศรษฐกิจก็ไม่อาจจะกระทำาได้สำาเร็จ และหากกฎหมายใดที่มี
อยู่เป็นการขัดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเสรี ก็ต้องยกเลิก
กฎหมายฉบับนั้นเสีย หรืออาจจะมีการแก้ไขกฎหมายนั้นให้
สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบเสรีก็ได้

6.3.3 กฎหมายกับการพัฒนาสังคม สิง่ แวดล้อม


การพัฒนาคนต้องอาศัยกฎหมายให้มีการพัฒนาทางด้านใด จึงจะ
ทำาให้สังคมมีความสงบสุข
การพัฒนาคนควรจะต้องมีกฎหมายให้มีการพัฒนาทางด้านจิตใจ
เพราะตามหลักในการดำาเนินชีวิตและการดำารงประเทศ จะต้อง
อาศัยจิตใจของคนเป็นสำาคัญ โดยจะต้องพัฒนาทางจิตใจของคนใน
สังคมให้มีธรรมะหรือให้มีคุณธรรม ทำาแต่ความดี เพื่อให้จิตใจมี
ความสงบ ก็จะทำาให้สังคมมีความราบรื่น มีความสงบสุข
6.4 กฎหมายกับสังคมยุควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1. การที่จะพัฒนาวิทยาศาสตร์ให้ไปสู่ความสำาเร็จได้ ต้องอาศัยการ
ตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อให้มีสภาพบังคับได้
2. การทำาธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์จะให้มีผลบังคับกันได้ จะต้องมี
กฎหมายรับรอง
3. การวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะบรรลุเป้าหมายและความสำาเร็จได้
ต้องอาศัยกฎหมายเป็นสำาคัญ
4. การที่จะไม่ให้มีการทำาลายสิ่งแวดล้อม ก็ต้องตราเป็นกฎหมาย
บังคับ จึงจะมีโอกาสสัมฤทธิ์ผลได้

6.4.1 กฎหมายกับงานด้านวิทยาศาสตร์
ขณะนี้มีกฎหมายอะไรบ้างที่เกี่ยวกับงานด้านวิทยาศาสตร์
ในขณะนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานด้านวิทยาศาสตร์อยู่ 2 ฉบับ
คือ
1) พระราชบัญญัติพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พ. พ.ศ. 2534
2) พระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ พ. พ.ศ. 2540

6.4.2 กฎหมายกับคอมพิวเตอร์
ในปัจจุบันมีกฎหมายเกี่ยวกับงานด้านคอมพิวเตอร์อย่างไร
มีกฎหมายอยู่ 2 ลักษณะด้วยกัน คือ
1) กฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้แก่ พระราช
พ.ศ. 2544
บัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.
2) กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต ซึ่งได้แก่ พระราช
พ.ศ. 2545
บำญัติการประกอบธุรกิจข้อมูงเครดิต พ.

6.4.3 กฎหมายกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ในกรณีที่จะพัฒนาการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้ประสบความสำาเร็จ
ต่อไปนั้น ควรจะต้องทำาอย่างไร
หากมีการพัฒนาให้มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ให้สำาเร็จต่อไปนั้น
จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข กฎหมายให้มีผลรองรับความ
ก้าวหน้าในการพัฒนานั้น

6.4.4 กฎหมายกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต
สิ่งแวดล้อมที่ทำาให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงในอนาคตจะอาศัย
กฎหมายได้อย่างไร
สิ่งแวดล้อมที่ทำาให้สังคมเปลี่ยนแปลงในอนาคตซึ่งรัฐบาลจะต้อง
เข้าควบคุม จำาเป็นที่รัฐจะต้องออกกฎหมายเกี่ยวกับสังคมและสิ่ง
แวดล้อมนี้ ทำาการควบคุมและห้ามกระทำาหรือให้กระทำาเพื่อไม่ให้
สังคมต้องกระทบ กระเทือนต่อไปอีก

แบบประเมินตนเองหน่วยที่ 6

1. การพัฒนาสังคมจะเกิดผลสำาเร็จได้ต้องอาศัย กฎหมาย
2. สิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะมีอยู่ในสังคมได้นั้นต้องอาศัย
กฎหมาย รองรับ
3. สิทธิมนุษยชนหมายถึง สิทธิความเป็นมนุษย์
4. ในเรื่องที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้กำาหนดสิทธิ และ
เสรีภาพของปวงชนชาวไทยไว้ ได้แก่ เสรีภาพในการวิจัยทางวิม
ทยาศาสตร์
5. กฎหมายได้พัฒนาขึ้นมาจาก ระเบียบที่ใช้ในสังคม
6. กฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะเป็น
ลักษณะ กฎหมายที่ขาดความเป็นธรรม
7. เหตุที่การแก้ปัญหาในสังคมจะต้องอาศัยกฎหมาย เพราะกฎหมาย
มีสภาพบังคับใช้
8. การที่จะพัฒนาระบบเศรษฐกิจแบบเสรีได้สำาเร็จ ต้องให้รัฐ
เปลี่ยนแปลงกฎหมาย
9. การที่จะเป็นนักปกครองบ้านเมืองที่ดี นักปกครองจะต้องมี
ธรรมะประจำาใจ
10. การทำาธุรกรรมทางอิเลคทรอนิกส์จะเกิดผลเป็นความสำาเร็จได้
ต้องอาศัย กฎหมายที่บัญญัติขึ้น
11. สิ่งที่ทำาให้สังคมมีระเบียบได้คือ คำาสั่งของผู้มีอำานาจปกครอง
ประเทศสูงสุด
12. สิทธิของคนหมายความว่า ประโยชน์ที่จะพึงมีพึงได้แก่ทุกคนตาม
หลักธรรมชาติ
13. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศความเป็นมนุษย์ของ
ชนชาวไทยไว้ว่า องค์กรของรัฐทุกองค์กรที่ใช้อำานาจต้องคำานึงถึง
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
14. กฎหมายที่จะควบคุมสังคมได้จะต้องมีลักษณะ มีสภาพบังคับได้
15. การที่จะให้สังคมมีความสงบเรียบร้อยได้ต้องอาศัย กฎหมาย
16. กฎหมาย เป็นบทบาทสำาคัญที่จะสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม
ได้
17. เมื่อสังคมเกิดปัญหาขัดแย้งรุนแรงขึ้นจะต้องอาศัย กฎหมายใน
การแก้ไขปัญหานัน ้
18. นโยบายของรัฐตามรัฐธรรมนูญนั้นได้กล่าวถึงด้านการเมืองว่า (
ก) รัฐจะต้องจัดให้มีแผนพัฒนาการเมือง (ข) รัฐจะต้องจัดทำา
มาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการ
เมือง
19. ตามรัฐธรรมนูญให้รัฐจะต้องสนับสนุนเศรษฐกิจแบบ เสรี โดย
อาศัยกลไกตลาดกำากับ ดูแลให้มีการแข่งขันแบบเป็นธรรม
20. การที่จะไม่ให้มีการทำาลายสิ่งแวดล้อมนั้นจะทำาได้โดย ออกเป็น
กฎหมายบังคับ

หน่วยที่ 7 การศึกษา ค้นคว้า และวิจัยทางนิติศาสตร์

1. การศึกษาทางนิติศาสตร์ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยขั้น
ตอนต่างจากการเรียนรู้วิชาอื่น เนื่อง จากเป็นวิชาที่ต้องมีการ
ประเมินสิ่งที่ผู้เรียนมีอยู่ อาทิ ด้านกายภาพ ด้านจิตวิทยา ด้าน
ศักยภาพ เป็นต้น นอกจากนั้น ต้องมีวิธีการศึกษาในชั้นเรียนใน
กรณีศึกษาการศึกษาในระบบปิด หรือมีวิธีการในการศึกษาด้วย
ตนเองในกรณีที่เป็นการเรียนในระบบเปิด เช่น การศึกษาทางไกล
ซึ่งผู้เรียนต้องมีสื่อในการศึกษา คือ ตำาราและหนังสือต่างๆ รวมถึง
การได้รับการสอนเสริมและการศึกษาเป็นกลุ่ม สิ่งที่สำาคัญสุดท้าย
คือ วิธีตอบปัญหาและข้อสอบกฎหมาย
2. การค้นคว้าทางนิติศาสตร์ เป็นวิธีการที่ค้นหาแหล่งที่มาของความ
รู้ด้านต่างๆ ทางด้านนิติศาสตร์และศาสตร์ความรู้อื่นที่นำามาใช้ผสม
ผสานกับความรู้ทางด้านกฎหมาย เป็นการค้นคว้าจากแหล่งข้อมูล
ปฐมภูมิและข้อมูลทุติยภูมิ โดยผ่านสื่อการศึกษา เช่นค้นคว้าจาก
ตำาราจากห้องสมุด อาจารย์หรือบุคคลที่เป็นที่ยอมรับในทางวิชาการ
รวมทั้งการสังเกตจากวิธีปฏิบัติจริง นอกจากนี้ แหล่งค้นคว้าที่
สำาคัญที่สุดคือระบบเครือข่ายอินเตอร์เนต ซึ่งผู้เรียนต้องมีเทคนิค
ในการค้นหา และทราบเว็บไซต์หรือแหล่งที่อยู่ที่สำาคัญต่างๆ
3. การวิจัยทางนิติศาสตร์ เป็นการค้นหาความรู้หรือคำาตอบทาง
กฎหมายของแต่ละปัญหาที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมีวิธีการวิจัยหรือที่
เรียกว่า วิทยวิธี ที่ใช้เป็นหลักในการทำาวิจัย การวิจัยทางนิติศาสตร์
จำาเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากตัวบทกฎหมาย คำาพิพากษา และตำารา
ต่างๆ โดยสามารถทำาได้ทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ในการ
ศึกษาชั้นปริญญาตรีจะไม่เน้นการทำาวิจัย แต่ผู้เรียนควรทราบไว้
เป็นความรู้เบื้องต้นเพื่อเป็นแนว หรือเพื่อการศึกษาในระดับ
บัณฑิตศึกษาต่อไป

7.1 การศึกษาทางนิติศาสตร์
1. ในการศึกษาทางนิติศาสตร์ ผู้เรียนต้องประเมินสิ่งที่ผู้เรียนมีอยู่
ก่อนที่จะศึกษา สิ่งเหล่านี้คือความพร้อมด้านกายภาพ ด้านจิตวิทยา
ด้านอารมณ์ ด้านสังคม รวมทั้งด้านการเงิน เพื่อให้การใช้
ทรัพยากรหรือสิ่งที่ผู้เรียนมีอยู่ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
โดยคำานึงถึงลำาดับความสำาคัญ
2. วิธีการศึกษาทางนิติศาสตร์มีทั้งการศึกษาในชั้นเรียนในกรณีการ
ศึกษาในระบบปิด หรือการศึกษาด้วยตนเองในกรณีที่เป็นการเรียน
ในระบบเปิด เช่นการศึกษาทางไกล ซึ่งทั้งสองวิธีผู้เรียนต้องมีสื่อใน
การศึกษาคือ ตำาราและหนังสือต่างๆ มีการเตรียมตัวก่อนศึกษา
และมีการทบทวนหลังการศึกษา โดยอาจกระทำาด้วยตนเองหรือ
ศึกษาเป็นกลุ่ม ซึ่งรวมถึงการได้รับการสอนเสริมในระบบเปิดด้วย
3. โดยทั่วไป วิธีตอบปัญหาและข้อสอบกฎหมายนิยมใช้แบบอัตนัยใน
สองรูปแบบ คือ อธิบายหลักกฎหมาย และที่เป็นปัญหาสมมติหรือตั้ง
เป็นตุ๊กตา ส่วนในสถานศึกษาบางแห่ง อาจมีข้อสอบแบบ ปรนัย
และอัตนัยผสมกัน การตอบข้อสอบจึงต้องมีหลักเกณฑ์ในการตอบ
ข้อสอบกฎหมาย

7.1.1 การประเมินสิง่ ที่ผู้เรียนมีอยู่


อธิบายว่าในการศึกษาทางนิติศาสตร์ ผู้เรียนต้องประเมินสิ่งที่ผู้
เรียนมีอยู่ก่อนที่จะศึกษาอย่างไร
การที่ผู้เรียนต้องประเมินสิ่งที่ผู้เรียนมีอยู่ก่อนที่จะศึกษาคือ การ
พิจารณาความพร้อมด้านกายภาพ ด้านจิตวิทยา ด้านอารมณ์ ด้าน
สังคม รวมทั้งด้านการเงิน เพื่อให้การใช้ทรัพยากรหรือสิ่งที่ผู้เรียนมี
อยู่ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล

7.1.2 วิธีการศึกษา
อธิบายวิธีการศึกษาตัวบทกฎหมาย
วิธีการศึกษาตัวบทกฎหมายจะต้องมีความเข้าใจมากกว่าการ
ท่องจำา การอ่านตัวบทกฎหมายนั้นต้องอ่านแล้วขีดเส้นใต้ถ้อยคำา
สำาคัญ ไม่ต้องกลัวว่าประมวลกฎหมายหรือตัวบทกฎหมายจะดูไม่
เรียบร้อยหรือสกปรกเมืุ่่อมีการขีดเส้นใต้แล้วหากไม่เข้าใจอย่างชัด
แจ้งหรือยากต่อการเข้าใจ ผู้เรียนต้องอาศัยหลักการบันทึกย่อขยาย
ความเอาไว้ โดยอาจได้มาจากเอกสารการสอนหรือมาตราในตัวบท
กฎหมายที่เกี่ยวโยง หรือพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาตีความถ้อยคำา
นั้นไว้แล้ว โดยให้บันทึกย่อในตัวบทกฎหมายนั้น หากเนื้อที่ไม่เพียง
พอให้ใช้กระดาษเปล่าทำาเป็นบันทึกต่อ

7.1.3 การตอบปัญหาและข้อสอบกฎหมาย
อธิบายวิธีการเขียนตอบข้อสอบแบบอัตนัย
ต้องมีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้น ต้องวินิจฉัยปัญหาโดย
ปรับข้อเท็จจริงเข้ากับหลักกฎหมายและสุดท้ายคือ การสรุปคำาตอบ

7.2 การค้นคว้าทางนิติศาสตร์
1. แหล่งสะสมตัวบทกฎหมาย เอกสารการสอน ตำารา และ
วรรณกรรมกฎหมายทุกประเภทที่ดีที่สุดได้แก่ ห้องสมุดกฎหมาย ผู้
เรียนนิติศาสตร์จะต้องเข้าห้องสมุดกฎหมายเพื่อศึกษาการค้นหา
เอกสารที่ต้องการ ทั้งจากบัตรรายการและเครื่องมือสืบค้นต่างๆ
รวมถึงฐานข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ซีดีรอม อินเทอร์เนต และอาจ
เป็นวิธีการสืบค้นและยืมเอกสารระหว่างห้องสมุดกฎหมาย
2. การค้นคว้าข้อมูลกฎหมายจากบุคคลอื่น อาจเป็นกรณีการสอน
เสริม ซึ่งเป็นวิธีค้นคว้าจากอาจารย์ที่ไปสอนเสริมและพบปะ
นักศึกษาหรือผู้เรียนเป็นคราวๆ หรือกรณีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ
กลุ่มเพื่อน หรือเป็นกรณีที่ได้รับคำาแนะนำาจากผู้ที่เป็นที่ยอมรับใน
วงการกฎหมาย
3. การค้นคว้าข้อมูลทางกฎหมายโดยการสังเกตและฝึกปฏิบัติ อาจ
โดยการสังเกตจากสถานการณ์ที่เป็นจริง เช่น การพิจารณาในศาล
หรือศาลจำาลอง และ การฝึกงานในหน่วยงานที่เกี่ยวกับกฎหมาย
4. การค้นคว้าข้อมูลทางกฎหมายในเครือข่ายอินเทอร์เนต เป็นแหล่ง
สำาคัญในการค้นคว้าทางกฎหมาย การค้นหาจึงต้องอาศัย Internet
Search Engine เพื่อค้นหาเว็บไซต์ แหลางข้อมูลที่เกี่ยวข้องและแหล่ง
ข้อมูลที่เชื่อมต่อที่เกี่ยวข้อง (Links)

7.2.1 การค้นคว้าข้อมูลกฎหมายจากห้องสมุด
อธิบายหน้าที่และวัตถุประสงค์ของห้องสมุดกฎหมาย
หน้าที่และวัตถุประสงค์ของห้องสมุดกฎหมายคือ เพื่อการศึกษา
เพื่อให้ความรู้และข่าวสาร เพื่อการค้นคว้าวิจัย และเพื่อความ
จรรโลงใจ

7.2.2 การค้นคว้าข้อมูลกฎหมายจากบุคคลอื่น
อธิบายวิธีการค้นคว้าข้อมูลกฎหมายจากบุคคลอื่น
อาจเป็นกรณีสอนเสริม ซึ่งเป็นวิธีค้นคว้าจากอาจารย์ที่ไปสอน
เสริม หรือกรณีแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกลุ่มเพื่อน หรือเป็นกรณีที่ได้
รับคำาแนะนำาจากผู้ที่เป็นที่ยอมรับในวงการกฎหมาย
7.2.3 การค้นคว้าข้อมูลกฎหมายจากการสังเกตและฝึกปฏิบัติ
อธิบายการฝึกงานในสำานักงานกฎหมายว่ามีลักษณะงานอย่างไร
ผู้เรียนจะได้ฝึกในลักษณะที่คอยช่วยเหลือ หรือภายใต้การควบคุม
มอบหมายของทนายความที่ดูแลผู้เรียนที่ไปฝึกหัดจะทำางานด้าน
การค้นคว้าข้อกฎหมายต่างๆ ค้นคำาพิพากษาฎีกา ทำาความเห็น
ต่างๆ ร่างเอกสารต่างๆ เช่น หนังสือทวงหนี้ หนังสือบอกกล่าว
คำาร้อง หรือคำาฟ้อง เป็นต้น

7.2.4 การค้นคว้าข้อมูลกฎหมายจากเครือข่ายอินเทอร์เนต
อธิบายวิธีการใช้ข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เนตที่สำาคัญ
การใช้ข้อมูลที่ได้จากอินเทอร์เนต ต้องตรวจสอบความถูกต้อง
ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้มาก่อนนำาไปใช้

7.3 การวิจัยทางนิติศาสตร์
1. การวิจัยเป็นกระบวนการค้นคว้าหาความรู้ ความเข้าใจในสิ่งหรือ
ปรากฏการณ์ที่เป็นเป้าหมายของการศึกษาเพื่อให้เกิดผลที่เชื่อมั่น
ได้
2. วิธีการวิจัยทางนิติศาสตร์เป็นกระบวนการศึกษาจากปัญหา
กฎหมาย โดยนำาข้อมูลจากตัวกฎหมาย บทความ คำาพิพากษา หลัก
กฎหมายต่างประเทศมาเปรียบเทียบ วิเคราะห์กับปัญหาหรือหัวข้อ
ที่ตั้งขึ้น โดยไม่ใช้วิธีการทางสถิติ แล้วสรุปลงท้ายด้วยข้อเสนอแนะ
ว่าควรมีการแก้ไข กฎหมายที่มีอยู่ให้ครอบคลุม หรือมีการตรา
กฎหมายขึ้นใหม่ นอกจากนั้น วิธีการวิจัยทางนิติศาสตร์ยังรวมถึง
กระบวนการศึกษาปัญหากฎหมาย โดยได้ข้อมูลจากความจริง โดย
ธรรมชาติมีการเก็บข้อมูล และนำาวิธีการทางสถิติมาวิเคราะห์เพื่อ
ประมาณค่า วิเคราะห์กับปัญหาที่ตั้งขึ้นแล้วสรุปว่าควรมีการแก้ไข
ปรับปรุงกฎหมาย หรือปัญหาที่ตั้งขึ้นอย่างไร ตามที่ได้ตั้งใน
สมมติฐานไว้
3. การวิจัยทางนิติศาสตร์มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการวิทยาการ
ทางกฎหมาย และเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์จากคนรุ่นหนึ่งไป
ยังอีกรุ่นหนึ่ง
7.3.1 ลักษณะทั่วไปของการวิจัย
การวิจัยทางนิติศาสตร์ หากแบ่งตามสาขาวิชาการจะเป็นการวิจัย
ด้านใด
การวิจัยทางนิติศาสตร์ เป็นการวิจัยด้านสังคมศาสตร์

7.3.2 วิธีการวิจัยทางนิติศาสตร์
การวิจัยทางนิติศาสตร์โดยทั่วไปมีกรณีใดบ้าง
โดยทั่วไปแล้วการวิจัยทางนิติศาสตร์ในเบื้องต้นมี 2 กรณี คือ กรณี
แรก ศึกษาจากปัญหากฎหมายนำาข้อมูลจากตัวกฎหมาย บทความ
คำาพิพากษา หลักกฎหมายต่างประเทศ มาเปรียบเทียบ วิเคราะห์กับ
ปัญหาหรือหัวข้อที่ตั้งขึ้น โดยไม่ใช้วิธีการทางสถิติ แล้วสรุปลงท้าย
ด้วยข้อเสนอ กับกรณีที่สอง ศึกษาปัญหากฎหมายโดยได้ข้อมูลจาก
ความจริงโดยธรรมชาติหรือข้อมูลปฐมภูมิ มีการเก็บข้อมูล และวิธี
การทางสถิติมาวิเคราะห์เพื่อประมาณค่า วิเคราะห์กับปัญหาที่ตั้ง
ขึ้นแล้วสรุป

7.3.3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัยทางนิติศาสตร์
การวินิจฉัยทางนิติศาสตร์มีประโยชน์อย่างไร อธิบายมา 3 ประการ
1) พัฒนากฎหมายที่จะมีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองของประเทศ
2) เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์จากนักกฎหมายรุ่นหนึ่งไปยังนัก
กฎหมายอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นวิธีการที่นักกฎหมายจะได้เพิ่มพูนวิทยา
การคว

You might also like