Professional Documents
Culture Documents
1. หนี้ ซึ่งเรีย กอี กอย่างหนึ่ งว่ า บุ คคลสิท ธิห รือสิท ธิเ รีย กร้ องนั้ น คือ
ความเกี่ยวพันทางกฎหมายระหว่างบุคคลสองฝ่ าย คือ ระหว่างเจ้าหนี้ และ
ลูกหนี้
2. บ่อเกิดแห่งหนี้ มี 2 ประการ ได้แก่ นิ ติกรรมและนิ ติเหตุ
3. วัตถุแห่งหนี้ คือสิ่งที่เจ้าหนี้ เรียกให้ลูกหนี้ ชำาระได้แก่ การกระทำาการ
การงดเว้นการกระทำา และการส่งมอบทรัพย์สิน
1.1.2 บ่อเกิดและลักษณะของสิทธิแห่งหนี้
บ่อเกิดแห่งหนี้ มีก่ีอย่าง ยกตัวอย่างประกอบ
บ่อเกิดแห่งหนี้ มี 2 อย่าง คือ
ลักษณะของสิทธิในหนี้ ที่สำาคัญมีอะไรบ้าง
ลักษณะแห่งสิทธิในหนี้ เป็ นบุคคลสิทธิหรือสิทธิเรียกร้องที่ใช้บังคับ
กันระหว่างคู่กรณี บุคคลสิทธิน้ ั นถือเป็ นทรัพย์สินประเภทหนึ่ ง สิทธิในหนี้
นั้ นจำา กัดอยู่ในวัตถุแห่งหนี้ เท่านั้ น จะเรียกร้องให้ลู กหนี้ ปฏิบั ติการนอก
เหนื อจากวัตถุแห่งหนี้ ไม่ได้ สิทธิของเจ้าหนี้ มีโดยเท่าเทียมกันที่จะได้รบ
ั
ชำาระหนี้ จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้
1.1.3 ประเภทต่างๆของหนี้
เราแบ่งหนี้ ออกได้เป็ นกี่ประเภท ยกตัวอย่างประกอบ
หนี้ อาจแบ่งออกได้เ ป็ นประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือหนี้ มีเงื่อนไข
หนี้ มี เ งื่ อนเวลา หนี้ แบ่ ง ได้ (มาตรา 290) และหนี้ แบ่ ง ไม่ ไ ด้ (มาตรา
301 และ มาตรา 302) หนี้ ประธานและหนี้ อุปกรณี
1.2 วัตถุแห่งหนี้
1. วั ตถุ แห่ งหนี้ มี 3 ประการได้ แก่ การกระทำา การ การงดเว้ น กระทำา
การ และการงดเว้นการกระทำา และการส่งมอบทรัพย์สิน
2. เมื่อเกิดหนี้ ขึ้น เจ้าหนี้ มีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ ชำา ระหนี้ ได้ เว้นแต่
หนี้ นั้ นจะเป็ นหนี้ ขาดอายุ ค วาม หนี้ ขาดหลั ก ฐานหรือ หนี้ กลายเป็ นพ้ น
วิสัยที่จะชำาระ
3. ทรัพ ย์ อั น เป็ นวั ต ถุ แ ห่ ง หนี้ คื อ ทรัพ ย์ อั น เป็ นวั ต ถุ ใ นการชำา ระหนี้
อาจเป็ นทรัพย์ที่ยังมิได้กำาหนดแน่นอน หรือเป็ นทรัพย์เฉพาะสิ่ง
ชมรมนั กศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดราชบุรี
4
ก. หนี้ ประเภทนี้ เป็ นหนี้ ซึ่ ง มี อ ยู่ จ ริง แต่ ก ฎหมายห้ า มฟ้ องร้ อ ง
เพราะเหตุว่าเป็ นหนี้ ที่ขาดอายุความ หรือหนี้ ขาดหลักฐานในกรณี ซึ่งหนี้
นั้ นเป็ น
ข. หนี้ ขาดหลักฐานในกรณี ซึ่งหนี้ นั้ นเป็ นประเภทที่กฎหมายบัญญัติ
ให้ต้องทำาเป็ นหลักฐานเป็ นหนั งสือ
ค. หนี้ อันเป็ นการพ้นวิสัยจะชำาระกันได้ (มาตรา 219 วรรคแรก)
1.2.3 การเลือกวัตถุแห่งหนี้
กฎหมายบั ญ ญั ติ ก ารเลื อ กวั ต ถุ แ ห่ ง หนี้ ไว้ อ ย่ า งไร อธิ บ ายและยก
ตัวอย่าง
โดยหลักแล้วสิทธิท่ีจะเลือกทำาการอย่างใดนั้ น ตกอยู่กับฝ่ ายลูกหนี้
หากการกระทำา เพื่ อการชำา ระหนี้ นั้ นมีห ลายอย่ าง แต่ คู่กรณี อ าจตกลงให้
เจ้าหนี้ หรือบุคคลภายนอกเป็ นผู้มีสิทธิเลือกก็ได้ การเลือกนั้ นต้องกระทำา
โดยการแสดงเจตนา หากเป็ นกรณี ท่ี บุ ค คลภายนอกเป็ นผู้ เ ลื อ ก บุ ค คล
ภายนอกนั้ นต้องแสดงเจตนาเลือกต่อลูกหนี้ แล้วลูกหนี้ จึงแจ้งความนั้ น
ให้เจ้าหนี้ ทราบ
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 1
1. หนี้ คื อ บุ ค คลสิ ท ธิ ห รือ สิ ท ธิ เ รีย กร้ อ งอั น เป็ นความเกี่ ย วพั น ทาง
กฎหมายระหว่างบุคคล 2 ฝ่ ายคือ เจ้าหนี้ และลูกหนี้
2. บ่อเกิดแห่งหนี้ มี 2 ประการคือ นิ ติกรรมและนิ ติเหตุ
3. วัตถุแห่งหนี้ คือ สิ่งที่จะเรียกร้องให้ชำาระในมูลหนี้ นั้น
4. วั ตถุ แห่ งหนี้ มี 3 อย่างคื อ การกระทำา การ งดเว้น กระทำา การ และ
การส่งมอบทรัพย์สิน
5. เมื่ อเกิ ด หนี้ ขึ้ นเจ้ า หนี้ เรีย กให้ ลู ก หนี้ ชำา ระหนี้ ได้ โดยสิ้ นเชิ ง มี ข้ อ
ยกเว้ น คื อ หนี้ ขาดอายุ ความ หนี้ ขาดหลั ก ฐาน และหนี้ ที่ ก ลายเป็ นพ้ น
วิสัย
6. ทรัพย์อันเป็ นวัตถุแห่งหนี้ คือ ทรัพย์ซึ่งเข้ามาเกี่ยวกับวัตถุแห่งหนี้
หรืออาจเรียกว่าทรัพย์ซึ่งเป็ นวัตถุในการชำาระหนี้
7. วั ตถุ แห่ งหนี้ มี ห ลายอย่ าง ผู้ เ ลื อ ก ได้ แก่ (ก) ลูกหนี้ (ข) เจ้ าหนี้
(ค) บุคคลภายนอก
8. การเลือกวัตถุแห่งหนี้ นั้ นต้องทำา โดยการแสดงเจตนา
9. วั ต ถุ แ ห่ ง หนี้ มี ห ลายอย่ า ง หากตกเป็ นพ้ น วิ สั ย บางอย่ า งผู้ มี สิ ท ธิ
เลือก ต้องเลือกสิ่งที่ยังเป็ นวิสัย
10. เมื่อผู้มีสิทธิเลือกได้เลือกวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอย่างใดแล้ว จะกลับใจไม่
ได้
หน่วยที่ 2 การไม่ชำาระหนี้
เมื่ อเกิ ด หนี้ ขึ้ นย่ อ มมี เ จ้ า หนี้ ลู ก หนี้ ลู ก หนี้ ต้ อ งชำา ระหนี้ แก่ เ จ้ า หนี้ ให้
ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งหนี้ หากลูกหนี้ ไม่ชำา ระหนี้ เสียเลย
หรือชำาระหนี้ ขาดตกบกพร่อง กล่าวคือ ชำาระหนี้ ล่าช้าผิดเวลา ผิดสถานที่
หรือ ผิ ด วั ต ถุ แ ห่ ง หนี้ ย่ อ มทำา ให้ เ จ้ า หนี้ ได้ ร บ
ั ความเสี ย หาย เพื่ อชดเชย
ความเสียหาย จำา เป็ นที่จะให้เจ้าหนี้ ซึ่งเป็ นผู้ได้รบ
ั ความเสียหายจากการ
ไม่ชำา ระหนี้ มีสิทธิท่ีจะฟ้ องร้องบังคับชำา ระหนี้ ได้ การฟ้ องร้องบังคับชำา ระ
หนี้ ต้องเป็ นไปตามกฎเกณฑ์แห่งการบังคับชำาระหนี้
2.1 การถึงกำาหนดชำาระหนี้
1. ถ้ า เวลาอั น พึ ง ชำา ระหนี้ นั้ นมิ ไ ด้ กำา หนดลงไว้ ห รือ จะอนุ มานจาก
พฤติการณ์ท้ ั งปวงก็ไม่ ได้ เจ้าหนี้ ย่อ มจะเรีย กชำา ระหนี้ ได้ โ ดยพลั น และ
ฝ่ ายลูกหนี้ ก็ย่อมจะชำาระหนี้ ของตนโดยพลันดุจกัน
2. ถ้าหนี้ ได้กำาหนดเวลาชำาระไว้ แต่หากกรณี เป็ นที่สงสัยให้สันนิ ษฐาน
ไว้ก่อนว่า เจ้าหนี้ จะเรียกให้ชำา ระหนี้ ก่อนถึงเวลานั้ นหาได้ไม่ แต่ฝ่ายลูก
หนี้ จะชำาระหนี้ ก่อนกำาหนดนั้ นได้
ก. ยืมเครื่องบวชนาคของ ข. เพื่อเอาไปอุปสมบทบุตรชายโดยไม่ได้
กำาหนดเวลาส่งคืน ข. เรียกเครื่องอุปสมบทคืนจาก ก . ได้เมื่อไร เพราะ
เหตุใด
ปพพ. มาตรา 203 วรรคแรกบัญญัติหลักในเรื่องเวลาชำาระหนี้ ตาม
พฤติการณ์ดังนี้ ถ้าเวลาอันพึงจะชำาระหนี้ มิได้กำาหนดลงไว้หรือจะอนุ มาน
จากพฤติการณ์ท้ ังปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ ย่อมจะเรียกให้ชำาระหนี้ ได้
โดยพลัน และฝ่ ายลูกหนี้ ก็ย่อมจะชำาระหนี้ ของตนได้โดยพลันดุจกัน
ตามบทบั ญ ญั ติ ดั ง กล่ า วย่ อ มหมายความว่ า ถ้ า เวลาชำา ระหนี้ มิ ไ ด้
กำาหนดกันไว้ แต่พออนุ มานจากพฤติการณ์ท้ ังปวงได้ว่าจะชำาระหนี้ กันได้
เท่ า ใด ลู ก หนี้ ต้ อ งชำา ระหนี้ และเจ้ า หนี้ มี สิ ท ธิ เ รี ย กให้ ชำา ระหนี้ ตาม
พฤติการณ์ท่ีพึงอนุ มานได้
ตามอุทาหรณ์ แม้ไม่ได้กำา หนดเวลาชำา ระหนี้ แต่ก็พออนุ มานได้ว่า
ก. ต้องคืนเครื่องอุปสมบทนาคให้ ข. เมื่ออุปสมบทบุตรชายเสร็จแล้ว ดัง
นั้ น ข. จะเรียกเครื่องอุปสมบทคืนก่อนเสร็จงานอุปสมบทไม่ได้ จะเรียก
คืนได้เมื่องานอุปสมบทเสร็จสิ้นแล้ว
2.2 การผิดนัด
1. ลูกหนี้ ผิดนั ดหมายถึงการที่ลูกหนี้ ชำาระหนี้ ล่าช้าผิดเวลา
2. ลูกหนี ไม่มีกำาหนดเวลาชำาระ ถ้าเจ้าหนี้ เตือนให้ชำาระหนี้ ไม่ชำาระ ลูก
หนี้ ได้ช่ ือว่าผิดนั ดเพราะเขาเตือนแล้วถ้าได้กำาหนดเวลาชำาระหนี้ ไว้ตามวัน
แห่ ง ปฏิ ทิ น และลู กหนี้ มิ ได้ ชำา ระหนี้ ตามกำา หนด ลู ก หนี้ ตกเป็ นผู้ ผิ ด นั ด
โดยมิพักต้องเตือน
3. ในกรณี หนี้ อัน เกิ ดมู ล ละเมิ ด ลูกหนี้ ได้ ช่ ื อว่ าผิ ดนั ดมาแต่ เ วลาที่ ทำา
ละเมิด
2.2.3 ผลแห่งการผิดนัดของลูกหนี้
เมื่ อลู ก หนี้ ตกเป็ นผู้ ผิ ด นั ด ลู ก หนี้ จะต้ อ งรับ ผิ ด ชอบต่ อ เจ้ า หนี้
ประการใดบ้างหรือไม่
มาตรา 215 เมื่ อ ลู ก หนี้ ไม่ ชำา ระหนี้ ให้ ต้ อ งตามความประสงค์ อั น
แท้จริง แห่ งมู ลหนี้ ไซร้ เจ้าหนี้ จะเรียกเอาค่ าสิ นไหมทดแทนเพื่ อ ความ
เสียหายอันเกิดแต่การนั้ นก็ได
เขี ย วยื ม รถยนต์ ข าวไปใช้ ใ นวั น แต่ ง งานของดำา น้ อ งชาย เมื่ องาน
แต่งงานเสร็จสิ้นลงเขียวได้นำารถยนต์เก็บไว้ในโรงรถ ต่อมาอีก 2 วัน ไฟ
ฟ้ าช๊อตไหม้บ้านและโรงรถของเขียวเป็ นเหตุให้รถยนต์ของขาวถูกไฟไหม้
เสียหายทั้งคันไปด้วย เขียวต้องรับผิดชอบใช้ราคารถยนต์ให้แก่ขาวหรือ
ไม่ เพราะเหตุใด
ป.พ.พ. มาตรา 217 บัญญัติหลักเกณฑ์ไว้ว่า “ลูกหนี้ จะต้องรับผิด
ชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแก่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างที่
ตนผิ ดนั ด ทั้ ง จะต้ อ งรับ ผิ ด ชอบในการที่ ก ารชำา ระหนี้ กลายเป็ นพ้ น วิ สั ย
เพราะอุบั ติเ หตุ อั น เกิ ดขึ้ นในระหว่ างเวลาที่ ผิ ดนั ดนั้ นด้ ว ย เว้ น แต่ ค วาม
เสียหายนั้ น ถึงแม้ว่าตนจะได้ชำาระหนี้ ทันเวลากำาหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่
นั ่นเอง” และตามมาตรา 203 วรรคแรกบัญญัติว่า “ถ้าเวลาวันจะพึงชำาระ
หนี้ นั้ นมิได้กำาหนดลงไว้ หรือจะอนุ มานจากพฤติการณ์ท้ ังปวงก็ไม่ได้ไซร้
ท่านว่าเจ้าหนี้ ย่อมจะเรียกให้ชำาระหนี้ ได้โดยพลัน และฝ่ ายลูกหนี้ ก็ย่อมจะ
ชำาระหนี้ ของตนได้โดยพลันดุจกัน”
ตามอุทาหรณ์แม้หนี้ จะไม่กำา หนดระยะเวลาเอาไว้ คือไม่ได้กำา หนด
เวลาตามปฏิทินที่จะคืนรถยนต์ให้ขาว แต่พอจะอนุ มานได้ตามพฤติการณ์
ว่า เมื่องานแต่งงานของดำาเสร็จ เขียวจะต้องคืนรถยนต์ให้ขาว คือเท่ากับ
ว่ าหนี้ คื อรถยนต์ ได้ กำา หนดเวลาชำา ระไว้เ ป็ นการแน่ นอนแล้ ว ฉะนั้ นเมื่อ
เขียวได้ส่งรถยนต์คืนให้ขาวภายหลังจากแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว เขียวตก
เป็ นผู้ผิดนั กตามมาตรา 203 วรรคหนึ่ ง และมาตรา 204 วรรคสอง แม้
ต่อมาจะเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้บ้าน โรงรถ ที่ใช้เก็บรถและไหม้รถยนต์เสีย
หายหมดก็ ตาม เขี ย วย่ อ มต้ อ งรับ ผิ ดชอบใช้ ร าคารถยนต์ ใ ห้ แ ก่ ข าวตาม
มาตรา 217
2.2.6 ผลแห่งการผิดนัดของเจ้าหนี้
เมื่อลูกหนี้ ขอปฏิบัติการชำาระหนี้ โดยชอบแล้ว ลูกหนี้ จะหลุดพ้นจาก
ความรับผิดอะไรบ้าง อธิบาย ลูกหนี้ จะหลุดพ้นจากหนี้ หรือไม่เพราะเหตุ
ใด
เมื่อลูกหนี้ ขอปฏิบัติการชำาระหนี้ โดยชอบแล้ว และเจ้าหนี้ ไม่รบ
ั ชำาระ
หนี้ นั้ นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ เจ้าหนี้ ตกเป็ นผู้ผิดนั ด
ตามมาตรา 207 มีผลให้ ลูกหนี้ ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในหนี้ เงินตามมาตรา
221 และลู กหนี้ ไม่ ต้อ งรับ ผิ ดชอบต่ อ เจ้ าหนี้ ในบรรดาความเสี ย หายอั น
เกิ ดแต่ การไม่ ชำา ระหนี้ นั บ แต่ เ วลาที่ ลู ก หนี้ ได้ ข อปฏิ บั ติ ก ารชำา ระหนี้ นั้ น
ตามมาตรา 330 บรรดาความรับผิดชอบคือ ลูกหนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบใช้
ค่ าสิ น ไหมทดแทน เนื่ องจากการชำา ระหนี้ ไม่ ต้ อ งตามความประสงค์ อั น
แท้ จ ริง แห่ ง มู ล หนี้ ตามมาตรา 215 ไม่ ต้ อ งรับ ผิ ด ชอบถ้ า การชำา ระหนี้
กลายเป็ นอันไร้ประโยชน์ต่อเจ้าหนี้ ตามมาตรา 216 ไม่ต้องรับผิดชอบ
2. เมื่อ ลูกหนี้ ไม่ ชำา ระหนี้ ให้ ต้อ งตามความประสงค์ อั น แท้ จริง แห่ ง มู ล
หนี้ เจ้าหนี้ มีสิทธิท่ีจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิด
แต่การไม่ชำาระหนี้ นั้ นได้
มาตรา 320 อั น จะบั ง คั บ ให้ เ จ้ า หนี้ รับ ชำา ระหนี้ แต่ เ พี ย งบางส่ ว น
หรือให้รบ
ั ชำาระหนี้ เป็ นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำาระแก่เจ้าหนี้ นั้ น ท่าน
ว่าหาอาจจะบังคับได้ไม่
มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ ยอมรับการชำา ระหนี้ อย่างอื่นแทนการ ชำา ระ
หนี้ ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้ นั้ นก็เป็ นอันระงับสิ้นไป
ถ้าเพื่อที่จะทำาให้พอแก่ใจเจ้าหนี้ นั้ น ลูกหนี้ รับภาระเป็ นหนี้ อย่างใด
อ ย่ าง ห นึ่ ง ขึ้ นใ ห ม่ ต่ อ เ จ้ า ห นี้ ไ ซ ร้ เ มื่ อ ก ร ณี เ ป็ น ที่ ส ง สั ย ท่ า น มิ ใ ห้
สันนิ ษฐานว่าลูกหนี้ ได้ก่อหนี้ นั้ นขึ้นแทนการชำาระหนี้
ถ้ า ชำา ระหนี้ ด้ ว ยออก-ด้ ว ยโอน-หรื อ ด้ ว ยสลั ก หลั ง ตั ๋ ว เงิ น หรือ
ประทวนสิ น ค้ า ท่านว่ าหนี้ นั้ นจะระงั บสิ้ นไปต่ อ เมื่ อตั ว๋ เงิ น หรือ ประทวน
สินค้านั้ นได้ใช้เงินแล้ว
มาตรา 322 ถ้าเอาทรัพย์ก็ดี สิทธิเรียกร้องจากบุคคลภายนอกก็ดี
หรือสิ ท ธิ อ ย่ างอื่ นก็ ดี ให้ แทนการชำา ระหนี้ ท่ านว่ า ลู ก หนี้ จะต้ อ งรับ ผิ ด
เพื่อชำารุดบกพร่องและเพื่อการรอนสิทธิทำานองเดียวกับผ้ข
ู าย
มาตรา 323 ถ้าวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอันให้ส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ท่าน
ว่าบุคคลผู้ชำา ระหนี้ จะต้องส่งมอบทรัพย์ตามสภาพที่เป็ นอยู่ใน เวลาที่จะ
พึงส่งมอบ
ลู ก หนี้ จำา ต้ อ งรัก ษาทรัพ ย์ น้ ั นไว้ ด้ ว ยความระมั ด ระวั ง เช่ น อย่ า ง
วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง จนกว่าจะได้ส่งมอบทรัพย์น้ ั น
มาตรา 324 เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะ พึง
ชำา ระหนี้ ณ สถานที่ ใ ดไซร้ หากจะต้ อ งส่ ง มอบทรัพ ย์ เ ฉพาะสิ่ ง ท่ านว่ า
รับชำาระหนี้ แต่ก็มีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนค่าเสียหายอันเกิดจาก
การชำาระหนี้ ไม่ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ ได้
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 2
ความรับผิดชอบของลูกหนี้ เพื่อคนที่ให้ชำาระหนี้
1. ลูกหนี้ ต้องรับผิดชอบในความผิดของตัวแทนของตนและของบุคคล
ที่ตนใช้ในการชำาระหนี้
2. ลู ก หนี้ ต้ อ งรับ ผิ ด ชอบแม้ ก ระทั ่ง เพื่ อกลฉ้ อ ฉลหรือ ความประมาท
เลิ น เล่ อ อย่ า งร้ า ยแรงของตั ว แทนของตนหรือ ของบุ ค คลที่ ต นใช้ ใ นการ
ชำาระหนี้ หากมีข้อตกลงที่ทำากันไว้ล่วงหน้า
ขอบเขตของตัวแทนและผู้ที่ใช้ชำาระหนี้
มาตรา 220 บั ญ ญั ติ ว่ า ลู ก หนี้ ต้ อ งรั บ ผิ ด ชอบในความผิ ด ของ
ตัวแทนแห่งตน กับทั้งของบุคคลที่ตนใช้ในการชำา ระหนี้ โดยขนาดเสมอ
กันว่าเป็ นความผิดของตนเองฉะนั้ นท่านเข้าใจอย่างไรให้อธิบาย
กรณี ใดก็ตามที่ ลูกหนี้ ต้อ งรับผิ ดชอบเพราะพฤติการณ์ท่ี จะโทษลู ก
หนี้ ได้แล้ว หากลูกหนี้ ได้ใช้คนอื่นทำาแทน ความผิดของผู้ท่ีลูกหนี้ ใช้น้ ั นก็
เสมอกั บ เป็ นความผิ ดของตนเอง ลู กหนี้ จะต้ อ งรับ ผิ ด ชอบ ทั้ ง นี้ เพราะ
กฎหมายมาตรา 314 บัญญัติให้บุคคลภายนอกทำา การชำา ระหนี้ ได้ คำา ว่า
ตั ว แทนนั้ นมี ค วามหมายตามที่ ม าตรา 797 บั ญ ญั ติ ไ ว้ ว่ า อั น ว่ า สั ญ ญา
ตั ว แทนนั้ น คื อ สั ญ ญาซึ่ ง บุ ค คลคนหนึ่ ง เรีย กว่ า ตั ว แทนมี อำา นาจทำา การ
แทนบุคคลอีกคนหนึ่ งเรียกว่า ตัวการ และตกลงจะทำาการดังนั้ น อันความ
เป็ นตัวแทนนั้ น จะเป็ นโดยแต่งตั้ง แสดงออกชัดหรือโดยปริยายก็ ย่อ ม
ทำาได้ ตัวแทนของลูกหนี้ ตามมาตรา 220 นั้ น จะต้องเป็ นตัวแทนของลูก
หนี้ ในการไปชำาระหนี้ ถ้าไม่ได้เป็ นตัวแทนในการชำาระหนี้ ลูกหนี้ ก็ไม่ต้อง
รับผิด ส่วนบุคคลที่ใช้ในการชำา ระหนี้ นั้ นจะเป็ นบุคคลใดๆ ก็ได้ไม่จำา กั ด
แต่มีหนี้ บางประเภทที่ต้ ังตัวแทนหรือใช้ให้บุคคลอื่นไปชำาระหนี้ แทนไม่ได้
ลูกหนี้ จะต้องปฏิบัติการชำาระหนี้ ด้วยตนเอง เพราะเป็ นเรื่องเกี่ยวกับความ
ไว้วางใจ หรือต้องการคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว เช่นจ้างช่างมาวาดภาพ
จ้างนั กร้องมาร้องแพลง เป็ นต้น
2. นายเขียวขายรถยนต์ของตนให้นายขาวเมื่อชำาระเงินกันเรียบร้อย
แล้ว นายเขียวจะเอารถยนต์ไปส่งมอบให้ท่ีบ้ านนายขาวในวัน รุ่งขึ้ น รุ่ง
เช้านายเขียวใช้ให้นายขำา ขับรถของตนเอาไปส่งที่บ้านของนายขาว โดย
นายขาวได้กำา ชับให้นายขำา ว่าต้ องขับ รถยนต์คันนี้ ไปส่ง ให้ แก่ นายขาวให้
เรียบร้อย และนายเขียวยังกล่าวต่อไปอีกว่าถ้ามีกรณี ใดๆเกิดขึ้นอันเป็ น
เหตุให้นายขาวไม่ได้ขับรถยนต์ตามที่ตกลงกันไว้ นายขำาจะต้องรับผิดแต่
เพียงผู้เดียว โดยที่นายเขียวจะไม่รบ
ั ผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น นายขำา ก็ตกลง
ในระหว่ า งทางที่ น ายขำา ขั บ รถยนต์ ไ ปเพื่ อส่ ง มอบให้ แ ก่ น ายขาวนั ่ น เอง
พ้นจากความรับผิดต่อนายขาวได้ นายเขียวจึงต้องรับผิดต่อนายขาว ใน
กรณี ท่ีนายขาวไม่ได้รบ
ั รถยนต์ตามสัญญา
การบังคับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจง
1. ถ้ า ลู ก หนี้ ละเลยเสี ย ไม่ ชำา ระหนี้ เจ้ า หนี้ จะร้ อ งขอต่ อ
ศาลให้สงั ่ บังคับชำาระหนี้ ได้
2. เมื่อสภาพแห่งหนี้ ไม่เปิ ดช่องให้บังคับชำา ระหนี้ ได้ เจ้า
หนี้ จะร้องขอต่อศาลสัง่ บังคับให้บุคคล ภายนอกกระทำาการโดยให้ลูกหนี้
เสียค่าใช้จ่าย ถ้าวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอันให้กระทำาการอันหนึ่ งอันใด
3. ถ้าวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอันให้ทำานิ ติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ ง
ศาลจะสัง่ ให้ถือเอาตามคำาพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ ได้
4. ถ้าวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้ จะ
เรียกร้องให้รอถอน
ื้ การที่ได้กระทำา ลงโดยให้ลูกหนี้ เสียค่าใช้จ่ายและให้
จัดการอันควรเพื่อการภายหน้าได้ด้วย
5. เจ้าหนี้ มีสิทธิท่ีจะบังคับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงหรือ
เรียกค่าสินไหมทดแทนก็ได้
6. เจ้าหนี้ มีสิทธิท่ีจะบังคับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงและ
เรียกค่าสินไหมทดแทนในคราวเดียวกันก็ได้
ความหมายของการบังคับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจง
การบังคับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงหมายความว่าอย่างไร
มาตรา 213 บัญญัติเป็ นหลักทัว่ ไปว่าเมื่อลูกหนี้ ไม่ชำาระหนี้ เจ้าหนี้
บังคับให้ลูกหนี้ ชำาระหนี้ ได้ หมายความว่าเป็ นหนี้ กันอยู่อย่างไรก็บังคับให้
ลูกหนี้ ชำา ระหนี้ อย่างนั้ นได้ ทั้งนี้ ก็เพราะบุคคลใดก่อหนี้ ขึ้น ก็ประสงค์จะ
ได้ส่ิงที่ตนต้องการ เช่น อยากได้รถยนต์ก็ทำาสัญญาซื้ อรถยนต์ ถ้าลูกหนี้
ไม่ ส่ ง มอบรถยนต์ ใ ห้ ก็ มีวิ ธีก ารบั ง คั บ ให้ ลู กหนี้ ส่ ง มอบรถยนต์ ใ ห้ เ พื่ อให้
เป็ นไปตามวัตถุประสงค์ท่ีตนต้องการ ส่วนวิธีการที่จะใช้เจ้าหนี้ ได้รบ
ั ตาม
สิ ท ธิ ดัง กล่ าวนั้ นมี กฎหมายบั ญ ญั ติไว้ เ ป็ นพิ เ ศษคื อ ประมวลกฎหมายวิ ธี
พิจารณาความแพ่ง
กรณี ท่ีจะบัง คับ ชำา ระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงได้ น้ ั น สภาพแห่ ง หนี้ จะ
ต้องเปิ ดช่องว่างให้บังคับกันได้ ถ้าสภาพแห่งหนี้ ไม่เปิ ดช่องว่างให้บังคับ
ได้แล้ว เจ้าหนี้ จะใช้สิทธิบงั คับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะ
หนี้ เป็ นบุคคลสิทธิเป็ นสิทธิเหนื อบุคคลจะบังคับเอาแก่ตัวตนของลูกหนี้
ไม่ได้ เจ้าหนี้ มีสิทธิบังคับชำาระหนี้ ได้เฉพาะแต่ทรัพย์สินของลูกหนี้ เท่านั้ น
เช่น ก. รับจ้างเขียนรูปภาพให้ ข. ด้วยฝี มือของตนเอง ก. ผิดสัญญาไม่
เขียนรูปภาพให้ ข. ข. จะร้องขอต่อศาลขอให้บังคับ ก. เขียนรูปภาพให้
แก่ตนไม่ได้ เพราะเป็ นการบังคับเอาแก่ตัวตนของลูกหนี้
นอกจากนี้ สภาพแห่ ง หนี้ ต้ อ งไม่ พ้ น วิ สั ย ที่ ลู กหนี้ จะชำา ระหนี้ ได้ ถ้ า
เป็ นการพ้นวิสัย ที่ลูกหนี้ จะชำา ระหนี้ ได้ แล้ ว เจ้าหนี้ ขอให้ ศาลบั งคั บชำา ระ
หนี้ โดยเฉพาะเจาะจงไม่ ไ ด้ เช่ น แดงยื มถ้ ว ยลายครามของดำา ไปแล้ ว ทำา
แตก ดำา จะร้องต่อศาลบังคับให้แดงคืนถ้วยลายครามของตนไม่ได้ ดำา ได้
แต่ฟ้องเรียกค่าเสียหายแทน
หนี้ เงินหรือหนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็ นการส่งมอบทรัพย์สิน เจ้าหนี้
ย่อมขอให้ลูกหนี้ ชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงได้เสมอ เพราะเป็ นการบังคับ
เกี่ยวกับทรัพย์สิน หนี้ ที่มีวัตถุแห่งหนี้ เป็ นการกระทำา หรืองดเว้นการกระ
ทำา ตามหลักทัว่ ไปแล้ว สภาพแห่งหนี้ ไม่เปิ ดช่องให้บังคับชำาระหนี้ ได้โดย
เฉพาะเจาะจงได้ เพราะเป็ นการบังคับเอาแก่ตัวลูกหนี้
กรณีท่ีบังคับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้
มีกรณี ใดบ้างที่เจ้าหนี้ จะบังคับชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้
เมื่อ สภาพแห่ง นี้ ไม่เ ปิ ดช่ องให้ บัง คับ ชำา ระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจงได้
กฎหมายมาตรา 213 วรรค 2 และ 3 ได้ บั ญ ญั ติ ว างหลั ก เกณฑ์ ก าร
บังคับชำาระหนี้ ไว้ว่า “เมื่อสภาพแห่งหนี้ ไม่เปิ ดช่องให้บังคับชำาระหนี้ ได้ ถ้า
วัตถุแห่งหนี้ เป็ นอันให้กระทำาการอันหนึ่ งอันใดเจ้าหนี้ จะร้องขอต่อศาลให้
สัง่ บังคับให้บุคคลภายนอกกระทำาการอันนั้ นโดยให้ลูกหนี้ เสียค่าใช้จ่ายให้
ก็ ไ ด้ แต่ ถ้ า วั ต ถุ แ ห่ ง นี้ เป็ นอั น ให้ ก ระทำา นิ ติ ก รรมอย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง ไซร้
ศาลจะสั ่ง ให้ ถือ เอาตามคำา พิ พ ากษาแทนการแสดงเจตนาของลู ก หนี้ ได้
ส่วนหนี้ ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอันจะให้งดเว้นการอันใด เจ้าหนี้ จะเรียกร้อง
ให้ ร อถอนการที
ื้ ่ ไ ด้ ก ระทำา ลงแล้ ว นั้ นโดยให้ ลู ก หนี้ เสี ย ค่ า ใช้ จ่ า ย และให้
จัดการอันควรเพื่อการภายหน้าด้วยก็ได้”
1)เมื่อวัตถุแห่งหนี้ เป็ นการกระทำา ถ้าลู กหนี้ ละเลยไม่ ชำา ระหนี้ จะ
ไปบังคับตัวตนของลูกหนี้ ให้กระทำาไม่ได้ เพราะเป็ นการละเมิดต่อเสรีภาพ
ในร่างกายของบุคคล สภาพแห่งหนี้ ที่จะบังคับให้ลูกหนี้ กระทำาไม่เปิ ดช่อง
ให้ทำาได้ แต่กฎหมายได้หาทางออกให้กับเจ้าหนี้ เมื่อบังคับตัวลูกหนี้ ไม่ได้
ก็ให้บุคคลอื่นทำาแทนโดยให้ลูกหนี้ เป็ นคนออกค่าใช้จ่าย เช่น ลูกหนี้ ปลูก
โรงเรือ นรุ ก ลำ้ าออกไป ถ้ า ลู ก หนี้ ไม่ ย อมรื้ อถอน เจ้ า หนี้ ฟ้ องศาลให้ สั ่ง
บังคับให้บุคคลอื่นทำา การรื้ อถอนโดยให้ลูกหนี้ เป็ นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการ
รื้ อถอนได้ ถ้าลูกหนี้ ไม่ยอมออกค่าใช้จ่าย ก็ขอให้ศาลออกหมายบังคับยึด
ทรัพย์สินของลูกหนี้ ออกขายทอดตลาดนำาเงินมาชำาระค่าใช้จ่ายได้ บุคคล
ภายนอกนี้ จะเป็ นเจ้าหนี้ เองหรือบุคคลใดก็ได้ซ่ึงไม่ใช่ตัวลูกหนี้
2)เมื่อวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอันให้ทำานิ ติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ ง เช่น ซื้ อ
ขายที่ดิน ผู้ขายไม่ยอมไปโอนที่ดินที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อ เจ้าหนี้ ซึ่งเป็ นผู้
ซื้ อจะฟ้ องร้อ งขอให้ศาลบังคั บให้ ผู้ขายซึ่ งเป็ นลู กหนี้ ไปทำา นิ ติกรรมโอน
ที่ดินให้เจ้าหนี้ ได้ ถ้าลูกหนี้ ไม่ยอมไปโอนให้ก็ขอให้ศาลพิพากษาว่า ให้ถือ
2. เมื่ อ เจ้ าหนี้ ฟ้ องขอให้ บั ง คั บ ชำา ระหนี้ แล้ ว เจ้ า หนี้ มี สิ ท ธิ ท่ี จ ะฟ้ อง
เรียกค่าเสียหายหรือไม่ให้อธิบาย
เรื่อ งการเรีย กค่ า เสี ย หายในกรณี ที่ เ จ้ า หนี้ ขอบั ง คั บ ชำา ระหนี้ นั้ น
มาตรา 213 วรรคสุดท้ายบัญญัติเป็ นหลักไว้ว่า “อนึ่ งบทบัญญัติในวรรค
ทั้ งหลายที่ กล่ าวมาก่ อ นนี้ หากระทบกระทั ่ง ถึ ง สิ ท ธิ ท่ี จ ะเรีย กเอาค่ าเสี ย
หายไม่”
หมายความว่าการชำาระหนี้ โดยเฉพาะเจาะจง ไม่ตัดสิทธิของเจ้าหนี้ ที่
จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนการละเลยไม่ชำา ระหนี้ สิทธิบังคับชำา ระหนี้
เป็ นสิทธิเฉพาะตัวของเจ้าหนี้ คือเจ้าหนี้ จะใช้ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ แม้ว่าเจ้าหนี้
จะบังคับชำาระหนี้ หรือไม่ก็ตาม ถ้าเจ้าหนี้ ได้รบ
ั ความเสียหายเนื่ องจากการ
ที่ลูกหนี้ ละเลยไม่ชำาระหนี้ เจ้าหนี้ ก็มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายจากลูกหนี้ ได้
ในกรณี ท่ีเ จ้ าหนี้ ขอบั ง คั บ ชำา ระหนี้ ไม่ ว่ าจะขอให้ ส่ง มอบทรัพ ย์สิ น
ให้ ก ระทำา การหรือ งดเว้ น การกระทำา หรือ ทำา นิ ติ ก รรมตามมาตรา 213
วรรค 1 2 และ 3 ก็ตาม และการไม่ชำาระหนี้ ของลูกหนี้ นั้ นเป็ นเหตุให้เจ้า
หนี้ เสี ย หาย เจ้ า หนี้ ก็ เ รีย กร้ อ งเอาค่ า เสี ย หายได้ เช่ น สั ญ ญาซื้ อขาย
รถยนต์ ลูกหนี้ ไม่ส่งมอบตามเวลากำาหนด เจ้าหนี้ ไม่มีรถยนต์ใช้ก็ต้องเช่า
รถแท็ กซี่ ไปกลั บ จากที่ ทำา งาน เจ้ าหนี้ ฟ้ องขอให้ บั ง คั บ ให้ ลู กหนี้ ส่ ง มอบ
รถยนต์ให้แก่เจ้าหนี้ และในเวลาเดียวกันก็จะฟ้ องร้องเอาค่าเสียหายซึ่ง
เสียไปเพราะเช่ารถแท็กซี่ ไปกลับมาที่ทำา งาน ตั้งแต่วันผิดนั ดจนกว่าลูก
หนี้ จะส่งมอบรถยนต์ให้เจ้าหนี้ ด้วยก็ได้ หรือถ้าหนี้ มีวัตถุแห่งหนี้ เป็ นการ
กระทำาหรืองดเว้นการกระทำา เช่น ปลูกสิ่งก่อสร้างรุกลำ้าที่ดินของเจ้าหนี้
โดยไม่สุจริต หรือมีสัญญาห้ามมิให้ปลุกสิ่งก่อสร้างในที่ดินของเจ้าหนี้ แต่
เจ้าหนี้ ฝ่ าฝื นปลูกสร้างลงไป ในกรณี เจ้าหนี้ ฟ้ องขอให้บังคับลูกหนี้ ทำาการ
รื้ อถอนสิ่งปลุกสร้างโดยฝื นใจลูกหนี้ ไม่ได้ เจ้าหนี้ ก็มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลมี
คำา สั ่ง ให้ บุ ค คลภายนอกทำา การรื้ อถอน โดยให้ ลู ก หนี้ เสี ย ค่ า ใช้ จ่ า ย และ
ฟ้ องเรีย กค่ า เสี ย หาย ถ้ า เจ้ า หนี้ พิ สู จ น์ ไ ด้ ว่ า ตลอดเวลาที่ ลู ก หนี้ ละเมิ ด
สัญญา เจ้าหนี้ ได้รบ
ั ความเสียหายอย่างใดได้อีกด้วย
การบังคับชำาระหนี้ โดยค่าสินไหมทดแทน
1. การเรียกค่าเสียหายได้แก่เรียกค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหาย
เช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำาระหนี้
2. เจ้ า หนี้ เรีย กเอาค่ า สิ น ไหมทดแทน เพื่ อความเสี ย หายอั น เกิ ด แต่
พฤติ การณ์ พิ เ ศษหากว่ าคู่ กรณี ท่ี เ กี่ ย วข้ อ งได้ ค าดเห็ น หรือ ควรจะได้ ค าด
เห็นพฤติการณ์เช่นนั้ นล่วงหน้าก่อนแล้ว
หลักเกณฑ์ในการเรียกค่าสินไหมทดแทน
การฟ้ องร้องค่าสินไหมทดแทนมีหลักเกณฑ์ประการใดบ้าง
การฟ้ องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจาก
การไม่ชำาระหนี้ มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1)ต้องมีการไม่ชำาระหนี้ มาตรา 222 วรรคแรก บัญญัติหลักเกณฑ์
สำาคัญในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน คือ ต้องมีการไม่ชำาระหนี้ การไม่
ชำา ระหนี้ รวมความตลอดถึงการชำา ระหนี้ ไม่ถูกต้องตามความประสงค์อั น
แท้จริงแห่งมูลหนี้ คือ ชำา ระหนี้ ล่าช้า ผิดเวลา ผิดสถานที่ หรือวัตถุแห่ง
หนี้
2)ต้องมีพฤติการณ์ท่ีจะโทษลูกหนี้ ได้ การไม่ชำาระหนี้ ของลูกหนี้ จะ
เป็ นเหตุ ใ ห้ เ จ้ า หนี้ เรีย กเอาค่ า สิ น ไหมทดแทนได้ น้ ั นจะต้ อ งเกิ ด จาก
พฤติการณ์ท่ีลูกหนี้ จะต้องรับผิดพฤติการณ์ท่ีลูกหนี้ จะต้องรับผิดชอบก็คือ
ลู ก หนี้ ไม่ ชำา ระหนี้ ให้ ต้ อ งตามประสงค์ แ ห่ ง หนี้ ตามมาตรา 215 ลู ก หนี้
ผิดนั ด เป็ นเหตุให้การชำาระหนี้ เป็ นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ตามมาตรา
216 การชำาระหนี้ กลายเป็ นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุหรือเจ้าหนี้ ได้รบ
ั ความ
เสี ย หายอั น เกิ ด แต่ ค วามประมาทเลิ น เล่ อ ของลู ก หนี้ ในระหว่ า งที่ ลู ก หนี้
หลักเกณฑ์ในการกำาหนดค่าสินไหมทดแทน
การละเลยไม่ชำา ระหนี้ ของลูกหนี้ จนเป็ นเหตุให้ เจ้ าหนี้ ได้ร บ
ั ความ
เสียหายนั้ นมีหลักเกณฑ์ในการกำาหนดค่าเสียหายอย่างไรบ้าง อธิบาย
หลั ก เกณฑ์ ใ นการกำา หนดค่ า เสี ย หายอั น เกิ ด จากการไม่ ชำา ระหนี้
มาตรา 222 บัญญัติเป็ นหลักทัว่ ไป ดังนี้
1)ความเสียหายต้องเป็ นความเสียหาย เช่น ที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้น
หมายความว่าค่าเสียหายธรรมดาที่คนทัว่ ไปรู้ ว่าถ้ าไม่ มีการชำา ระหนี้ แล้ ว
ความเสียหายอะไรจะเกิดขึ้น เช่น ซื้ อเครื่องสีข้าว ลูกหนี้ ไม่ส่งมอบเครื่อง
สีข้าวภายในเวลากำา หนดเป็ นเหตุให้เจ้าหนี้ ไม่มีเครื่องสีข้าวสำา หรับสีข้าว
ขาย ทำา ให้ ข าดรายได้ จ ากการสี ข้ า วขายวั น ละ 1,000 บาท เช่ น นี้ เป็ น
ความเสียหายธรรมดาที่เกิดจากการไม่ชำาระหนี้ เจ้าหนี้ เรียกเอาจากลูกหนี้
ได้ต้ ังแต่วันผิดนั ดจนถึงวันส่งมอบเครื่องสีข้าว
2) ความเสียหายที่เกิดจากพฤติการณ์พิเศษเป็ นความเสียหายที่ไม่มี
ใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่ องจากการไม่ชำา ระหนี้ ความเสียหายที่เกิด
จากพฤติการณ์พิเศษนี้ จะเรียกร้องเอาจากลูกหนี้ ไม่ได้ เว้นแต่ลูกหนี้ รู้มา
ก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ถ้าลูกหนี้ ไม่ชำาระหนี้ เจ้าหนี้ จะได้รบ
ั ความเสียหาย
พิเศษ มาตรา 222 วรรคสอง ใช้คำา ว่า “คาดเห็น” หรือ “ควรจะได้คาด
ความเสียหายเกิดจากผู้เสียหายเอง
ถ้าความเสียหายที่เกิดจากการได้ชำาระหนี้ ผู้เสียหายมีส่วนก่อให้เกิด
ขึ้นด้วย มีหลักเกณฑ์ในการคำานวณค่าเสียหายอย่างไร ให้อธิบายมีกรณี ใด
บ้างที่ถือว่าเจ้าหนี้ เป็ นผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย
มาตรา 223 ได้ วางหลั กเกณฑ์ ใ นการกำา หนดค่ าเสี ย หายในกรณี ท่ี
เจ้ าหนี้ หรือ ผู้ เ สีย หายมี ส่ ว นก่ อ ให้ เ กิ ดความเสี ย หายขึ้ นเนื่ องจากการไม่
ชำาระหนี้ ดังนี้
1)ผู้เสียหายมีส่วนทำาความผิดอยู่ด้วย ความเสียหายที่เจ้าหนี้ ได้รบ
ั
เพราะลูกหนี้ ละเลยไม่ชำาระหนี้ นั้ น ถ้าความเสียหายที่เกิดขึ้นเจ้าหนี้ มีส่วน
ก่อให้เกิด เจ้าหนี้ จะต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ จะไปเรียกเอาจากลูกหนี้ ไม่
ได้ ค่ าเสี ยหายที่ ฝ่ายใดจะต้ อ งรับ ผิ ดมากน้ อ ยเพี ย งใดนั้ น มาตรา 223
บัญญัติว่าจะต้องพิจารณาตามพฤติการณ์เป็ นประมาณ ข้อสำาคัญที่สุดต้อง
พิ จ ารณาว่ า ฝ่ ายใดเป็ นผู้ ก่ อ ให้ เ กิ ด ความเสี ย หายมากน้ อ ยเพี ย งใด ซึ่ ง
หมายความว่ าลู กหนี้ ก่ อให้เ กิดความเสีย หายเท่าใด ลูกหนี้ ก็ร บ
ั ผิ ดเพียง
เท่านั้ น ถ้าความผิดส่วนที่เหลือเจ้าหนี้ เป็ นผู้ก่อขึ้น เจ้าหนี้ ต้องรับผิด
2)กรณี ท่ีถือว่าเจ้าหนี้ เป็ นผู้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วยมีดังนี้
1)เจ้าหนี้ มีส่วนเป็ นผู้ก่อความเสียหายขึ้นโดยตรงตามข้อ (1)
2)เจ้ า หนี้ มี ส่ ว นผิ ด โดยละเลยไม่ บ อกลู ก หนี้ ไม่ บำา บั ด ปั ดป้ อง
หรือบรรเทาความเสียหาย มาตรา 223 วรรคสอง บัญญัติให้เจ้าหนี้ หรือผู้
เสียหายต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้เสียหายได้
ละเลยไม่เ ตือ นลู กหนี้ ให้รู้ สึกถึง อัน ตรายแห่ ง การเสี ย หายอั น ร้ ายแรงผิ ด
ปกติ ซึ่งลูกหนี้ ไม่รู้หรือไม่อาจรู้ ได้ หรือ เพียงแต่ ละเลยเสีย ไม่ บำา บัดปั ด
ป้ อง หรือบรรเทาความเสียหายนั้ น การละเลยเช่นนี้ ถื อเสมื อนเท่ ากั บผู้
เสียหายได้มีส่ว นก่ อให้เ กิดความเสี ยหายเหมือ นกั น ค่าสิน ไหมทดแทน
ความเสียหายในส่วนนี้ เจ้าหนี้ หรือผู้เสียหายจะเรียกร้องไม่ได้
3)การมีส่วนในการทำาความเสียหาย การละเลยไม่ตักเตือน การ
ละเลยไม่บำาบัดปั ดป้ อง หรือไม่บรรเทาความเสียหายของตัวแทนหรือของ
ทรัพย์สินที่จะใช้ชำาระหนี้
ที่ว่า เจ้าหนี้ มีสิทธิท่ีจะให้ชำา ระหนี้ ของตนจากทรัพย์ สิน ของลู กหนี้
จนสิ้นเชิงนั้ นท่านเข้าใจอย่างไร
ที่ว่าเจ้าหนี้ มีสิทธิท่ีจะให้ชำาระหนี้ ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้ จน
สิ้นเชิงนั้ น หมายความว่า
1)ทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ นำามาชำาระหนี้ ได้ เพราะกฎหมายถือ
หลักว่าทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ เป็ นประกันการชำาระหนี้ เมื่อลูกหนี้ ไม่
ชำา ระหนี้ เจ้าหนี้ เสียหายอย่างไร มากน้อยแค่ ไหน เจ้าหนี้ ฟ้ องร้องเรียก
เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ ได้ ถ้ามีเงินก็ขอให้ยึดเงินมาชำาระหนี้ ถ้าไม่มี
เงิ น ก็ ข อให้ ยึ ดทรัพ ย์ สิ น ของลู ก หนี้ มาขายทอดตลาดเอาเงิ น ชำา ระหนี้ ได้
ทรัพ ย์ สิ น ทั้ ง หมดของลุ ก หนี้ หมายความรวมถึ ง เงิ น และทรัพ ย์ สิ น ๆ ซึ่ ง
บุคคลภายนอกค้างชำาระแก่ลูกหนี้ ด้วย ซึ่งเงินและทรัพย์สินดังกล่าว แม้
จะอยู่กับบุคคลภายนอกก็เป็ นเงินและทรัพย์สินของลูกหนี้ นั ่นเอง
2)ทรัพ ย์ สิ น ของลู ก หนี้ ที่ จ ะนำา มาชำา ระหนี้ นั้ น มี ค วามหมายตาม
มาตรา 99 คือเป็ นทั้งวัตถุมีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและถือ
เอาได้ ทั้งที่เป็ นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ รวมตลอดถึงสิทธิบาง
์ ่ึงสามารถที่จะจำาหน่ายจ่ายโอนนำาเงินมาชำาระหนี้ ให้เจ้า
อย่าง เช่นลิขสิทธิซ
หนี้ ได้
3)ที่ว่ าเจ้าหนี้ ชอบที่ จะบัง คับ ชำา ระหนี้ เอาจากทรัพ ย์ สิ น ของลุ กหนี้
โดยสิ้นเชิงนั้ น หมายความว่าเป็ นหนี้ อยู่เท่าใด เจ้าหนี้ บังคับชำา ระหนี้ ได้
เท่านั้ นจะไปยึดเอาเงินหรือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ มาเป็ นของเจ้าหนี้
ทั้ งหมดไม่ ได้ ถ้ ายึ ดเงิ น ของลุ ก หนี้ มาชำา ระหนี้ แล้ ว ได้ เ งิ น มายั ง ไม่ ค รบ
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 3
4. กรณี ต่อไปนี้ จะถื อว่ าเป็ นการบั ง คั บ ชำา ระหนี้ โดยเฉพาะเจาจง เช่ น
แดงขายที่ ดิ น ให้ ดำา แดงผิ ด สั ญ ญา ดำา ฟ้ องขอให้ ศ าลบั ง คั บ ให้ แ ดงโอน
์ ่ีดินให้ดำา
กรรมสิทธิท
5. ก. ปลูกบ้านลำ้ารุกเข้าไปในที่ดินของ ข. ข. บอกให้ ก. รื้ อถอนบ้าน
ออกไป ก. ไม่ ยอมทำา ดั ง นี้ ข. จะฟ้ องขอให้ศ าลบั ง คั บ อย่ างไร คำำ ตอบ
ฟ้ องขอให้ศาลบังคับให้บุคคลภายนอกทำา การรื้ อถอนบ้านออกไปโดยให้
ก. เป็ นผู้เสียค่าใช้จ่าย
6. แดงทำา สั ญ ญาขายที่ ดิ น ให้ ข าว แดงผิ ด สั ญ ญาไม่ ย อมขายที่ ดิ น ให้
ขาวจะฟ้ องขอให้ ศาลบั ง คั บ อย่ า งไร จึ ง จะได้ กรรมสิ ท ธิ์ใ นที่ ดิน ที่ ซื้ อ คำา
ตอบ ฟ้ องขอให้ศาลบังคับให้แดงโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ขาว หากแดง
์ ่ีดินให้ขาว ก็ขอให้ถือเอาคำา พิพากษาแทนการ
ไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิท
แสดงเจตนาของแดง
7. ก. เช่ าอาคารจาก ข. เดื อ นละ 10,000 บาท ครบกำา หนดสั ญ ญา
เช่า ข. ไม่ต้องการให้ ก. เช่าอีก และได้บอกให้ ก. ออกจากอาคารที่เช่า
โดยบอกว่าจะเอาอาคารให้ ค. เช่าต่อ เมื่อครบสัญญาเช่า ก. ไม่ยอมออก
จากอาคารที่เช่า เป็ นเหตุให้ ข. เอาอาคารที่เช่าไปให้ให้ ค. เช่าไม่ได้ ทั้งนี้
ค. ทำา สั ญ ญาเช่ า อาคารจาก ข. เดื อ นละ 20,000 บาท และได้ เ งิ น กิ น
เปล่ า จาก ค. อี ก 100,000 บาท ดั ง นี้ ฃ. จะเรีย กค่ า เสี ย หายจาก ก.
เดือนละ 20,000 บาท ในระหว่างผิดนั ดและเรียกเงิน 100,000 บาท
ที่ ค วรได้ จ าก ค. เอาจาก ก. ได้ ห รือ ไม่ คำำ ตอบ ข . เรีย กเงิ น เดื อ นละ
20,000 บาท จาก ก. ได้ เพราะเป็ นค่าเสียหายธรรมดาที่เกิดจากการไม่
ชำาระหนี้ คือไม่ส่งมอบอาคารเช่าให้แก่ ข. ตามกำาหนด ส่วนเงินกินเปล่า
100,000 บาทนั้ น เป็ นค่าเสียหายที่เกิดจากพฤติการณ์พิเศษซึ่ง ก. ไม่
ทราบล่วงหน้า ข. จะเรียกเงินจาก ก . ไม่ได้
ไม่ ชำา ระหนี้ เป็ นเพราะพฤติ ก ารณ์ ซึ่ ง จะโทษลู ก หนี้ ได้ (ค) ต้ อ งไม่ มี ข้ อ
สัญญาตัดสิทธิเจ้าหนี้ ไม่ให้เรียกร้องค่าเสียหาย
19. มี ว่าจ้าง มา ให้สร้างบ้านให้ มาสร้างบ้านไม่เสร็จตามกำาหนดเวลาที่
ตกลง มี ไม่ ส ามารถเอาบ้ า นไปให้ มา เช่ าตามสั ญ ญาที่ มี กั บ มาทำา กั น ไว้
เป็ นเหตุให้ มี ต้องถูกปรับเป็ นเงิน 10,000 บาท และขาดประโยชน์ไม่
ได้ค่าเช่าบ้านจาก มา เดือนละ 5,000 บาท เป็ นเวลา 4 เดือนเป็ นเงิน
20,000 บาท ดังนี้ มี จะฟ้ องเรียกค่าปรับที่เสียไปและขาดประโยชน์ที่
ควรจะได้ จ าก มา ได้ ห รื อ ไม่ คำา ตอบ ฟ้ องเรีย กค่ า ปรับ และค่ า ขาด
ประโยชน์จาก มา ไม่ได้เพราะเป็ นค่าเสียหายที่เกิดจากพฤติการณ์พิเศษ
ซึ่งมา ไม่คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็น
20. มาตรา 214 บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่มีสิทธิท่ีจะให้ชำาระหนี้ ของตนจาก
ทรัพย์สินของลูกหนี้ จนสิ้นเชิงนั้ นท่านเข้าใจว่าอย่างไร คำา ตอบ เจ้าหนี้ มี
สิท ธิท่ี จะยึดทรัพย์สิ นของลู กหนี้ เพียงเท่าที่พอจะชำา ระหนี้ แก่ ตนเท่ านั้ น
จะยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ เกินกว่าที่จำาเป็ นจะต้องชำาระแก่ตนไม่ได้
การรับช่วงสิทธิ
1. บุคคลผู้รบ
ั ช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ ชอบที่จะใช้สิทธิท้ ังหลายบรรดาที่เจ้า
หนี้ มีอยู่โดยมูลหนี้ รวมทั้งประกันแห่งหนี้ นั้ นได้ในนามของตนเอง
2. กรณี ท่ีมีการรับช่วงสิทธิน้ ั น มีได้โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายเท่านั้ น
โดยกฎหมายได้บัญญัติไว้สามกรณี คือ ตามมาตรา 227 229 และ 230
3. เมื่อเกิดการรับช่วงสิทธิข้ ึน สิทธิท้ ังหลายที่เจ้าหนี้ เดิมมีอยู่ในมูลหนี้
ตกมาเป็ นของผู้รบ
ั ช่วงสิท ธิ แต่ผู้ รบ
ั ช่ว งสิท ธิท่ี รบ
ั ช่วงมาให้ เป็ นที่ เสื่ อม
เสีย
4. ช่ วงทรัพย์ ได้ แก่ เอาทรัพ ย์สิน อันหนึ่ ง เข้ าแทนที่ ท รัพ ย์ สิ น อี กอั น
หนึ่ งในฐานะนิ ตินัยอย่างเดียวกันกับทรัพย์สินอันก่อน
5. กรณี ช่ ว งทรัพ ย์ น้ ั นมี ไ ด้ โ ดยบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง กฎหมายเท่ า นั้ น โดย
กฎหมายบังคับไว้ 2 กรณี คือ ตามมาตรา 228 และ 231
ผู้รบ
ั ประกันภัย วิธีเดียวกันนี้ ท่านให้ใช้ตลอด ถึงการจำานองสังหาริมทรัพย์
ที่กฎหมายอนุ ญาตให้ทำาได้น้ ั นด้วย
ในกรณี ท่ี เ ป็ นสั ง หาริม ทรัพ ย์ ผู้ ร ับ ประกั น ภั ย จะใช้ เ งิ น ให้ แ ก่ ผู้ เ อา
ประกันภัยโดยตรงก็ได้ เว้นแต่ตนจะได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าทรัพย์ นั้ นตก
อยู่ในบังคับจำานำา หรือบุรม
ิ ะสิทธิอย่างอื่น
ผู้ ร ับ ประกั น ภั ย ไม่ ต้ อ งรับ ผิ ด ต่ อ เจ้ า หนี้ ถ้ า ทรัพ ย์ สิ น อั น ได้ เ อา
ประกั น ภั ย ไว้ น้ ั นได้ คื น มา หรือ ได้ จั ด ของแทนให้ วิ ธี เ ดี ย วกั น นี้ ท่ า นให้
อนุ โลมบังคับแก่กรณี บังคับซื้ อ กับทั้งกรณี ที่ต้องใช้ค่าเสียหายอันควรจะ
ได้แก่เจ้าของทรัพย์สิน เพราะเหตุ ทรัพย์สินทำาลายหรือบุบสลายนั้ นด้วย
มาตรา 232 ถ้ า ตามความใน มาตรา ก่ อ นนี้ เป็ นอั น ว่ า จะเอาเงิ น
จำา นวนหนึ่ ง ให้ แ ทนทรัพ ย์ สิ น ที่ ทำา ลายหรือ บุ บ สลายไซร้ เงิ น จำา นวน นี้
ท่านยังมิให้ส่งมอบแก่ผู้รบ
ั จำานอง ผู้รบ
ั จำานำา หรือเจ้าหนี้ มีบุรม
ิ สิทธิ คน
อื่นก่อนที่หนี้ ซึ่งได้เอาทรัพย์น้ ี เป็ นประกัน ไว้ น้ ั นจะถึ งกำา หนด และ ถ้าคู่
กรณี ไม่สามารถจะตกลงกับลูกหนี้ ได้ไซร้ ท่านว่าต่างฝ่ ายต่าง มีสิทธิท่ีจะ
เรีย กร้ อ งให้ นำา เงิ น จำา นวนนั้ นไปวางไว้ ณ สำา นั กงานวาง ทรัพ ย์ เ พื่ อ
ประโยชน์อันร่วมกัน เว้นแต่ลูกหนี้ จะหาประกันให้ไว้ ตามสมควร
การรับช่วงสิทธิ (รับช่วงบุคคล)
การรับช่วงสิทธิ เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายประการเดียวเสมอไป
หรือไม่ และจะมีการรับช่วงสิทธิได้ในกรณี ใดบ้าง
การรับช่วงสิทธิเกิดโดยผลของกฎหมายเสมอไป ไม่อาจเกิดจากข้อ
ตกลงหรือสัญญาระหว่างคู่กรณี ได้ การรับช่วงสิทธิจะมีได้ กรณี ตามมาตรา
228 และ 231
การรับช่วงทรัพย์
ช่วงทรัพย์ เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายประการเดียวเสมอไปหรือไม่
และจะมีได้ในกรณี ใดบ้าง
ช่วงทรัพย์เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายเสมอไป ไม่อาจเกิ ดจากข้ อ
ตกลงหรือสัญญาระหว่างคู่กรณี ได้ กรณี ตามมาตรา 227 229 และ 230
การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
1. ถ้าลูกหนี้ ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียก
ร้อง เป็ นเหตุให้เจ้าหนี้ ต้องเสียประโยชน์ เจ้าหนี้ จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้ นใน
นามของตนเองแทนลูกหนี้ เพื่อป้ องกันสิทธิของตนในมูลหนี้ นั้ นก็ได้ เว้น
แต่ในข้อที่เป็ นการของลูกหนี้ ส่วนตัวโดยแท้
2. วิธีการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ นั้ น คือ เจ้าหนี้ ผู้ใช้สิทธิเรียกร้อง
ของลูกหนี้ นั้ นจะต้องขอหมายเรียกลูกหนี้ มาในคดีน้ ั นด้วย
3. ผลของการใช้ สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ งของลู ก หนี้ ก็ คื อ หากมี ก ารได้ ร ั บ
ทรัพย์สินมาตามคำาพิพากษาทรัพย์สินนั้ นก็ตกเป็ นของลูกหนี้ เดิม
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
อธิบายหลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
หลักเกณฑ์การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ อธิบายได้โดยใช้หลักตาม
มาตรา 233 และ 234
การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
มาตรา 233 ถ้าลูกหนี้ ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉย
เสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็ นเหตุให้เจ้าหนี้ ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่าน ว่า
เจ้าหนี้ จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้ นในนามของตนเอง แทนลูกหนี้ เพื่อ ป้ องกัน
สิทธิของตนในมูลหนี้ นั้ นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็ นการของ ลูกหนี้ ส่วนตัว
โดยแท้
มาตรา 234 เจ้ า หนี้ ผู้ ใ ช้ สิ ท ธิ เ รีย กร้ อ งของลู ก หนี้ นั้ นจะต้ อ งขอ
หมายเรียกลูกหนี้ มาในคดีน้ ั นด้วย
มาตรา 235 เจ้ า หนี้ จะใช้ สิ ท ธิ เ รีย กร้ อ งของลู ก หนี้ เรีย กเงิ น เต็ ม
จำา นวนที่ยังค้างชำา ระแก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องคำา นึ งถึงจำา นวนที่ค้างชำา ระ แก่
ตนก็ได้ ถ้าจำาเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำานวนที่ลูกหนี้ เดิมค้าง ชำาระแก่เจ้า
หนี้ นั้ นคดีก็เป็ นเสร็จกันไป แต่ถ้าลูกหนี้ เดิมได้เข้าชื่อเป็ น โจทก์ด้วย ลูก
หนี้ เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วน จำานวนเงินที่ยังเหลือ
ติดค้างอยู่ก็ได้
แต่อ ย่างไรก็ ดี ท่านมิ ให้ เจ้ าหนี้ ได้ร บ
ั มากไปกว่ าจำา นวนที่ค้างชำา ระ
แก่ตนนั้ นเลย
มาตรา 236 จำาเลยมีข้อต่อสู้ลูกหนี้ เดิมอยู่อย่างใด ๆ ท่านว่าจะ ยก
ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ ได้ท้ ังนั้ น เว้นแต่ข้อต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยื่นฟ้ องแล้ว
วิธีการและผลของการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้
ข. เป็ นหนี้ กู้ยืม ก. อยู่ 500,000 บาท ก. ฟ้ องเรียกเงินกู้ดังกล่าว
ต่อศาลแพ่ง ศาลพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้ องของ ก. ให้ ก. แพ้คดี ก.
อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากยืน ก. ไม่มีทรัพย์สินอื่นนอกจากเงินกู้จำานวน
นี้ และไม่ประสงค์จะฎีกาคัดค้านคำา พิพากษาของศาลอุทธรณ์ เพราะเห็น
ว่าแพ้คดีมาแล้วถึง 2 ศาลแล้ว ค. จึงเป็ นเจ้าหนี้ ก. ค้างจ้างทำาของ เป็ น
เงิน 400,000 บาท จะใช้สิทธิของ ก. เพื่อฎีกาคัดค้านคำา พิพากษาของ
ศาลอุทธรณ์ในนามของตนเองแทน ก. ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ค. สามารถฎีกาคัดค้ านคำา พิ พากษาของศาลอุท ธรณ์ได้ เพราะเป็ น
กรณี ที่ ก. เพิ ก เฉยไม่ ใ ช้ สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ ง เป็ นเหตุ ใ ห้ ค . เจ้ า หนี้ เสี ย
ประโยชน์ ค. ฎี ก าฯ เพื่ อป้ องกั น สิ ท ธิ ข องตนในมู ล หนี้ ที่ ต นเป็ นหนี้ อยู่
การเพิกถอนการฉ้อฉล
1. เจ้าหนี้ ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซ่ึ งนิ ติกรรมใดๆ อัน
ลูกหนี้ ได้กระทำาลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็ นทางให้เจ้าหนี้ เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้
ท่านมิให้ใช้ บังคับถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำานิ ติกรรมนั้ น บุคคลซึ่งเป็ นผู้ได้
ลาภงอกแต่การนั้ นมิได้รู้เท่าถึงข้อเท็จจริง อันเป็ นทางให้เจ้าหนี้ ต้องเสีย
เปรียบนั้ นด้วย แต่หากกรณี เป็ นการทำาโดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้
เป็ นผู้รู้ฝ่ายเดียวนั้ นก็พอแล้วที่จะเพิกถอนได้ แต่กรณี ดังกล่าวมานี้ มิให้ใช้
บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็ นสิทธิในทรัพย์สิน
2. ผลของการเพิกถอนการฉ้อฉลนั้ นย่อมได้ ประโยชน์แก่เจ้ าหนี้ หมด
ทุกคน แต่การเพิกถอนไม่กระทบกระทัง่ สิทธิของบุคคลภายนอกอันใดโดย
สุจริตก่อนเริม
่ คดีขอเพิกถอน
หลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉล
1) การเพิกถอนการฉ้อฉลมีหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างไรบ้าง
การเพิกถอนการฉ้อฉลให้ใช้หลักตามมาตรา 237
เพิกถอนการฉ้อฉล
มาตรา 237 เจ้ า หนี้ ชอบที่ จ ะร้ อ งขอให้ ศ าลเพิ ก ถอนเสี ย ได้ ซึ่ ง
นิ ติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ ได้กระทำา ลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็ นทางให้เจ้าหนี้ เสีย
เปรียบ แต่ความข้อนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ ทำานิ ติกรรม
นั้ น บุคคลซึ่งเป็ นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้ นมิ ได้รู้ เท่ าถึ ง ข้อ ความจริง อัน
เป็ นทางให้เจ้าหนี้ ต้องเสียเปรียบนั้ นด้วย แต่หาก กรณี เป็ นการทำาให้โดย
เสน่ ห าท่ านว่ าเพี ยงแต่ ลู กหนี้ เป็ นผู้ รู้ ฝ่ายเดี ย ว เท่ านั้ นก็ พ อแล้ ว ที่ จะขอ
วิธีการและผลของการเพิกถอนการฉ้อฉล
เมื่อเจ้าหนี้ ฟ้ องให้เพิกถอนการฉ้อฉลและ จะมีผลต่อบุคคลภายนอก
หรือไม่เพียงใด
1. ไม่กระทบสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริม
่ ฟ้ อง
คดีให้เพิกถอน เว้นแต่สิทธิน้ ั นจะได้มาโดยเสน่หาตามมาตรา 238
2. การเพิกถอนย่อมเป็ นประโยชน์แก่บรรดาเจ้าหนี้ ทุกคนตาม
มาตรา 235
มาตรา 235 เจ้ า หนี้ จะใช้ สิ ท ธิ เ รีย กร้ อ งของลู ก หนี้ เรีย กเงิ น เต็ ม
จำา นวนที่ยังค้างชำา ระแก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องคำา นึ งถึงจำา นวนที่ค้างชำา ระ แก่
ตนก็ได้ ถ้าจำาเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำานวนที่ลูกหนี้ เดิมค้าง ชำาระแก่เจ้า
หนี้ นั้ นคดีก็เป็ นเสร็จกันไป แต่ถ้าลูกหนี้ เดิมได้เข้าชื่อเป็ น โจทก์ด้วย ลูก
หนี้ เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วน จำานวนเงินที่ยังเหลือ
ติดค้างอยู่ก็ได้
แต่อ ย่างไรก็ ดี ท่านมิ ให้ เจ้ าหนี้ ได้ร บ
ั มากไปกว่ าจำา นวนที่ค้างชำา ระ
แก่ตนนั้ นเลย
มาตรา 238 การเพิกถอนดังกล่าวมาในบท มาตรา ก่อนนั้ น ไม่อาจ
กระทบกระทั ่ง ถึ ง สิ ท ธิ ข องบุ ค คลภายนอก อั น ได้ ม าโดยสุ จ ริต ก่ อ นเริ่ม
ฟ้ องคดี ข อเพิ ก ถอน อนึ่ ง ความที่ ก ล่ า วมาในวรรคก่ อ นนี้ ท่ า นมิ ใ ห้ ใ ช้
บังคับ ถ้าสิทธิน้ ั น ได้มาโดยเสน่หา
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 4
1. การรับช่วงสิทธิเกิดขึ้นได้โดย บทบัญญัติของกฎหมาย
ชมรมนั กศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดราชบุรี
68
หน่วยที่ 5 สิทธิยึดหน่วงและบุรม
ิ สิทธิ
สิทธิยึดหน่วง
1. หลั ก เกณฑ์ ข องสิ ท ธิ ยึ ด หน่ ว งต้ อ งเป็ นการที่ เ จ้ า หนี้ ครอบครอง
ทรัพ ย์ สิ น ของลู ก หนี้ การครอบครองนั้ นมิ ใ ช่ เ กิ ด จากการอั น มิ ช อบด้ ว ย
กฎหมาย และหนี้ อันเกิดด้วยทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ ครอบครองอยู่
2. สิทธิยึดหน่วงเป็ นสิทธิท่ีแบ่งแยกไม่ได้ เจ้าหนี้ จึงยึดทรัพย์สินทั้งชิ้น
ไว้ได้ แม้จะได้มีการชำาระหนี้ บางส่วนแล้วตามนั ยมาตรา 244 แต่ในส่วน
ดอกผลของทรัพย์ที่ยึดหน่วงนั้ น ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงจะเก็บดอกผลแห่ง
ทรัพย์สินที่ยึดหน่วงไว้ และจัดสรรเอาไว้เพื่อการชำา ระหนี้ แก่ตนก่อนเจ้า
หนี้ คนอื่นก็ได้ และดอกผลเช่นว่านั้ นจะต้องจัดสรรเอาชำาระดอกเบี้ยแห่ง
หนี้ นั้ นก่อน ถ้ายังมีเหลือจึงให้จัดสรรให้ต้นเงิน
3. กรณี ท่ีสิทธิยึดหน่วงระงับไปมีดังนี้ คือ (1.) หนี้ เดิมระงับ (2.) ลูก
หนี้ หาประกั น ให้ แทนการยึ ดหน่ ว งทรัพ ย์สิ น ไว้ โ ดยจำา นวนที่ ส มควรตาม
มาตรา 249 (3.) เจ้ า หนี้ มิ ไ ด้ ค รอบครองทรัพ ย์ (มาตรา 250) และ
(4.) เจ้ า หนี้ ทำา ผิ ด หน้ า ที่ ข องตนในการดู แ ลรัก ษาทรัพ ย์ ที่ ยึ ด หน่ ว งไว้
(มาตรา 246)
สิทธิยึดหน่วง
มาตรา 241 ผู้ใดเป็ นผู้ครองทรัพย์สิ นของผู้อ่ ื น และมีหนี้ อัน เป็ น
คุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครองนั้ นไซร้ ท่านว่าผู้น้ ั น จะ
ยึดหน่วงทรัพย์สินนั้ นไว้จนกว่าจะได้ชำา ระหนี้ ก็ได้ แต่ความที่กล่าว มานี้
ท่านมิให้ใช้บังคับ เมื่อหนี้ นั้ นยังไม่ถึงกำาหนด
อนึ่ ง บทบัญญัติในวรรคก่อนนี้ ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าการที่เข้าครอบ
ครองนั้ นเริม
่ มาตั้งแต่ทำาการอันใดอันหนึ่ งซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มาตรา 242 สิ ท ธิ ยึ ดหน่ ว งอั น ใด ถ้ าไม่ ส มกั บ ลั กษณะที่ เ จ้ า หนี้ รับ
ภาระในมูลหนี้ ก็ดี ไม่สมกับคำาสัง่ อันลูกหนี้ ได้ให้ไว้ก่อน หรือให้ใน เวลาที่
ส่ ง มอบทรัพ ย์ สิ น นั้ นก็ ดี หรือ เป็ นการขั ด กั บ ความสงบเรีย บร้ อ ย ของ
ประชาชนก็ดี สิทธิยึดหน่วงเช่นนั้ นท่านให้ถือว่าหามีไม่เลย
มาตรา 243 ในกรณี ท่ีลูกหนี้ เป็ นคนสินล้นพ้นตัวไม่สามารถใช้หนี้
เจ้าหนี้ มีสิทธิจะยึดหน่วงทรัพย์สินไว้ได้แม้ท้ ังที่ยังไม่ถึงกำาหนดเรียก ร้อง
ถ้าการที่ลูกหนี้ ไม่สามารถใช้หนี้ นั้ นได้เกิดเป็ นขึ้นหรือรู้ถึงเจ้าหนี้ ต่อภาย
หลังเวลาที่ได้ส่งมอบทรัพย์สินไซร้ ถึงแม้ว่าจะไม่สมกับลักษณะ ที่เจ้าหนี้
รับภาระในมูลหนี้ ไว้เดิมหรือไม่สมกับคำาสัง่ อันลูกหนี้ ได้ให้ ไว้ก็ดีเจ้าหนี้ ก็
อาจใช้สิทธิยึดหน่วงได้
มาตรา 244 ผู้ ท รงสิ ท ธิ ยึ ด หน่ ว งจะใช้ สิ ท ธิ ข องตนแก่ ท รัพ ย์ สิ น
ทั้งหมดที่ยึดหน่วงไว้น้ ั นจนกว่าจะชำาระหนี้ สิ้นเชิงก็ได้
มาตรา 245 ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงจะเก็บดอกผลแห่งทรัพย์สินที่ ยึด
หน่วงไว้และจัดสรรเอาไว้เพื่อการชำาระหนี้ แก่ตนก่อนเจ้าหนี้ คน อื่นก็ได้
หลักเกณฑ์ของสิทธิยึดหน่วง
ก. ต้องการได้สร้อยคอของ ข. เพื่อใส่ไปในงานแต่งงาน จึงบอก ข.
ว่าบิดาของ ข. ให้ฝากสร้อยคอนั้ นแก่ ก. ไว้ และบิดาของ ข. จะเอามาคืน
ผลของสิทธิยึดหน่วง
เมื่อ เจ้ าหนี้ ใช้สิ ทธิ ยึ ดหน่ ว งทรัพ ย์ สิ นของลู กหนี้ แล้ ว เจ้ าหนี้ ผู้ ท รง
สิทธิยึดหน่วงมีสท
ิ ธิและหน้าที่อย่างไรบ้างเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ยึดหน่วง
เมื่อเจ้าหนี้ ใช้สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ แล้ว เจ้าหนี้ ผู้ทรง
สิทธิยึดหน่วงมีสท
ิ ธิและหน้าที่เกี่ยวกับทรัพย์ที่ยึดหน่วงดังนี้
สิทธิ
1.) นำาเอาทรัพย์ที่ยึดถือไว้มาชำาระหนี้ แก่ตนจนสิ้นเชิง ตามมาตรา
244
ความระงับแห่งสิทธิยึดหน่วง
ก. นำารถยนต์มาซ่อมที่อู่ของ ข. และไม่มีเงินชำาระค่าซ่อม ข. จึงยึด
รถยนต์ของ ก. ไว้ก่อนจนกว่า ก. จะมาชำาระค่าซ่อมครบถ้วน แต่ ข. เห็น
ว่าอู่ซ่อมรถของตนไม่มีท่ีจอดเพียงพอ จึงบอกแก่ ก. ว่าจะนำารถของ ก.
ไปฝากไว้กับ ค. ซึ่งมีท่ีสำา หรับฝากรถ ก. ตกลงด้วยตามนั้ น ต่อมา ก.
ไปเอารถยนต์ ข องตนจาก ค. โดยไม่ ไ ด้ บ อกแก่ ข. ข. รู้ เ ข้ า จึ ง ไปยึ ด
รถยนต์ ข อง ก. คั น ดั ง กล่ า วเพื่ อมาไว้ ใ นความครอบครองของตน ก.
ปฏิเสธโดยอ้างว่า การครอบครองรถดังกล่าวของ ข. สูญสิ้นไปแล้ว สิทธิ
ยึดหน่วงเป็ นอันระงับสิ้นไป ข. อ้างว่าเมื่อ ก. อนุ ญาตยินยอมให้นำารถไป
ฝากไว้ กั บ ค. แล้ ว ถื อ ว่ า การครอบครองของ ข. ยั ง ไม่ ส้ ิ นสู ญ สิ ท ธิ ยึ ด
หน่วงยังไม่ระงับ หาก ก. และ ข. มาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คำา แนะนำา
อย่างไร
เมื่อ ข. นำารถยนต์ไปฝาก ค. ไว้ การครอบครองรถยนต์ของ ข. สูญ
สิ้นไปแล้ว แม้จะเป็ นความยินยอมของ ก. ลูกหนี้ ที่ให้ ข. นำา รถยนต์ไป
ฝาก ค. ก็ตาม กรณี หาต้อ งด้ วยบทบั ญญั ติข อง ปพพ. มาตรา 250 ไม่
สิทธิยึดหน่วงจึงระงับไป ข. จะยึดรถยนต์ดังกล่าวจาก ก. ไม่ได้ ก. มีสิทธิ
ปฏิเสธการคืนการครอบครองรถยนต์ให้ ข.
บุรม
ิ สิทธิ
1. ผู้ทรงบุรม
ิ สิทธิย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิเหนื อทรัพย์สินของลูกหนี้ ในการที่
จะได้รบ
ั ชำาระหนี้ อันค้างชำาระแก่ตนจากทรัพย์สินนั้ นก่อนเจ้าหนี้ อื่นๆ โดย
นั บดังบัญญัติไว้ใน ปพพ. หรือบทกฎหมายอื่น
2. บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ไม่ ว่ า จะเป็ นบุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ส ามั ญ หรือ บุ ร ิม สิ ท ธิ พิ เ ศษ เป็ น
ทรัพย์สิทธิและเป็ นทรัพย์สิทธิประเภทที่เรียกว่าอุปกรณ์สิทธิ บุรม
ิ สิทธิน้ ั น
แบ่งแยกไม่ได้
3. บุรม
ิ สิทธิสามัญนั้ น ตามมาตรา 253 มีดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน
(2) ค่าปลงศพ
(3) ค่าภาษีอากร
(4) ค่าจ้างเสมียน คนใช้ และคนงาน
(5) ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำาเป็ นประจำาวัน
บุรม
ิ สิทธิ
มาตรา 251 ผู้ทรงบุรม
ิ สิทธิย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิเหนื อทรัพย์สิน ของ
ลูกหนี้ ในการที่จะได้รบ
ั ชำาระหนี้ อันค้างชำาระแก่ตน จากทรัพย์สิน นั้ นก่อน
เจ้ า หนี้ อื่ น ๆ โดยนั ยดั ง บทบั ญ ญั ติ ไ ว้ ใ นประมวลกฎหมายนี้ หรือ บท
กฎหมายอื่น
มาตรา 252 บทบัญญัติแห่ง มาตรา 244 นั้ น ท่านให้ใช้บงั คับ
ตลอดถึงบุรม
ิ สิทธิด้วยตามแต่กรณี
บุรม
ิ สิทธิสามัญ
มาตรา 253 ถ้าหนี้ มีอยู่เป็ นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่ ง อย่าง
ใดดังจะกล่าวต่อไปนี้ บุคคลผู้น้ ั นย่อมมีบุรม
ิ สิทธิเหนื อทรัพย์สิน ทั้งหมด
ของลูกหนี้ คือ
1)ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน
2)ค่าปลงศพ
3) ค่าภาษีอากร และเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รบ
ั เพื่อการงานที่ได้ ทำาให้
แก่ ลูกหนี้ ซึ่งเป็ นนายจ้าง
4)ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำาเป็ นประจำาวัน
มาตรา 254 บุรม
ิ สิทธิในมูลค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกันนั้ น
ใช้สำาหรับเอาค่าใช้จ่ายอันได้เสียไป เพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ หมด ทุกคน
ร่วมกันเกี่ยวด้วยการรักษา การชำา ระบัญชี หรือการเฉลี่ย ทรัพย์สินของ
ลูกหนี้
ถ้ า ค่ า ใช้ จ่ า ยนั้ นมิ ไ ด้ เ สี ย ไป เพื่ อประโยชน์ ข องเจ้ า หนี้ หมดทุ ก คน
ไซร้บุรม
ิ ะสิทธิย่อมจะใช้ได้แต่เฉพาะต่อเจ้าหนี้ ผู้ท่ีได้รบ
ั ประโยชน์ จากการ
นั้ น
มาตรา 255 บุรม
ิ สิทธิในมูลค่าปลงศพนั้ น ใช้สำา หรับเอาค่าใช้จ่าย
ในการปลงศพตามควรแก่ฐานานุ รูปของลูกหนี้
มาตรา 256 บุรม
ิ สิทธิในมูลค่าภาษีอากรนั้ น ใช้สำา หรับเอาบรรดา
ค่าภาษีอากรในที่ดิน ทรัพย์สิน หรือค่าภาษีอากรอย่างอื่นที่ลูกหนี้ ยัง ค้าง
ชำาระอยู่ในปี ปั จจุบันและก่อนนั้ นขึ้นไปอีกปี หนึ่ ง
มาตรา 257 บุรม
ิ สิทธิในเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รบ
ั เพื่อการงานที่ ได้
ทำา ให้ แ ก่ ลู กหนี้ ซึ่ ง เป็ นนายจ้ า งนั้ น ให้ ใ ช้ สำา หรับ ค่ า จ้ า ง ค่ า ล่ ว งเวลา ค่ า
ทำา งานในวัน หยุด ค่ าชดเชย ค่าชดเชยพิ เศษ และเงิ นอื่ นใดที่ ลูกจ้ างมี
สิทธิได้รบ
ั เพื่อการงานที่ทำา ให้ นั บถอยหลังขึ้นไปสี่เดือน แต่รวมกันแล้ว
ต้องไม่เกินหนึ่ งแสนบาทต่อลูกจ้างคนหนึ่ ง
มาตรา 258 บุ ร ิม สิ ท ธิ ใ นมู ล ค่ า เครื่อ งอุ ป โภคบริโ ภคอั น จำา เป็ น
ประจำาวันนั้ น ใช้สำาหรับเอาค่าเครื่องอุปโภคบริโภค ซึ่งยังค้างชำาระ อยู่นับ
ถอยหลังขึ้นไปหกเดือน เช่นค่าอาหาร เครื่องดื่ม โคมไฟ ฟื น ถ่าน อัน
จำาเป็ นเพื่อการทรงชีพของลูกหนี้ และบุคคลในสกุลซึ่งอยู่ กับลูกหนี้ และ
ซึ่งลูกหนี้ จำาต้องอุปการะกับทั้งคนใช้ของลูกหนี้ ด้วย
ความหมายและลักษณะสำาคัญของบุรม
ิ สิทธิ
ให้อธิบายความหมายคำาว่าบุรม
ิ สิทธิ
บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ เ ป็ นสิ ท ธิ ประเภทหนึ่ ง ซึ่ ง เจ้ า หนี้ ผู้ มี บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ มีสิ ท ธิ ท่ี จ ะ
บั ง คั บ ชำา ระหนี้ เอาจากทรัพ ย์ สิ น ของลู ก หนี้ ที่ ต กอยู่ ภ ายใต้ บั ง คั บ ของ
บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ได้ ก่อ นเจ้ าหนี้ อื่ นๆ ตามมาตรา 251 เช่ น ก. ติ ดค้ างชำา ระค่ า
ภาษี อ ากรกั บ กรมสรรพกร และเป็ นหนี้ ข. ซึ่ ง ได้ กู้ ยื ม มา ดั ง นี้ เมื่ อจะ
บั ง คั บ เอาจากทรัพ ย์ สิ น ของ ก. กรมสรรพกรมี สิ ท ธิ ยึ ด ทรัพ ย์ ม าบั ง คั บ
เพื่ อ ชำา ระหนี้ แก่ กรมฯ ก่ อ น ข. ซึ่ ง เป็ นเจ้ าหนี้ อี กคน เพราะกรมฯ เป็ น
ผู้ทรงบุรม
ิ สิทธิ (ค่าภาษีอากร) ดูมาตรา 253 ประกอบ
บุรม
ิ สิทธิมีลักษณะสำาคัญอย่างไร
(1) เป็ นทรัพย์สิทธิอาจใช้ยันบุคคลอื่น นอกจากตัวเจ้าหนี้ ลูก
หนี้ เฉพาะรายซึ่ ง เรีย กว่ า บุ ค คลสิ ท ธิ เจ้ า หนี้ ผู้ ท รงบุ ร ิ ม สิ ท ธิ อ าจอ้ า ง
บุ ร ิม สิ ท ธิ ยั น เจ้ า หนี้ อื่ นที่ ไ ม่ มี บุ ร ิม สิ ท ธิ เ ท่ า เที ย มกั น ได้ ต ามที่ ก ฎหมาย
กำา หนดลำา ดั บ บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ไ ว้ (มาตรา 253 มาตรา 277-280) และผู้ ท รง
บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ยั ง อาจติ ด ตามเอาทรัพ ย์ สิ น ที่ ต กอยู่ ใ ต้ บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ คื น จากบุ ค คล
ภายนอกได้อีกด้วย (มาตรา 268 วรรค 2)
(2) บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ แ บ่ ง แยกไม่ ไ ด้ เจ้ า หนี้ ผู้ ท รงบุ ร ิม สิ ท ธิ บั ง คั บ แก่
ทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้บังคับแห่งบุรม
ิ สิทธิได้เต็มทั้งชิ้นโดยไม่คำานึ งว่าได้มี
การชำาระหนี้ บางส่วนหรือไม่
(3) เป็ นทรัพย์สิทธิที่เรียกว่า เป็ นอุปกรณ์สิทธิในเรื่องหนี้ คือมี
ความสมบูรณ์และคงอยู่โดยอาศัยหนี้ เดิมเป็ นมูลให้เกิดทรัพย์สิทธิน้ ั นเป็ น
พื้ นฐาน กล่าวคือ จะมีบุรม
ิ สิทธิอยู่โดยไม่มีหนี้ เดิมไม่ได้นั่นเอง
ลำาดับแห่งบุรม
ิ สิทธิ
ม า ต ร า 279 เ มื่ อ มี บุ ริ ม สิ ท ธิ พิ เ ศ ษ แ ย้ ง กั น ห ล า ย ร า ย เ ห นื อ
อสัง หาริมทรัพ ย์ อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วกั น ท่ านให้ ถือ ลำา ดั บ ก่ อ นหลั ง ดั ง ที่ ได้
เรียงลำาดับไว้ใน มาตรา 273
ถ้ า ได้ ซื้ อขายอสั ง หาริม ทรัพ ย์ น้ ั นสื บ ต่ อ กั น ไปอี ก ไซร้ ลำา ดั บ ก่ อ น
หลั ง ในระหว่ า งผู้ ข ายด้ ว ยกั น นั้ น ท่ า นให้ เ ป็ นไปตามลำา ดั บ ที่ ไ ด้ ซื้ อขาย
ก่อนและหลัง
มาตรา 280 เมื่อบุคคลหลายคนมีบุรม
ิ สิทธิในลำาดับเสมอกันเหนื อ
ทรัพย์อันหนึ่ งอันเดียวกัน ท่านให้ต่างคนต่างได้รบ
ั ชำาระหนี้ เฉลี่ยตามส่วน
มากน้อยแห่งจำานวนที่ตนเป็ นเจ้าหนี้
บุรม
ิ สิทธิสามัญ
บุรม
ิ สิทธิสามัญ มีกี่ประเภท อะไรบ้าง อธิบายและยกตัวอย่าง
ประกอบ
ตามบทบัญญัติมาตรา 253 บุรม
ิ สิทธิสามัญแบ่งออกเป็ น 5
ประเภท ดังนี้ คือ
1)ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน
2)ค่าปลงศพ
3)ค่าภาษีอากร
4)ค่าจ้างเสมียน คนใช้ และคนงาน
5)ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำาเป็ นประจำาวัน
มาตรา 253 ถ้าหนี้ มีอยู่เป็ นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่ ง อย่าง
ใดดังจะกล่าวต่อไปนี้ บุคคลผู้น้ ั นย่อมมีบุรม
ิ สิทธิเหนื อทรัพย์สิน ทั้งหมด
ของลูกหนี้ คือ
(1) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน
(2) ค่าปลงศพ
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 5
1. บุรม
ิ สิทธิแบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ บุรม
ิ สิทธิสามัญและบุรม
ิ สิทธิ
พิเศษ
2. บุรม
ิ สิทธิสามัญได้แก่ (1) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน (2)
ค่าปลงศพ (3) ค่าภาษีอากร (4) ค่าจ้างเสมียน คนใช้ และคนงาน (5)
ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำาเป็ นประจำาวัน
3. บุรม
ิ สิทธิ คือ สิทธิท่ีจะบังคับชำาระหนี้ จากทรัพย์ท่ีอยู่ภายใต้บังคับ
บุรม
ิ สิทธิน้ ั น ก่อนเจ้าหนี้ รายอื่น
4. บุรม
ิ สิทธิเกิดขึ้นได้จาก บทบัญญัติของกฎหมาย
5. บุรม
ิ สิทธิมีลักษณะดังนี้ คือ (ก) ทรัพย์สิทธิซงึ่ อาจใช้ยันบุคคลอื่น
นอกจากตัวเจ้าหนี้ ลูกหนี้ เฉพาะราย (ข) สิทธิซ่ึงแบ่งแยกไม่ได้ (ค)
อุปกรณ์สิทธิ
6. สิทธิยึดหน่วงคือ สิทธิของเจ้าหนี้ ที่จะครอบครองทรัพย์สินของลูก
หนี้ โดยที่ทรัพย์สินนั้ นเป็ นมูลฐานให้เกิดหนี้ อันที่ตนเป็ นเจ้าหนี้ โดยมีสิทธิ
ครอบครองทรัพย์สินนั้ นไว้จนกว่าจะได้รบ
ั ชำาระหนี้ เสร็จสิ้น
7. ก. นำาปากกาและนาฬิกามาให้ ข. ซ่อม กำาหนดว่าจะชำาระเงินค่า
ซ่อมปากกาและนาฬิกาในวันเดียวกัน แต่ ก. มารับปากกาไปก่อน พอถึง
วันนั ดชำาระเงินค่าซ่อมปากกาและนาฬิกา ก. ชำาระเพียงค่าซ่อมนาฬิกา
ดังนี้ คือ ข. ไม่มีสิทธิยึดหน่วงนาฬิกาไว้ เพราะ ก. ได้จ่ายค่าซ่อมนาฬิกา
แล้ว
หน่วยที่ 6 บุรม
ิ สิทธิ (ต่อ)
1. บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ พิ เ ศษ แบ่ ง ออกได้ เ ป็ น 2 ประเภท คื อ บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ พิ เ ศษ
เหนื อสังหาริมทรัพย์ และบุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อ อสังหาริมทรัพย์
2. เมื่ อมี เ จ้ า หนี้ หลายรายในมู ล หนี้ ต่ า งๆกั น มี บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ เ หนื อ ทรัพ ย์
ทัว่ ไป และเหนื อ สังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์อันเดียวกันจึง
ต้องจัดลำาดับบุรม
ิ สิทธิซึ่งจะให้ผลก่อนหลังเรียงตามลำาดับ
บุรม
ิ สิทธิพิเศษ
1. บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์มาตรา 259 บัญญัติไว้ 7
ประการ คือ
(1) เช่าอสังหาริมทรัพย์
(2) พักอาศัยในโรงแรม
(3) รับขนคนโดยสาร หรือของ
(4) รักษาสังหาริมทรัพย์
(5) ซื้ อขายสังหาริมทรัพย์
(6) ค่าเมล็ดพันธ์ุ ไม้พันธ์ุ หรือปุ ุย
(7) ค่าแรงงานกสิกรรม หรืออุตสาหกรรม
2. บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื ออสังหาริมทรัพย์ มาตรา 273 บัญญัติไว้ 3
ประการ คือ
(1) รักษาอสังหาริมทรัพย์
(2) จ้างทำาของเป็ นการงานทำาขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์
(3) ซื้ อขายอสังหาริมทรัพย์
บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์
บุรม
ิ สิทธิสามัญคืออะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
บุรม
ิ สิทธิสามัญคือ สิทธิที่เจ้าหนี้ ผู้ทรงบุรม
ิ สิทธิสามารถบังคับเอา
ของทรัพย์ท้ ังหมดของลูกหนี้ ซึ่งตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งบุรม
ิ สิทธิสามัญ
ซึ่งได้แก่
(1) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน
(2) ค่าปลงศพ
(3) ค่าภาษีอากร
(4) ค่าจ้างเสมียน คนใช้ และคนงาน
(5) ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำาเป็ นประจำาวัน
บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื ออสังหาริมทรัพย์
บุรม
ิ สิทธิพิเศษมีกี่ประเภท อะไรบ้าง ยกตัวอย่างในแต่ละประเภท
บุรม
ิ สิทธิมี 2 ประเภทคือ
(1) บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์ (มาตรา 259)
(2) บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื ออสังหาริมทรัพย์ (มาตรา 273)
บุรม
ิ สิทธิพิเศษ (ก) บุรม
ิ สิทธิเหนื อสังหาริมทรัพย์
มาตรา 259 ถ้าหนี้ มีอยู่เป็ นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่ ง อย่าง
ใดดัง่ จะกล่าวต่อไปนี้ บุคคลผู้น้ ั นย่อมมีบุรม
ิ สิทธิเหนื อสังหาริมทรัพย์
เฉพาะอย่างของลูกหนี้ คือ
(1) เช่าอสังหาริมทรัพย์
(2) พักอาศัยในโรงแรม
(3) รับขนคนโดยสาร หรือของ
(4) รักษาสังหาริมทรัพย์
(5) ซื้ อขายสังหาริมทรัพย์
(6) ค่าเมล็ดพันธ์ุ ไม้พันธ์ุ หรือปุ ุย
(7) ค่าแรงงานกสิกรรม หรืออุตสาหกรรม
บุรม
ิ สิทธิพิเศษ (ข) บุรม
ิ สิทธิเหนื ออสังหาริมทรัพย์
มาตรา 273 ถ้าหนี้ มีอยู่เป็ นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่ ง อย่าง
ใดดังจะกล่าวต่อไปนี้ บุคคลผู้น้ ั นย่อมมีบุรม
ิ สิทธิเหนื อ อสังหาริมทรัพย์
เฉพาะอย่างของลูกหนี้ คือ
(1) รักษาอสังหาริมทรัพย์
(2) จ้างทำาของเป็ นการทำางานขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์
(3) ซื้ อขายอสังหาริมทรัพย์
ลำาดับและผลแห่งบุรม
ิ สิทธิ
1. ลำา ดับบุรม
ิ สิทธิสามัญด้วยกันตามมาตรา 253 ซึ่งแบ่งออกเป็ น 5
ลำา ดับ ผู้อยู่ในลำา ดับก่อนมีสิทธิดีกว่า คือจะได้รบ
ั ชำา ระหนี้ ก่ อนผู้ท่ี อยู่ ใน
ลำาดับถัดไป
2. ถ้าบุรม
ิ สิทธิสามัญแย้งกับบุรม
ิ สิทธิพิเศษแล้ว บุรม
ิ สิทธิพิเศษมาใน
ลำา ดับก่อนบุรม
ิ สิทธิสามัญ (มาตรา 277 วรรค 2) เว้นแต่ค่าใช้จ่ายเพื่อ
ประโยชน์ร่วมกันอันเป็ นบุรม
ิ สิทธิสามัญ (มาตรา 253)
3. กรณี บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์เดียวกันแย้งกันขึ้นเอง
มาตรา 278 จัดลำาดับดังนี้ คือ
1.) บุรม
ิ สิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและรับ
ขน
2.) บุรม
ิ สิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามีบุคคลหลายคน
เป็ นผู้รก
ั ษา ท่านว่าผู้รก
ั ษาภายหลังอยู่ในลำาดับก่อนผู้ท่ีได้รก
ั ษามาก่อน
3.) บุรม
ิ สิทธิในมูลซื้ อขาย สังหาริมทรัพย์ ค่าเมล็ดพันธ์ุ ไม้พันธ์ุ
หรือปุ ุย และค่าแรงงานกสิกรรมและอุตสาหกรรม
4. ผลแห่ ง บุ ร ิม สิ ท ธิ ใ นส่ ว นบุ ร ิม สิ ท ธิ ส ามั ญ นั้ น บุ ค คลผู้ มี บุ ร ิม สิ ท ธิ
สามัญต้องรับชำา ระหนี้ เอาจากสังหา ริมทรัพย์ของลูกหนี้ ก่อน ต่อเมื่อยัง
ไม่พอจึงให้เอาชำาระจากอสังหาริมทรัพย์ได้ ผลของบุรม
ิ สิทธิอันมีอยู่เหนื อ
สังหาริมทรัพย์น้ ั น ท่านห้ามมิให้ใช้เมื่อบุคคลภายนอกได้ทรัพย์น้ ั นจากลูก
หนี้ และได้ ส่ ง มอบทรัพ ย์ ใ ห้ กั น ไปเสร็ จ แล้ ว หากกรณี มี บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ แ ย้ ง กั บ
สิทธิจำา นำา สังหาริมทรัพย์ ท่านว่าผู้รบ
ั จำา นำา ย่อมมีสิทธิเป็ นอย่างเดียวกับ
ผู้ทรงบุรม
ิ สิทธิในลำา ดับที่หนึ่ งดังที่เรียงไว้ในมาตรา 278 ส่วนบุรม
ิ สิทธิ
พิเศษเหนื ออสังหาริมทรัพย์น้ ั นเจ้าหนี้ ต้องไปบอกลงทะเบียนไว้ จึงจะมี
ผลบังคับเป็ นบุรม
ิ สิทธิเหนื ออสังหาริมทรัพย์น้ ั นได้
ลำาดับแห่งบุรม
ิ สิทธิ
ให้อธิบายลำาดับแห่งบุรม
ิ สิทธิ
ลำาดับแห่งบุรม
ิ สิทธิ
(1) บุรม
ิ สิทธิหลายรายแย้งกันให้ดูลำาดับที่จะให้มีผลก่อนหลังกัน
ดัง่ ที่เรียงลำาดับไว้ในมาตรา 253
(2) บุรม
ิ สิทธิสามัญแย้งกับบุรม
ิ สิทธิพิเศษ ให้ถือว่าบุรม
ิ สิทธิพิเศษ
อยู่ในลำาดับก่อน แต่บุรม
ิ สิทธิในมูลค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกันตาม
มาตรา 253 (1) ย่อมอยู่ในลำาดับก่อน ในฐานะที่จะใช้สิทธิน้ ั นต่อเจ้าหนี้
ผู้ได้รบ
ั ประโยชน์จากการนั้ นหมดทุกคนด้วยกัน ตามมาตรา 277 วรรค 2
(3) บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์อันเดียวกัน กฎหมายจัด
อันดับไว้ในมาตรา 278
(4) บุรม
ิ สิทธิพิเศษแย้งกันหลายรายเหนื ออสังหาริมทรัพย์อันหนึ่ ง
อันเดียวกัน กฎหมายถือว่าให้ต่างคนต่างได้รบ
ั ชำาระหนี้ เฉลี่ยตามส่วนมาก
น้อยแห่งจำานวนที่ตนเป็ นเจ้าหนี้ ตามมาตรา 280
มาตรา 277 เมื่อมีบุรม
ิ สิทธิสามัญหลายรายแย้ งกั น ท่านให้ถือว่ า
บุรม
ิ สิทธิท้ ังหลายนั้ นมีลำาดับที่จะให้ผลก่อนหลัง ดังที่ได้เรียงลำาดับ ไว้ใน
มาตรา 253
เมื่อมีบุรม
ิ สิทธิสามัญแย้งกับบุรม
ิ สิทธิพิเศษ ท่านว่าบุรม
ิ สิทธิพิเศษ
ย่อ มอยู่ใ นลำา ดั บก่ อน แต่บุ รม
ิ สิท ธิใ นมู ลค่ าใช้ จ่ายเพื่ อประโยชน์ ร่ว มกั น
นั้ นย่ อ มอยู่ ใ นลำา ดั บ ก่ อ น ในฐานที่ จะใช้ สิ ท ธิ น้ ั นต่ อ เจ้ า หนี้ ผู้ ไ ด้ ร ั บ
ประโยชน์จากการนั้ นหมดทุกคนด้วยกัน
มาตรา 278 เมื่อมีบุรม
ิ สิทธิแย้งกันหลายรายเหนื อสังหาริมทรัพย์
อันหนึ่ งอันเดียวกัน ท่านให้ถือลำาดับก่อนหลังดังที่เรียงไว้ต่อไปนี้ คือ
(1) บุรม
ิ สิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและ รับ
ขน
(2) บุรม
ิ สิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามีบุคคลหลายคน เป็ น
ผู้รก
ั ษา ท่านว่าผู้ท่ีรก
ั ษาภายหลังอยู่ในลำาดับก่อนผู้ที่ได้รก
ั ษามาก่อน
(3) บุรม
ิ สิทธิในมูลซื้ อขายสังหาริมทรัพย์ ค่าเมล็ดพันธ์ุ ไม้พันธ์ุ หรือ
ปุ ุย และค่าแรงงานกสิกรรมและอุตสาหกรรม
ถ้าบุคคลผู้ใดมีบุรม
ิ ะสิทธิอยู่ในลำา ดับเป็ นที่หนึ่ งและรู้อยู่ในขณะ ที่
ตนได้ประโยชน์แห่งหนี้ มานั้ นว่ายังมีบุคคลอื่นซึ่งมีบุรม
ิ สิทธิอยู่ใน ลำาดับที่
สองหรือ ที่ ส ามไซร้ ท่ า นห้ า มมิ ใ ห้ บุ ค คลผู้ น้ ั นใช้ สิ ท ธิ ใ นการที่ ต น อยู่ ใ น
ลำาดับก่อนนั้ นต่อบุคคลอื่นเช่นว่ามา และท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิ นี้ ต่อผู้ท่ีได้
รักษาทรัพย์ไว้ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้มีบุรม
ิ สิทธิในลำาดับ ที่หนึ่ งนั้ นเอง
ด้วย
ในส่วนดอกผล ท่านให้บุคคลผู้ได้ทำาการงานกสิกรรมอยู่ในลำาดับ ที่
หนึ่ ง ผู้ ส่ ง เมล็ ด พั น ธ์ุ ไม้ พั น ธ์ุ หรือ ปุ ุ ย อยู่ ใ นลำา ดั บ ที่ ส องและผู้ ใ ห้ เช่ า
ที่ดินอยู่ในลำาดับที่สาม
มาตรา 280 เมื่อบุคคลหลายคนมีบุรม
ิ สิทธิในลำาดับเสมอกันเหนื อ
ทรัพ ย์ อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วกั น ท่ า นให้ ต่ า งคนต่ า งได้ ร ับ ชำา ระหนี้ เฉลี่ ย ตาม
ส่วนมากน้อยแห่งจำานวนที่ตนเป็ นเจ้าหนี้
ผลแห่งบุรม
ิ สิทธิ
เจ้าหนี้ ผู้ทรงบุรม
ิ สิทธิสามัญ บุรม
ิ สิทธิพิเศษ เมื่อจะบังคับเอาจาก
ทรัพย์สินของลูกหนี้ มีผลหรือหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง อธิบาย
บุรม
ิ สิทธิสามัญ
(1) ต้องบังคับเอาจากสังหาริมทรัพย์ก่อน ต่อเมื่อยังไม่พอจึง
ให้ เ อาชำา ระหนี้ จากอสั ง หาริม ทรัพ ย์ ไ ด้ และอสั ง หาริม ทรัพ ย์ น้ ั นก็ ต้ อ ง
บังคับเอาจากอสังหาริมทรัพย์ท่ีไม่ได้ตกอยู่ในฐานเป็ นหลักประกันพิเศษ
ตามมาตรา 283
บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื ออสังหาริมทรัพย์
(1) ตามมาตรา 273 (1) 274 เจ้าหนี้ ต้องจดทะเบียนจำานวนหนี้
ค่ า รัก ษาอสั ง หาริม ทรัพ ย์ จึ ง จะมี ผ ลบั ง คั บ เป็ นบุ ร ิ ม สิ ท ธิ พิ เ ศษเหนื อ
อสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 285
(2) สิทธิจำานองมาหลังบุรม
ิ สิทธิตามมาตรา 285-286
(3) ให้ นำา บทบั ญ ญั ติ ใ นลั ก ษณะจำา นองมาใช้ เ กี่ ย วกั บ ผลแห่ ง
บุรม
ิ สิทธิด้วยตามแต่กรณี (มาตรา 289)
(4) ผู้ ข ายอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ มี บุ ร ิ ม สิ ท ธิ ใ นราคาทรั พ ย์ สิ น และ
ดอกเบี้ ยที่ ค้ า งชำา ระตาม มาตรา 273 (3) มาตรา 276 ผู้ ข ายต้ อ งจด
ทะเบียนหนี้ ที่ค้างชำาระในเวลาจดทะเบียนการโอนขายอสังหาริมทรัพย์ จึง
จะมีบุรม
ิ สิทธิน้ ี
(5) บุ ริ ม สิ ท ธิ ใ น มู ล จ้ า ง ทำา ข อ ง เ ป็ น ก า ร ง า น ทำา ขึ้ น บ น
อสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 273 (2) 275 ต้องทำา รายการประมาณการ
ราคาชัว่ คราวไปบอกลงทะเบียนไว้ก่อนเริมลงมือทำา การบุรม
ิ สิทธิจึงจะมี
ผลบังคับ
ผลแห่งบุรม
ิ สิทธิ
มาตรา 281 บุรม
ิ สิทธิอันมีอยู่เหนื อสังหาริมทรัพย์น้ ั น ท่านห้ามมิ
ให้ใช้ เมื่อบุคคลภายนอกได้ทรัพย์น้ ั นจากลูกหนี้ และได้ส่งมอบทรัพย์ ให้
กันไปเสร็จแล้ว
มาตรา 285 บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ใ นมู ล รัก ษาอสั ง หาริม ทรัพ ย์ น้ ั น ถ้ า หากว่ า
เมื่อทำาการเพื่อบำารุงรักษานั้ นสำาเร็จแล้ว ไปบอกลงทะเบียนไว้โดย พลัน
ไซร้ บุรม
ิ ะสิทธิก็คงให้ผลต่อไป
มาตรา 286 บุ ร ิม สิ ท ธิ ใ นมู ล จ้ า งทำา ของเป็ นการงานทำา ขึ้ นบน
อสั ง หาริม ทรัพ ย์ น้ ั น หากทำา รายการประมาณราคาชั ่ว คราวไปบอก ลง
ทะเบียนไว้ก่อนเริม
่ ลงมือการทำาไซร้ บุรม
ิ สิทธิก็คงให้ผลต่อไป แต่ถ้าราคา
ที่ ทำา จริง นั้ นลำ้ าราคาที่ ไ ด้ ป ระมาณไว้ ชั่ว คราว ท่ า นว่ า บุ ร ิม สิ ท ธิ ใ นส่ ว น
จำานวนที่ล้ ำาอยู่น้ ั นหามีไม่
ส่ ว นการที่ จ ะวิ นิ จ ฉั ย ว่ า อสั ง หาริม ทรัพ ย์ น้ ั นมี ร าคาเพิ่ ม ขึ้ น เพราะ
การอันได้ทำาขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์มากน้อยเพียงใดนั้ น ท่านให้ศาล ตั้ง
แต่งผู้เชี่ยวชาญขึ้นเป็ นผู้กะประมาณ ในเวลาที่มีแย้งขัดในการ แบ่งเฉลี่ย
มาตรา 287 บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ใ ดได้ ไ ปจดลงทะเบี ย นแล้ ว ตามบทบั ญ ญั ติ
แห่ ง มาตรา ทั้งสองข้ างบนนี้ บุร ม
ิ สิ ทธิ น้ ั นท่านว่ าอาจจะใช้ได้ ก่อนสิท ธิ
จำานอง
มาตรา 288 บุรม
ิ สิทธิในมูลซื้ อขายอสังหาริมทรัพย์น้ ั นหากว่า เมื่อ
ไปลงทะเบี ย นสั ญ ญาซื้ อขายนั้ น บอกลงทะเบี ย นไว้ ด้ ว ยว่ า ราคา หรือ
ดอกเบี้ยในราคานั้ นยังมิได้ชำาระไซร้ บุรม
ิ สิทธิน้ ั นก็คงให้ผลต่อไป
มาตรา 289 ว่ า ถึ ง ผลแห่ ง บุ ร ิ ม สิ ท ธิ น อกจากที่ ไ ด้ บั ญ ญั ติ ไ ว้ ใ น
มาตรา 281 ถึง 288 นี้ แล้ว ท่านให้นำา บทบัญญัติท้ ังหลายแห่งลักษณะ
จำานอง มาใช้บังคับด้วยตามแต่กรณี
บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์
(1) หากสังหาริมทรัพย์น้ ั น ลูกหนี้ ได้ส่งมอบให้บุคคลภายนอก
แล้ว บุรม
ิ สิทธิเหนื อสังหาริมทรัพย์ ย่อมระงับไปเหนื อสังหาริมทรัพย์น้ ั น
ตามมาตรา 281
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 6
1. บุรม
ิ สิทธิพิเศษได้แก่ บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์และเหนื อ
อสังหาริมทรัพย์
2. ิ สิ ท ธิ ใ นมู ล ซื้ อขายสั ง หาริมทรัพ ย์ ห มายถึ ง กรณี ก รรมสิ ท ธิ์ใ น
บุ ร ม
ทรัพย์สินที่ต้องซื้ อขายโอนไปเป็ นของผู้ซื้อแล้ว แต่ผู้ซื้อยังต้องชำาระราคา
ซื้ อและดอกเบี้ย
3. บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์ได้แก่ ค่าเช่าสังหาริมทรัพย์ ค่า
พักอาศัยในโรงแรม
4. บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื ออสังหาริมทรัพย์ได้แก่ ค่าจ้างทำา ของเป็ นการ
งานทำาขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์ ค่ารักษาอสังหาริมทรัพย์
5. บุ ริ ม สิ ท ธิ พิ เ ศ ษ เ ห นื อ อ สั ง ห า ริ ม ท รั พ ย์ ไ ด้ แ ก่ ค่ า รั ก ษ า
อสังหาริมทรัพย์ จ้างทำาของเป็ นการงานทำาขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์
6. เมื่อมีบุรม
ิ สิทธิสามัญหลายรายแย้งกัน เรียงลำาดับได้ดังนี้ คือ ค่าใช้
จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน ค่าปลงศพ ค่าภาษีอากร ค่าจ้างเสมียน ค่า
คนใช้คนงาน และค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำาเป็ นประจำาวัน
7. ถ้ าบุ ร ม
ิ สิ ท ธิ ส ามั ญ แย้ ง กั บ บุ ร ม
ิ สิ ท ธิ พิ เ ศษ กฎหมายบั ญ ญั ติ ว่ า ให้
บุรม
ิ สิทธิพิเศษมาเป็ นลำา ดับก่อน เว้นแต่ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
อันเป็ นบุรม
ิ สิทธิสามัญได้รบ
ั ยกเว้นให้มาก่อนบุรม
ิ สิทธิพิเศษ
8. เจ้าหนี้ บุรม
ิ สิทธิสามัญจะบังคับชำา ระหนี้ จากทรัพย์สินของลูกหนี้ ได้
โดย ต้องเข้าขอเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ ก่อนที่จะถูกแบ่งชำาระเจ้าหนี้ อื่น
9. บุรม
ิ สิทธิพิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์ ระงับสิ้นไปเมื่อ สังหาริมทรัพย์
อันเป็ นวัตถุแห่งบุรม
ิ สิทธิถูกโอนและส่งมอบให้แก่บุคคลภายนอก
10. ผู้รบ
ั จำานำาสังหาริมทรัพย์กับผู้มีบุรม
ิ สิทธิ พิเศษเหนื อสังหาริมทรัพย์
นั้ น ผู้รบ
ั จำานำามีสิทธิดีกว่า
11. เจ้าหนี้ จำานองนั้ นมีสิทธิ ดีกว่าเจ้าหนี้ สามัญ
12. ผู้ มี สิ ท ธิ พิ เ ศษเหนื อ สั ง หาริม ทรัพ ย์ กั บ ผู้ ร บ
ั จำา นำา สั ง หาริม ทรัพ ย์
ผู้รบ
ั จำานำามีสิทธิดีกว่า
1. เกี่ ย วกั บ การชำา ระหนี้ หนี้ แบ่ ง ออกเป็ นสองประเภทคื อ หนี้ ที่ ก าร
ชำาระหนี้ แบ่งชำาระได้และแบ่งชำาระไม่ได้
2. หนี้ ที่การชำาระหนี้ แบ่งชำาระได้ ถ้ามีลูกหนี้ หลายคนและเจ้าหนี้ หลาย
คน ลูกหนี้ แต่ละคนจะต้องรับผิดเพียงเป็ นส่วนเท่าๆกัน และเจ้าหนี้ แต่ละ
คนก็มีสิทธิท่ีจะได้รบ
ั แต่เพียงเป็ นส่วนเท่าๆกัน
3. ถ้าบุคคลหลายคนเป็ นหนี้ อันจะแบ่งกันชำาระมิได้บุคคลเหล่านั้ นต้อง
รับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ ร่วมกัน
4. ถ้าการชำา รับหนี้ เป็ นการอันจะแบ่งกันชำา ระมิ ได้ และมีบุคคลหลาย
คนเป็ นเจ้าหนี้ ถ้าบุคคลเหล่านั้ นมิได้เป็ นเจ้าหนี้ ร่วมลูกหนี้ ได้แก่จะชำา ระ
หนี้ ไว้ได้ประโยชน์แก่บุคคลเหล่านั้ นทั้งหมดด้วยกัน และเจ้าหนี้ แต่ละคน
จะเรียกชำาระหนี้ ได้ก็แต่เพื่อได้ประโยชน์ด้วยกันหมดทุกคนเท่านั้ น
5. ลูกหนี้ ร่วม คือบุคคลหลายคนซึ่งมีหน้าที่ร่วมกันที่จะต้องรับผิดชำาระ
หนี้ ต่อเจ้าหนี้ จนกว่าจะได้รบ
ั ชำาระหนี้ โดยสิ้นเชิง
จะเรีย กชำา ระหนี้ ได้ ก็ แ ต่ เ พื่ อ ได้ ป ระโยชน์ ด้ ว ยกั น หมดทุ ก คนเท่ า นั้ น วิ ธี
เดียวกันนี้ ใช้กับการที่ลูกหนี้ วางทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ด้วย
5. ข้อความจริงใดที่เท้าถึงเจ้าหนี้ คนหนึ่ งเท่านั้ น หาเป็ นไปเพื่อคุณหรือ
โทษแก่เจ้าหนี้ คนอื่นๆด้วยไม่
นายมัน
่ กับนายเหมาะได้กู้เงินนายหมายไป 6,000 บาท โดยยอม
ตนผูกพันเป็ นลูกหนี้ ร่วมต่อมาเมื่อหนี้ เงินกู้น้ ี ขาดอายุความแล้ว นายมัน
่
ได้ชำา ระหนี้ ให้แก่น ายหมายไป 3,000 บาท แต่น ายเหมาะไม่ย อมชำา ระ
หนี้ เช่นนี้ ในหมายจะเรียกให้นายมัน
่ กับนายเหมาะชำาระหนี้ ที่เหลือให้แก่
ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
เมื่อหนี้ ขาดอายุความแล้วลูกหนี้ ไม่จำาเป็ นต้องชำาระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้
แต่ เ มื่ อลู ก หนี้ ชำา ระหนี้ ให้ แ ก่ เ จ้ า หนี้ แล้ ว ลู ก หนี้ จะเรี ย กคื น ไม่ ไ ด้ ต าม
อุทาหรณ์ หนี้ ขาดอายุความแล้ว นายหมายจะเรียกให้นายมัน
่ นายเหมาะ
ชำาระหนี้ ร่วมที่เหลือไม่ได้ หากนายหมายนำาคดีข้ ึนฟ้ องศาล ทั้งนายมัน
่ กับ
นายเหมาะมีสิทธิท่ีจะยกอายุความขึ้นต่อสู้เพื่อไม่รบ
ั ผิดได้ แต่ถ้าหากผู้
หนึ่ งผู้ใดยกอายุความขึ้นต่อสู้แต่อีกคนไม่ยกเช่นนี้ การยกไม่ยกอายุความ
ขึ้นต่อสู้น้ ี ย่อมเป็ นไปเพื่อคุณและโทษแก่ลูกหนี้ ร่วมคนนั้ นโดยเฉพาะ
ส่ ว นเท่ าๆ กั น เว้ น แต่ จะได้ กำา หนดไว้ เ ป็ นอย่ า งอื่ นนั้ น” หมายความว่ า
อย่างไร
หมายความว่า ถ้าเจ้าหนี้ คนใดคนหนึ่ งได้รบ
ั ชำาระหนี้ จากลูกหนี้ หรือ
ทำาการอย่างใดๆ ให้หนี้ ระงับเช่น รับทรัพย์อ่ ืนแทนการชำาระหนี้ ปลดหนี้
ให้แก่ลูกหนี้ หรือหนี้ เกลื่อนกลืนกันไปในเจ้าหนี้ ร่วมคนใดก็ตาม เจ้าหนี้
ร่วมคนอื่นไม่มีสิทธิ ท่ีจะเรีย กให้ลู กหนี้ ชำา ระหนี้ อี กซำ้ าสอง คงมี สิท ธิท่ี จะ
เรียกเอาส่วนของตนจากลูกหนี้ ที่รบ
ั ชำาระหนี้ หรือกระทำาการเสมือนการรับ
ชำา ระหนี้ ส่วนที่ว่านี้ ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ เจ้าหนี้ ก็มีส่วนเท่าๆ กัน ถ้ามีข้อ
ตกลงกันไว้ว่าเจ้าหนี้ คนใดมีส่วนเท่าใดก็ให้เป็ นไปตามที่ตกลง
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 7
หน่วยที่ 8 การโอนสิทธิเรียกร้อง
8.1 หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้อง
สิทธิเรียกร้องที่สามารถโอนกันได้ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องนั้ น จะเกิดจาก
มูลหนี้ อะไรและมีวัตถุแห่งหนี้ เป็ นอย่างไร แต่มีข้อยกเว้น 3 ประการ ซึ่ง
กฎหมายบัญญัติถึงสิทธิเรียกร้องที่โอนกันไม่ได้คือ
1. สิทธิเรียกร้องซึ่งมีสภาพแห่งหนี้ ไม่เปิ ดช่องว่าง
2. สิทธิเรียกร้องซึ่งคู่กรณี แสดงเจตนาห้ามโอน
3. สิทธิเรียกร้องที่ศาลยึดไม่ได้
8.1.1ลักษณะทัว
่ ไปของการโอนสิทธิเรียกร้อง
การโอนสิ ท ธิ เ รีย กร้ อ งมี ห ลั ก เกณฑ์ อ ย่ า งไรบ้ า ง อธิ บ ายและยก
ตัวอย่างประกอบ
การโอนสิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ ง เป็ นนิ ติ ก รรมระหว่ า งเจ้ า หนี้ กั บ บุ ค คล
ภายนอก อันทำาให้สิทธิเปลี่ยนจากเจ้าหนี้ ผู้โอนไปยังบุคคลภายนอกผู้รบ
ั
โอน หนี้ เดิมยังคงอยู่ การโอนสิทธิเรียกร้องใดๆ ย่อมมี ไม่ว่าสิทธิเรียก
ร้องจะเกิดจากมูลหนี้ อะไร เว้นแต่ท่ีกฎหมายบัญญัติห้ามโอนไว้
8.1.2สิทธิเรียกร้องที่โอนกันไม่ได้
8.2 แบบของการโอนสิทธิเรียกร้อง
1. การโอนสิ ทธิ เรีย กร้ องในหนี้ อั น พึง ต้ อ งชำา ระแก่ เ จ้ าหนี้ คนหนึ่ ง โดย
เฉพาะเจาะจง ถ้ามิได้ทำาเป็ นหนั งสือ ไม่สมบูรณ์ การโอนนั้ นจะยกขึ้นเป็ น
ข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูก
หนี้ หรือ ลู ก หนี้ จะได้ ยิ น ยอมด้ ว ย ในการโอนนั้ น คำา บอกกล่ า วหรือ คำา
ยินยอมเช่นว่านี้ ต้องทำาเป็ นหนั งสือ
โดยเฉพาะเจาะจง
ก. เป็ นเจ้าหนี้ เงินกู้ ข. 20,000 บาท ต่อมา ก. โอนสิทธิเรียกร้อง
ให้ ค. โดยทำาเป็ นหนั งสือและ ค. ได้ส่งจดหมายบอกกล่าวการโอนไปยัง
ข. โดยโทรศัพท์ไปบอก ข. แต่ ข. ไม่อยู่ จึงบอกลูกจ้างของ ข. ไว้ แต่ ข.
ได้ชำาระหนี้ ให้แก่ ก. ก่อนที่ ข. จะกลับบ้าน ดังนี้ ค. จะเรียกให้ ข. ชำาระ
หนี้ ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งตนได้รบ
ั โอนมาจาก ก. ได้อย่างไร หรือไม่
ตามมาตรา 306 การโอนสิทธิเรียกร้องที่จะยกขึ้นเป็ นข้อต่อสู้ลูกหนี้
ได้เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ เป็ นหนั ง สือ แต่ ค. มิได้ทำา ตาม
มาตรา 306 และ ข. ได้ ชำา ระหนี้ แก่ ก. ผู้ โ อนไปแล้ ว ก. ไม่ ต้อ งรับ ผิ ด
ชดใช้เงินจำานวนนั้ นต่อ ค. อีก
มาตรา 306 การโอนหนี้ อันจะพึงต้องชำา ระแก่เจ้าหนี้ คนหนึ่ งโดย
เฉพาะเจาะจงนั้ น ถ้าไม่ทำา เป็ นหนั งสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่ งการ โอน
หนี้ นั้ นท่านว่าจะยกขึ้นเป็ นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้
บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้ หรือลูกหนี้ จะได้ยินยอมด้วย ในการโอน
นั้ น คำาบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทำา เป็ นหนั งสือ
ถ้าลูกหนี้ ทำา ให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน หรือด้วยประการอื่น
เสี ย แต่ ก่อ นได้ ร บ
ั บอกกล่ า ว หรือ ก่ อ นได้ ตกลงให้ โ อนไซร้ ลูกหนี้ นั้ น ก็
เป็ นอันหลุดพ้นจากหนี้
8.2.2การโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ อันพึงต้องชำาระตามเขาสัง
่
8.3 ผลของการโอนสิทธิเรียกร้อง
1. ถ้ าพิ พ าทอ้ างสิ ท ธิ ใ นการโอนต่ างราย โอนรายใดได้ บ อกกล่ าวหรือ
ตกลงก่อนโอนรายนั้ นมีสิทธิดีกว่าโอนรายอื่นๆ
2. เมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้อง สิทธิเรียกร้องจากผู้โอนย่อมตกได้แก่
ผู้รบ
ั โอน หากสิทธิเรียกร้องนั้ นมีท้ ังหนี้ ประธานและหนี้ อุปกรณ์ เมื่อหนี้
ประธานโอนไปยังผู้รบ
ั โอนแล้ว หนี้ อุปกรณ์คือจำา นอง จำา นำา คำ้าประกั น
ย่อมโอนไปแก่ผู้รบ
ั โอนด้วย
3. เมื่อโอนสิทธิเรียกร้องแล้ว ผู้รบ
ั โอนกลายมาเป็ นเจ้าหนี้ ใหม่ ลูกหนี้
ต้องรับชำาระหนี้ แก่ผู้รบ
ั โอนโดยตรง
4. เมื่อลูกหนี้ ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องโดยไม่อิดเอื้ อน
ลูกหนี้ จะยกข้อต่อสู้ผู้รบ
ั โอนไม่ได้ แต่ถ้าลูกหนี้ มิได้ยินยอมด้วยแล้วเป็ น
แต่ได้รบ
ั คำา บอกกล่าวการโอน ลูกหนี้ มีข้อต่อสู้ผู้โอนอย่างไรก็ยกขึ้นเป็ น
ข้อต่อส้ผ
ู ู้รบ
ั โอนได้
8.3.1ผลระหว่างผู้รับโอนต่างรายและผลระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอน
ผลในกฎหมายระหว่างผู้โอนสิทธิเรียกร้อง และผู้รบ
ั โอนสิทธิเรียก
ร้องนั้ นมีอย่างไรบ้าง
ผลในกฎหมายระหว่ า งผู้ โ อนกั บ ผู้ ร ับ โอนสิ ท ธิ เ รีย กร้ อ ง คื อ สิ ท ธิ
เรียกร้องจากผู้โอนย่อมตกได้แก่ผู้รบ
ั โอน โดยทำาให้ผู้รบ
ั โอนเข้ามาเป็ นเจ้า
หนี้ แทนผู้โอน และหนี้ อุปกรณ์ท้ ังหลายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิเรียกร้อง คือ
จำานอง จำานำา คำ้าประกัน ย่อมโอนไปแก่ผู้รบ
ั โอนด้วย
8.3.2ผลระหว่างผู้รับโอนกับลูกหนี้
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 8
6. ก. เป็ นเจ้ า หนี้ เงิ น กู้ ข. อยู่ 30,000 บาท แต่ ว่ า หนี้ นั้ นขาดอายุ
ความแล้วต่อมา ก. ได้โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ นี้ ให้ ค. โดย ข. ก็ให้ความ
ยินยอมโดยไม่อิดเอื้ อน ค. จะเรียกให้ ข. ชำา ระหนี้ เงินจำา นวน 30,000
บาท แก่ตน ได้เพราะ ข. ยินยอมจึงต้องชำาระเต็มทั้ง 30,000 บาท
7. สิทธิเรียกร้องที่โอนกันได้คือ สิทธิในหนี้ เงินกู้
8. ก. กู้ เ งิ น ข. ไป 5,000 บาท และตกลงกั น ว่ า ข. จะไม่ โ อนสิ ท ธิ
เรียกร้องไปยังผู้อ่ ืน ต่อมา ข. โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ รายนี้ ให้ ค. บุคคล
ภายนอกผู้ สุ จ ริต ซึ่ ง เป็ นการฝ่ าฝื นข้ อ ตกลง ดั ง นี้ ก. จะปฏิ เ สธไม่ ย อม
ชำา ระหนี้ แก่ ค. ได้หรือไม่ ไม่ได้เพราะ ค. เป็ นบุคคลภายนอกซึ่งสุจริต
และต้องเสียหายจากข้อตกลงดังกล่าว
9. การโอนสิทธิเรียกร้องเป็ นการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ แต่หนี้ เดิมไม่ระงับ
หน่วยที่ 9 ความระงับแห่งหนี้
การชำาระหนี้
ผู้ชำาระหนี้
หลักเกณฑ์สำาหรับบุคคลภายนอกที่จะเข้าชำาระหนี้ แทนลูกหนี้ ได้โดย
ชอบนั้ น มีสาระสำาคัญอย่างไร อธิบาย
ผู้ท่ีชำาระหนี้ ได้โดยชอบได้แก่บุคคลต่อไปนี้
(1) ตัวลูกหนี้ เอง
(2) บุคคลภายนอกซึ่งเข้าชำาระหนี้ แทนลูกหนี้ ได้
ก. และ ข. ร่ ว มกั น กู้ เ งิ น จาก ค. มา 1,000 บาท เมื่ อถึ ง กำา หนด
ชำา ระ ก. นำา เงิน 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยไปชำา ระให้แก่ ค. โดย ข.
ไม่ยินยอม ค. รับชำาระหนี้ ไว้ หนี้ รายนี้ ระงับหรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณี ตามอุทาหรณ์ นี้ ไม่เข้าตามมาตรา 314 ก. เป็ นลูกหนี้ ร่วมกับ
ข. จึงเข้าชำาระหนี้ โดยขืนใจ ข. ได้ เพราะมีส่วนได้เสียตามบทบัญญัติใน
ผู้รับชำาระหนี้
บุคคลผู้มีอำานาจรับชำาระหนี้ ได้แก่ บุคคลประเภทใดบ้าง อธิบาย
บุคคลผู้มีอำานาจรับชำาระหนี้ ได้โดยชอบได้แก่
1) เจ้าหนี้ กับผู้มีอำานาจรับชำาระหนี้ ตามมาตรา 315
2) ผู้ครองตามปรากฏแห่งสิทธิ ตามมาตรา 316
3) ผู้ไม่มีสิทธิรบ
ั ชำาระหนี้ ได้รบ
ั ชำาระหนี้ ตามมาตรา 317
4) ผู้ถือใบเสร็จ ตามมาตรา 318
5) กรณี ลูกหนี้ ได้รบ
ั คำาสัง่ อายัดจากศาล ตามมาตรา 319
มาตรา 315 อั น การชำา ระหนี้ นั้ น ต้ อ งทำา ให้ แ ก่ ตั ว เจ้ า หนี้ หรือ แก่
บุคคลผู้มีอำา นาจรับชำา ระหนี้ แทนเจ้าหนี้ การชำา ระหนี้ ให้แก่บุคคลผู้ ไม่มี
อำานาจรับชำาระหนี้ นั้ น ถ้าเจ้าหนี้ ให้สัตยาบันก็นับว่าสมบูรณ์
มาตรา 316 ถ้าการชำาระหนี้ นั้ นได้ทำาให้แก่ผู้ครองตามปรากฏ แห่ง
สิทธิในมูลหนี้ ท่านว่าการชำาระหนี้ นั้ นจะสมบูรณ์ก็แต่เมื่อบุคคล ผู้ชำาระหนี้
ได้กระทำาการโดยสุจริต
มาตรา 317 นอกจากกรณี ท่ีกล่าวไว้ใน มาตรา ก่อน การชำาระหนี้
แก่บุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะได้รบ
ั นั้ น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์เพียงเท่าที่ตัว เจ้าหนี้
ได้ลาภงอกขึ้นแต่การนั้ น
มาตรา 318 บุคคลผู้ถือใบเสร็จเป็ นสำาคัญ ท่านนั บว่าเป็ นผู้มีสิทธิ
จะได้ชำา ระหนี้ แต่ความที่กล่าวนี้ ท่านมิให้ใช้ ถ้าบุคคลผู้ชำา ระหนี้ รู้ว่าสิทธิ
นั้ น หามีไม่ หรือไม่รู้เท่าถึงสิทธิน้ ั นเพราะความประมาทเลินเล่อของตน
มาตรา 319 ถ้ า ศาลสั ่ง ให้ ลู ก หนี้ คนที่ ส ามงดเว้ น ทำา การชำา ระหนี้
แล้ว ยังขืนชำาระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้ ของตนเองไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ ผู้ท่ีร้องขอ
ให้ ยึ ด ทรัพ ย์ จ ะเรีย กให้ ลู ก หนี้ คนที่ ส ามนั้ นทำา การชำา ระหนี้ อี ก ให้ คุ้ ม กั บ
ความเสียหายอันตนได้รบ
ั ก็ได้
อนึ่ ง ข้ อ ความซึ่ ง กล่ า วมาในวรรคข้ า งต้ น นี้ หาเป็ นข้ อ ขั ด ขวางใน
การที่ลูกหนี้ คนที่สามจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่เจ้าหนี้ ของตนเองนั้ นไม่
ดำา ขับรถไปชนกับรถของแดงซึ่งเอาประกันไว้กับบริษัทประกันภัย
รถของแดงเสี ย หายต้ อ งเสี ย ค่ า ซ่ อ ม 3,000 บาท ซึ่ ง บริษั ท ประกั น ภั ย
ชำาระให้แก่แดงไปตามสัญญาประกัน แล้วเรียกร้องให้ดำาชดใช้เงินจำานวน
ดังกล่าว ดำาเห็นว่าบริษัทประกันภัยไม่ใช่เจ้าของรถที่ถูกรถของตนชน จึง
ชำา ระให้ แก่ แดงไป การชำา ระหนี้ ของดำา เป็ นการชำา ระหนี้ โดยชอบหรือ ไม่
เพราะเหตุใด
หลักเกณฑ์ทัว่ ไปในการชำาระหนี้
การชำา ระหนี้ ให้ถูกต้องตามความประสงค์ท่ีแท้จริงของมูลหนี้ นอก
เหนื อจากเรื่องกำาหนดเวลาชำาระ และตัวบุคคลผู้มีอำานาจชำาระหนี้ และรับ
ชำาระหนี้ แล้ว ยังควรต้องคำานึ งถึงกรณี ใดอีกบ้าง อธิบายพอสังเขป
ต้องชอบด้วยวัตถุแห่งการชำา ระหนี้ สถานที่ในการชำา ระหนี้ และค่า
ใช้จ่ายในการชำาระหนี้ ตามมาตรา 320 –มาตรา 325
มาตรา 320 อั น จะบั ง คั บ ให้ เ จ้ า หนี้ รับ ชำา ระหนี้ แต่ เ พี ย งบางส่ ว น
หรือให้รบ
ั ชำาระหนี้ เป็ นอย่างอื่นผิดไปจากที่จะต้องชำาระแก่เจ้าหนี้ นั้ น ท่าน
ว่าหาอาจจะบังคับได้ไม่
มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ ยอมรับการชำาระหนี้ อย่างอื่นแทนการ ชำาระ
หนี้ ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้ นั้ นก็เป็ นอันระงับ สิ้นไป
ถ้าเพื่อที่จะทำาให้พอแก่ใจเจ้าหนี้ นั้ น ลูกหนี้ รับภาระเป็ นหนี้ อย่างใด
อย่ า งหนึ่ งขึ้ นใหม่ ต่ อ เจ้ า หนี้ ไซร้ เมื่ อกรณี เป็ นที่ สงสั ย ท่ า นมิ ใ ห้
สันนิ ษฐานว่าลูกหนี้ ได้ก่อหนี้ นั้ นขึ้นแทนการชำาระหนี้
ถ้ า ชำา ระหนี้ ด้ ว ยออก-ด้ ว ยโอน-หรือ ด้ ว ยสลั ก หลั ง ตั ๋ว เงิ น หรือ
ประทวนสิ น ค้ า ท่านว่ าหนี้ นั้ นจะระงั บสิ้ นไปต่ อ เมื่ อตั ว๋ เงิ น หรือ ประทวน
สินค้านั้ นได้ใช้เงินแล้ว
มาตรา 322 ถ้าเอาทรัพย์ก็ดี สิทธิเรียกร้องจากบุคคลภายนอกก็ดี
หรือสิ ท ธิ อ ย่ า งอื่ น ก็ ดี ให้ แทนการชำา ระหนี้ ท่ านว่ าลู กหนี้ จะต้ อ งรับ ผิ ด
เพื่อชำารุดบกพร่องและเพื่อการรอนสิทธิทำานองเดียวกับผ้ข
ู าย
มาตรา 323 ถ้ า วั ต ถุ แ ห่ ง หนี้ เป็ นอั น ให้ ส่ ง มอบทรัพ ย์ เ ฉพาะสิ่ ง
ท่านว่าบุคคลผู้ชำาระหนี้ จะต้องส่งมอบทรัพย์ตามสภาพที่เป็ นอยู่ใน เวลาที่
จะพึงส่งมอบ
ลู ก หนี้ จำา ต้ อ งรัก ษาทรัพ ย์ น้ ั นไว้ ด้ ว ยความระมั ด ระวั ง เช่ น อย่ า ง
วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง จนกว่าจะได้ส่งมอบทรัพย์น้ ั น
มาตรา 324 เมื่อมิได้มีแสดงเจตนาไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะ พึง
ชำา ระหนี้ ณ สถานที่ ใ ดไซร้ หากจะต้ อ งส่ง มอบทรัพ ย์ เ ฉพาะสิ่ ง ท่ านว่ า
ต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซ่ึงทรัพย์น้ ั นได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อ ให้เกิดหนี้ นั้ น
ส่ ว นการชำา ระหนี้ โดยประการอื่ น ท่ า นว่ า ต้ อ งชำา ระ ณ สถานที่ ซ่ึ ง เป็ น
ภูมิลำาเนาปั จจุบันของเจ้าหนี้
หลักฐานแห่งการชำาระหนี้
หลักฐานแห่งการชำา ระหนี้ มีประโยชน์อย่างไรสำา หรับผู้ชำา ระหนี้ ให้
เหตุผลตามมาตรา 326 และ มาตรา 327
หลักฐานแห่งการชำาระหนี้ มีประโยชน์ต่อลูกหนี้ สำาหรับการพิสูจน์ข้อ
เท็จจริงว่าหนี้ ได้มีการชำาระแล้ว ซึ่งหลักฐานดังกล่าว เช่น ใบเสร็จรับเงิน
หรือการเวนคืนเอกสารอันเป็ นหลักฐานแห่งหนี้ นั้ นเป็ นสิ่งที่จะสามารถนำา
มาพิสูจน์ได้ดีกว่าพยานบุคคลซึ่งอาจมีการหลงลืมหรือเบิกความเท็จได้
การจัดสรรชำาระหนี้
หลั ก เกณฑ์ ใ นเรื่อ งการจั ด สรรชำา ระหนี้ เกิ ด ขึ้ นโดยอาศั ย เหตุ ผ ล
อย่างไร และมีสาระสำาคัญอย่างไรบ้าง อธิบาย
เหตุ ผ ลในเรื่อ งการจั ด สรรชำา ระหนี้ เป็ นลำา ดั บ ก่ อ นหลั ง ก็ เ พื่ อขจั ด
ปั ญหาข้ อ โต้ ถี ย งที่ อ าจเกิ ด ขึ้ นได้ ใ นกรณี ลู ก หนี้ เป็ นหนี้ ต่ อ เจ้ า หนี้ คน
เดียวกันในมูลหนี้ หลายราย เช่น เป็ นหนี้ เงินกู้บ้าง หนี้ ค่าเช่าบ้าง หรือหนี้
รายเดี ย วกั น แต่ มี ก ารต้ อ งชำา ระหนี้ หลายอย่ า ง เช่ น เป็ นหนี้ เงิ น กู้ ต้ อ ง
ชำาระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็ นต้น แต่ลูกหนี้ ไม่สามารถชำาระหนี้ เหล่านี้
ได้หมดทุกราย (ในกรณี มีมูลหนี้ หลายราย) หรือหมดทุกอย่าง (ในกรณี
มูลหนี้ รายเดียวแต่ต้องชำา ระหลายอย่าง) ในการชำา ระหนี้ ครั้งหนึ่ งๆ หาก
ไม่ มี ก ฎหมายบั ญ ญั ติ จั ด ลำา ดั บ แห่ ง การชำา ระหนี้ ก่ อ นหลั ง ไว้ ก็ จ ะเป็ น
ผลของการขอปฏิบต
ั ิการชำาระหนี้ โดยชอบ
การวางทรัพย์
การวางทรัพย์ คืออะไร มีเหตุผลอย่างไร มีหลักเกณฑ์ที่ควรคำา นึ ง
ถึงอย่างไรบ้าง อธิบายโดยสังเขป
การวางทรัพย์เป็ นทางออกของลูกหนี้ ที่จะทำา ให้หลุดพ้นจากหนี้ ได้
หลักเกณฑ์ท่ีผู้ชำา ระหนี้ จะวางทรัพย์อันเป็ นวัตถุแห่งหนี้ ไว้เพื่อประโยชน์
แก่เจ้าหนี้ มีได้ 3 ประการคือ
1)เจ้าหนี้ บอกปั ดไม่ยอมชำาระหนี้ ทั้งๆ ที่ผู้ชำาระหนี้ ได้ขอปฏิบัติการ
ชำา ระหนี้ โดยชอบแล้ว ถ้าเป็ นการขอปฏิ บัติการชำา ระหนี้ โดยไม่ ชอบ เจ้า
หนี้ ย่อมมีสิทธิบอกปั ดได้
2)เจ้ า หนี้ ไม่ ส ามารถรับ ชำา ระหนี้ ได้ เช่ น เจ้ า หนี้ ถู ก ศาลสั ่ง ให้ เ ป็ น
บุคคลไร้ความสามารถ หรือมีเหตุขัดข้องอย่างอื่น
3)ผู้ ชำา ระหนี้ ไม่ ส ามารถจะหยั ่ ง รู้ ถึ ง สิ ท ธิ ห รือ ไม่ รู้ ตั ว เจ้ า หนี้ โดย
แน่นอน โดยมิใช่ความผิดของตน เช่น เจ้าหนี้ ตายและมีบุคคลอื่นหลาย
คนมาอ้างเป็ นผู้มีสิทธิได้รบ
ั ชำาระหนี้ เพราะเป็ นทายาทโดยธรรม
มาตรา 331 ถ้ า เจ้ า หนี้ บอกปั ดไม่ ย อมรับ ชำา ระหนี้ ก็ ดี หรือ ไม่
สามารถจะรับชำาระหนี้ ได้ก็ดี หากบุคคลผู้ชำาระหนี้ วางทรัพย์อันเป็ น วัตถุ
แห่งหนี้ ไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ แล้ว ก็ย่อมจะเป็ นอันหลุดพ้นจากหนี้
ได้ความข้อนี้ ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณี ท่ีบุคคลผู้ชำาระหนี้ ไม่สามารถจะหยัง่ รู้
ถึงสิทธิ หรือไม่รู้ตัวเจ้าหนี้ ได้แน่นอนโดยมิใช่เป็ น ความผิดของตน
มาตรา 332 ถ้าลูกหนี้ จำาต้องชำาระหนี้ ต่อเมื่อเจ้าหนี้ จะต้องชำาระหนี้
ตอบแทนด้ ว ยไซร้ ท่ า นว่ า ลู ก หนี้ จะกำา หนดว่ า ต่ อ เมื่ อเจ้ า หนี้ ชำา ระหนี้
ตอบแทนจึงให้มีสิทธิรบ
ั เอาทรัพย์ท่ีวางไว้น้ ั นก็ได้
มาตรา 333 การวางทรัพ ย์ น้ ั นต้ อ งวาง ณ สำา นั ก งานวางทรัพ ย์
ประจำาตำาบลที่จะต้องชำาระหนี้
ถ้ า ไม่ มี บ ทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง กฎหมาย หรือ กฎข้ อ บั ง คั บ เฉพาะการใน
เรื่องสำานั กงานวางทรัพย์ เมื่อบุคคลผู้ชำาระหนี้ ร้องขอ ศาลจะต้อง กำาหนด
สำานั กงานวางทรัพย์ และตั้งแต่งผู้พิทักษ์ท่ีวางนั้ นขึ้น
ผู้วางต้องบอกกล่าวให้เจ้าหนี้ ทราบการที่ได้วางทรัพย์น้ ั นโดยพลัน
มาตรา 334 ลูกหนี้ มีสิทธิจะถอนทรัพย์ท่ีวางนั้ นได้ ถ้าลูกหนี้ ถอน
ทรัพย์น้ ั นท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้วางทรัพย์ไว้เลย สิทธิถอนทรัพย์น้ ี เป็ น
อันขาดในกรณี ต่อไปนี้
(1) ถ้ าลู กหนี้ แสดงต่ อสำา นั กงานวางทรัพ ย์ว่ าตนยอมละสิท ธิ ท่ี
จะถอน
(2) ถ้าเจ้าหนี้ แสดงต่อสำานั กงานวางทรัพย์ว่าจะรับเอาทรัพย์น้ ั น
ปลดหนี้
1. การปลดหนี้ เป็ นวิธีการระงับหนี้ อีกวิธีหนึ่ ง กระทำาได้โดยเจ้าหนี้
แสดงเจตนาที่แจ้งชัดแต่เพียงฝ่ ายเดียวต่อลูกหนี้ โดยไม่จำาเป็ นต้องได้รบ
ั
ความยินยอมจากลูกหนี้ ว่าปลดหนี้ ให้โดยเสน่หา ไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ
ทั้งสิ้น
2. โดยปกติการปลดหนี้ กระทำาโดยวาจาก็เพียงพอแล้ว และจะปลดหนี้
ให้ท้ งั หมดหรือแต่เพียงบางส่วนก็ได้
3. การปลดหนี้ มีผลให้หนี้ ระงับลงเท่าส่วนที่เจ้าหนี้ ได้ปลดให้
หลักเกณฑ์ในการปลดหนี้
ผลของการปลดหนี้
การปลดหนี้ มีหลักเกณฑ์ท่ีเป็ นสาระสำาคัญอย่างไรบ้าง และมีผลตาม
กฎหมายอย่างไร อธิบาย
นายโตเป็ นหนี้ เงินกู้นายเล็กอยู่ 1,000 บาท ต่อมานายโตกลายเป็ น
บุคคลที่มีหนี้ สินล้นพ้นตัว นายเล็กเกิดความเบื่อหน่ายในการติดตามทวง
ให้ น ายโตชำา ระหนี้ รายนี้ แก่ ต น จึ ง มี จ ดหมายแจ้ ง ไปยั ง นายโตว่ า ยกหนี้
1,000 บาท นี้ ให้นายโตทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย ต่อมานายเล็กตาย และ
นายโตได้ทราบข่าวการตายของนายเล็กก่อนที่นายโตจะเปิ ดจดหมายของ
นายเล็ กออกอ่ าน ถ้ าทายาทของนายเล็ กมาเรีย กร้ อ งให้ น ายโตชำา ระหนี้
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 9
3. เมื่อมีเหตุท่ีทำาให้สิทธิเรียกร้องและความรับผิดในหนี้ รายใดตกไปอยู่
กับบุคคลคนเดียวกัน ย่อมเป็ นผลให้หนี้ นั้ นระงับสิ้นไปเพราะหนี้ เกลื่อน
กลืนกัน
หักกลบลบหนี้
1. การหักกลบลบหนี้ กระทำาได้เมื่อบุคคลสองคนต่างเป็ นเจ้าหนี้ ลูกหนี้
ซึ่งกันและกัน ในมูลหนี้ สองรายซึ่งถึงกำาหนดชำาระ โดยฝ่ ายที่ต้องการให้มี
การหักกลบลบหนี้ แสดงเจตนาเพียงฝ่ ายเดียวไปยังคู่กรณี โดยไม่จำาต้อง
ได้รบ
ั ความยินยอมจากอีกฝ่ ายนั้ น
2. การหักกลบลบหนี้ อาจกระทำาไม่ได้แม้จะเข้าหลักเกณฑ์ทัว่ ไปของ
การหักกลบลบหนี้ เนื่ องจากมีกรณี ท่ีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้หลายกรณี
ด้วยกัน
3. การหักกลบลบหนี้ มีผลทำาให้หนี้ ระงับไปเท่าส่วนที่ตรงกันในมูลหนี้
หลักเกณฑ์และวิธีการในการหักกลบลบหนี้
การหั ก กลบลบหนี้ มี ลั ก ษณะทั ่ว ไปและวิ ธี ก ารที่ จ ะต้ อ งพิ จ ารณา
อย่ า งไรบ้ า ง อธิ บ าย และเหตุ ใ ดจึ ง มี ก ารหั ก กลบลบหนี้ กั น ได้ แ ม้ จ ะ
เป็ นการขืนใจคู่กรณี อีกฝ่ ายหนึ่ ง
สรุปหลักเกณฑ์ท่ีจะต้องพิจารณาคือ (มาตรา 341 342 343)
1) เป็ นกรณี ท่ีบุคคล 2 คน มีความผูกพันเป็ นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ ซึ่งกัน
และกั น ในหนี้ สองรายและหนี้ ดั ง กล่ า วนั้ นฟ้ องร้ อ งบั ง คั บ กั น ได้ ต าม
กฎหมาย
2) หนี้ ทั้งสองรายนั้ นมีวัตถุเป็ นอย่างเดียวกัน
3) หนี้ ทั้งสองรายนั้ นต่างถึงกำาหนดชำาระในเวลาที่มีการขอหักกลบ
ลบหนี้
กรณีท่ีหักกลบลบหนี้ กันไม่ได้
ข้อห้ามมิให้มีการหักกลบลบหนี้ มีก่ีกรณี อย่างไรบ้าง อธิบายพอ
เป็ นสังเขป
จากมาตรา 341 และมาตรา 344-347 สรุปได้คือ จะหักลบกลบ
หนี้ กันไม่ได้ถ้า
1) สภาพแห่งหนี้ ไม่เปิ ดช่องให้กระทำาได้
2) คู่กรณี แสดงเจตนาไม่ให้มีการหักกลบลบหนี้
3) สิทธิเรียกร้องนั้ นเป็ นสิทธิเรียกร้องที่ยังมีข้อต่อสู้
4) หนี้ นั้ นเกิดจากการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
5) หากเป็ นสิทธิเรียกร้องที่ศาลสัง่ ยึดไม่ได้ก็ขอหักกลบลบหนี้ ไม่ได้
6) เป็ นกรณี ซ่ึงศาลสัง่ ห้ามลูกหนี้ ใช้เงินแก่ลูกหนี้ แล้ว
ผลของการหักกลบลบหนี้
การหักกลบลบหนี้ ทำาให้เกิดผลทางกฎหมายอย่างไรบ้าง อธิบาย
การหักกลบลบหนี้ มี 4 ประการ
1) ผลโดยตรงตามมาตรา 341 คือ เมื่อมีการหักกลบลบหนี้ แล้ว
หนี้ ของทั้งสองฝ่ ายก็ได้ระงับสิ้นไปเท่าส่วนจำา นวนที่ตรงกัน เช่น ถ้าต่าง
เป็ นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ ด้วยเงิน 100 บาทเท่ากัน เมื่อมีการหักกลบลบหนี้ ก็มี
ผลทำาให้หนี้ ระงับไปโดยสิ้นเชิงทั้งคู่ แต่ถ้าทั้งสองรายมีจำานวนไม่เท่ากัน
เมื่อมีการหักกลบลบหนี้ ผลก็จะเป็ นไปตามมาตรา 341 ที่ว่าลูกหนี้ ฝ่ าย
แปลงหนี้ ใหม่
บทนำา
การแปลงหนี้ ใหม่มีลักษณะแตกต่างจากเรื่องต่อไปนี้ อย่างไร
1. การชำาระหนี้ อย่างอื่นตามมาตรา 321
2. การโอนสิทธิเรียกร้อง
3. การรับช่วงสิทธิ
หลักเกณฑ์ตามมาตรา 321 306 และมาตรา 226 และ 229
มาตรา 321 ถ้าเจ้าหนี้ ยอมรับการชำา ระหนี้ อย่างอื่นแทนการชำา ระ
ห นี้ ที่ ไ ด้ ต ก ล ง กั น ไ ว้ ท่ า น ว่ า ห นี้ นั้ น ก็ เ ป็ น อั น ร ะ งั บ สิ้ น ไ ป
ถ้าเพื่อที่จะทำาให้พอแก่ใจเจ้าหนี้ นั้ น ลูกหนี้ รับภาระเป็ นหนี้ อย่างใด
อ ย่ าง ห นึ่ ง ขึ้ น ใ ห ม่ ต่ อ เ จ้ า ห นี้ ไ ซ ร้ เ มื่ อ ก ร ณี เ ป็ น ที่ ส ง สั ย ท่ า น มิ ใ ห้
สันนิ ษฐานว่าลูกหนี้ ได้ก่อหนี้ นั้ นขึ้นแทนการชำาระหนี้
ถ้ า ชำา ระหนี้ ด้ ว ยออก-ด้ ว ยโอน-หรือ ด้ ว ยสลั ก หลั ง ตั ๋ว เงิ น หรือ
ประทวนสิ น ค้ า ท่านว่ าหนี้ นั้ นจะระงั บสิ้ นไปต่ อ เมื่ อตั ว๋ เงิ น หรือ ประทวน
สินค้านั้ นได้ใช้เงินแล้ว
มาตรา 306 การโอนหนี้ อันจะพึงต้องชำา ระแก่เจ้าหนี้ คนหนึ่ งโดย
เฉพาะเจาะจงนั้ น ถ้าไม่ทำา เป็ นหนั งสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่ งการ โอน
หนี้ นั้ นท่านว่าจะยกขึ้นเป็ นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้
หลักเกณฑ์ของการแปลงหนี้ ใหม่
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแปลงหนี้ ใหม่ มีสาระสำาคัญอย่างไรบ้าง
อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
หลักเกณฑ์สำาคัญตามมาตรา 349-351
มาตรา 349 เมื่อคู่กรณี ท่ีเ กี่ย วข้ องได้ทำา สั ญญาเปลี่ ยนสิ่ง ซึ่งเป็ น
สาระสำา คั ญ แห่ ง หนี้ ไซร้ ท่ านว่ าหนี้ นั้ นเป็ นอั น ระงั บ สิ้ นไปด้ ว ยแปลงหนี้
ใหม่
ถ้าทำา หนี้ มีเงื่อนไขให้กลายเป็ นหนี้ ปราศจากเงื่อนไขก็ดี เพิ่มเติม
เงื่อนไขเข้าในหนี้ อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไขก็ดี ท่านถือว่า
เป็ นอันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็ นสาระสำาคัญแห่งหนี้ นั้ น
ถ้าแปลงหนี้ ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติ
ทั้ ง ห ล า ย แ ห่ ง ป ร ะ ม ว ล ก ฎ ห ม า ย นี้ ว่ า ด้ ว ย โ อ น สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง
มาตรา 350 แปลงหนี้ ใหม่ ด้ ว ยเปลี่ ย นตั ว ลู ก หนี้ นั้ น จะทำา เป็ น
สัญญาระหว่างเจ้าหนี้ กับลูกหนี้ คนใหม่ก็ได้ แต่จะทำาโดยขืนใจลูกหนี้ เดิม
หาได้ไม่
มาตรา 351 ถ้ า หนี้ อั น จะพึ ง เกิ ด ขึ้ นเพราะแปลงหนี้ ใหม่ น้ ั นมิ ไ ด้
เกิด มีข้ ึนก็ดี ได้ยกเลิกเสียเพราะมูลแห่งหนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ
เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ งอันมิรู้ถึงคู่กรณี ก็ดี ท่านว่าหนี้ เดิมนั้ น ก็ยังหา
ระงับสิ้นไปไม่
ผลของการแปลงหนี้ ใหม่
การแปลงหนี้ ใหม่ทำา ให้เกิดผลในทางกฎหมายในหนี้ นั้ น แตกต่าง
จากความระงับหนี้ ในประการอื่นที่ได้ศึกษามาแล้ว เช่นการชำา ระหนี้ การ
ปลดหนี้ การหักกลบลบหนี้ อย่างไร อธิบายให้เหตุผลประกอบ
หลักในมาตรา 349 ซึ่งมีผลเกี่ยวเนื่ องไปถึงมาตรา 352
การแปลงหนี้ ใหม่ ทำา ให้ เ กิ ด ผลโดยตรงตามที่ บั ญ ญั ติ ไ ว้ ใ นมาตรา
349 วรรค 1 ซึ่งบัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า หนี้ เก่าเป็ นอันระงับสิ้นไปโดยมีหนี้
ใหม่เข้าผูกพันแทนที่
มาตรา 349 เมื่อคู่กรณี ท่ีเ กี่ย วข้ องได้ทำา สั ญญาเปลี่ ยนสิ่ง ซึ่งเป็ น
สาระสำา คั ญ แห่ ง หนี้ ไซร้ ท่ านว่ าหนี้ นั้ นเป็ นอั น ระงั บ สิ้ นไปด้ ว ยแปลงหนี้
ใหม่
ถ้าทำา หนี้ มีเงื่อนไขให้กลายเป็ นหนี้ ปราศจากเงื่อนไขก็ดี เพิ่มเติม
เงื่อนไขเข้าในหนี้ อันปราศจากเงื่อนไขก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไขก็ดี ท่านถือว่า
เป็ นอันเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็ นสาระสำาคัญแห่งหนี้ นั้ น
ถ้าแปลงหนี้ ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติ
ทั้ ง ห ล า ย แ ห่ ง ป ร ะ ม ว ล ก ฎ ห ม า ย นี้ ว่ า ด้ ว ย โ อ น สิ ท ธิ เ รี ย ก ร้ อ ง
มาตรา 350 แปลงหนี้ ใหม่ ด้ ว ยเปลี่ ย นตั ว ลู ก หนี้ นั้ น จะทำา เป็ น
สัญญาระหว่างเจ้าหนี้ กับลูกหนี้ คนใหม่ก็ได้ แต่จะทำาโดยขืนใจลูกหนี้ เดิม
หาได้ไม่
มาตรา 351 ถ้ า หนี้ อั น จะพึ ง เกิ ด ขึ้ นเพราะแปลงหนี้ ใหม่ น้ ั นมิ ไ ด้
เกิด มีข้ ึนก็ดี ได้ยกเลิกเสียเพราะมูลแห่งหนี้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ
หนี้ เกลื่อนกลืนกัน
1. หนี้ โดยทัว่ ๆ ไปอาจเกลื่อนกลืนกันได้ถ้าสิทธิและความรับผิดในหนี้
รายใดรายหนึ่ ง มาตกอยู่ในบุคคลคนเดียวกัน
2. การที่หนี้ เกลื่อนกลืนกันไปในบุ ค คลคนเดี ยวกัน มี ผลทำา ให้ห นี้ นั้ น
ระงับสิ้นไปตลอดถึงหนี้ อุปกรณ์ด้วย
3. มีกรณี ท่ีบุคคลจะอ้างว่าหนี้ ระงับสิ้นไปเพราะเหตุท่ีมีการเกลื่อนกลืน
กันไม่ได้ หากหนี้ นั้ นตกไปอยู่บังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก หรือเมื่อ
มีการสลักหลังตัว๋ เงินกลับคืนตามข้อบัญญัติในเรื่องตัว๋ เงิน
หลักเกณฑ์ในเรื่องหนี้ เกลื่อนกลืนกัน
ผลของการที่หนี้ เกลื่อนกลืนกัน
การที่หนี้ เกลื่อนกลืนกันได้มีหลักเกณฑ์อย่างไร และทำาให้เกิดผลอ
ย่างไร อธิบาย
หลักเกณฑ์ตาม มาตรา 353
กรณีท่ีหนี้ เกลื่อนกลืนกันไม่ได้
มีกรณี ใดบ้างที่หนี้ ไม่ระงับเพราะเหตุท่ีจะอ้างที่หนี้ เกลื่อนกลืนกัน
ไม่ได้ อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
อ้างตามมาตรา 353 ตอนท้าย ซึ่งมีอยู่ 2 กรณี คือ
1) เมื่อหนี้ นั้ นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 10
หน่วยที่ 11 ความรับผิดเพื่อละเมิดในการกระทำาของตนเอง
1. ความรับผิดเพื่อละเมิดของบุคคลในการกระทำาของตน ต้องมีการก
ระทำาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ โดยผิดกฎหมายและมีความเสียหาย
แก่บุคคลอื่น และความเสียหายนั้ นเป็ นผลมาจากการกระทำาของผู้กระทำา
ความเสียหาย
2. ผู้เยาว์และบุคคลวิกลจริตอาจกระทำาละเมิดและมีความรับผิดได้ ซึ่ง
แล้วแต่ข้อเท็จจริงเป็ นกรณี ไป
3. การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่ าฝื นความจริงและ
การร่ว มกั นกระทำา ละเมิ ดก็ เป็ นความรับผิ ดของบุค คลในการกระทำา ของ
ตนเอง
11.1.1 ความหมายของการกระทำา
ความเคลื่อนไหวของบุคคลในเวลาหลับ ถือว่าเป็ นการกระทำา หรือ
ไม่
ความเคลื่ อ นไหวของบุ ค คลในเวลาหลั บ ไม่ ถือ ว่ าเป็ นการกระทำา
เพราะแม้ว่าจะมีความเคลื่อนไหวในอิรย
ิ าบถ แต่ก็ถือไม่ได้ว่าบุคคลที่หลับ
รู้สำานึ กในความเคลื่อนไหวในอิรย
ิ าบถของตน
ยกตัวอย่างการงดเว้นไม่กระทำาตามหน้าที่อันเกิดจากความสัมพันธ์
ทางข้อเท็จจริง
11.1.2 การกระทำาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
ความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริง จะถือว่าเป็ นจงใจได้หรือไม่ ก . เห็น
ร่มของ ข. วางไว้บนโต๊ะทำางานของตน คิดว่าเป็ นร่มของตนที่หายไปแล้ว
และได้คืนมาแล้ว เพราะมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง จึงหยิบเอาไปเป็ น
ของตน ดังนี้ ก. ได้กระทำาต่อ ข. โดยจงใจหรือไม่
จงใจหมายถึ ง ความรู้ สำา นึ ก ว่ า จะเกิ ดผลเสี ย หายแก่ บุ ค คลอื่ นจาก
การกระทำาของตน ฉะนั้ นความเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงจะถือว่าเป็ นจงใจหา
ได้ไม่
ที่ ก. คิดว่าร่มของ ข. เป็ นของตน จึงมีความเข้าใจผิดในข้อ เท็ จ
จริง ก. มิได้กระทำาต่อ ข. โดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ
11.1.3 การกระทำาโดยผิดกฎหมาย
ที่ว่า “โดยผิดกฎหมาย” ตามมาตรา 420 นั้ น เข้าใจว่าอย่างไร
คำาว่า “โดยผิดกฎหมาย” ตามมาตรา 420 มีความหมายแต่เพียง
ว่า “มิชอบด้วยกฎหมาย” ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 421 เท่านั้ น ถ้า
ได้ ก ระทำา โดยไม่ มี สิ ท ธิ ห รือ ข้ อ แก้ ตั ว ตามกฎหมายให้ ทำา แล้ ว ก็ ถื อ ว่ า
เป็ นการกระทำาโดยผิดกฎหมาย
มาตรา 420 ผู้ใ ดจงใจหรือ ประมาทเลิ น เล่ อ ทำา ต่ อบุ ค คลอื่ นโดย
ผิ ด กฎหมายให้ เ ขาเสี ย หายถึ ง แก่ ชี วิ ต ก็ ดี แก่ ร่ า งกายก็ ดี อนามั ย ก็ ดี
เสรีภ าพก็ ดี ทรัพ ย์ สิ น หรือ สิ ท ธิ อ ย่ า งหนึ่ งอย่ า งใดก็ ดี ท่ า นว่ า ผู้ น้ ั นทำา
ละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้ น
มาตรา 421 การใช้สิทธิซ่ึงมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้ น
ท่านว่าเป็ นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
การที่ เ จ้ า หน้ า ที่ ตำา รวจเข้ า จั บ กุ ม ผู้ ต้ อ งหาว่ า กระทำา ความผิ ด ตาม
หน้าที่จะเป็ นการใช้สิทธิท่ีมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหาเสมอไป
หรือไม่
เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหา ไม่เสมอไป ถ้าเป็ นการจับตามหน้าที่
เว้นแต่เป็ นการใช้สิทธิท่ีมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้ถูกจับแต่ถ่ายเดียว
หรือเป็ นการจับที่ไม่ถูกต้องตามวิธีการที่เหมาะสมหรือผิดกาลเทศะ เช่น
จับผู้ต้องหาว่ากระทำาผิดโดยแกล้งไปจับขณะที่เข้าพิธีสมรสเป็ นต้น
11.1.4 การกระทำาที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น
ที่เรียกว่า “สิทธิน้ ั น” เข้าใจว่าอย่างไร ยกตัวอย่าง
ในบทบัญ ญัติมาตรา 420 มีค วามจำา เป็ นต้อ งบั ญญั ติคำา ว่ า “ชี วิ ต
ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน” ไว้อย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด
ไม่มีความจำาเป็ นต้องบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ ย่อมอยู่ในความหมาย
ของคำาว่า “สิทธิ” อย่างหนึ่ งอย่างใด ดังที่ได้บัญญัติในมาตรา 420
มาตรา 420 ผู้ใ ดจงใจหรือ ประมาทเลิ น เล่ อ ทำา ต่ อบุ ค คลอื่ นโดย
ผิ ด กฎหมายให้ เ ขาเสี ย หายถึ ง แก่ ชี วิ ต ก็ ดี แก่ ร่ า งกายก็ ดี อนามั ย ก็ ดี
เสรีภ าพก็ ดี ทรัพ ย์ สิ น หรือ สิ ท ธิ อ ย่ า งหนึ่ งอย่ า งใดก็ ดี ท่ า นว่ า ผู้ น้ ั นทำา
ละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้ น
มาตรา 421 การใช้สิทธิซ่ึงมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้ น
ท่านว่าเป็ นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
11.2.1 หมิ่นประมาททางแพ่ง
ก. กล่าวหาว่า ข. ซึ่งเป็ นเจ้าพนั กงานกินสินบน ค. ก็นำาความที่ ก.
กล่าวหานั้ นเที่ยวพูดแก่บุคคลทัว่ ไปว่า ข. กินสินบน โดยบอกว่ารู้จาก ก.
อีกทีหนึ่ ง เท็จจริงอย่างไรอยู่ท่ี ก. ทั้งๆที่ ค. ก็รู้ว่าตามที่กล่าวหานั้ น ไม่
เป็ นความจริงแต่ประการใด ดังนี้ ค. ต้องรับผิดต่อ ข. หรือไม่
11.2.2 การพิพากษาคดี
ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ ง ก. ฟ้ อง ข. ว่า ข. บุกรุกเข้ามาในที่ดินของ
ก. ศาลพิพากษายกฟ้ องอ้างว่า ข. ไม่มีเจตนาบุกรุก คดีถึงที่สุด ดังนี้ ก.
จะฟ้ อง ข. เป็ นคดี แพ่ ง ว่ า ข. บุ ก รุ ก เข้ าไปในที่ ดิน ของ ก. อั น เป็ นการ
กระทำาละเมิดโดยประมาทเลินเล่อและเรียกค่าเสียหาย จะได้หรือไม่
ตามมาตรา 424 ดังนั้ น ก. จึงฟ้ อง ข. เพื่อเรียกค่าเสียหายในมูล
ละเมิดได้
มาตรา 422 ถ้ า ความเสี ย หายเกิ ด แต่ ก ารฝ่ าฝื นบทบั ง คั บ แห่ ง
กฎหมายใดอันมีท่ีประสงค์เพื่อจะปกป้ องบุคคลอื่น ๆ ผู้ใดทำาการ ฝ่ าฝื น
เช่นนั้ น ท่านให้สันนิ ษฐานไว้ก่อนว่าผู้น้ ั นเป็ นผู้ผิด
11.2.3 การร่วมกันทำาละเมิด
ที่ว่าร่วมกันกระทำาละเมิด หมายความว่าอย่างไร
การร่ ว มกั น ทำา ละเมิ ด จะต้ อ งมี เ จตนาหรือ ความมุ่ ง หมายร่ ว มกั น
และมีการกระทำาร่วมกันเพื่อความมุ่งหมายร่วมกันนั้ น
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 11
หน่วยที่ 12 ความรับผิดในการกระทำาของบุคคลอื่น
ความรับผิดในผลแห่งการละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้าง
1. ที่ว่า “นายจ้าง” “ลูกจ้าง” หมายถึงความสัมพันธ์ตามสัญญาจ้าง
แรงงาน
2. ความรับผิดในผลแห่งการละเมิดของลูกจ้างในทางการที่จ้าง เป็ น
ความรับผิดในการกระทำาของบุคคลอื่น
3. ความหมายของ “ในทางการที่จ้าง” ไม่ใช่เรื่องมอบอำานาจให้กระทำา
แต่เป็ นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานที่จ้าง
4. เมื่ อเป็ นเหตุ ล ะเมิ ด ที่ เ กิ ด ขึ้ นในทางการที่ จ้ า งแล้ ว วิ ธี ป ฏิ บั ติ ข อง
ลูกจ้างหรือกรณี ท่ีนายจ้างมีคำาสัง่ ห้ามไม่เป็ นข้อต่อสู้ของนายจ้าง
5. โดยเหตุท่ีตัวแทนมิใช่ลูกจ้าง จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งสิทธิของตัวการ
ที่จะควบคุมตัวแทน โดยปกติตัวแทนย่อมมีความรับผิดแต่ผู้เดียว ตัวการ
ไม่ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ตัวแทนก่อขึ้น
ลักษณะของนายจ้างลูกจ้างและในทางการที่จ้าง
การละเมิดโดยประมาทเลินเล่อ
การละเมิดโดยจงใจ
ยกตัวอย่างเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นโดยจงใจ นอกจากตัวอย่างใน
เอกสาร
ลักษณะตัวการตัวแทนและความรับผิดของตัวการ
ก. เป็ นตัวแทนขายรถยนต์ของบริษัท ข. ก. ในฐานะตัวแทนตกลง
ขายรถยนต์คันหนึ่ งให้แก่ ส. โดยตกลงกันว่าเครื่องอะไหล่ทุกชิ้นต้องเป็ น
ของแท้ กรรมสิทธิใ์ นรถได้โอนมาเป็ นของ ส. แล้ว ก่อนที่จะนำา รถไปส่ง
มอบแก่ ส. ก. ได้ถอดเครื่องอะไหล่แท้ของรถออกเป็ นประโยชน์แก่ ตน
แล้วเอาเครื่องอะไหล่เทียมใส่แทน แล้วนำา รถมาส่งมอบแก่ ส. โดยที่ ส.
ลูกค้าไม่ทราบถึงความจริงดังกล่าว ดังนี้ บริษัท ข. ต้องร่วมรับผิดต่อ ส.
หรือไม่
การที่ ก. ถอดเอาเครื่อ งอะไหล่ แ ท้ อ อก แล้ ว เอาของเที ย มใส่ ไ ว้
แทนนั้ นเป็ นเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นในขอบเขตของการปฏิบัติตามหน้าที่หรือ
โดยฐานได้ทำาการแทนบริษัท ข. ข. จึงต้องร่วมรับผิดต่อ ส. ด้วย
ชมรมนั กศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดราชบุรี
156
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำาของ
1. ความรับผิดชอบของผู้ว่าจ้างทำาของมิใช่เรื่องความรับผิดในการกระ
ทำาของบุคคลอื่น ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำาของเป็ นความรับผิดของผู้ว่า
จ้าง ในการกระทำาของตนตามกฎเกณฑ์ท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 420
2. ผู้ว่าจ้างทำาของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รบ
ั จ้างได้ก่อให้
เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำาการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะ
เป็ นผู้ ผิ ดในส่ ว นการงานที่ สั ่ง ให้ ทำา หรือ ในคำา สั ง่ ที่ ต นให้ ไ ว้ หรือ ในการ
เลือกหาผู้รบ
ั จ้าง
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำาของไม่เป็ นความรับผิดในการกระทำาของ
บุคคลอื่น
ที่ ว่ า บทบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยความรั บ ผิ ด ของผู้ ว่ า จ้ า งทำา ของ ไม่ ใ ช่
บทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดในการกระทำาของบุคคลอื่นนั้ น ท่านเข้าใจว่า
อย่างไร
มาตรา 428 ผู้ว่าจ้างทำา ของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้
รับ จ้ างได้ ก่อ ให้ เ กิ ดขึ้ นแก่ บุ ค คลภายนอกในระหว่ า งทำา การงานที่ ว่ า จ้ า ง
เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็ นผู้ผิดในส่วนการงานที่สัง่ ให้ทำา หรือในคำาสัง่ ที่ตน ให้
ไว้หรือในการเลือกหาผู้รบ
ั จ้าง
ความรับผิดของผู้ว่าจ้างทำาของ
ที่ว่าผู้ว่าจ้างเป็ นผู้ผิดตามมาตรา 428 นั้ น จะเข้าใจว่าอย่างไร
ที่ว่าผู้ว่าจ้างเป็ นผู้ติดตามมาตรา 428 นั้ น หมายความว่าผู้ว่าจ้าง
กระทำาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา
420
มาตรา 420 ผู้ใ ดจงใจหรือ ประมาทเลิ น เล่ อ ทำา ต่ อบุ ค คลอื่ นโดย
ผิ ด กฎหมายให้ เ ขาเสี ย หายถึ ง แก่ ชี วิ ต ก็ ดี แก่ ร่ า งกายก็ ดี อนามั ย ก็ ดี
เสรีภ าพก็ ดี ทรัพ ย์ สิ น หรือ สิ ท ธิ อ ย่ า งหนึ่ งอย่ า งใดก็ ดี ท่ า นว่ า ผู้ น้ ั นทำา
ละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้ น
ความรับผิดของบิดาหรือผู้อนุบาลในการกระทำาละเมิด ของผู้เยาว์หรือ
บุคคลวิกลจริตและความรับผิดชอบของครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคล
อื่นในการกระทำาละเมิดของผู้ไร้ความสามารถ
1. หลั ก เกณฑ์ ค วามรับ ผิ ด ทางละเมิ ด ของผู้ เ ยาว์ ห รือ บุ ค คลวิ ก ลจริต
ย่อ มเป็ นไปตามมาตรา 420 แต่ มิได้ หมายความว่าถ้ าผู้เ ยาว์ห รือ บุค คล
วิกลจริตก่อความเสียหายขึ้นแล้วจะต้องรับผิดฐานละเมิดทุกกรณี ไป
2. บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็ นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยัง
ต้ อ งรับ ผิ ด ในผลที่ ต นทำา ละเมิ ด บิ ด ามารดาหรือ ผู้ อ นุ บาล หรือ ครู บ า
อาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่นที่รบ
ั ดูแล ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย
3. บิดามารดาหรือผู้อนุ บาลที่มีหน้าที่ดูแล อาจต้องรับผิดละเมิดเป็ น
ส่วนตัวโดยการกระทำาผิดตามมาตรา 420
ความรับผิดของผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตทางละเมิด
ผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริต จะต้องรับผิดในความเสียหายที่ตนก่อ
ขึ้นเสมอไปหรือไม่
ชมรมนั กศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดราชบุรี
158
ความรับผิดของบิดามารดาหรือผู้อนุบาล
ก. มาเยี่ยม ข. เพื่อนกัน โดยอุ้ม น. บุตร ซึ่งเป็ นทารกอายุ 6
เดือน มาด้วย ก. นึ กสนุ กคิดจะแกล้ง ข. เล่น โดยรู้ว่าบุตรของตนจวนจะ
ได้เวลาปั สสาวะออกมาแล้ว จึงส่งเด็กให้ ข. อุ้ม เด็กปั สสาวะรด ข. จน
เปี ยกโชก ดังนี้ ก. และ น. จะต้องรับผิดต่อ ข. หรือไม่
ก. ต้องรับผิดต่อ ข. เพราะได้กระทำาโดยจงใจโดยใช้เด็กชาย น.
บุตรของตนเป็ นเครื่องมือ ส่วนเด็กชาย น. ไม่ต้องรับผิดต่อ ข. เพราะ
เป็ นเด็กทารกอายุเพียง 6 เดือน ไม่มีการกระทำาโดยจงใจหรือประมาท
เลินเล่อ
ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล
น้อยอายุ 5 ขวบ ขณะที่อยู่กับนิ ดซึ่งเป็ นมารดา เกิดทะเลาะกับปู
ซึ่งเป็ นเพื่อนเด็กด้วยกัน ได้ใช้ไม้ไล่ตีปูบาดเจ็บดังนี้ นิ ดและน้อยต้องรับ
ผิดต่อปูหรือไม่
เด็กชายน้อยต้องรับผิดต่อเด็กชายปู เพราะการใช้ไม้ไล่ตีเป็ นการ
กระทำา ละเมิดตามมาตรา 420 429 นิ ดซึ่งเป็ นมารดาจึงต้องร่วมรับผิด
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 12
หน่วยที่ 13 ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากทรัพย์
1. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทรัพย์เป็ นความรับผิดที่ไม่
ต้องมีการกระทำาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
2. ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ เจ้าของหรือบุคคลผู้รบ
ั เลี้ยงรับ
รักษาไว้แทนเจ้าของสัตว์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย
3. ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น
ก่อสร้างไว้ชำารุดบกพร่องหรือบำารุงรักษาไม่เพียงพอ ผ้ค
ู รองโรงเรือน หรือ
สิ่งปลูกสร้างนั้ นๆ จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
4. บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดเพราะของ
ตกหล่นจากโรงเรือนหรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร
5. ผู้ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยกำาลังเครื่องจักรกล
จะต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่ย านพาหนะนั้ น ผู้ ครอบครอง
ทรัพย์อันตรายก็จะต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์น้ ั นด้วย
13.1 ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์
1. บุคคลอาจใช้สัตว์เป็ นเครื่องมือก่อการละเมิดได้ตามมาตรา 420 ซึ่ง
ต้องกระทำาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ใช่เรื่องความรับผิดในความ
เสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ เป็ นความรับผิดของบุคคลในการกระทำาของ
ตนเอง
2. ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์เป็ นเรื่องที่บุคคลที่
ต้องรับผิด มีความบกพร่องในการดูแล มิได้กระทำาโดยจงใจหรือประมาท
เลินเล่อ กฎหมายจึงได้จำากัดตัวบุคคลที่ต้องรับผิดเอาไว้ คือเจ้าของสัตว์
และบุคคลผู้รบ
ั เลี้ยงรับรักษาไว้ แทนเจ้าของ แต่มีข้อยกเว้นว่า ถ้าได้ใ ช้
ความระมั ดระวั ง อั น สมควรแก่ การเลี้ ยงการรักษาตามชนิ ดและวิ สั ย ของ
สัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายย่อมจะเกิด
ขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้ น ก็พ้นความรับผิด
3. บุคคลที่ต้องรับผิดจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลที่เร้าหรือยัว่ สัตว์โดย
ละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อ่ ืนอันมาเร้าหรือยัว่ สัตว์ก็ได้
4. คำา ว่ า “โดยละเมิด” ตามมาตรา 433 วรรค 2 มิได้ห มายความว่ า
เป็ นการกระทำาโดยละเมิดดังที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 420 ซึ่งเป็ นแม่บท
อันเป็ นบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในการกระทำา ของตนเอง
แต่เป็ นเรื่องที่บุคคลที่เร้าหรือยัว่ สัตว์กระทำาไปโดยไม่มีสิทธิ
เสรีภ าพก็ ดี ทรัพ ย์ สิ น หรือ สิ ท ธิ อ ย่ า งหนึ่ งอย่ า งใดก็ ดี ท่ า นว่ า ผู้ น้ ั นทำา
ละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้ น
มาตรา 433 ถ้ าความเสี ย หายเกิ ด ขึ้ นเพราะสั ต ว์ ท่ า นว่ าเจ้ า ของ
สั ต ว์ ห รือ บุ ค คลผู้ ร บ
ั เลี้ ยงรับ รัก ษาไว้ แ ทนเจ้ า ของ จำา ต้ อ งใช้ ค่ า สิ น ไหม
ทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิด แต่
สัตว์น้ ั น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวัง อันสมควร แก่การ
เลี้ ยงการรักษาตามชนิ ด และวิ สั ยของสั ตว์ห รือ ตามพฤติ การณ์ อย่ างอื่ น
หรือพิ สู จน์ ได้ ว่ าความเสี ย หายนั้ นย่ อ มจะต้ อ งเกิ ด มี ข้ ึ นทั้ ง ที่ ได้ ใ ช้ ค วาม
ระมัดระวังถึงเพียงนั้ น
อนึ่ ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดัง่ กล่าวมาในวรรคต้นนั้ น จะใช้สิทธิ
ไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ท่ีเร้าหรือยัว่ สัตว์น้ ั นโดยละเมิด หรือเอาแก่ เจ้าของ
สัตว์อ่ ืนอันมาเร้าหรือยัว่ สัตว์น้ ั น ๆ ก็ได้
13.1.2 ความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์
ความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ ต้องมีการกระทำาของสัตว์หรือไม่
ต้องมีการกระทำาของสัตว์
13.1.3 บุคคลที่ตอ
้ งรับผิดและข้อยกเว้นความรับผิด
ชมรมนั กศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดราชบุรี
165
(1) เด็ ก ชาย ก. รู้ ดี ว่ า การที่ ต นทำา ดั ง นั้ นสุ นั ขจะวิ่ ง เข้ า ไป
ทำาความเสียหายแก่ต้นไม้ในสวนของ ค.
(2) เด็ ก ชาย ก. ไม่ รู้ สำา นึ ก ว่ า สุ นั ข จะวิ่ ง เข้ า ไปทำา ความเสี ย
หายแก่ต้นไม้ในสวนของ ค. และไม่ประมาทเลินเล่อ
ดังนี้ เด็กชาย ก. หรือ ข. ต้องรับผิดต่อ ค. และเด็กชาย ก. ต้องรับ
ต่อ ข. หรือไม่
แยกตอบได้ดังนี้
1. เด็กชาย ก. กระทำาละเมิดต่อ ค. ตามมาตรา 420 โดยใช้
สุนัขของ ข. เป็ นเครื่องมือจึงต้องรับผิดต่อ ค. โดยตรง ข. ไม่ต้องรับผิด
ต่อ ค.
2. เด็กชาย ก. มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำา ต่อ ค.
ข. เจ้าของสุนัขจึงต้องรับผิดต่อ ค. ตามมาตรา 433 แต่เด็กชาย ก. เป็ น
ผู้ เ ร้ าหรือ ยัว่ สุ นั ข โดยละเมิ ดตามมาตรา 433 วรรค 2 เมื่ อ ข. ชดใช้ ค่ า
สินไหมทดแทนให้ ค. ไปแล้ว ย่อมใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากเด็กชาย ก. ได้
13.1.4 การใช้สิทธิไล่เบี้ย
ตามมาตรา 433 วรรคสอง ที่ว่าใช้สิทธิไล่เบี้ยนั้ น ท่านเข้าใจว่า
อย่างไร
ตามมาตรา 433 วรรคสอง หมายความว่าผู้ต้องรับผิดตามมาตรา
433 วรรคแรก ต้ อ งชดใช้ ค่ า สิ น ไหมทดแทนให้ ผู้ ต้ อ งเสี ย หายไปก่ อ น
แล้ ว จึ ง จะมาไล่ เ บี้ ยเอาจากผู้ ท่ี เ ล้ า หรือ ยั ่ว สั ต ว์ โ ดยละเมิ ด หรือ เอาจาก
เจ้าของสัตว์อ่ ืนอันมาเร้าหรือยัว่ สัตว์น้ ั นๆ
13.2 ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง
อย่างอื่น และของตกหล่นหรือทิ้งขว้างจากโรงเรือน
1. บุคคลอาจใช้โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นเป็ นเครื่องมือก่อการ
ละเมิดได้ตามมาตรา 420 ซึ่งมิใช่เรื่องความรับผิดในความเสียหายที่เกิด
จากโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างไว้ชำารุดหรือบำารุงรักษาไม่เพียงพอ แต่เป็ น
ความรับผิดบุคคลในการกระทำาของตนเอง
2. ความรับผิ ดในความเสีย หายที่ เกิ ดจากโรงเรือ น หรือ สิ่ ง ปลุ กสร้ าง
อย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำารุดบกพร่อง หรือบำารุงรักษาไม่เพียงพอเป็ นเรื่องที่
บุคคลที่ต้องรับผิดมีความบกพร่องในการดูแล มิได้กระทำา โดยจงใจหรือ
ประมาทเลิ น เล่ อ กฎหมายจึ ง ได้ จำา กั ด ตั ว บุ ค คลที่ ต้ อ งรับ ผิ ด เอาไว้ คื อ ผู้
ครอง แต่มีข้อยกเว้นความรับผิดว่าถ้าผู้ครองได้ใ ช้ความระมั ดระวังตาม
สมควรเพื่อปั ดป้ องมิให้เกิดความเสียหายแล้ว ผู้เป็ นเจ้าของจำาต้องใช้ค่า
สินไหมทดแทน
3. ผู้ครองหรือเจ้าของจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้อ่ ืนที่ต้องรับผิดในการ
ก่อให้เกิดความเสียหายก็ได้
4. บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะ
ของตกหล่นจากโรงเรือนนั้ น หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในอันที่มิควร
13.2.1 ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากโรงเรือนหรือสิ่งปลูก
สรัางอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำารุดบกพร่องหรือบำารุงรักษาไม่เพียงพอ
ก. พักอาศัยอยู่กับ ข. ที่บ้านของ ข. ซึ่งเป็ นบ้านเก่าแก่ทรุดโทรมที่
ข. ครอบครอง ก. เห็นฝาบ้านแผ่นหนึ่ งกำาลังจะหลุดตกลงมาอยู่แล้วและ
เห็น ค. เดินผ่านมา คิดจะแกล้ง ค. เล่น จึงใช้ไม้เคาะฝาบ้านตกลงไปถูก
ค. บาดเจ็บ ดังนี้ ก. หรือ ข. ต้องรับผิดต่อ ค.
แม้ จ ะเป็ นผู้ อ ยู่ อ าศั ย อยู่ กั บ ข. ก. ก็ ต้ อ งรับ ผิ ด ต่ อ ค. เพราะได้
กระทำา ละเมิ ด ต่ อ ค. โดยจงใจโดยใช้ ฝ าบ้ า นเป็ นเครื่อ งมื อ ตามมาตรา
13.2.2 ความรับผิดในความเสียหายเพราะของตกหล่นหรือทิ้งขว้าง
จากโรงเรือนไปในที่อันมิควร
บ้านของ ส. อยู่รม
ิ ซอยแห่งหนึ่ ง ซึ่งแต่ละครอบครัวอยู่ในบ้านหลัง
นั้ น วันหนึ่ ง อ. มาเยี่ยม ส. ที่บ้าน ขณะที่พูดกันอยู่โดยไม่จงใจหรือ
ประมาทเลินเล่อ อ. ทิ้งก้นบุหรีล
่ งไปในซอยซึ่งขณะนั้ น บ. เดินผ่านมา
พอดี บุหรีถ
่ ูกเสื้ อของ บ. มีรอยไหม้ ดังนี้ ส. หรือ อ. ต้องรับผิดต่อ บ.
อ. ไม่ได้กระทำาต่อ บ. โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่ต้องรับ
ผิดต่อ บ. ตามมาตรา 420 แต่การที่ อ. ทิ้งก้นบุหรีไ่ ปในซอยที่อาจมีคน
เดินมานั้ น เป็ นการทิ้งไปในอันที่อันมิควร ส. เป็ นผู้อยู่ในบ้านหลังนั้ น แม้
จะไม่เป็ นผู้กระทำา ก็ต้องรับผิดต่อ บ. ตาม มาตรา 436
มาตรา 435 บุคคลใดจะประสบความเสียหายอันพึงเกิดจาก โรง
เรือนหรือ สิ่ง ปลู กสร้ างอย่ างอื่ นของผู้ อ่ ื น บุ คคลผู้ น้ ั นชอบที่ จะเรีย ก ให้
จัดการตามที่จำาเป็ นเพื่อบำาบัดปั ดป้ องภยันตรายนั้ นเสียได้
13.3 ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากยานพาหนะหรือทรัพย์
อันตราย
1. บุคคลอาจใช้ยานพาหนะอย่างใดๆ อันเดินด้วยกำา ลังเครื่องจักร
กลหรือทรัพย์อันตรายเป็ นเครื่องมือก่อนการละเมิดได้ตามมาตรา 420
ดั งนี้ มิใ ช่ความรับผิ ดในความเสี ย หายที่ เ กิ ด จากยานพาหนะหรือ ทรัพ ย์
อันตราย แต่เป็ นความรับผิดของบุคคลในการกระทำาของตนเอง
2. ความรับ ผิ ดในความเสี ย หายที่ เ กิ ดจากยานพาหนะอั น เดิ น ด้ ว ย
กำา ลั ง เครื่อ งจั กรกลหรือ ทรัพ ย์ อั น ตรายเป็ นเรื่อ งที่ บุ ค คลที่ ต้ อ งรับ ผิ ด มี
ความบกพร่องในการดูแลมิได้กระทำาโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
3. กฎหมายกำา หนดตั ว บุ ค คลที่ ต้ อ งรับ ผิ ด ไว้ สำา หรับ ยานพาหนะ
ได้แก่ผู้ครอบครองหรือควบคุมสำาหรับทรัพย์อันตรายได้แก่ผู้ครอบครอง
4. กฎหมายได้บัญญัติข้อยกเว้นความรับผิดเอาไว้ คือพิสูจน์ว่าความ
เสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้ นเอง
13.3.1 การกระทำาละเมิดโดยใช้ยานพาหนะหรือทรัพย์อันตรายเป็ น
เครื่องมือ
ขณะที่ ว. กำาลังจุดไม้ขีดไฟเพื่อสูบบุหรี่ ค. แกล้งเอานำ้ามันเบ็นซิน
ซึ่งใส่อยู่ในถาดล้างเครื่องอะไหล่ รถเข้าไปใกล้ ๆ เกิดลุกลวกร่ างกาย ว.
บาดเจ็บหลายแห่ง ค. ต้องรับผิดต่อ ว. ตามบทมาตราใด
ค. กระทำาละเมิดต่อ ว. โดยใช้น้ ำามันเบนซีนเป็ นเครื่องมือ แม้ ว.
กำาลังจุดไม้ขีดเพื่อสูบบุหรี่ ค. ต้องรับผิดต่อ ว. ตาม มาตรา 420
ต. จอดรถเกุงอยู่รม
ิ เนิ นแห่งหนึ่ ง โดยใส่ห้ามล้อมือเอาไว้ แล้วนั ่ ง
เล่นอยู่ใกล้ๆ รถ ว. ต้องการจะแกล้ง ข. ซึ่งอยู่ข้างหน้ารถของ ต. ที่จอด
ไว้ จึงปล่อยห้ามล้อมือ รถจึงไหลไปถูก ข. บาดเจ็บดังนี้ ต. หรือ ว. ต้อง
รับผิดต่อ ข.
แม้ ต. จะเป็ นผู้ครอบครองรถซึ่งมิได้ว่ิงอยู่ แต่จอดไว้รม
ิ เนิ นโดย
ต. ใส่ห้ามล้อมือไว้ การที่ ว. ปล่อยห้ามล้อมือ รถไหลไปถูก ข. บาดเจ็บ
จึ ง เป็ นการกระทำา ละเมิ ด ต่ อ ข. ตาม มาตรา 420 ไม่ ใ ช่ มาตรา 437
วรรคแรก
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำา ต่อบุคคลอื่น โดย
ผิ ด กฎหมายให้ เ ขาเสี ย หายถึ ง แก่ ชี วิ ต ก็ ดี แก่ ร่ า งกายก็ ดี อนามั ย ก็ ดี
เสรีภ าพก็ ดี ทรัพ ย์ สิ น หรือ สิ ท ธิ อ ย่ า งหนึ่ งอย่ า งใดก็ ดี ท่ า นว่ า ผู้ น้ ั นทำา
ละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้ น
มาตรา 437 บุ ค คลใดครอบครองหรือ ควบคุ ม ดู แ ลยานพาหนะ
อย่ างใด ๆ อัน เดิ นด้ ว ยกำา ลั ง เครื่อ งจั กรกล บุ คคลนั้ นจะต้ อ งรับ ผิ ด
ชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้ น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการ
เสียหายนั้ นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหาย
นั้ นเอง
ความข้อนี้ ให้ใ ช้บัง คับ ได้ ตลอดถึงผู้มีไว้ในครอบครองของตนซึ่ง
ทรัพย์อันเป็ นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพหรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้
หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์น้ ั นด้วย
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 13
1. จ. คุ้นเคยกับสุนัขของ ล. ได้สอนให้สุนัขขโมยปลาสดของแม่ค้าใน
ตลาด สุนัขทำา ตามที่ จ. สอน ดังนี้ จ. หรือ ล. ต้องรับผิดต่อแม่ค้าปลา
จ. ต้องรับผิด เพราะเป็ นผู้ใช้สุนัขเป็ นเครื่องมือกระทำาละเมิด
2. ว. ยืมลิงจาก ด. เพื่อให้ข้ ึนมะพร้าว ระหว่างที่อยู่ในการเลี้ยงดูรก
ั ษา
ของ ว. ซึ่งพักผ่อนนอนหลับอยู่ ลิงเข้าไปขโมยมะพร้าวจากสวนของ ม.
ดังนี้ ว. ต้องรับผิดต่อ ม. หรือไม่ ต้องรับผิด เพราะเป็ นผ้รู ับเลี้ยงรักษาไว้
แทน ด. เจ้าของลิง
3. เด็กชายนิ ดซึ่งเป็ นเด็กซุกซนเอาก้อนหินขว้างหยอกสุนัขของนายดี
เล่นด้วยความสนุ กสนานสุนัขวิ่งหนี เข้าไปในสวนไม้ ดอกของนายมาเสีย
หาย โดยที่เด็กชายนิ ดไม่รู้สำานึ กว่าสุนัขจะวิ่งเข้าไปในสวนไม้ดอกนั้ นและ
ไม่ประมาทเลินเล่อ ดังนี้ นายดีต้องรับผิดต่อนายมาหรือ ไม่ ต้องรับผิ ด
เพราะเป็ นเจ้าของสุนัข แล้วไล่เบี้ยเอาจากเด็กชายนิ ด
4. คำาว่า “โดยละเมิด” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา
433 วรรค 2 หมายความว่า โดยไม่มีสิทธิ
ตามแต่กรณี ท่ีกฎหมายกำาหนด
9. นิ รโทษกรรมคือ ข้อ แก้ ตัว ซึ่ ง ทำา ให้ ผู้ กระทำา ไม่ ต้อ งรับ ผิ ด
ฐานละเมิด
ค่าสินไหมทดแทน
1. การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ใช่เพียงการคืนทรัพย์สิน
การใช้ราคาหรือค่าเสียหายเท่านั้ น แต่เป็ นเรื่องให้ผู้เสียหายกลับคืนสู่ฐานะ
เดิม หรือใกล้เคียงกับฐานะเดิมมากที่สุดที่จะทำาได้
2. การใช้ ค่ า สิ น ไหมทดแทนรวมถึ ง การที่ ต้ อ งขาดผล
ประโยชน์และกำาไรที่ควรจะได้ด้วย
3. การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเป็ นค่าเสียหายรวมทั้งค่า
เสียหายในความเสียหายที่คำานวณ เป็ นตัวเงินได้หรือไม่อาจคำา นวณเป็ น
ตัวเงินได้ด้วย
4. การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต้องเสียดอกเบี้ยในหนี้ เงิน
ในระหว่างผิดนั ดด้วย
5. ศาลเป็ นผู้ วิ นิ จ ฉั ย ว่ า จะพึ ง ชดใช้ ค่ า สิ น ไหมทดแทนกั น
สถานใด เพียงใด ตามควรแก่พฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งละเมิด
ลักษณะค่าสินไหมทดแทน
การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้ น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหมายความว่า ให้ผู้เสียหายกลับคืนสู่
ฐานะเดิมเมื่อยังไม่มีการกระทำา ละเมิด ให้ผู้เสียหายได้กลับคืนใกล้เคียง
กับฐานะเดิมมากที่สุดที่จะทำาได้ ถ้าไม่มีทางอื่นก็ต้องใช้กันเป็ นเงินอันเป็ น
วิธีชดใช้กันโดยทัว่ ไป ในเมื่อไม่สามารถหาวิธีอ่ ืนใดให้ดีกว่านี้ ได้
การวินิจฉัยในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
เมื่ อวั น ที่ 1 ตุ ล าคม 2525 ค. ขั บ รถยนต์ ช นรถของ ง. โดย
ประมาทเลินเล่อ รถของ ง. เสียหายต้องเสียค่าซ่อม 15,000 บาท ต้อง
ใช้เวลาซ่อมประมาณ 20 วัน ระหว่างนั้ น ง. จะต้องเสียค่าเช่ารถผู้อ่ ืนขับ
ใช้ ง านอี ก วั น ละ 200 บาท รวมเป็ นเงิ น 4,000 บาท แต่ ง. ยั ง ไม่ ทั น
ชมรมนั กศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดราชบุรี
178
กรณีทรัพย์ทำาลายลงหรือการคืนตกเป็ นพ้นวิสัยหรือเสื่อมเสียลงโดย
อุบต
ั ิเหตุและดอกเบี้ยในราคาทรัพย์
1. บุคคลผู้จำา ต้องคืนทรัพย์ต้องรับผิดตลอดถึงการที่ทรัพย์ทำา ลายลง
โดยอุ บั ติเ หตุ หรือ การคื น ทรัพ ย์ ต กเป็ นพ้ น วิ สั ย เพราะเหตุ อ ย่ างอื่ นโดย
อุบัติเหตุ หรือทรัพย์น้ ั นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุ
2. ผู้ต้องเสียหายมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในราคาทรัพย์ คิดตั้ง แต่เ วลาอั น
เป็ นฐานที่ต้ ัง แห่งการประมาณราคา
3. เวลาอันเป็ นฐานที่ต้ ังแห่งการประมาณราคา จะเป็ นเวลาใดในเวลา
ใดก็ได้ระหว่างผิดนั ด
กรณีทรัพย์ทำาลายลงหรือการคืนตกเป็ นพ้นวิสัยหรือเสื่อมเสียลง
โดยอุบัติเหตุ
ตามมาตรา 439 ที่ว่าด้วยทรัพย์ทำาลายลงหรือเสื่อมเสียลง ท่าน
เข้าใจว่าอย่างไร
ทรัพย์ทำาลายลงหมายความว่า ทรัพย์เสียหายทั้งหมด ส่วนทรัพย์
เสื่ อมเสีย ลงนั้ น หมายความว่ ายั งเป็ นวิ สั ย ที่ จะคื น ได้ อ ยู่ แต่ ไ ด้ ร บ
ั ความ
เสียหาย
มาตรา 439 บุ ค คลผู้ จำา ต้ อ งคื น ทรัพ ย์ อั น ผู้ อ่ ื นต้ อ งเสี ย ไปเพราะ
ละเมิดแห่งตนนั้ น ยังต้องรับผิด ชอบตลอดถึงการที่ทรัพย์น้ ั นทำาลายลง
โดยอุ บั ติ เ หตุ ห รือ การคื น ทรัพ ย์ ต กเป็ นพ้ น วิ สั ย เพราะเหตุ อ ย่ า งอื่ นโดย
อุบัติเหตุ หรือทรัพย์น้ ั นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุน้ ั นด้วย เว้นแต่เมื่อ การ
ที่ทรัพย์สินทำา ลาย หรือตกเป็ นพ้นวิสัยจะคืนหรือเสื่อมเสียนั้ น ถึงแม้ว่า
จะมิได้มีการทำาละเมิด ก็คงจะต้องตกไปเป็ นอย่างนั้ นอยู่เอง
การเรียกดอกเบี้ยในราคาทรัพย์กรณีทรัพย์บุบสลาย
ที่ว่ามาตรา 225 440 ใช้เฉพาะกรณี ท่ีเป็ นดอกเบี้ยในราคาทรัพย์
นั้ น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
เข้าใจว่าไม่เกี่ยวกับราคาทรัพย์ที่จะต้องใช้เป็ นค่าสินไหมทดแทน
แก่กัน ซึ่งแม้ตอนหลังราคาทรัพย์จะลดลงหรือเพิ่มขึ้นก็ต้องใช้ราคาเดิม
อยู่นั่นเอง แต่สำา หรับดอกเบี้ยที่จะคิดกันนั้ น มาตรา 225 440 เป็ นข้อ
ยกเว้ น มาตรา 224 ที่ ว่ า คิ ด ดอกเบี้ ยในระหว่ า งเวลาผิ ด นั ด เป็ นให้ คิ ด
ดอกเบี้ยตั้งแต่เวลาอันเป็ นฐานที่ต้ ังแห่งการประมาณราคากัน
การใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ครองทรัพย์และความผิดของผู้ตอ
้ งเสีย
หาย
1. เมื่อบุคคลผู้ทำา ละเมิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ ครองทรัพย์ ใน
การทำาละเมิด บุคคลนั้ นเป็ นอันหลุดพ้นไป เพราะการที่ได้ใช้ให้น้ ั น
2. ถ้ า ผู้ เ สี ย หายได้ มี ส่ ว นทำา ความผิ ด ด้ ว ย หนี้ อั น จะต้ อ งใช้ ค่ า
สิ น ไหมทดแทนต้ อ งอาศั ย พฤติ การณ์ เ ป็ นประมาณ ข้อ สำา คั ญ ก็ คือ ความ
เสียหายได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ ายไหนเป็ นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใด
การใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ครองทรัพย์
ก. รับฝากรถยนต์ไว้จาก ข. ค. ขับรถยนต์ชนรถของ ข. ที่ ก. ขับ
โดยประมาทเลินเล่อ ค. ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ ก. เรียบร้อยไปแล้ว ดังนี้
ค. จะหลุดพ้นจากความรับผิดในการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ ข. หรือไม่
ก. ผู้ ครองรถยนต์ ข อง ข. ในขณะที่ ขั บ เมื่ อ ค. ชดใช้ ค่ าสิ น ไหม
ทดแทนให้แก่ ก. ไปแล้ว ค. จึงหลุดพ้นไม่ต้องชำาระให้แก่ ข. อีก
ความผิดของผู้ต้องเสียหาย
บทบัญญัติตามมาตรา 442 223 มีความสัมพันธ์กับบทบัญญัติ
มาตรา 438 ประการใดบ้าง
ค่าสินไหมทดแทนในกรณีทำาให้ตายเพราะการขาดไร้อุปการะตาม
กฎหมาย
1. ในกรณี ทำา ให้ เ ขาตาย ค่ า สิ น ไหมทดแทนได้ แ ก่ ค่ า
ปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำาเป็ นอย่างอื่นๆ
2. ถ้ า มิ ไ ด้ ต ายทั น ที ค่ า สิ น ไหมทดแทนได้ แ ก่ ค่ า รัก ษา
พยาบาล รวมทั้ ง ค่ า เสี ย หายที่ ต้ อ งขาดประโยชน์ ทำา มาหาได้ เพราะไม่
สามารถประกอบการงานด้วย
3. บุ ค คลภายนอกที่ ต้ อ งขาดไร้ ผู้ อุ ป การะตามกฎหมาย
ชอบที่จะได้ค่าสินไหมทดแทนด้วย
ค่าสินไหมทดแทนกรณีทำาให้ตาย
ก. ตายเพราะถู ก ก. ยิงโดยละเมิ ด ข. ซึ่ง เป็ นทายาทของ ก. ได้
พิมพ์หนั งสือแจกในงานศพของ ก. หมดเงินไป 10,000 บาท ดังนี้ ข.
จะเรียกให้ ค. ชดใช้ให้แก่ตนได้หรือไม่
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย
ที่ว่า “การขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย” นั้ น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร
เข้าใจว่ามีตัวบทกฎหมายให้จำาต้องอุปการะเลี้ยงดูกัน เช่นบุตรจำา
ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา (มาตรา 1563) เป็ นต้น
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยหรือการที่
ขาดแรงงาน
1. ในกรณี ทำาให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ผู้ต้องเสียหายชอบที่จะ
ได้รบ
ั ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไปและค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความ
สามารถประกอบการงานสิ้นเชิง หรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปั จจุบันและใน
อนาคต
2. ในกรณี ท่ีทำาให้เขาตาย หรือเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย หรือเสีย
หายแก่เสรีภาพ ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมาย ต้องทำางาน
ให้เป็ นคุณแก่บุคคลภายในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอก
บุ ค คลผู้ ต้อ งใช้ ค่ าสิ น ไหมทดแทนนั้ นจะต้ อ งใช้ ค่า สิ น ไหมทดแทนให้ แ ก่
บุคคลภายนอกเพื่อการที่เขาขาดแรงงานอันนั้ นไปด้วย
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย
ก. ถู ก ข ทำา ร้ายร่ างกายได้ร บ
ั อั น ตรายสาหัส โดยละเมิ ด ก. นอน
ป่ วยอยู่ท่ีบ้าน จึงจ้าง ค. เป็ นคนครัวปรงอาหารให้กินชัว่ คราว เพราะ ก.
ไม่อาจทำา ได้เองตามปกติ ดังนี้ ก. จะเรียกค่าใช้จ่ายในการที่ต้องจ้าง ค.
เป็ นคนครัวทำาอาหารให้กินได้หรือไม่
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ขาดแรงงาน
ส. จับ น. ซึ่งเป็ นลูกจ้างของบริษัท จ. ในโรงงานอุตสาหกรรมทอ
ผ้ าของบริษัท จ. ไปกักขัง ไว้ โดยที่ ส. ก็ไม่ท ราบว่ า น. เป็ นลู กจ้ างของ
บริษั ท จ. ทำา ให้ น. ไปทำา งานในโรงงานทอผ้ าให้ บ ริษั ท จ. ไม่ ไ ด้ ดั ง นี้
บริษัท จ. จะเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก ส. ได้หรือไม่
การที่ ส. จับ น. ลูกจ้างของ จ. ไปกักขังเป็ นกรณี ท่ีทำา ให้ น. เสีย
เสรีภ าพ โดยเหตุ ที่ ส. มี ค วามผู ก พั น ตามสั ญ ญาจ้ า งแรงงาน จะต้ อ ง
ทำาการงานให้แก่ จ. จ. จึงเรียกค่าสินไหมทดแทนได้จาก ส. ในการที่ จ.
ต้องขาดแรงงานของ น. ไปตามมาตรา 445
มาตรา 445 ในกรณี ทำา ให้ เ ขาถึ ง ตาย หรือให้ เสี ย หายแก่ ร่ างกาย
หรืออนามัยก็ดี ในกรณี ทำาให้เขาเสียเสรีภาพก็ดีถ้าผู้ต้องเสียหายมีความ
ผูกพันตามกฎหมาย จะต้องทำา การงานให้เป็ นคุณแก่บุคคล ภายนอกใน
ครัวเรือน หรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้ นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จำา
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินและการจัดการเพื่อ
ให้ช่ ือเสียงกลับคืนดี
1. ในกรณี ท่ีทำา ให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย หรือเสรีภาพ ผู้
ต้องเสียหายย่อมเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่าง
อื่นอันมิใช่ตัวเงินได้อีกด้วย
2. ศาลมีอำา นาจสัง่ ให้บุคคลที่ทำา ให้เขาต้องเสียหายแก่ช่ ือเสียงจัดการ
ตามควรเพื่อทำาให้ช่ ือเสียงกลับคืนดี
ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน
กรณี ดังต่อไปนี้ เป็ นความเสียหายที่เป็ นตัวเงินหรือไม่เป็ นตัวเงิน
ค่าขาดประโยชน์ทำามาหาได้ เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้
เป็ นความเสียหายที่เป็ นตัวเงิน
ความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานระหว่างรักษาพยาบาล
เป็ นความเสียหายที่ไม่เป็ นตัวเงิน
ค่ารักษาพยาบาลบาดแผลที่ต้องถูกตัดแขนขา
เป็ นความเสียหายที่เป็ นตัวเงิน
การที่เสียแขนขาทุพพลภาพพิการไปตลอดชีวิต
เป็ นความเสียหายที่ไม่เป็ นตัวเงิน
การจัดการเพื่อให้ช่ ือเสียงคืนดี
อายุความเรียกร้องค่าเสียหาย
1. สิ ท ธิ เ รีย กร้ อ งของเจ้ า ของทรัพ ย์ สิ น ในการติ ด ตามและเอาคื น ซึ่ ง
ทรัพย์สินของตน ไม่มีกำาหนดอายุความ แต่ต้องมีตัวทรัพย์สินให้ติดตาม
เอาคืน
2. อายุความตามมาตรา 448 ใช้เฉพาะสิทธิเรียกร้องในค่าเสียหายไม่
รวมถึงการเรียกร้องทรัพย์สินคืน หรือเรียกร้องให้ระงับหรือเพิกถอนการก
ระทำาละเมิดที่ยังมีอยู่ ไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งอายุความตามมาตรา 448
3. ตามมาตรา 448 ไม่จำา กั ดเฉพาะในกรณี ท่ี ผู้ เ สี ย หายโดยตรงเรีย ก
ร้องเอาค่าเสียหายจากผู้กระทำาละเมิดหรือผู้ต้องรับผิดในมูลละเมิดเท่านั้ น
บุคคลอื่นที่กฎหมายบัญญัติให้มีสิทธิเรียกร้องเอาได้ ย่อมมีสิทธิเรียกร้อง
เอาค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดตามมาตรานี้ ด้วยเช่นกัน
4. ผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนหมายถึงบุคคลที่ต้องรับผิดในการกระ
ทำาของบุคคลอื่น หรือในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากทรัพย์ด้วย
5. ตามมาตรา 448 ใช้ตลอดถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในความเสีย
หายในอนาคตด้วย
6. สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็ นความผิดอาญาให้เป็ น
ไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51
สิทธิเรียกร้องทรัพย์สินคืน
เมื่อวันที่ 1 ตุลาตม 2524 ก. เช่ารถยนต์ของ ข. ไปใช้ กำาหนดส่ง
คืนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2524 ถึงกำาหนด ก. ไม่ส่งคืน ยังคงยึดถือและ
ใช้รถอยู่ตลอดมา ข. จึงต้องไปเช่ารถยนต์ของผู้อ่ ืนเช่ามีกำา หนดเวลา 3
เดือน ๆ ละ 3,000 บาท ต่อมา 1 กุมภาพันธ์ 2526 ข. มาฟ้ องเรียกรถ
คืนจาก ก. และเรียกค่าเสียหายในค่าเช่า 3 เดือนที่ ก. ได้จ่ายไปรวมเป็ น
เงิน 9,000 บาท ก. ต่อสู้คดีว่าฟ้ องของ ข. ขาดอายุความแล้ว จะเรียก
ร้องเอาไม่ได้ ข้อต่อสู้ของ ก. ฟั งขึ้นหรือไม่
สิทธิเ รีย กร้ องให้คื นรถยนต์ ไม่ มีอายุค วาม เจ้าของทรัพ ย์สิน ย่อ ม
ฟ้ องเรียกคืนได้เสมอ จึงไม่เห็นด้วยกับข้อต่อสู้ของ ก.
เมื่อถึงกำาหนดส่งคืน ก. ไม่ส่งคืนรถ กลับยึดถือและใช้รถอยู่ตลอด
มา จึงเป็ นละเมิดต่อ ข. ตั้งแต่เวลานั้ น
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในค่าเช่าที่ ข. ได้จ่ายไปนั้ น ข. มิได้ฟ้อง
เรียกเอาภายในหนึ่ ง ปี นั บ แต่ วั น ที่ ก. ไม่ ส่ง คื น รถนั้ น สิท ธิเ รียกร้ อ งดัง
กล่าวจึงขาดอายุความ เห็นด้วยกับข้อต่อสู้ของ ก.
สิทธิเรียกร้องราคาทรัพย์สินหรือเงินที่เอาไปโดยละเมิด
สิ ท ธิ เ รีย กร้ องค่ าเสี ย หายในราคาทรัพ ย์ สิ น คื น โดยมู ล ละเมิ ดนั้ นมี
กำาหนดอายุความเท่าใด
ขาดอายุ ค วามเมื่ อพ้ น ปี หนึ่ งนั บแต่ วั น ที่ ผู้ ต้ อ งเสี ย หายรู้ ถึ ง การ
ละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปี นั บแต่
วันทำาละเมิด
มาตรา 448 สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดนั้ น ท่าน
ว่ าขาดอายุ ความเมื่ อ พ้ น ปี หนึ่ ง นั บ แต่ วั น ที่ ผู้ ต้อ งเสี ย หายรู้ ถึง การละเมิ ด
สิทธิเรียกร้องในค่าเสียหาย
เมื่ อวั น ที่ 1 ตุ ล าคม 2524 ข. ถู ก ก.ขั บ รถชนรถของ ข. ได้ ร บ
ั
ความเสี ย หาย ยั ง ไม่ ทั น ที่ ข. จะเอารถไปซ่ อ ม ได้ ร ออยู่ จ นวั น ที่ 1
มีนาคม 2526 ทั้งๆ ที่รู้ดีแล้วว่า ก. เป็ นผู้ขับรถชนตั้งแต่วันนั้ น ข. มา
ฟ้ องร้องค่าซ่อมรถจาก ก. คิดเป็ นเงิน 6,000 บาท ก. ให้การต่อสู้ว่าคดี
โจทก์ขาดอายุความแล้ว ท่านเห็นด้วยกับข้อต่อส้ข
ู อง ก. หรือไม่
แม้ ข. จะยั ง ไม่ นำา รถไปซ่ อ ม ข. ก็ ต้ อ งฟ้ องเรีย กค้ า เสี ย หายใน
ความเสียหายคือค่าซ่อมที่จะจ่ายภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2525 แต่ ข. มา
ฟ้ องวันที่ 1 มีนาคม 2526 ทั้งๆ ที่รู้แล้วว่า ก. เป็ นผุ้ขับรถชนตั้งแต่วัน
นั้ น คดีของ ข. จึงขาดอายุความแล้ว เห็นด้วยกับข้อต่อสู้ของ ก.
สิทธิเรียกร้องในค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็ นความผิดทางอาญา
ก. ขับ รถยนต์ชนรถของ ข. โดยประมาทเลิน เล่ อ ดัง นี้ การที่ ข.
จะเรียกร้องค่าเสียหายมีกำาหนดอายุความเมื่อไร
การทำาให้เสียทรัพย์โดยประมาทเลินเล่อ ไม่ใช่ความรับผิดทาง
อาญา แต่เป็ นความรับผิดทางแพ่ง จึงมีอายุความตามมาตรา 448 วรรค
แรก
นิ รโทษกรรม
1. นิ รโทษกรรมคือข้อแก้ตัวซึ่งบุคคลผู้กระทำาไม่ต้องรับผิดฐานละเมิด
2. บุคคลใดที่กระทำาการป้ องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือทำาตามคำาสัง่
อันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
3. บุ ค คลใดทำา บุ บ สลายหรือ ทำา ลายทรัพ ย์ ส่ิ ง หนึ่ งสิ่ ง ใด เพื่ อบำา บั ด
ป้ องกั น ภยั น ตรายซึ่ ง มี ม าเป็ นสาธารณะโดยฉุ ก เฉิ น ฯลฯ ไม่ ต้ อ งใช้ ค่ า
สินไหมทดแทน
การทำาบุบสลายหรือทำาลายทรัพย์
ก. ข. กับพวกรวม 7 คนด้วยกัน เช่าเรือใบขนาดเล็กไปเที่ยวเกาะ
กลางทะเล ขณะทะเลกำาลังสงบ พอตกเย็น ขณะเรือกลับเข้าฝั ่ ง ห่างจาก
ฝั ่ งประมาณ 500 เมตร เกิดลมพายุจัด เรือโคลงไปมา ก. กับพวกเกรง
ว่ าเรือ จะร่ม จึง ร่ ว มกั น จั บ ข. โยนลงทะเล แต่ ข. ซึ่ง เป็ นนั กว่ ายนำ้ ามา
ก่ อ น ก็ ส ามารถว่ ายนำ้ าเข้ า ฝั ่ งจนได้ ดั ง นี้ ก. กั บ พวกต้ อ งร่ ว มกั น รับ ผิ ด
ชดใช้ค่าเสียหายแก่ ข. หรือไม่
เป็ นกรณี ท่ี ก. กั บพวกร่ ว มกั น ทำา ละเมิ ดต่ อ ข. ตามมาตรา 420
432 ไม่ต้องด้วยมาตรา 450 ซึ่งจำากัดเฉพาะการกระทำาต่อทรัพย์เท่านั้ น
การใช้กำาลังป้ องกันสิทธิ
ก. เช่าห้องของ ข. อยู่อาศัย ถึ งกำา หนด ก. ไม่ยอมออกจากห้อ ง
เช่า ข. จึงใช้กำา ลังฉุดกระชากลาก ก. ออกมาจากห้องเช่า ก. ได้รบ
ั บาด
เจ็บ ดังนี้ ข. ต้องรับผิดต่อ ก. หรือไม่
ข. กระทำาละเมิดต่อ ก. ตามมาตรา 420 ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่
ก. กรณี น้ ี ไม่เป็ นนิ รโทษกรรมตามมาตรา 451
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำา ต่อบุคคลอื่น โดย
ผิ ด กฎหมายให้ เ ขาเสี ย หายถึ ง แก่ ชี วิ ต ก็ ดี แก่ ร่ า งกายก็ ดี อนามั ย ก็ ดี
เสรีภ าพก็ ดี ทรัพ ย์ สิ น หรือ สิ ท ธิ อ ย่ า งหนึ่ งอย่ า งใดก็ ดี ท่ า นว่ า ผู้ น้ ั นทำา
ละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้ น
สิทธิของผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ที่จะจับสัตว์ของผู้อ่ ืน
ลิงของ ช. เข้ามาขโมยมะพร้าวในสวนของ ว. โดยได้เอามะพร้าว
ไปหลายผลแล้ว กลับมาเอาอีก ว. เห็นเข้าจึงเอาแหเหวี่ยงจับลิงไว้ได้ ลิง
จะกัด ว. ว. จึงใช้ไม้ตีลิงสลบไป แล้วนำา ลิงไปส่งมอบคืนแก่ ช. ดังนี้ ช.
กับ ว. ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อกันและกันหรือไม่
การที่ ว. ใช้ ไ ม้ ตี ลิ ง จนสลบ ก็ เ พราะลิ ง จะกั ด ว. ว. จึ ง ทำา การ
ป้ องกันตัวเองได้โดยชอบ การที่ ว. นำา ลิงส่งมอบคืนแก่ ช. แสดงว่า ว.
ไม่ใช้สิทธิยึดลิงไว้เป็ นประกันค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 452 แต่การ
ที่ลิงเข้ามาทำาความเสียหายในสวนของ ว. เป็ นกรณี ต้องด้วยมาตรา 433
อันเป็ นบทบัญญัติว่าด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ ช. ต้องชดใช้
ค่ า สิ น ไหมทดแทนให้ แ ก่ ว. เจ้ า ของ แต่ ว. ไม่ ต้ อ งชดใช้ ค่ า สิ น ไหม
ทดแทนให้แก่ ช. ตามมาตรา 449
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 14
1. ส. บุกรุกเข้าไปทำาการค้าในตึกแถวของ อ. ได้ชดใช้ค่าเสียหายฐาน
ละเมิ ด ให้ อ. แล้ ว อ. ไม่ ย อมให้ ส. อยู่ ต่ อ ไป ดั ง นี้ ส. ต้ อ งออกจาก
ตึ ก แถวหรือ ไม่ ต้ อ งออก เพราะการออกจากตึ ก แถวเป็ นการชดใช้ ค่ า
สินไหมทดแทนอย่างหนึ่ งด้วย
2. จำา เลยขั บ รถยนต์ นั่ ง ชนรถบรรทุ กของโจทก์ ท่ี จ อดอยู่ เ สี ย หายโดย
ละเมิด โจทก์จึงเอารถบรรทุกออกให้เช่าไม่ได้ ดังนี้ โจทก์จะเรียกค่าเสีย
หายในการที่โจทก์ขาดรายได้ท่ีเป็ นค่ าเช่าจากจำา เลย ได้หรือไม่ เรียกได้
เพราะเป็ นค่าเสียหายในความเสียหายจากการกระทำาละเมิดของจำาเลย
3. โจทก์ด่าจำาเลยด้วยถ้อยคำาหยาบคายเพราะพาดพิงไปถึงบิดามารดา
ของจำาเลย จำาเลยจึงชกต่อยโจทก์บาด เจ็บดังนี้ ศาลจะลดค่าเสียหายลง
ได้หรือไม่ ลดได้ เพราะความเสียหายเกิดเพราะความผิดของโจทก์ท่ีด่าว่า
จำาเลย
4. ผู้เยาว์ซ่ึงเป็ นบุตรนอกกฎหมายของบิดา จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
เพราะขาดไร้ อุ ป การะตามกฎหมายจากผู้ ทำา ละเมิ ด ให้ บิ ด าตายหรือ ไม่
ไม่มีสิทธิ เพราะมิใช่การขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย
5. ส. เป็ นข้าราชการของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ถูก ป. ขับรถ
ชนโดยละเมิดได้รบ
ั บาดเจ็บต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ส. ได้
เบิกค่ารักษาพยาบาลจากทางราชการไปแล้วตามสิทธิ ดังนี้ ส. จะมีสิทธิ
เรียกค่ารักษาพยาบาลจาก ป . ได้ห รือ ไม่ มี สิท ธิเ รีย กจาก ป . ได้ ตาม
หลักทัว่ ไป
6. โจทก์ถูกจำาเลยขับเรือยนต์ชนโดยประมาทเลินเล่อ ทำาให้ต้องตัดขา
ไปข้างหนึ่ งต้องทุพพลภาพพิการตลอดชีวิต ได้รบ
ั ค่ารักษาพยาบาลไปจาก
จำาเลยแล้ว ดังนี้ โจทก์ก็จะเรียกค่าเสียหายในการที่ต้องเสียขาไป ได้หรือ
15.1 จัดการงานนอกสัง่
1. สาระสำาคัญของการจัดการงานนอกสัง่ มี 3 ประการ ดังนี้ คือ
1. ต้องเป็ นการเข้าทำากิจการอย่างใดอย่างหนึ่ ง
2. กิจการที่เข้าทำานั้ นจะต้องเป็ นการทำาแทนผู้อ่ ืน
3. กิจการที่ทำาแทนผู้อ่ ืนนั้ น ต้องกระทำาไปโดยเขามิได้ว่าขานใช้
หรือกระทำาโดยมิได้มีสิทธิ
2. ผู้จัดการจะต้องจัดการงานไปในทางที่จะให้สมประโยชน์ของตัวการ
ตามความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือตามที่จะพึงสันนิ ษฐานได้ว่า
เป็ นความประสงค์ ข องตั ว การ หากการจั ด การทำา ถู ก ต้ อ งตามหน้ า ที่ ผู้
จัดการมีสิทธิเรียกให้การชดใช้เงินที่ตนออกไปคืนได้ แต่ถ้าจัดการไม่ถูก
ต้องตามหน้าที่ ผู้จัดการต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ตัวการเพื่อความ
เสียหาย
3. กรณี ท่ี บุ คคลคนหนึ่ ง เข้ าทำา การงานของผู้ อ่ ื นโดยสำา คั ญ ว่ า เป็ นงาน
ของตนเอง ไม่ใช่จัดการงานนอกสัง่
15.1.1 หลักเกณฑ์เรื่องจัดการงานนอกสัง่
อธิบายหลักเกณฑ์เรื่องจัดการงานนอกสัง่
ตามมาตรา 395 ซึ่งประกอบด้วยสาระสำาคัญ 3 ประการคือ
1)ต้องเป็ นการเข้าทำากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ ง
15.1.2 ผลของการจัดการงานนอกสัง่
ก. มีบ้านอยู่ในกรุงเทพ แต่ ก. ต้องเดินทางไปราชการต่างจังหวัด
หลายเดือน ขณะที่ ก. ไม่อยู่บ้าน เกิดลมพายุพัดหน้าต่างและหลังคาบ้าน
เสี ยหาย ข. เพื่อ นบ้ าน จึง จัดการซ่อ มหลัง คาให้ เพราะเป็ นฤดูฝน ดั ง นี้
ผลในกฎหมายระหว่าง ก. กับ ข. คืออย่างไร
ผลในกฎหมายระหว่าง ก. และ ข. นั้ นเป็ นเรื่องจัดการงานนอกสัง่
มาตรา 395 และมาตรา 401 คื อ ข. เข้ า จั ด การซ่ อ มแซมหลั ง คาและ
หน้าต่างโดย ก. มิได้ว่าขานวานใช้ และ ข. ได้เข้าจัดการโดยสมประโยชน์
ของตัว การ ข. ย่อมมีสิ ทธิ เรียกให้ ก. ชดใช้เ งิน ซึ่ง ตนได้ ออกไปเป็ นค่ า
ซ่อมแซมบ้านได้
มาตรา 401 ถ้าการที่เข้าจัดการงานนั้ นเป็ นการสมประโยชน์ ของ
ตั ว การและต้ อ งตามความประสงค์ อั น แท้ จ ริง ของตั ว การ หรือ ความ
ประสงค์ตามที่จะพึงสันนิ ษฐานได้น้ ั นไซร้ ท่านว่าผู้จัดการจะเรียกให้ชดใช้
เงิ น อั น ตนได้ อ อกไปคื น แก่ ต นเช่ น อย่ า งตั ว แทนก็ ไ ด้ และ บทบั ญ ญั ติ
มาตรา 816 วรรค 2 นั้ น ท่านก็ให้นำามาใช้บังคับด้วยโดย อนุ โลม
15.1.3 กรณีไม่ใช่จัดการงานนอกสัง่
อธิบายกรณี ท่ีไม่ใช่จัดการงานนอกสัง่
ตามมาตรา 405 หากบุคคลเข้าทำางานของผู้อ่ ืนโดยสำาคัญว่า
เป็ นการงานของตนเองไม่ถือว่าเป็ นเรื่องจัดการงานนอกสัง่
มาตรา 405 บทบัญญัติท้ ังหลายที่กล่าวมาในสิบ มาตราก่อนนั้ น
ท่าน มิให้ใช้บังคับแก่กรณี ท่ีบุคคลหนึ่ งเข้าทำาการงานของผู้อ่ ืนโดยสำาคัญ
ว่าเป็ นการงานของตนเอง
ถ้าบุคคลใดถือเอากิจการของผู้อ่ ืนว่าเป็ นของตนเอง ทั้งที่รู้แล้วว่า
ตนไม่มีสิทธิจะทำาเช่นนั้ นไซร้ ท่านว่าตัวการจะใช้สิทธิเรียกร้องบังคับ โดย
มูลดัง่ บัญญัติไว้ใน มาตรา 395 , 396 , 399 และ 400 นั้ นก็ได้ แต่
เมื่อได้ใช้สิทธิดัง่ ว่ามานี้ แล้ว ตัวการจะต้องรับผิดต่อผู้จัดการดัง่ บัญญัติไว้
ใน มาตรา 402 วรรค 1
15.2 ลาภมิควรได้
1. สาระสำาคัญ 3 ประการ ของลาภมิควรได้คือ
1. บุคคลได้ทรัพย์สิ่งใดของบุคคลอีกคนหนึ่ งมาด้วยประการใดๆ
2. การได้ทรัพย์น้ ั นมาไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
3. การได้ทรัพย์มานั้ นทำาให้บุคคลอื่นเสียเปรียบ
2. ข้อยกเว้นของสิทธิเรียกทรัพย์คืน มี 7 ประการคือ
1)การกระทำาตามอำาเภอใจเพื่อชำาระหนี้ โดยผู้กระทำารู้อยู่ว่าตนไม่มี
ความผูกพันที่จะต้องชำาระ
2)การชำาระหนี้ อันมีเงื่อนเวลาบังคับเมื่อก่อนถึงกำาหนดเวลานั้ น
3)การชำาระหนี้ ซึ่งขาดอายุความแล้ว
4)การชำาระหนี้ ตามหน้าที่ศีลธรรมหรือตามควรแก่อัธยาศัยใน
สมาคม
5)การชำาระหนี้ โดยบุคคลผู้สำาคัญผิดเป็ นเหตุให้เจ้าหนี้ ผู้สุจริตต้อง
เสียหาย
6)การชำาระหนี้ โดยมุ่งต่อผลโดยผู้ชำาระรู้ว่าการที่จะเกิดผลเป็ นการ
พ้นวิสย
ั หรือผู้ชำาระได้เข้าป้ องปั ดขัดขวางมิให้เกิดผลโดยไม่สุจริต
7)การชำาระหนี้ ที่ฝ่าฝื นข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี
3. ในกรณี ท รัพ ย์ สิ น ที่ ร บ
ั ไว้ เ ป็ นลาภมิ ค วรได้ เ ป็ นเงิ น จะต้ อ งคื น เต็ ม
จำานวนกรณี ทรัพย์สินที่รบ
ั ไว้เป็ นทรัพย์สินอย่างอื่นนอกจากเงิน ทรัพย์สิน
มี ส ภาพเป็ นอยู่ อ ย่ างไรก็ ใ ห้ คืน ไปเพี ย งตามสภาพที่ เ ป็ นอยู่ หากการคื น
ทรัพย์สินตามสภาพที่ได้รบ
ั มรดกเป็ นพ้นวิสัย ให้คืนเพียงส่วนที่ยงั มีอยู่ใน
ขณะเรียกคืน
4. มิให้ฟ้องคดีเรื่องลาภมิควรได้ พ้นกำาหนด 1 ปี นั บแต่เวลาที่ฝ่ายผู้
เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้น 10 ปี นั บแต่เวลาที่สิทธิน้ ั น
ได้มีข้ ึน
15.2.1 หลักเกณฑ์เรื่องลาภมิควรได้
อธิบายหลักเกณฑ์เรื่องลาภมิควรได้
ลาภมิ ค วรได้ ตามมาตรา 406 ซึ่ ง ประกอบด้ ว ยสาระสำา คั ญ 3
ประการคือ
1)บุคคลหนึ่ งได้ทรัพย์ส่ิงใดของบุคคลอีกคนหนึ่ งมาด้วยประการ
ใดๆ
2)การได้ทรัพย์น้ ั นมาไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
3)การได้ทรัพย์น้ ั นมาทำาให้บุคคลอื่นเสียเปรียบ
มาตรา 406 บุ คคลใดได้มาซึ่ง ทรัพ ย์ สิ่ ง ใด เพราะการที่ บุ ค คลอี ก
คนหนึ่ งกระทำา เพื่ อชำา ระหนี้ ก็ ดี หรื อ ได้ ม าด้ ว ยประการอื่ นก็ ดี โดย
ปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็ นทางให้บุคคลอีกคนหนึ่ ง นั้ น
เสี ยเปรีย บไซร้ ท่านว่ าบุ คคลนั้ นจำา ต้ อ งคื น ทรัพ ย์ ใ ห้ แก่ เ ขา อนึ่ ง การรับ
สภาพหนี้ สินว่ามีอยู่หรือหาไม่น้ ั น ท่านก็ให้ถือว่าเป็ นการ กระทำาเพื่อชำาระ
หนี้ ด้วย
บทบัญญัติอันนี้ ท่านให้ใช้บังคับตลอดถึงกรณี ท่ีได้ทรัพย์มา เพราะ
เหตุอย่างใดอย่างหนึ่ งซึ่งมิได้มีได้เป็ นขึ้น หรือเป็ นเหตุท่ีได้ สิ้นสุดไปเสีย
ก่อนแล้วนั้ นด้วย
15.2.2 ข้อยกเว้นของสิทธิเรียกคืนทรัพย์
ก. ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อ ชนรถยนต์ของ ข. ในวันที่ 27
มกราคม 2525 ต่อมาในวันที่ 30 มกราคม 2526 ก. ไม่ต้องการให้เป็ น
ความกันในศาล จึงได้ชำาระค่าสินไหมทดแทนให้ ข. ไป ภายหลัง ก. จึง
มาเรียกเงินที่ชำาระเป็ นค่าสินไหมทดแทนนั้ นคืนจาก ข. โดยอ้างว่า ก. ได้
ชำาระเงินซึ่งขาดอายุความแล้ว ดังนี้ ก. มีสิทธิเรียกคืนหรือไม่
ก. เรียกเงินที่ชำา ระคืนไม่ได้ เพราะมาตรา 408(2) ประกอบด้วย
มาตรา 188 วรรคสอง ตัดสิทธิบุคคลที่ชำาระหนี้ ซึ่งขาดอายุความ และถ้า
ชำาระไปมากน้อยเท่าใด ก็เรียกคืนไม่ได้
มาตรา 408 บุคคลดัง่ จะกล่าวต่อไปนี้ ไม่มีสิทธิจะได้รบ
ั คืนทรัพย์
คือ
(1) บุคคลผู้ชำาระหนี้ อันมีเงื่อนเวลาบังคับเมื่อก่อนถึงกำาหนด เวลา
นั้ น
(2) บุคคลผู้ชำาระหนี้ ซึ่งขาดอายุความแล้ว
15.2.3 การคืนลาภมิควรได้
ข. ได้ช้างของ ก. มาไว้เป็ นลาภมิควรได้โดยสุจริต ปรากฏว่า ก. ได้
ติดตามทวงช้างคืนแต่ช้างนั้ นได้ถูกคนร้ายลักไปเสียแล้ว ข. จะต้องรับผิด
หรือไม่อย่างไร
ตามมาตรา 414 ข. ได้ ร บ
ั ช้ างไว้ โ ดยสุ จริต โดยหลั ก ข . ต้ อ งคื น
ลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียก แต่กรณี เป็ นการพ้นวิสัย
ที่จะคืนได้ เพราะช้างถูกคนร้ายขโมยไป ข. ได้รบ
ั ช้างไว้โดยสุจริต จึงไม่
ต้องรับผิดชอบในการคืนช้างซึ่งตกเป็ นพ้นวิสัยนั้ น
มาตรา 414 ถ้าการคืนทรัพย์ตกเป็ นพ้นวิสัยเพราะสภาพแห่ง
ทรัพย์สินที่ได้รบ
ั ไว้น้ ั นเองก็ดี หรือเพราะเหตุอย่างอื่นก็ดี และบุคคล ได้
รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต ท่านว่าบุคคลเช่นนั้ นจำาต้องคืนลาภมิควร ได้
เพียงส่วนที่ยงั มีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน ถ้าบุคคลได้รบ
ั ทรัพย์สินนั้ นไว้โดย
ทุจริต ท่านว่าต้องใช้ราคา ทรัพย์สินนั้ นเต็มจำานวน
15.2.4 อายุความ
กฎหมายบัญญัติเกี่ยวกับอายุความลาภมิควรได้ไว้อย่างไร
ตามมาตรา 419 กำาหนดอายุความฟ้ องคดีไว้เป็ น 2 ระยะคือ ต้อง
ฟ้ องคดีภายใน 1 ปี นั บแต่เวลาที่ผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือ
ภายใน 10 ปี นั บแต่เวลาที่สิทธิน้ ั นได้มีข้ ึน
มาตรา 419 ในเรื่อ งลาภมิ ค วรได้ น้ ั น ท่ านห้ ามมิ ใ ห้ ฟ้ องคดี เมื่ อ
พ้นกำา หนดปี หนึ่ งนั บแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือ
เมื่อพ้นสิบปี นั บแต่เวลาที่สิทธิน้ ั นได้มีข้ ึน
แบบประเมินผลตนเองหน่วยที่ 15