Professional Documents
Culture Documents
ทรัพย์ ตัว
๋ เงิน
Commercial Law 3: Surety ship, Mortgage and Bill
หน่วยที่ 1 ลักษณะทัว
่ ไปของสัญญาค้้าประกัน
1. สั ญ ญาค้้ าประกั น เป็ นการประกั น หนี้ ด้ ว ยบุ ค คล ในลั ก ษณะที่ บุ ค คล
ภายนอกเข้ ามาผู กพั นตนกั บเจ้า หนี้ ว่า จะช้า ระหนี้ ใ ห้ใ นเมื่อลูก หนี้ ไม่ ช้า ระ
หนี้ ต ามสั ญ ญาค้้ าประกั น เป็ นหนี้ อุป กรณ์ซึ่ ง ต้ อ งอาศั ย หนี้ ป ระธาน คื อ หนี้
ระหว่างเจ้าหนี้ กับลูกหนี้ เป็ นส้าคัญ
2. ตามหลักทั่วไปผู้ค้ าประกันมีความรับผิดไม่เกินความรับผิดของลูกหนี้
โดยอาจจ้ากัดหรือไม่จ้ากัดความรับผิดก็ได้ และลูกหนี้ ยังมีความผูกพันต้อง
รับผิดในหนี้ อยู่ หากเจ้าหนี้ บังคับช้า ระหนี้ เอาจากผู้ค้ าประกันไม่เพียงพอที่
จะช้าระหนี้ ของลูกหนี้ ได้ท้ังหมด
1.1 สาระส้าคัญของสัญญาค้้าประกัน
1. สั ญ ญาค้้ าประกั น เป็ นสั ญ ญาซึ่ ง บุ ค คลภายนอกเรี ย กว่ า ผู้ ค้ าประกั น
ผูกพันตนเองต่อเจ้าหนี้ ว่าจะช้า ระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้ ในเมื่อลูกหนี้ ไม่ช้า ระหนี้
นั้น
2. สัญญาค้้าประกันเป็ นสัญญาที่ไม่ต้องท้าตามแบบแต่อย่างใด เพียงแต่
หากจะมีการฟ้ องร้องบังคับคดีเอาแก่ผู้ค้ าประกันตามสัญญาค้้าประกันแล้ว
จะต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ งอันมีข้อความแสดงว่ามีการ
ค้้าประกันจริงโดยมีลายมือชื่อของผู้ค้ าประกันลงไว้เป็ นส้าคัญด้วย
3. หนี้ ตามสัญญาค้้าประกันเป็ นหนี้ อุปกรณ์ซึ่งต้องอาศัยหนี้ ประธาน คือ
หนี้ ระหว่ างเจ้ าหนี้ กั บลู กหนี้ เ ป็ นส้า คั ญ หนี้ ป ระธานต้ อ งเป็ นหนี้ ท่ี ส มบู รณ์
ซึ่งอาจเป็ นหนี้ ในอนาคตหรือหนี้ มีเงื่อนไขก็ได้ หากไม่มีหนี้ ประธานหรือหนี้
ประธานไม่สมบูรณ์แล้วสัญญาค้้าประกันก็มีขึ้นไม่ได้
4. หนี้ ท่ ีลูกหนี้ กระท้าด้วยเหตุส้าคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์
หรือเพราะเหตุไร้ความสามารถ ก็อาจมีการค้้าประกันอย่างสมบูรณ์ได้ หาก
ผู้ค้ าประกันได้รู้ถึงเหตุบกพร่องดังกล่าวในขณะเข้าท้าสัญญาผูกพันตน
1.1.1 ความหมายของสัญญาค้้าประกัน
สัญญาค้้าประกันคืออะไร ในการท้าสัญญาค้้าประกันนั้นจะต้องให้ลูก
หนี้ รเู้ ห็นยินยอมด้วยหรือไม่
สัญญาค้้าประกันเป็ นสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ ใน
การที่ จ ะช้า ระหนี้ ในเมื่ อลู ก หนี้ ไม่ ช้า ระเป็ นเรื่ องที่ มี ห นี้ ผู ก พั น กั น อยู่ ใ น
ระหว่ า งเจ้ า หนี้ และลู ก หนี้ อยู่ ช้ั น หนึ่ งแล้ ว เป็ นหนี้ ประธานแล้ ว จึ ง มี ห นี้
2
ระหว่างผู้ค้ าประกันกับเจ้าหนี้ อีกชั้นหนึ่ งเป็ นหนี้ อุปกรณ์ ความรับผิดของผู้
ค้้าประกันเป็ นความรับผิดโดยตรงต่อเจ้าหนี้ ท่ีจะช้าระหนี้ เมื่อลูกหนี้ ไม่ช้าระ
และในฐานะที่ เ ป็ นผู้ เ ป็ นผู้ มี ส่ ว นได้ เ สี ย ในการที่ จ ะต้ อ งรั บ ผิ ด เพื่ อลู ก หนี้ จึ ง
อาจช้า ระหนี้ โดยขื น ใจลู ก หนี้ ได้ ต ามหลั ก ในมาตรา 314 อยู่ แ ล้ ว การท้า
สัญญาค้้าประกันจึงไม่ต้องอาศัยความรู้เห็นยินยอมของลูกหนี้ เลย และเมื่อ
ผู้ค้ าประกันช้า ระหนี้ ให้เจ้าหนี้ ไปแล้ ว ก็ย่อ มรั บช่ วงสิท ธิข องเจ้ าหนี้ ไ ล่เ บี้ย
เอาจากลูกหนี้ ได้ด้วยอ้านาจของกฎหมายซึ่งบัญญัติรับรองไว้โดยไม่ต้องได้
รับความยินยอมจากลูกหนี้
1.1.2 สัญญาค้้าประกันต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือ
ที่ว่า “สัญญาค้้าประกันต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ า
ประกัน จึงจะฟ้ องร้องบังคับคดีให้ผู้ค้ าประกันรับผิดได้” นั้นหมายความว่า
ค้ากล่าวนั้นหมายความว่า สัญญาค้้าประกันเป็ นสัญญาที่กฎหมายไม่
ได้บังคับว่าต้องท้า ตามแบบ ดังนี้ แม้คู่สัญญาอาจจะตกลงกันด้วยวาจาก็มี
ผลท้า ให้ สั ญ ญาค้้ าประกั น สมบู ร ณ์แ ล้ ว เพี ย งแต่ ห ากว่ า จะมี ก ารฟ้ องร้ อ ง
บั ง คั บ คดี ใ ห้ ผู้ ค้ าประกั น รั บ ผิ ด จะต้ อ งมี ห ลั ก ฐานแห่ ง การค้้ าประกั น เป็ น
หนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ าประกันไว้เป็ นส้า คัญ หากไม่มีหลักฐานดังกล่าวก็
จะฟ้ องร้ อ งบั ง คั บ เอาแก่ ผู้ ค้ าประกั น ไม่ ไ ด้ หลั ก ฐานเป็ นหนั ง สื อ นั้ น ผู้ ค้ า
ประกันจะท้าไว้อย่างไรก็ได้และจะมีรูปลักษณ์เป็ นหนังสือ จดหมาย บันทึก
หรืออะไรก็ได้ เพียงแต่ให้มีข้อความแสดงว่ามีการค้้าประกัน และมีลายมือ
ชื่อผู้ค้ าประกันก็เป็ นการเพียงพอแล้ว
นายด้า ท้า สั ญ ญากู้ เ งิ น จากนางแดง โดยมี น ายขาวเขี ย นบั น ทึ ก ลง
ลายชื่อตนเองถึงสามีของนางแดงมีข้อความว่าตนยอมรับจะชดใช้หนี้ ท่ีนาย
ด้า กู้เงิ นไปจากนางแดงให้ หากนายด้า ไม่ ย อมช้า ระ ต่ อ มานายด้า ไม่ ย อม
ช้าระหนี้ เงินกู้ให้นางแดง นางแดงจึงฟ้ องให้นายขาวช้าระหนี้ ในฐานะที่เป็ น
ผู้ค้ าประกัน นายขาวเถียงว่าตนไม่ใช่ผู้ค้ าประกันเพราะบันทึกที่ตนเขียนนั้น
เขียนไปถึงสามีของนางแดงก็ไม่ใช่เจ้าหนี้ ของนายด้า นายขาวจึงไม่มีความ
ผูกพันจะต้องช้าระหนี้ ให้นางแดงแต่อย่างใด
ให้ วิ นิ จ ฉัย นายขาวปฏิ เ สธความรั บ ผิ ด ตามค้า กล่ า วอ้ า งได้ ห รื อ ไม่
เพราะเหตุใด
นายขาวปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ เพราะหลักฐานแห่งการค้้าประกัน
นั้น ผู้ค้ าประกันไม่จ้าต้องท้าต่อหน้าเจ้าหนี้ โดยตรง แม้จะท้า กับลูกหนี้ หรือ
บุ ค คลอื่ นใด หากมี ข้ อ ความแสดงการค้้ าประกั น หนี้ แ ละมี ล ายมื อ ชื่ อผู้ ค้ า
ประกันแล้วก็ใช้เป็ นหลักฐานฟ้ องร้องบังคับผู้ค้ าประกันได้ ดั งนั้ น แม้ นาย
ขาวจะท้าบันทึกแสดงการค้้าประกันดังกล่าวไว้กับสามีของนางแดงซึ่งเป็ น
เจ้าหนี้ มิได้ท้ากับนางแดงโดยตรง นางแดงก็น้าบันทึกนั้นมาเป็ นหลักฐาน
ฟ้ องร้ อ งให้ น ายขาวรั บ ผิ ด ในฐานะเป็ นผู้ ค้ าประกั น ได้ แ ล้ ว ตามนั ย แห่ ง ฎ
887/2476
1.1.3 หนี้ ประธานต้องเป็ นหนี้ ท่ีสมบูรณ์
3
“การค้้าประกันจะมีได้เฉพาะแต่เพื่อหนี้ อันสมบูรณ์” หมายความว่า
อย่างไร
หนี้ ตามสัญญาหนี้ ค้ าประกันเป็ นหนี้ อุปกรณ์ซึ่งต้องอาศัยหนี้ ระหว่าง
เจ้ า หนี้ กั บ ลู ก หนี้ อั น เป็ นหนี้ ประธาน ดั ง นั้ น หนี้ ประธานจึ ง ต้ อ งเป็ นหนี้ ที่
สมบูรณ์มีผลบังคับผูกพันกันได้ตามกฎหมาย สัญญาค้้าประกันอันเป็ นหนี้
อุ ป กรณ์จึ ง จะมี ผลบั ง คั บตามไปด้ ว ย หากหนี้ ป ระธานไม่ มี ห รื อ ไม่ ส มบู ร ณ์
ด้วยเหตุอ่ ืนตามบทบัญญัติของกฎหมาย การค้้าประกันก็จะเกิดขึ้นไม่ได้
เหตุใดจึงมีการค้้าประกันหนี้ ในอนาคตหรือหนี้ มีเงื่อนไขได้
บทบัญญัติของกฎหมายวางหลักทั่วไปไว้ว่า การค้้าประกันจะมีได้แต่
เฉพาะเพื่ อหนี้ อั นสมบู รณ์ แต่ ท้ังนี้ มิไ ด้ห มายความว่ า หนี้ ท่ี จ ะค้้ าประกั น ได้
และเป็ นหนี้ สมบูรณ์น้ัน จะต้องเป็ นหนี้ ท่ีมีอยู่แล้วหรือเกิดขึ้นพร้อมกับการ
ค้้าประกันหนี้ ในอนาคตหรือหนี้ มีเงื่อนไขซึ่งในขณะท้าสัญญาค้้าประกัน แม้
หนี้ จะยังไม่เกิด และจะเกิดหรือไม่ก็อาศัยเหตุการณ์ในอนาคตอันไม่แน่ นอน
ก็ต าม แต่ถ้ าหากจะเกิ ด ในอนาคตหรื อ เมื่ อเงื่ อนไขส้า เร็ จ แล้ ว จะเป็ นหนี้ ท่ี
สมบูรณ์ ก็อาจมีการค้้าประกันได้ การให้มีการค้้าประกันหนี้ ในอนาคตหรือ
หนี้ มี เ งื่ อนไขได้ ก็ เ พื่ อเป็ นการรัก ษาประโยชน์แ ละป้ องกั น ความเสี ย หายที่
อาจเกิ ด แก่ เ จ้ า หนี้ ในกิ จ การที่ ลู ก หนี้ ได้ ก่ อ ขึ้ น หรื อ จะได้ ก่ อ ขึ้ น ในอนาคต
นั่นเอง
1.2 ความรับผิดของผู้รับประกัน
1. ผู้ค้ าประกันมีความรับผิดที่จะต้องช้าระหนี้ ในเมื่อลูกหนี้ ไม่ช้าระ โดยผู้
ค้้าประกันอาจจ้ากัดหรือไม่จ้ากัดความรับผิดไว้ก็ได้
2. หากมี ได้ มีก ารตกลงกั นไว้เ ป็ นอย่ างอื่น โดยปกติลู ก หนี้ มี ค วามรั บ ผิ ด
ตามมูลหนี้ ประธานอยู่อย่างไร ผู้ค้ าประกันย่อมไม่ต้องรับผิดเกินกว่าความ
รับผิดของลูกหนี้ น้ัน
3. ในหนี้ ร ายเดี ย วกั น อาจมี ผู้ ค้ าประกั น หลายคนก็ ไ ด้ และผู้ ค้ าประกั น
เหล่านั้นต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ อย่างลูกหนี้ ร่วมกัน แม้ว่าจะมิได้เข้าค้้าประกัน
หนี้ รายนั้นในเวลาเดียวกันก็ตาม
4. หนี้ รายหนึ่ งๆ อาจมีผู้ค้ าประกันของผู้ค้ าประกัน อีก ชั้น หนึ่ งก็ ได้ เรียก
ว่าผู้รับเรือน
5. เมื่อเจ้าหนี้ บังคับช้าระหนี้ เอาจากผู้ค้ าประกันไม่เพียงพอที่จะช้า ระหนี้
ของลูกหนี้ ได้ท้ังหมด ลูกหนี้ ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่เหลือนั้น
1.2.1 หลักทั่วไปเกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ าประกัน
โดยลักษณะของสัญญาค้้าประกัน มีหลักเกณฑ์ท่ัวไปเกี่ยวกับความ
รับผิดของผู้ค้ าประกันไว้อย่างไร
หลักทั่วไปเกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ าประกันตามสัญญาค้้าประกัน
คือ
ผู้ค้ าประกันมีหนี้ ท่ีจะต้องช้า ระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้ ในเมื่อลูกหนี้ ไม่ช้า ระ
หนี้ น้ั น เมื่อหนี้ ถึงก้า หนดช้า ระแล้วลูก หนี้ ไม่ ช้า ระหนี้ ลูกหนี้ ย่อ มตกเป็ นผู้
4
ผิ ด นั ด ซึ่ ง มี ผ ลให้ เ จ้ า หนี้ มี สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ งให้ ผู้ ค้ าประกั น ช้า ระหนี้ ไ ด้ ต้ั ง แต่
เวลาที่ ลู ก หนี้ ผิ ด นั ด นั้ น ส่ ว นในเรื่ องความรั บ ผิ ด ชอบของผู้ ค้ าประกั น จะมี
มากน้อยเพียงใดนั้นก็ต้องเป็ นไปตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาค้้าประกัน ทั้งนี้
เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ของไทยเรานั้น มิได้มีบทบัญญัติ
จ้ากัดความรับผิดของผู้ค้ าประกันไว้แน่ นอน โดยปกติหากมิได้มีการตกลง
กันไว้เป็ นอย่างอื่นตามหลักของสัญญาค้้าประกันซึ่งผู้ค้ าประกัน เป็ นผู้ต้อง
เสียในมูลหนี้ อยู่แล้ว ผู้ค้ าประกันจึงไม่ต้องรับผิดเกินไปกว่าความรับผิดของ
ลูกหนี้ อย่างไรก็ตามผู้ค้ าประกันอาจตกลงจ้า กัดความรับผิดของตนเองไว้
มากน้อยเพียงใดก็ได้ คืออาจจ้ากัดขอบเขตความรับผิดไว้น้อยกว่าความรับ
ผิดของลูกหนี้ ก็ได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องก้า หนดเวลา หรือในเรื่องก้า หนด
ขอบเขตของความเสียหายที่เจ้าหนี้ ได้รับก็ได้ หรืออาจตกลงยอมรับผิดเกิน
กว่าความรับผิดของลูกหนี้ ก็ได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 150 อย่างไรก็ตาม
หากสัญญาค้้าประกันนั้ นมีข้อความไม่แจ้งชัดว่า ผู้ค้ าประกันจะต้องรับผิด
เพี ย งใด เมื่ อมี ก รณี ต้ อ งตี ค วาม ก็ ต้ อ งตี ค วามโดยเคร่ ง ครั ด เพื่ อมิ ใ ห้ ผู้ ค้ า
ประกันต้องรับผิดชอบเกิดไปกว่าที่เขามีเจตนาจะรับรองไว้
1.2.2 ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ าประกัน
การค้้ าประกั น อย่ า งจ้า กั ด หรื อ ไม่ จ้า กั ด ความรั บ ผิ ด ท้า ให้ ข อบเขต
ความรับผิดของผู้ค้ าประกันต่างกันอย่างไร
การค้้าประกันอย่างจ้ากัดความรับผิด ท้าให้ผู้ค้ าประกันต้องรับผิดแต่
เพียงในขอบเขตที่ตนจ้ากัดความรับผิดไว้เท่านั้น โดยอาจจะเป็ นการจ้า กัด
จ้า นวนหนี้ ที่ รั บ ผิ ด จ้า กั ด เวลาที่ รั บ ผิ ด หรื อ จ้า กั ด เงื่ อนไขในการรั บ ผิ ด
อย่างไรก็ได้ แต่การจ้ากัดความรับผิดนี้ จะต้องตกลงแสดงไว้อย่างแจ้งชัดใน
สั ญ ญาค้้ าประกั น เพราะหากไม่ ร ะบุ ไ ว้ ชั ด อาจต้ อ งรั บ ผิ ด โดยไม่ จ้า กั ด ได้
การค้้าประกันโดยไม่จ้ากัดความรับผิดอาจเป็ นเรื่องที่ผู้ค้ าประกันตกลงรับ
ผิดโดยไม่จ้ากัดเอง หรืออาจเป็ นกรณีท่ีสัญญาค้้าประกันไม่ปรากฏชัดว่ารับ
ผิ ด จ้า กั ด อย่ า งไรก็ ไ ด้ การค้้ าประกั น โดยไม่ จ้า กั ด ความรั บ ผิ ด ท้า ให้ ผู้ ค้ า
ประกันต้องรับผิดในหนี้ ทุกอย่างที่ลูกหนี้ จะต้องใช้คือนอกจากเงินต้นของหนี้
แล้ว ยังรวมถึงดอกเบี้ย และค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการไม่ช้า ระหนี้
ซึ่งลูกหนี้ ค้างช้าระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็ นอุปกรณ์แห่งหนี้ ด้วย
แต่ไม่ว่าจะเป็ นการค้้าประกันจ้ากัดหรือไม่จ้ากัดความรับผิดก็ตามผล
ที่สุดผู้ค้ าประกันก็ไม่ต้องรับผิดเกินความรับผิดของลูกหนี้ ท้ังสิ้น เว้นแต่จะมี
การตกลงพิ เ ศษยอมรั บ ผิ ด เกิ น กว่ า ที่ ลู ก หนี้ จะต้ อ งรั บ ซึ่ ง เป็ นเรื่ องที่ ผู้ ค้ า
ประกันยอมตกลงชดใช้เกินไปเอง
และไม่ว่าจะเป็ นการค้้าประกั นจ้า กั ดหรือ ไม่ จ้า กัด ความรับ ผิด ผู้ค้ า
ประกันก็ยังคงต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนี ยมความซึ่งลูกหนี้ จะต้องใช้ให้แก่
เจ้ าหนี้ ด้ วย เว้ นแต่เ จ้าหนี้ จ ะฟ้ องคดี โ ดยมิ ไ ด้ เ รี ยกให้ ผู้ค้ าประกั น ช้า ระหนี้
ก่อน
แบบประเมินผลหน่วยที่ 1
5
1. สัญญาค้้าประกันคือ สัญญาที่บุคคลภายนอกตกลงกับเจ้าหนี้ ว่าจะใช้หนี้ เมื่อลูก
หนี้ ไม่ใช้
2. สัญญาค้้าประกัน ต้องมีหลักฐานเป็ นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ าประกันจึงจะฟ้ อง
ร้องให้บังคับคดีกันได้
3. หนี้ ท่ีไม่อาจมีการค้้าประกันได้คือ หนี้ ท่ีลูกหนี้ กระท้าโดยส้าคัญผิดในสาระส้าคัญ
ของนิ ตก
ิ รรม
4. หลักการทั่วไปเกี่ยวกับความรับ ผิด ชอบของผู้ค้ าประกันมีดังนี้ (ก) ผู้ค้ าประกัน
ต้องช้าระหนี้ แก่เจ้าหนี้ เมื่อลูกหนี้ ไม่ช้าระ (ข) ผู้ค้ าประกันรับผิดไม่เกินความรับผิดของ
ลูกหนี้ (ค) การตีความเกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ าประกันต้องตีความโดยเคร่งครัด
5. การค้้าประกัน อย่างไม่จ้า กัดความรับผิดครอบคลุมถึงหนี้ เงินต้น ดอกเบี้ย ค่า
ขนส่ง เบี้ยปรับ ค่าฤชาธรรมเนี ยมความ ของลูกหนี้
6. การค้้ าประกั น อย่ า งจ้า กั ด ความรั บ ผิ ด ได้ แ ก่ ค้้ าประกั น โดยจ้า กั ด เวลาหรื อ
จ้า นวนหนี้ ไว้น้อยกว่าหรือมากกว่าความรับ ผิด ของลูก หนี้ หรื อโดยมีเ งื่ อนไขอย่ างไร
ก็ได้
7. ผู้รบ
ั เรือนคือ ผู้ค้ าประกันของผู้ค้ าประกัน
8. ผู้ค้ าประกันหลายคนในหนี้ รายเดียวกันต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ รับผิดอย่างลูกหนี้
ร่วม
9. การที่เจ้าหนี้ บังคับช้า ระหนี้ เอาจากผู้ค้ าประกันไม่เพียงพอที่จะช้า ระหนี้ ของลูก
หนี้ ได้ท้ังหมด จะมีผลทางกฎหมายคือ ลูกหนี้ ยังคงต้องรับผิดในหนี้ ส่วนที่เหลือทั้งหมด
10. หนั ง สือ สัญ ญากู้ ยื ม เงิ น ซึ่ง ลงลายมื อชื่ อผู้ ค้ าประกั น ในช่ อ งผู้ ค้ าประกั น โดย
ไม่มีข้อความแสดงการค้้าประกัน ก็เพียงพอที่จะใช้เป็ นหลักฐานฟ้ องร้องให้ผู้ค้ าประกัน
รับผิดแล้ว
หน่วยที่ 2 ผลและความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาค้้าประกัน
1. เมื่อลูกหนี้ ผิดนัดไม่ช้าระหนี้ เจ้าหนี้ ย่อมมีสิทธิทวงถามให้ผู้ค้ าประกัน
รับผิดตามสัญญาค้้าประกัน ทันที แต่ผู้ค้ าประกันอาจใช้สิทธิยกข้อต่อสู้หรือ
เบี่ยงบ่ายให้เจ้าหนี้ ไปบังคับช้าระหนี้ เอาจากลูกหนี้ ก่อนได้
2. ผู้ค้ าประกันซึ่งได้ช้าระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้ ไปแล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจาก
ลูกหนี้ และรั บช่ วงสิท ธิของเจ้ าหนี้ ใ นมู ลหนี้ น้ั นได้ ต ลอดถึ ง ประกั นแห่ ง หนี้
แต่มีบางกรณี ท่ีผู้ค้ าประกันอาจเสียสิทธิไล่เบี้ยลูกหนี้ หรือไม่อาจเข้ารับช่วง
สิทธิของเจ้าหนี้ ได้เช่นกัน
3. สัญญาค้้าประกันย่อมระงับไปเช่นเดียวกับการระงับของสัญญาธรรม
ดาทั่วๆไป หรือเมื่อหนี้ ของลูกหนี้ ระงับลงไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ในบางกรณีผู้ค้ า
6
ประกั น อาจหลุ ด พ้ น ความรั บผิ ด เพราะเหตุ ส้า คั ญ อั น เกิ ด จากการกระท้า
ของเจ้าหนี้ ได้
2.1 ผลของสัญญาค้้าประกันก่อนช้าระหนี้
1. ความรับผิดของผู้ค้ าประกันตามสัญญาค้้าประกันเกิดขึ้นทันทีท่ีลูกหนี้
ผิดนัดไม่ช้าระหนี้
2. ถ้าลูกหนี้ มิได้ผิดนัด ผู้ค้ าประกันก็ยังไม่มีความรับผิดที่จะต้องช้าระหนี้
แก่เจ้า หนี้ แม้ ตัวลู กหนี้ เองอาจต้อ งช้า ระหนี้ ก่อ นถึ งเวลาก้า หนดเพราะไม่
อาจถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาได้
3. เมื่อถูกเจ้าหนี้ ทวงถามให้ช้าระหนี้ ผู้ค้ าประกันอาจใช้สิทธิเบี่ยงเบนให้
เจ้าหนี้ ไปบังคับช้าระหนี้ เอาจากลูกหนี้ ก่อนได้ เว้นแต่ในกรณีท่ีมีข้อตกลงให้
ผู้ค้ าประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้
4. เมื่อลูกหนี้ รับสภาพหนี้ หรือเมื่อเจ้าหนี้ ฟ้องคดีหรือท้าการอย่างอื่นอันมี
ผลอย่างเดียวกัน เป็ นเหตุให้อายุความฟ้ องคดีสะดุดหยุดลงเป็ นโทษแก่ลูก
หนี้ การนั้นย่อมตกเป็ นโทษแก่ผู้ค้ าประกันด้วย
2.1.1 ก้าหนดเวลาช้าระหนี้ ตามสัญญาค้้าประกัน
ด้าก้เู งินจากแดง โดยสัญญาจะใช้ให้ภายในก้าหนด 1 ปี มีขาวเป็ นผู้
ค้้าประกัน ครั้นเมื่อใกล้จะครบก้าหนด มีกฎหมายใหม่ออกมายกเลิกระบบ
เงินตราที่ใช้อยู่ในขณะนั้น โดยให้ใช้ธนบัตรชนิ ดใหม่ ซึ่งทางการยังพิมพ์
ออกมาให้ใช้กันได้ไม่ท่ัวถึง ด้าจึงไม่สามารถน้าเงินไปใช้หนี้ ให้แดงได้ครบ
ถ้วนตามเวลาที่ก้าหนด แดงจึงมาฟ้ องเรียกร้องเอาจากขาวในฐานะผู้ค้ า
ประกัน ให้วน ิ ิ จฉัยว่าแดงจะเรียกร้องเอาเช่นนั้นได้หรือไม่
ตามหลักมาตรา 686 ผู้ค้ าประกันจะต้องรับผิดตามสัญญาค้้าประกัน
เมื่อลูกหนี้ ผิดนัด กรณีตามปั ญหามีพฤติการณ์ท่ีด้ายังไม่สามารถช้าระหนี้
ได้ครบถ้วน โดยด้าไม่ต้องรับผิด เป็ นเหตุยกเว้นตามมาตรา 205 ด้ายังไม่ได้
ชื่อว่าผิดนัด แดงจึงจะมาเรียกร้องเอาแก่ขาวผู้ค้ าประกันไม่ได้
มาตรา 686 ลูกหนี้ ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ ชอบที่จะเรียก ให้ผู้ค้ าประกัน
ช้าระหนี้ ได้แต่น้ัน
มาตรา 205 ตราบใดการช้าระหนี้ น้ันยังมิได้กระท้าลงเพราะพฤติการณ์อันใด
อันหนึ่ ง ซึง
่ ลูกหนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้นลูกหนี้ ยังหาได้ช่ ือว่าผิดนัดไม่
2.1.2 กรณีท่ล
ี ูกหนี้ ไม่อาจถือประโยชน์แห่งเงื่อนเวลา
การที่ผู้ค้ าประกันไม่จ้าต้องช้าระหนี้ ก่อนถึงก้าหนดช้าระ แม้ว่าลูกหนี้
จะไม่อาจถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาได้แล้วก็ตาม มีเหตุผลอย่างไร
ประโยชน์แห่งเงื่อนเวลานั้ นปกติก้า หนดไว้เพื่อประโยชน์ของลูกหนี้
เพื่อให้ลกู หนี้ มีเวลาส้าหรับเตรียมการช้าระหนี้ แก่เจ้าหนี้ ได้ ดังนั้น การที่หนี้
มีก้าหนดเวลาช้าระจึงจึงได้ประโยชน์ไปถึงผู้ค้ าประกันด้วยในฐานะเป็ นลูก
หนี้ ช้ันที่ สอง ซึ่ งความรับผิด โดยตรงในการช้า ระหนี้ เ ป็ นของลู กหนี้ ไม่ใ ช่
7
ของผู้ค้ าประกัน ผู้ค้ าประกันจะมีความผิดก็ต่อเมื่อลูกหนี้ ผิดนัดไม่ช้าระหนี้
เท่านั้น หากไม่ใช่กรณีท่ีลูกหนี้ ผิดนัดแล้ว เจ้าหนี้ ไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้
ค้้าประกันรับผิดก่อนหนี้ ถึงก้าหนดได้ แม้ตัวลูกหนี้ เองอาจถูกฟ้ องบังคับให้
ต้ อ งช้า ระหนี้ ก่ อ นถึ ง ก้า หนดเพราะเหตุ ท่ี ต นไม่ อ าจถื อ เอาประโยชน์แ ห่ ง
เงื่อนเวลาตามกรณีใน มาตรา 193 ก็ตาม
มาตรา 193 ในกรณีดังต่อไปนี้ ฝ่ายลูกหนี้ จะถือเอาประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเริ่ม
ต้นหรือเงื่อนเวลาสิ้นสุดมิได้
(1) ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามกฎหมายว่าด้วย ล้มละลาย
(2) ลูกหนี้ ไม่ให้ประกันในเมื่อจ้าต้องให้
(3) ลูกหนี้ ได้ท้าลาย หรือท้าให้ลดน้อยถอยลงซึ่งประกันอันได้ให้ไว้
(4) ลูกหนี้ น้าทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาให้เป็ นประกันโดยเจ้าของ ทรัพย์สินนั้น
มิได้ยินยอมด้วย
3) เมื่อผู้จ้านองหลุดพ้น
4) เมื่อถอนจ้านอง
5) เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สิน ซึ่งจ้า นองตามค้า สั่งศาลอันเนื่ องมา
จากการบังคับจ้านองหรือถอนจ้านอง
6) เมื่อเอาทรัพย์สน
ิ ซึ่งจ้านองนั้นหลุดเป็ นสิทธิ
หน่วยที่ 7 การบังคับจ้าน้าและสัญญาบัญชีเดินสะพัด
1. การบังคับจ้าน้าท้าได้วิธีเดียวคือ ขายทอดตลาดทรัพย์จ้าน้าเท่านั้น จะ
เอาทรั พ ย์ จ้า น้า หลุ ด เป็ นสิ ท ธิ ไ ม่ ไ ด้ ยกเว้ น การจ้า น้า ที่ ท้า กั บ โรงจ้า น้า
กฎหมายจึงบังคับให้จ้าน้าโดยเอาทรัพย์หลุดเป็ นสิทธิได้
2. จ้า น้า ย่ อ มระงั บ สิ้ น ไปเมื่ อหนี้ ประธานระงั บ สิ้ น ไปไม่ ว่ า ด้ ว ยเหตุ ใ ดๆ
และถ้าผู้รับจ้าน้ายินยอมให้ทรัพย์จ้าน้ากลับไปอยู่ในความครอบครองของผู้
จ้าน้าแล้ว จ้าน้าระงับสิ้นไปเหมือนกัน
3. สั ญ ญาบั ญ ชี เ ดิ น สะพั ด เป็ นสั ญ ญาที่ บุ ค คลสองคนตกลงให้ หั ก ทอน
บัญชีหนี้ สินระหว่างเขาทั้งสองเป็ นระยะไป และเป็ นสัญญาที่สมบูรณ์บังคับ
กันได้โดยอาศัยล้าพังการตกลง
7.1 การบังคับจ้าน้า
1. การบังคับจ้าน้าท้าได้ด้วยการเอาทรัพย์จ้าน้าออกขายทอดตลาด โดย
ไม่ฟ้องคดีต่อศาล แต่ต้องบอกกล่าวเป็ นหนังสือให้ให้ผู้จ้าน้าช้าระหนี้ ภายใน
เวลาอัน สมควรก่อน และต้องบอกให้ รู้ถึ งวั นเวลาสถานที่ ท่ีข ายทอดตลาด
ด้วย
2. เมื่อบังคับจ้าน้าแล้ว เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดต้องเอามาจัดสรร
ช้า ระหนี้ และอุ ป กรณ์แ ห่ ง หนี้ หากมี เ งิ น เหลื อ แก่ ผู้ จ้า น้า แต่ ถ้ า ขายทอด
ตลาดไม่พอช้าระหนี้ ตัวลูกหนี้ ต้องรับผิดชดใช้เงินที่ขาดอยู่
3. จ้า น้า ย่อมระงับสิ้นไปเมื่อหนี้ ประธานระงับ หรือเมื่อผู้รับจ้า น้า ยอมให้
ทรัพย์จ้าน้ากลับไปอยู่ในความครอบครองของผู้จ้าน้า หรือเมื่อบังคับจ้าน้า
7.1.1 วิธีบังคับจ้าน้า
เข้มกู้เงินข้น 10,000 บาท ก้าหนดช้าระคืนภายใน 2 เดือน โดยไม่ได้ท้า
สัญญากู้กัน แต่เข้มจ้า น้า เข็มขัดทองค้า หนั ก 10 บาท เป็ นประกันหนี้ ให้ข้น
ครั้นหนี้ ครบก้าหนดเข้มผิดนัด ข้นมาขอค้าแนะน้าว่า ถ้าจะเรียกร้องให้เข้ม
ช้าระหนี้ จะต้องท้าอย่างไร
เนื่ องจากหนี้ เงิ น กู้ ร ายนี้ ไม่ ไ ด้ ท้า สั ญ ญากู้ ไ ว้ จึ ง ฟ้ องบั ง คั บ อย่ า งหนี้
สามัญไม่ได้ แนะน้าให้ข้นใช้สิทธิบังคับจ้าน้าเพื่อเอาเงินช้าระหนี้ โดยให้ข้น
มีหนังสือเตือนเข้มก่อนตามมาตรา 764 ถ้าเข้มยังไม่เอาเงินมาช้า ระตามที่
เตือนก็มีหนังสือบอกเข้มว่าจะเอาเข็มขัดทองค้าออกขายทอดตลาดโดยแจ้ง
สถานที่และเวลาขายทอดตลาดไปด้วย แล้วเอาเข็มขัดออกขายทอดตลาด
ต่อไป
การบังคับจ้าน้ากรณีใดที่ไม่ต้องขายทอดตลาด
มีได้ 2 กรณีคือ
42
1) กรณี จ้า น้า ตั๋ว เงิ น ถ้ า ตั๋ว เงิ น ถึ ง ก้า หนดใช้ เ งิ น ก่ อ นหนี้ ที่ ป ระกั น
หรือถึงก้าหนดใช้เงินในเวลาเดียวกันกับหรือกระชั้นชิดกับหนี้ ท่ีประกัน ผู้รับ
จ้าน้าก็เอาตัว
๋ เงินนั้นไปเรียกเก็บเงินได้เลย
2) กรณี จ้า น้า กั บ โรงรั บ จ้า น้า กฎหมายให้ ผู้ รั บ จ้า น้า บั ง คั บ จ้า น้า โดย
เอาทรัพย์จ้าน้าหลุดเป็ นสิทธิ
มาตรา 864 เมื่อคู่สัญญาประกันภัยยกเอาภัยใดโดยเฉพาะขึ้น เป็ นข้อพิจารณา
ในการวางก้าหนดจ้านวนเบี้ยประกันภัย และภัยเช่นนั้นสิ้นไปหามีไม่แล้วท่านว่าภาย
หน้าแต่น้ันไปผู้เอาประกันภัยชอบที่จะได้ลดเบี้ยประกันภัยตามส่วน
7.1.2 ผลของการบังคับจ้าน้า
แสงกู้ เ งิ น สี 20,000 บาท ไม่ ไ ด้ ท้า สั ญ ญากู้ กั น โดยเสี ย งจ้า น้า เปี ยโน
เป็ นประกันหนี้ เมื่อหนี้ ครบก้าหนดช้าระคืน แสงไม่มีเงินมาช้าระสีจึงบังคับ
จ้าน้าขายทอดตลาดเปี ยโนได้เงิน 16,000 บาท หนี้ ยังอยู่อีก 4,000 บาท สีจะ
ฟ้ องให้แสงหรือเสียงช้าระเงินที่ขาดอยู่ได้หรือไม่
ฟ้ องไม่ไดู เพราะการกู้เงินนี้ ไม่มีหลักฐานเป็ นหนังสือ จึงเรียกร้องให้
สีลูกหนี้ ชดใช้เงินที่ขาดไม่ได้ ส้าหรับเสียงซึ่งเป็ นผู้จ้าน้าก็มิได้ตกลงว่า ยอม
ชดใช้เงินที่ขาด ฉะนั้นเสียงจึงไม่ต้องรับผิดในเงินที่ขาดอยู่
7.1.3 ความระงับสิ้นไปแห่งสัญญาจ้าน้า
พาลีกู้เ งินสุ ค รี พ 5,000 บาท เมื่ อวั น ที่ 1 กรกฎาคม 2524 ไม่มี ก้า หนด
ช้า ระคืน โดยในสัญญากู้ท่ีท้า นั้นมีข้อความระบุว่าหนุมาณจ้า น้า กระบี่เป็ น
ประกัน และมีข้อตกลงพิเศษด้วยว่า ถ้าขายทรัพย์ท่ีจ้าน้าได้เงินสุทธิต่ ้ากว่า
จ้านวนหนี้ ท่ีค้างแล้วหนุมาณยอมชดใช้เงินที่ขาดให้จนครบ ต่อมาสุครีพคืน
กระบี่แก่หนุมาณไปเพื่อใช้ป้องกันตัวนั บแต่กู้เงินกันแล้ว พาลีไม่เคยช้า ระ
เงินต้นคืนเลย จนถึงเดือนสิงหาคม 2536 สุครีพจึงทวงเงิน พาลีปฏิเสธสุค
รีพจะบังคับช้าระหนี้ เอาจากใครได้บ้าง
ไม่สามารถบังคับช้า ระหนี้ จากใครได้ กล่าวคือ จะบังคับจ้า น้า เอากับ
หนุ มาณก็ ไ ม่ ไ ด้ เ พราะคื น กระบี่ ใ ห้ ไ ปแล้ ว จ้า น้า จึ ง ระงั บ สิ้ น ไป และจะฟ้ อง
พาลีก็ไม่ได้อีก เพราะหนี้ เงินกู้ล่วงเลยมากว่า 10 ปี ขาดอายุความฟ้ องร้อง
7.2 สัญญาบัญชีเดินสะพัด
1. สั ญ ญาบั ญ ชี เ ดิ น สะพั ด เป็ นสั ญ ญาระหว่ า งบุ ค คลสองคนให้ หั ก ทอน
บัญชีหนี้ สินระหว่างกันเป็ นระยะ ตามที่ตกลงกัน
2. หนี้ ท่ีเกิดจากหักทอนสัญญาบัญชีเดินสะพัด หากผู้เป็ นลูกหนี้ ไม่ช้า ระ
จะต้องเสียดอกเบี้ยนั้น แม้คู่สัญญาจะมิได้ตกลงให้ต้องเสียดอกเบี้ยก็ตาม
3. สัญญาบัญชีเดินสะพัดระงับไปด้วยเหตุต่างๆ คือ เมื่อครบก้า หนดอายุ
สัญญาเมื่อมีการบอกเลิกสัญญา หรือเมื่อคู่สญ
ั ญาฝ่ ายใดตาย
7.2.1 ความหมายของสัญญาบัญชีเดินสะพัด
บัญชีเดินสะพัดมีลก
ั ษณะอย่างไร อธิบาย
43
บัญชีเดินสะพัดมีลก ั ษณะ คือ
1) เป็ นสัญญาระหว่า งบุ คคลสองคน และสมบู ร ณ์โ ดยอาศั ย เพี ย งการ
ตกลง
2) เป็ นสัญญาที่ต้องมีการตกลงให้หักทอนบัญชีหนี้ ระหว่างกัน
3) เป็ นสัญญาที่มีก้าหนดอายุหรือไม่ก็ได้
7.2.2 การหักทอนบัญชีเดินสะพัด
แดงกับด้ามีบัญชีเดินสะพัดต่อกันมีก้าหนด 3 ปี ตกลงหักทอนบัญชีกัน
ทุกๆ 3 เดือน เมื่อหักทอนบัญชีกันครั้งที่ 5 แล้ว ปรากฏว่าแดงเป็ นลูกหนี้ ด้า
อยู่ 5,000 บาท ด้าเรียกให้แดงช้าระเงินสด 5,000 บาท แดงไม่ยอมช้าระ ขอ
ให้ลงบัญชีไว้แล้วไปหักทอนกันในงวดหน้า ดังนี้ ด้า จะฟ้ องให้แดงช้า ระเงิน
5,000 บาท นี้ ได้หรือไม่
ด้า มี สิ ทธิ ท่ี จ ะฟ้ องแดงให้ ช้า ระเงิ น 5,000 บาท ให้ แ ก่ต นได้ เ พราะเงิ น
5,000 บาท นี้ เป็ นเงินที่เหลือจากการหักทอนบัญชีกันแล้ว ซึ่งฝ่ ายที่เป็ นลูก
หนี้ ต้ อ งช้า ระหนี้ ใ ห้ แ ก่ ฝ่ายที่ เ ป็ นเจ้ า หนี้ ฉะนั้ น แดงจึ ง ต้ อ งช้า ระให้ ด้า ถ้ า
หากแดงไม่ช้าระ ด้าก็มีสิทธิฟ้องเรียกให้ช้าระได้ ตามมาตรา 865 ตอนท้าย
ที่ว่า “คงช้าระส่วนที่เป็ นจ้านวนคงเหลือโดยดุลยภาค”
และยิ่งกว่านั ้น ถ้าหากแดงไม่ช้าระเงิน 5,000 บาท แดงต้องเสียดอกเบี้ย
ในจ้า นวนเงิน 5,000 บาทนี้ ด้วยและแดงจะเกี่ยงว่า ขอให้น้า เงิน 5,000 บาท
จดลงบัญชีไว้แล้วไปหักทอนกันในงวดหน้าต่อไปนั้นไม่ได้เช่นกัน
มาตรา 865 ถ้าในเวลาท้า สัญญาประกัน ภัย ผู้เ อาประกัน ภั ยก็ ดี หรือ ในกรณี
ประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่
แล้ว ละเว้นเสียไม่เ ปิ ดเผยข้อความจริง ซึ่ง อาจจะได้จู ง ใจผู้ รับ ประกัน ภัย ให้ เ รีย กเบี้ ย
ประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือ ให้บอกปั ดไม่ยอมท้า สัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความ
นั้นเป็ น ความเท็จไซร้ท่านว่าสัญญานั้นเป็ นโมฆียะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในก้าหนดเดือนหนึ่ งนับแต่วันที่ผู้รับ ประกันภัยทราบ
มูลอันจะบอกล้างได้ก็ดีหรือมิได้ใช้สิทธิน้ั นภายในก้า หนดห้าปี นั บแต่วันท้า สัญญาก็ดี
ท่านว่าสิทธิน้ันเป็ นอันระงับสิ้นไป
แดง ด้า พ่ อ ค้ า ต่ า งส่ ง ของขายให้ แ ก่ กั น โดยมี ข้ อ ตกลงให้ จ ดบั ญ ชี
ราคาของที่ ไ ด้ ส่ ง ขายกั น ไว้ เ พื่ อหั ก ทอนกั นทุ ก สามเดื อ น ครั้ น ครบก้า หนด
สามเดือนในวันที่ 30 กันยายน ปรากฏว่ายอดเงินตามบัญชีว่าแดงเป็ นเจ้า
หนี้ ด้า อยู่ 3,000 บาท แต่แดงเพิ่งคิดบัญชีเสร็จและบอกไปยังด้า ให้ช้า ระหนี้
จ้า นวนนี้ ก็ต่อเมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม ด้า จึงได้รับแจ้ง
ยอดเงินจ้า นวนนี้ จ ากแดง ต่อมาวั น ที่ 31 ตุลาคม ด้า จึง ส่ง เงิ น จ้า นวนนี้ ไ ป
ช้า ระหนี้ แก่ แดง ดั งนี้ ด้า จะต้องเสีย ดอกเบี้ ยในเงิน 3,000 บาท นั้ นหรือ ไม่
ถ้าเสียต้องเสียเท่าไร
ข้อตกลงระหว่างแดงกับด้าพ่อค้ามีว่า ให้จดบัญชีราคาของที่ได้ส่งขาย
ให้แก่กันไว้เพื่อน้าไปหักทอนกันทุก 3 เดือน ข้อตกลงดังกล่าวนี้ เป็ นข้อตกลง
ให้ มีสัญญาบั ญ ชี เ ดิ น สะพั ด ต่ อกั น ซึ่ ง ก่ อ ให้ เกิ ด ผลตามกฎหมายต่ อ ไปว่ า คู่
44
สัญญาจะต้องท้า การหักทอนบัญชีกันทุก 3 เดือน (มาตรา 856 และ 858)
และภายหลั ง จากการหั ก ทอนบั ญ ชี แ ล้ ว หากปรากฏว่ า ฝ่ ายใดเป็ นลู ก หนี้
ฝ่ ายที่เป็ นลูกหนี้ จะต้องช้าระหนี้ ในส่วนที่เป็ นจ้านวนคงเหลือให้แก่เจ้าหนี้ ใน
การหักทอนไป นอกจากนี้ มาตรา 860 ยังได้บัญญัติต่อไปอีกด้วยว่าเงินที่ยัง
ผิดกันอยู่น้ัน ถ้ายังมิได้ช้าระให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันหักทอนบัญชีเสร็จตาม
ความในมาตรา 860 หมายความถึ ง วั น ที่ ก้า หนดไว้ เ พื่ อการหั ก ทอน มิ ไ ด้
หมายถึงวันที่คิดบัญชีเสร็จกันตามความเป็ นจริง
ข้อเท็จจริงฟั งเป็ นที่ยุติว่า ภายหลังจากครบก้า หนดการหักทอนกันใน
วันที่ 30 กันยายน แล้ว ปรากฏยอดเงินตามบัญชีว่าแดงเป็ นเจ้าหนี้ ด้า 3,000
บาท ดังนี้ ด้า จึงต้องเสียดอกเบี้ยในวงเงิน 3,000 บาท ให้แก่แดงตั้งแต่วันที่
30 กันยายน โดยเริ่มคิ ดค้า นวณดอกเบี้ ย ตั้ ง แต่ วั น ถั ด ไป คื อ 1 ตุล าคม ถึ ง
แม้ว่าการหักทอนบัญชีจะกระท้ากันเสร็จจริงและรู้ยอดเงินเหลื่อมล้้ากันอยู่
ในวันที่ 15 ตุลาคมก็ตาม
อนึ่ ง เนื่ องจากมาตรา 860 ไม่ได้ก้า หนดอัตราดอกเบี้ยที่จะต้องเสียให้
แก่กันไว้และคู่กรณี ไม่ได้ท้า ความตกลงกันไว้ จะต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่กัน
ในอัตราอย่างไร จึงต้องคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตามมาตรา
7
มาตรา 856 อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคล สองคนตกลง
กันว่าสืบแต่น้ันไป หรือในชั่วเวลาก้าหนดอันใดอันหนึ่ ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ ท้ังหมดหรือ
แต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการใน ระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน และคงช้า ระ
แต่ส่วนที่เป็ น จ้านวนคงเหลือโดยดุลภาค
มาตรา 858 ถ้ า คู่ สั ญ ญามิ ไ ด้ ก้า หนดกั น ไว้ ว่ า ให้ หั ก ทอนบั ญ ชี โ ดย ระยะเวลา
อ ย่ า ง ไ ร ไ ซ ร้ ท่ า น ใ ห้ ถื อ เ อ า เ ป็ น ก้า ห น ด ห ก เ ดื อ น
7.2.3 ความระงับสิ้นไปแห่งบัญชีเดินสะพัด
แดงกั บ ด้า มี สั ญ ญาบั ญ ชี เ ดิ น สะพั ด ต่ อ กั น โดยก้า หนดเวลาหั ก ทอน
บัญชีกันทุกเดือนมิถุนายนและธั นวาคม ดั งนี้ แดงจะบอกเลิ กสัญญานี้ ใน
กลางเดื อ นเมษายน แล้ ว เรี ย กให้ ช้า ระหนี้ กั น เสี ย ให้ เ สร็ จ สิ้ น โดยด้า ไม่
ยินยอมด้วยได้หรือไม่
สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างแดงกับด้า เป็ นสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่
ไม่ มี ก้า หนดระยะเวลาสิ้ น สุ ด ลงเมื่ อใด เพราะตามปั ญหาไม่ ป รากฏว่ า คู่
สั ญ ญาได้ ก้า หนดอายุ ค วามของสั ญ ญาบั ญ ชี เ ดิ น สะพั ด ไว้ เป็ นเพี ย งแต่ ไ ด้
ก้า หนดระยะเวลาหั ก ทอนบั ญ ชี ไ ว้ เ ท่ า นั้ น คื อ ทุ ก เดื อ นมิ ถุ น ายนและ
ธันวาคม ฉะนั้นเมื่อเป็ นสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่ไม่มีก้าหนดเวลาจึงต้องปรับ
เข้ากับมาตรา 859 ที่บัญญัติว่า “คู่สัญญาฝ่ ายใดจะบอกเลิกสัญญาบัญชีเดิน
สะพัดและให้หักทอนบัญชีกันเสียในเวลาใดๆก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเป็ น
ข้อขัดกับที่กล่าวมานี้ ” ซึ่งการบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 859 นี้ แดงมีสิทธิ
ที่จะแสดงเจตนาฝ่ ายเดียวบอกเลิกได้ แม้ว่าด้า จะไม่ยินยอมก็ตามและการ
บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดที่ไม่มีก้าหนดระยะเวลานี้ แดงไม่จ้าเป็ นที่จะ
45
ต้องบอกเลิกให้ตรงกับวันที่หั กทอนบัญ ชีเ ลย ฉะนั้ น การที่แดงบอกเลิก
สัญญาในวันกลางเดือนเมษายน จึงใช้ได้ไม่จ้า ตองรอให้ถึงเดือนมิถุนายน
หรื อเดือ นธัน วาคมซึ่ง เป็ นก้า หนดเวลาหั ก ทอนบั ญ ชี แ ละเมื่ อแดงบอกเลิ ก
สัญญาแล้ว ก็จะมีการหักทอนบัญชีกันในระหว่างแดงกับด้า นั้น ถ้าใครเป็ น
เจ้าหนี้ ลก
ู หนี้ กันเท่าใด ฝ่ ายที่เป็ นเจ้าหนี้ มีสิทธิเรียกให้ช้าระหนี้ ได้
มาตรา 859 คู่สัญญาฝ่ ายใดจะบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและ ให้หัก ทอน
บัญชีกันเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเป็ น ข้อขัดกับที่กล่าวมานี้
มาตรา 860 เงินส่วนที่ผิดกันอยู่น้ั นถ้ายังมิได้ช้า ระ ท่านให้คิด ดอกเบี้ ยนับ แต่
วันที่หักทอนบัญชีเสร็จเป็ นต้นไป
ธนาคารได้ท้าสัญญาให้กับ ก. กู้เงินในวงเงิน 50,000 บาท โดยวิธีบัญชี
เดินสะพัดซึ่งก้าหนดว่า ก. จะต้องผ่อนช้า ระหนี้ ให้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และ
จะต้องช้าระหนี้ ให้หมดสิ้นภายในวันที่ 2 มกราคม 2536 ดังนี้ ธนาคารจะเลิก
สัญญานี้ ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2536 โดย ก. ไม่ยน ิ ยอมด้วยจะได้หรือไม่
มาตรา 859 บั ญ ญัติ ว างหลั ก ไว้ ว่ า คู่ สั ญญาฝ่ ายใดจะบอกเลิ ก สั ญ ญา
บัญชีเดินสะพัดและให้หักทอนบั ญชี หนี้ กัน เสียในเวลาใดก็ ได้ ถ้า ไม่ มีอ ะไร
ปรากฏเป็ นข้อขัดกับที่กล่าวมานี้
จากบทบั ญ ญั ติ ดั ง กล่ า วแสดงให้ เ ห็ น ว่ า คู่ สั ญ ญาในสั ญ ญาบั ญ ชี เ ดิ น
สะพัดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้เสมอถ้าไม่มีอะไรแสดงไว้ ให้เห็นว่าการบอก
เลิ ก สั ญ ญาจะเป็ นการขั ด ต่ อ เจตนาของคู่ สั ญ ญา กรณี ต ามปั ญหา ก. ท้า
สัญญาบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารโดยมีข้อตกลงอีกด้วยว่า ก. จะต้องผ่อน
ช้า ระหนี้ ให้ ล ดน้ อ ยลงไปเรื่ อยๆ และต้ อ งช้า ระให้ เ สร็ จ สิ้ น ภายในวั น ที่ 1
มกราคม 2536 ข้อที่จะต้องพิจารณาคือ ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะอย่างใด
อย่างหนึ่ งที่แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญาจะต้องผูกพันจนกว่าจะสิ้นระยะเวลาใด
เวลาหนึ่ งหรือไม่
ในเบื้ องต้ น เห็ น ว่ า สั ญ ญาระหว่ า งธนาคารกั บ ก. เป็ นสั ญ ญาที่ ไ ม่ มี
ก้า หนดเวลา ดังนั้น ธนาคารจึงชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ เพราะ
ไม่มีอะไรเป็ นข้อขัดตามมาตรา 859 ส่วนข้อตกลงว่าจะต้องช้าระหนี้ ให้เสร็จ
สิ้นภายในวันที่ 1 มกราคม 2536 นั้นเป็ นเพียงข้อก้าหนดยอมลดละให้ลูกหนี้
ผ่อนช้าระหนี้ อันเกิดจากการหักทอนบัญชีเท่านั้น
ส่วนการหักทอนบัญชีหนี้ จะมีขึ้นเมื่อใดนั้นเป็ นอีกเรื่องหนึ่ ง อย่างกรณี
ตามปั ญหานี้ ถ้าธนาคารใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 859 การหักทอน
บัญชีหนี้ ก็จะเป็ นผลที่ตามมา ดังนั้น ธนาคารจึงชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้
เลยทั น ที และถ้ า ปรากฏว่ า ภายหลั ง จากการหั ก บั ญ ชี แ ล้ ว ก. เป็ นลู ก หนี้
เท่าใด ก. มีสิทธิท่ีจะผ่อนช้า ระหนี้ ได้และจะต้องช้า ระให้เสร็จภายในวันที่ 1
มกราคม 2536 ตามข้อตกลงในสัญญา
แบบประเมินผลหน่วยที่ 7
1. การบังคับจ้าน้าโดยทั่วไปท้าได้โดย ขายทอดตลาดทรัพย์จ้าน้า
46
2. การบั ง คั บ จ้า น้า กฎหมายบั ง คั บ ว่ า ต้ อ งมี จ ดหมายบอกกล่ า วลู ก หนี้ ก่ อ น
จดหมายบอกกล่าวต้องมีสาระคือ บอกให้ช้าระหนี้ ภายในระยะเวลาอันสมควร
3. การบังคับจ้า น้า ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนในกรณี เมื่อไม่สามารถบอกกล่าว
ได้และหนี้ ค้างช้าระเกิน 1 เดือน
4. ในกรณี จ้า น้า ตัว ๋ เงิน และตัว ๋ เงินถึงก้า หนดช้า ระก่อนหนี้ ประกัน ผู้รับจ้า น้า ต้อง
ปฏิบตั ิคือ เรียกเก็บเงินตามตัว ๋ เงินนั้นทันที
5. ข้ อ ตกลงที่ ผู้ จ้า น้า ตกลงให้ ผู้ รั บ จ้า น้า เอาทรั พ ย์ จ้า น้า หลุ ด เป็ นสิ ท ธิ ก่ อ นหนี้ ถึ ง
ก้าหนดช้าระ ข้อตกลงในสัญญาจ้าน้านี้ ไม่มีผลบังคับ หรือใช้บังคับไม่ได้
6. บัญชีเดินสะพัดหมายถึง ข้อตกลงหักทอนบัญชีหนี้ สินระหว่างกัน
7. ค่ส
ู ัญญาในบัญชีเดินสะพัดมีได้ เพียง 2 คน
8. ถ้า คู่ สั ญ ญาไม่ ไ ด้ ต กลงกั น ก้า หนดระยะเวลาหั ก ทอนบั ญ ชี เ ดิ น สะพั ด กฎหมาย
บังคับให้หักทอนในระยะเวลา ทุกหกเดือน
9. หนี้ ท่ีเกิดจากการหักทอนบัญชีเดินสะพัด ถ้าคู่สัญญามิได้ตกลงกันว่าต้องเสียด
อกเบี้ย ผู้เป็ นลูกหนี้ จะต้องเสียดอกเบี้ยในอัตรา ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
10. เหตุ ท่ีท้า ให้บั ญชี เดิ นสะพั ดระงับ สิ้ น ไปคื อ (1) ครบก้า หนดอายุสั ญญาบั ญ ชี เ ดิ น
สะพัด (2) คู่สัญญาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งตาย (3) คู่สัญญาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งบอกเลิกในกรณี
บั ญ ชี เ ดิ น สะพั ด ไม่ มี ก้า หนดอายุ สั ญ ญา (4) คู่ สั ญ ญาฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ ง ตกเป็ นคนล้ ม
ละลาย
หน่วยที่ 8 ลักษณะทัว
่ ไปของสัญญาตัว
๋ เงิน
1. ตัว
๋ เงินเป็ นชื่อของเอกเทศสัญญาลักษณะหนึ่ งที่ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิ ชย์ บัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองหนังสือตราสารที่เป็ นหลักฐานแห่งหนี้
ซึ่งบุคคลผู้ลงลายมือชื่อในตราสารต้องรับผิดใช้เงิน และโอนกันได้ด้วยการ
ส่งมอบที่ผู้รับโอนอาจมีสิทธิบริบูรณ์ โดยไม่ต้องค้า นึ งถึงข้อบกพร่องของผู้
โอน ตั๋ว เงิ น ที่ ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มุ่ ง คุ้ ม ครองมี 3 ประเภท
ได้แก่ ตัว ๋ แลกเงิน ตัว๋ สัญญาใช้เงิน และเช็ค
2. ตั๋ว เงิ น ทั้ ง สามประเภท คื อ ตั๋ว แลกเงิ น ตั๋ว สั ญ ญาใช้ เ งิ น และเช็ ค มี
บทบั ญ ญั ติ ท่ั ว ไปที่ ใ ช้ บั ง คั บ ร่ ว มกั น คื อ การเขี ย นข้ อ ความอื่ นลงในตั๋ว เงิ น
ความรับ ผิด ของผู้ล งชื่ อในตั๋ว เงิ น การผ่ อนวัน ใช้ เงิ น ผู้ ท รงตั๋ว เงิน ผู้ เ ป็ นคู่
สัญญาในตัว ๋ เงินและใบประจ้าต่อ
8.1 ความรู้เบื้องตูนเกีย
่ วกับตัว
๋ เงิน
1. ประวัติของตัว
๋ เงินนั้นเกิดจากการช้าระหนี้ การค้าระหว่างผู้อยู่ต่างถิ่น
กัน ที่จะไม่ต้องส่งเงินตราไปเพียงแต่เขียนค้าสั่งให้ลูกหนี้ ของตนจ่ายเงินแก่
ผู้ ขายแทนตน ดั ง นี้ ตั๋ว เงิน จึ ง เป็ นประโยชน์ใ นการช้า ระหนี้ การใช้ สิ น เชื่ อ
ระยะสั้น การโอนหนี้ และขนส่งเงิน
47
2. ตั๋วเงินตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิ ชย์ มี 3
ประเภทคือ ตัว ๋ แลกเงิน ตัว
๋ สัญญาใช้เงิน และเช็ค
8.1.1 ประวัติและประโยชน์ของตัว ๋ เงิน
ประโยชน์ของตัว ๋ เงินที่ส้าคัญมีอย่างไรบ้าง
ประโยชน์ของตัว ๋ เงินที่ส้าคัญมีอยู่ 3 ประการคือ
(1) เป็ นเครื่องมือในการช้า ระหนี้ เช่น เราเป็ นหนี้ ใครคนหนึ่ งแทนที่จะ
ต้องเสียเวลานับเงินจ้านวนมาก เราอาจออกเช็คฉบับหนึ่ งระบุจ้านวนเงินที่
ต้องการสั่งธนาคารให้จ่ายเงินจ้านวนนั้นแก่เจ้าหนี้ ของเรา ดังนี้ เป็ นต้น และ
ในกรณี ท่ีมี หนี้ สิ นระหว่างบุ ค คลหลายคนที่ เ กี่ย วข้ อ งกั น เราอาจตกลงกัน
ออกตั๋ว แลกเงิ น ครั้ ง เดี ย ว ระงั บ หนี้ นั้ น ก็ ไ ด้ เ ช่ น เราเป็ นหนี้ ข. 5,000 บาท
ขณะเดียวกัน ค.เป็ นหนี้ เรา 5,000 บาท ด้วย เราอาจออกตั๋วแลกเงินสั่ง ค.
ให้ช้าระเงิน 5,000 บาทแก่ ข. เพื่อระงับหนี้ ท้ังสองรายนี้ โดย ค. ไม่ต้องใช้เงิน
แก่เรา และเราไม่ต้องใช้เงินแก่ ข. ตามหนี้ แต่ละราย
(2) เป็ นเครื่องมือในการให้สินเชื่อระยะสั้น หรือเป็ นการผ่อนเวลาที่ลูก
หนี้ จ ะต้ อ งช้า ระหนี้ เ ป็ นเงิ น สดขณะเดี ย วกั น เจ้ า หนี้ อ าจน้า ตั๋ว เงิ น ออกขาย
โดยเสียส่วนลดในระหว่างเวลาก่อนตัว ๋ ถึงก้าหนด เช่น ก. ขายสินค้าเชื่อ แก่
ข. ข. อาจออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าช้าระค่าสินค้าแก่ ก. เป็ นประโยชน์แก่ ข.
ที่จะไม่ต้องช้าระเงินสดทันที ส่วน ก. ก็อาจน้าเช็คไปขายลดได้เป็ นต้น
(3) เป็ นเครื่ องมื อ ในการโอนหนี้ แ ละการส่ ง เงิ น หมายความว่ า ตั ๋ว เงิ น
เป็ นเอกสารเปลี่ยนมือที่เพียงแต่สงมอบตั๋วแก่กัน ก็โอนกรรมสิทธิ แ ์ ห่ งตั๋ว
เงินและหนี้ ในตัว ๋ เงินไปยังผู้รับโอน เช่น ข. ออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าช้าระค่า
สินค้า แก ก. ก.อาจสลั กหลังโอนส่ ง มอบเช็ ค แก่ ค. เป็ นการช้า ระหนี้ ต่ อ ไป
โดยไม่ต้องช้า ระเงินสดก็ได้ ดังนี้ เป็ นต้น นอกจากนี้ ตั๋วเงินประเทศตั๋วแลก
เงินอาจเป็ นเครื่องมือส่งเงินจากสถานที่แห่งหนึ่ งไปยังอีกแห่งหนึ่ งด้วย เช่น
ก. อยู่ท่ีกรุงเทพขายสินค้าให้แก่ ข. ที่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ ข. อาจน้า เอาเงิน
จ้า นวนเท่ า ค่ า สิ น ค้ า ไปซื้ อตั๋ว แลกเงิ น จากธนาคารกรุ ง เทพจ้า กั ด สาขา
เชียงใหม่ ธนาคารกรุงเทพจ้ากัด สาขาเชียงใหม่ก็จะออก “ตัว ๋ แลกเงิน” สั่ง
ธนาคารกรุ ง เทพ จ้า กั ด ส้า นั ก งานใหญ่ ท่ี ก รุ ง เทพ จ่ า ยเงิ น จ้า นวนเท่ า ค่ า
สินค้าแก่ ก. ที่กรุงเทพ ดังนี้ ตัว ๋ แลกเงินจึงเป็ นประโยชน์ท่ีมีการส่งเงินจาก
จัง หวั ดเชีย งใหม่ มากรุ งเทพ โดยมิต้อ งมี การขนย้ ายเงิน โดยแท้จ ริง ซึ่ ง จะ
ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งเงินและเสี่ยงภัยด้วย
8.1.2 ประเภทของตัว
๋ เงิน
ข้อแตกต่างระหว่างตัว๋ แลกเงิน กับตัว
๋ สัญญาใช้เงิน
ข้อแตกต่าง ตัว
๋ แลกเงิน ตัว
๋ สัญญาใช้เงิน
1 คู่สญั ญา 3 ฝ่ ายคื อ ผู้ ส่ั ง จ่ า ย ผู้ จ่ า ย 2 ฝ่ ายคื อ ผู้ อ อกตั๋ว และ
หรือผู้รับเงิน ผ้ร
ู ับเงิน
2 ผู้รับเงิน อาจเป็ นตัว ๋ ระบุช่ ือผู้รับเงิน ต้ อ งเป็ นตั๋ว ระบุ ช่ ื อผู้ รั บ
48
หรือผู้ถือตัว
๋ เงิ น เท่ า นั้ น จะออกตั๋ ว ผู้
ถือไม่ได้
3 ข้อสัญญา “ผู้ส่ังจ่าย” สั่งให้ “ผู้จ่าย” “ผู้ อ อ ก ตั๋ ว ” ใ ห้ ค้า มั่ น
จ่ายเงิน สัญญาจะจ่ายเงินเอง
4 ฐานะของผู้ ผู้ส่ังจ่ายอยู่ในฐานะลูกหนี้ ผู้ออกตัว ๋ อยู่ในฐานะลูก
สั่ งจ่ า ยหรื อ ของผู้ รั บ เงิ น ต่ อ เมื่ อผู้ จ่ า ย หนี้ ของผู้รับเงินเสมอ
ผู้ออกตัว ๋ ไม่ใช้เงินหรือไม่รับรอง
8.2 บทเบ็ดเสร็จทัว
่ ไปของตัว
๋ เงิน
1. ตัว
๋ เงินเป็ นตราสารที่เกิดจากความเชื่อถือกันในทางการเงิน กฎหมาย
จึงวางบทบัญญัติไว้เคร่งครัดและมีลักษณะพิเศษของตั๋วเงิน แตกต่ างจาก
สั ญ ญาอื่ นหลายประการคื อ (1) การเขี ย นข้ อ ความอื่ นที่ มิ ไ ด้ บั ญ ญั ติ ไ ว้ ใ น
ลักษณะตัว ๋ เงิน ไม่มีผลแก่ตัว ๋ เงิน (2) บุคคลผู้ลงลายมือชื่อในตัว ๋ เงินต้องรับ
ผิ ด ยกเว้ น เขี ย นแถลงว่ าการท้า แทนบุ คคลอี ก คนหนึ่ ง และความสามารถ
ของคู่ สั ญ ญาแห่ ง ตั๋ ว เงิ น ไม่ มี ผ ลถึ ง ความรั บ ผิ ด ของบุ ค คลอื่ น ทั้ ง การลง
เครื่องหมายหาให้เป็ นผลลงลายมือชื่อในตัว ๋ เงินไม่ (3) ในการใช้เงินตามตัว ๋
เงินกฎหมายบัญญัติมิให้ผ่อนวันใช้เงิน
2. ตัว
๋ เงินเป็ นสัญญาที่อาจโอนหนี้ ให้แก่กันได้โดยไม่จ้ากัด คู่สัญญาผู้เป็ น
ฝ่ ายเจ้าหนี้ ในตั๋วเงินเรียกว่าผู้ท รง ส่วนลูกหนี้ ในตั๋วเงินเรียกชื่อต่า งๆ กัน
ตามที่ ได้ล งลายมือชื่อในตั๋ว เงิ นคือ ผู้ รับ รอง ผู้ส่ั งจ่ ายหรื อผู้ อ อกตั๋ว ผู้ ส ลัก
หลัง ผู้รับอาวัล และผู้สอดเข้าแก้หน้า
3. การโอนด้วยการสลักหลังเป็ นทอดๆ อาจจะไม่มีท่ีในตัว
๋ เงินจะสลักหลัง
ได้ต่อไป กฎหมายจึงอนุญาตให้เอากระดาษแผ่นหนึ่ งผนึ กต่อเข้ากับตัว ๋ เงิน
ฉบับเดิมเรียกว่าใบประจ้าต่อ
8.2.1 การเขียนข้อความอื่นลงในตัว ๋ เงิน
ก. สั่งธนาคาร ข. ให้จ่ายเงินเงินตามเช็คแก่ ค. จ้านวนเงิน “หนึ่ งแสน
บาทกับดอกเบี้ยร้อยละห้าต่อปี ” ลงวันที่ส่ังจ่าย 1 มกราคม 2536 ดังนี้ เมื่อ
เช็คถึงก้าหนดธนาคาร ข. จะต้องจ่ายเงินแก่ ค. เป็ นจ้านวนเท่าใด
เช็คไม่มีบทบัญญัติให้ ก. ผู้ส่ังจ่ายเขียนข้อความก้าหนดให้คิดดอกเบี้ย
ไว้ในเช็ค (มาตรา 989 ไม่โยงมาตรา 911 มาบังคับในเรื่องเช็ ค ) ดังนั้ นการ
เขียนข้อความสั่งจ่ายดอกเบี้ยร้อยละห้าต่อปี ลงในเช็คตามปั ญหา จึงหาเป็ น
ผลแก่เช็คไม่ (มาตรา 899) และส้าหรับเช็คนั้น วันที่ 1 มกราคม 2536 ซึ่งลง
ในเช็ ค เป็ นวั น ให้ ใ ช้ เ งิ น (มาตรา 987 เช็ ค เป็ นค้า สั่ ง ธนาคารให้ ใ ช้ เ งิ น เมื่ อ
ทวงถาม) จึงไม่มีช่วงเวลาให้คิดดอกเบี้ยด้วย ดังนั้นธนาคาร ข. จึงเพียงแต่
จ่ายเงินหนึ่ งแสนบาทให้แก่ ค. ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยแก่ ค. ด้วย
49
มาตรา 899 ข้อความอันใดซึ่งมิได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย ลักษณะ
นี้ ถ้าเขียนลงในตัว
๋ เงิน ท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็ นผล อย่างหนึ่ งอย่างใดแก่ตัว
๋ เงิน
นั้นไม่
มาตรา 911 ผู้ส่ังจ่ายจะเขียนข้อความก้า หนดลงไว้ว่าจ้า นวนเงินอันจะ พึงใช้
นั้นให้คิดดอกเบี้ยด้วยก็ได้ และในกรณีเช่นนั้น ถ้ามิได้กล่าวลงไว้เป็ น อย่างอื่น ท่านว่า
ดอกเบี้ยย่อมคิดแต่วน ั ที่ลงในตัว
๋ เงิน
มาตรา 987 อัน ว่าเช็ค นั้ น คือหนั ง สือตราสารซึ่งบุค คลคนหนึ่ ง เรียกว่า ผู้ส่ั ง
จ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจ้านวนหนึ่ งเมื่อทวงถามให้แก่ บุคคลอีกคนหนึ่ งหรือให้ใช้ตาม
ค้าสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ งอันเรียกว่า ผู้รับเงิน
มาตรา 989 บทบัญญัติท้ังหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตัว ๋ แลกเงิน ดั่งจะกล่าว
ต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับ สภาพแห่งตราสารชนิ ดนี้
คือบท มาตรา 910 , 914 ถึง 923 , 925 , 926 , 938 ถึง 940 , 945 , 946 , 959 , 967
, 971
8.2.2 ความรับผิดของผู้ลงลายมือชื่อในตัว๋ เงิน
นายสุโขทัย ปลอมลายมือชื่อนายธรรมา สั่งจ่ายเช็คหนึ่ งล้านบาทให้
แก่ นายธิราช เมื่อเช็ คถึ งก้า หนด นายธิร าชน้า เช็ ค ไปขึ้ น เงิ น แต่ธ นาคาร
ปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่า บัญชีของนายธรรมาไม่พอจ่าย ดังนี้ นายธิราชจะ
ฟ้ องใครให้รับผิดตามกฎหมายลักษณะเช็คได้บ้าง
นายธิราชฟ้ องนายธรรมาให้รับผิดตามเช็คไม่ได้เพราะนายธรรมาไม่
ได้ลงลายมือชื่อในเช็คนั้นโดยลายมือชื่อของนายธรรมาที่ส่ังจ่ายเป็ นลายมือ
ชื่อปลอม แต่นายธิราชฟ้ องนายสุโขทัยให้รับผิดตามกฎหมายลักษณะเช็คได้
เพราะนายสุโขทัยเป็ นผู้ลงลายมือชื่อ เป็ นผู้ส่ังจ่ายเช็คฉบับนี้ แม้จะลงเป็ น
ชื่อนายธรรมา ซึ่งไม่ใช่ช่ ือของนายธรรมาเองก็ตาม ตามมาตรา 900
มาตรา 900 บุค คลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋ว เงิน ย่อมจะได้รับ ผิด ตามเนื้ อ
ความในตัว ๋ เงินนั้น
ถ้าลงเพียงแต่เครื่องหมายแต่อย่างหนึ่ งอย่างใด เช่น แกงได หรือ ลายพิมพ์นิ้ว
มือ อ้างเอาเป็ นลายมือชื่อในตัว
๋ เงินไซร้ แม้ถึงว่าจะมี พยานลงชื่อรับรองก็ตาม ท่านว่า
หาให้ผลเป็ นลงลายมือชื่อในตัว๋ เงิน นั้นไม่
8.2.3 การผ่อนวันใช้เงิน
นาย เอ ออกตั๋ว แลกเงิ น สั่ ง ให้ น ายบี จ่ า ยเงิ น แก่ น าย ซี ในวั น ที่ ท่ี 5
ธันวาคม 2536 ก่อนตัว ๋ ถึงก้าหนด นาย ซี สลักหลังตัว ๋ โอนให้แก่นาย ดี สลัก
หลังโอนให้แก่นาย อี ครั้นถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2536 นาย อี ตกลงให้นาย บี
รับรองตัว ๋ ว่าจะใช้เงินให้ในวันที่ 10 ธันวาคม 2536 ดังนี้ การกระท้า ของนาย
อี เป็ นการผ่อนวันใช้เงินหรือไม่ เพราะเหตุใด
ตั๋ว แลกเงิ น ฉบั บ นี้ ก้า หนดใช้ เ งิ น วั น ที่ 5 ธั น วาคม 2536 การที่ น าย อี
ผู้ ท รงตั๋ ว แลกเงิ น ตกลงยิ น ยอมเลื่ อนก้า หนดเวลาใช้ เ งิ น เป็ นวั น ที่ 10
ธันวาคม 2536 ถือว่านาย อี ผ่านวันใช้เงินแล้วเพราะนาย อี ได้แสดงเจตนา
50
ให้ มี ผ ลผู ก พั น นาย อี มิ ใ ห้ เ รี ย กร้ อ งใช้ เ งิ น ตามตั๋ว แลกเงิ น ก่ อ นวั น ที่ 10
ธันวาคม 2536
8.2.4 ผู้ทรงตัว
๋ เงิน
นายมกราสั่ ง จ่ า ยเช็ ค แก่ น ายกุ ม ภา ระบุ ช่ ื อนายกุ ม ภาเป็ นผู้ รั บ เงิ น
นายกุ ม ภาสลั ก หลั ง ลอยให้ น ายมี น า นายมี น าขึ้ น รถโดยสารประจ้า ทาง
คนร้ายล้วงกระเป๋ าเอาเช็คไป ต่อมานายเมษาเอาเช็คฉบับนี้ สลักหลังโอนให้
แก่นายพฤษภาเพื่อช้า หนี้ เงินกู้ ดังนี้ ท่านจะให้ค้า ปรึกษาแก่นายมีนาเพื่อ
เรียกร้องเช็คฉบับนี้ คืนจากนายพฤษภาได้อย่างไรหรือไม่
ข้าพเจ้าจะให้ค้า ปรึก ษาดัง นี้ คื อ เช็ คฉบั บนี้ มีก ารสลัก หลั งลอยให้แก่
นายมีนาเป็ นรายที่สุด เช็คย่อมโอนให้แก่กันได้ด้วยการส่งมอบโดยไม่ต้อง
สลักหลังตามมาตรา 920 (3) และ 989 เมื่อนายพฤษภาเป็ นผู้ทรงโดยรับสลัก
หลั งโอนจากนายเมษาในการช้า ระหนี้ เ งิ น กู้ ซึ่ ง ไม่ ใ ช่ ไ ด้ ม าโดยทุ จ ริ ต หรื อ
ด้ ว ยความประมาทเลิ น เล่ ออย่ า งร้ า ยแรง นายพฤษภาเป็ นผู้ ท รงโดยชอบ
ด้ว ยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคสอง นายมี น าเรีย กร้ อ งเช็ ค ฉบั บ นี้ คื น
จากนายพฤษภาไม่ได้
มาตรา 905 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา 1008 บุคคลผู้ ได้ตัว ๋ เงินไว้
ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลัง ไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลัก
หลังรายที่สุดจะเป็ นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็ นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อใดรายการสลักหลัง ลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลัง ไปอีกท่านให้ถือว่าบุคคลผู้ท่ี
ลงลายชื่อ ในการสลักหลัง รายที่สุด นั้ นเป็ นผู้ได้ซึ่งตัว
๋ เงินด้วยการสลักหลัง ลอย อนึ่ ง
ค้าสลักหลัง เมื่อขีดฆ่าเสียแล้ว ท่านให้ถือว่าเสมือนว่ามิได้มเี ลย
ถ้าบุคคลผู้หนึ่ งผู้ใดปราศจากตัว ๋ เงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ ทรงซึ่งแสดง
ให้ปรากฏสิทธิของตนในตัว ๋ ตามวิธีการดั่งกล่าวมาใน วรรคก่อนนั้น หาจ้าต้องสลักตัว ๋
เงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริต หรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
อนึ่ ง ข้อความในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตัว ๋ เงินสั่ง จ่ายให้แก่ผู้ถือ
ด้วย
มาตรา 920 อันการสลักหลังย่อมโอนไปซึง ่ บรรดาสิทธิอันเกิดแต่ ตัว
๋ แลกเงิน
ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติด่ังกล่าวต่อไปนี้ ประการหนึ่ ง ประการใดก็ ได้
คือ
(1) กรอกความลงในที่ ว่า งด้ ว ยเขีย นชื่ อของตนเอง หรื อ ชื่ อบุ ค คลอื่ น ผู้ ใ ดผู้
หนึ่ ง
(2) สลักหลังตัว
๋ เงินต่อไปอีกเป็ นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้ แก่บุคคลอื่นผู้
ใดผู้หนึ่ ง
(3) โอนตัว
๋ เงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอก โดยไม่กรอกความลง ในที่ว่าง และ
ไม่สลักหลังอย่างหนึ่ งอย่างใด
8.2.5 ผู้เป็ นคู่สญ
ั ญาในตัว
๋ เงิน
เอกเป็ นผู้จัดการมรดกตามค้า สั่งศาลของโทฟ้ องตรีว่า ตรีออกเช็คสั่ง
จ่ายเงิน 100,000 บาท ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2536 แก่โทเพื่อช้าระค่าสินค้าที่ตรี
สั่งจากโท วันที่ 1 กันยายน 2536 โทถึงแก่กรรม ครั้นเช็คถึงก้าหนด เอกน้า
51
เช็ ค ไปขึ้ น เงิ น ธนาคารปฏิ เ สธการจ่ า ยว่ า คื น ผู้ ส่ั ง จ่ า ย เอกจึ ง มี ห นั ง สื อ
ทวงถามให้ตรีช้าระเงินตามเช็ค ตรีตอบจดหมายว่าที่ได้ส่ังงดจ่ายเช็คฉบับ
ดังกล่าวเป็ นความรอบครอบในกิจการ ขอให้น้า หลักฐานผู้มิสิทธิโดยชอบ
ด้วยกฎหมายไปแสดงตรียินดีจะจ่ายเงินให้ แต่เมื่อเอกน้าค้าสั่งศาลในเรื่อง
ตั้งเอกเป็ นผู้ จัด การมรดกของโทไปแสดง ตรี ก็ ไ ม่ จ่ า ยเงิน ให้ จึ ง ขอให้ ศาล
บังคับ ตรีต่อสู้คดีว่า เช็คลงวันที่ล่วงหน้าไม่เป็ นตัว ๋ เงินเมื่อโทถึงแก่กรรมไป
ก่อนถึงวันที่ลงในเช็ค สิทธิตามเช็คเป็ นอันสูญสิ้นไปแล้ว ดังนี้ เอกมีสิทธิฟ้อง
ตรีให้รับผิดตามเช็คหรือไม่ เพราะเหตุใด
เช็คที่ตรีลงวันที่ล่วงหน้านั้นย่อมสมบูรณ์เป็ นเช็ค (มาตรา 987, 988 (6))
เมื่อตรีลงลายมือชื่อเป็ นผู้ส่ังจ่ายเท่ากับตรีสัญญาว่าจะรับผิดตามเนื้ อความ
แห่ ง ตั๋ว นั้ น เมื่ อถึ ง วั น ที่ ล งไว้ (มาตรา 900) โทซึ่ ง เป็ นผู้ ท รงตั๋ว นั้ น โดยชอบ
ย่อมมีสิทธิเป็ นเจ้าหนี ตามตัว ๋ นั้น แม้หนี้ น้ันจะยังไม่ถึงก้าหนด เมื่อโทถึงแก่
กรรมก่ อ นถึ ง วัน ที่ ล งในเช็ ค เอกซึ่ ง เป็ นผู้ จั ด การมรดกของโทจึ ง เข้ าสรวม
สิทธิของโทได้ตามที่โทมีอยู่เป็ นการโอนโดยผลของกฎหมาย (มาตรา 1599,
1600) ดังนั้นเอกในฐานะผู้จัดการมาดกของโทจึงเป็ นเจ้าหนี้ ในตัว ๋ เงินมีสิทธิ
ฟ้ องตรีให้รับผิดตามเช็คได้
มาตรา 900 บุค คลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋ว เงิน ย่อมจะได้รับ ผิด ตามเนื้ อ
ความในตัว ๋ เงินนั้น
ถ้าลงเพียงแต่เครื่องหมายแต่อย่างหนึ่ งอย่างใด เช่น แกงได หรือ ลายพิมพ์นิ้ว
มือ อ้างเอาเป็ นลายมือชื่อในตัว
๋ เงินไซร้ แม้ถึงว่าจะมี พยานลงชื่อรับรองก็ตาม ท่านว่า
หาให้ผลเป็ นลงลายมือชื่อในตัว๋ เงิน นั้นไม่
มาตรา 987 อัน ว่าเช็ค นั้ น คือหนั ง สือตราสารซึ่งบุค คลคนหนึ่ ง เรียกว่า ผู้ส่ั ง
จ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจ้านวนหนึ่ งเมื่อทวงถามให้แก่ บุคคลอีกคนหนึ่ งหรือให้ใช้ตาม
ค้าสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ งอันเรียกว่า ผู้รับเงิน
มาตรา 988 อันเช็คนั้น ต้องมีรายการดั่งกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) ค้าบอกชื่อว่าเป็ นเช็ค
(2) ค้าสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็ นจ้านวนแน่ นอน
(3) ชื่อ หรือยี่ห้อและส้านักของธนาคาร
(4) ชื่อ หรือยี่ห้อของผู้รับเงิน หรือค้าจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ
(5) สถานที่ใช้เงิน
(6) วันและสถานที่ออกเช็ค
(7) ลายมือชื่อผู้ส่ังจ่าย
8.2.6 ใบประจ้าต่อ
นายมกราสั่งจ่ายตัว ๋ แลกเงินฉบับหนึ่ งหนึ่ งให้ ก. จ่ายเงินแก่นายกุมภา
ก่อนตัว๋ แลกเงินถึงก้าหนดนายกุมภาสลักหลังโอนให้แก่นายมีนา และมีการ
สลักหลังโอนต่อๆ กันมาจนตัว ๋ แลกเงินตกแก่นายธันวา แต่ปรากฏว่าด้าน
หลังตัว
๋ แลกเงินหมดเนื้ อที่ท่ีจะสลักหลังต่อไป นายธันวาจึงเอากระดาษแผ่น
52
หนึ่ งมาต่อเข้ากับตัว
๋ แลกเงินเดิม แล้วเขี่ยนสลักหลังลงบนกระดาษแผ่นที่
ต่อใหม่ให้แก่นายอาทิตย์ นายอาทิตย์สลักหลังคาบบนตัว ๋ แลกเงินเดิมกับบน
กระดาษแผ่นใหม่ให้แก่นายจันทร์ นายจันทร์สลักหลังลงบนกระดาษแผ่นที่
ต่อให้แก่นายอังคาร ดังนี้ การกระท้า ของนายธันวา นายอาทิตย์ และนาย
จันทร์ เป็ นการสลักหลังลงในใบประจ้าต่อหรือไม่
นายธันวาผู้สลักหลังในใบประจ้า ต่อครั้งแรก ไม่เขียนคาบบนตัว ๋ แลก
เงินเดิมบ้างบนใบประจ้าต่อบ้าง จึงไม่มีผลเป็ นการสลักหลังลงในใบประจ้า
ต่อไม่มีส่วนหนึ่ งของตัว
๋ แลกเงินท้าให้การสลักหลังของนายอาทิตย์และนาย
จันทร์ไม่มีผลเป็ นการสลักหลังลงในใบประจ้าต่อด้วย
แบบประเมินผลหน่วยที่ 8
1. ค้า ว่ า ตั ๋ว เงิ น ตามกฎหมาย หมายความถึ ง สั ญ ญาที่ ท้า เป็ นหนั ง สื อ ตราสารซึ่ ง
บุคคลผู้ลงลายมือชื่อในตราสารต้องรับผิดใช้เงินและโอนเงินกันได้ด้วยการส่งมอบ
2. ความหมายของ “ตัว ๋ เงิน” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์มี 3 ประเภท
คือ ตัว๋ สัญญาใช้เงิน เช็ค และตัว ๋ แลกเงิน
3. หนึ่ งออกตัว ๋ แลกเงิน สั่ง สองให้ใ ช้เงิน 50,000 บาท แก่สามและลงชื่อผู้ส่ัง จ่ายว่า
“หนึ่ งผู้จัดการมรดกนายอาทิตย์ ” ในกรณีแรก หรือ “ หนึ่ งกรรมการผู้จัดการ ” และ
ประทับตราของบริษท ั อาทิตย์จ้ากัดในกรณีท่ีสอง ดังนี้ ถ้าสองไม่ใช้เงิน หนึ่ งต้องรับผิด
ใช้เงินแก่สามเฉพาะในกรณีแรกที่ไม่ระบุว่ากระท้าการแทนผู้ใด
4. สวยออกตั ๋ว เงิ น สั่ ง ให้ ส ดจ่ า ยเงิ น 30,000 บาท แก่โ สด โสดสลั ก หลั ง ตั ๋ว แลกเงิ น
ช้าระหนี้ เงินยืมโดยระบุสาว เป็ นผู้รับสลักหลังแล้วเก็บตัว ๋ แลกเงินไว้ในกระเป๋ าถือ ยัง
ไม่ได้ส่งมอบตัว ๋ นั้นให้แก่สาว สายคนใช้ของโสดลักตัว ๋ นั้นไปแล้วปลอมลายมือชื่อสาว
สลักหลังลอยให้แก่สาก เป็ นการช้าระสินค้า ดังนี้ ผู้ทรงตัว ๋ แลกเงินฉบับนี้ ได้แก่ โสด
5. นายเอ ออกตัว ๋ แลกเงิน สั่ง นายบีใ ห้จ่ายเงิน แก่น ายซี นายซีสลัก หลัง โอนให้แก่
นายดี นายดี สลักหลังลอย ให้แก่นายอี นายอีโอนส่งมอบตัว ๋ ให้แก่นายเอฟ นายเอฟ
สลัก หลัง โอนให้แก่น ายจี นายจีสลัก หลั ง โอนให้ แก่ น ายเอช ดัง นั้ น ผู้ท่ี ลงลายมื อชื่ อ
สลักหลังรายล่าสุด ซึง ่ ได้ตัว๋ แลกเงินโดยการสลักหลังลอยได้แก่ นายเอฟ
6. นายอาทิตย์ออกตัว ๋ แลกเงินสั่งนายจันทร์ให้ใช้เงินแก่นายอังคาร นายอังคารสลัก
หลั ง โอนแก่ น ายพุ ธ โดยไม่ รู้ ว่ า นายพุ ธ เป็ นผู้ เ ยาว์ นายพุ ธ สลั ก หลั ง โอนให้ แ ก่ น าย
พฤหัส โดยนายพฤหัสไม่รู้ว่านายพุธเป็ นผู้เ ยาว์อีกเหมือนกัน ดัง นี้ น ายอาทิต ย์ นาย
อังคาร และนายพุธ จะยกข้อต่อสู้ว่านายพุธเป็ นผู้เยาว์จึงขอบอกล้างสัญญา ไม่ต้องรับ
ผิดต่อนายพฤหัส ดังนี้ นายพุธยกข้อต่อสู้ได้แต่นายอาทิตย์และนายอังคารยกข้อต่อสู้
ไม่ได้
7. นายชวดออกตัว ๋ แลกเงินสั่งนายฉลูให้จ่ายเงินแก่นายขาล นายขาลสลักหลังโอน
แก่น ายเถาะ นายเถาะสลัก หลัง ลอยโอนให้แก่น ายมะโรง นายมะเส็ ง ลั ก ตั๋ว แลกเงิน
จากนายมะโรงแล้ ว น้า ไปซื้ อสิ น ค้ า จากนายมะเมี ย ดั ง นั้ น ผู้ ท่ี ไ ม่ ต้ อ งรั บ ผิ ด ตาม
กฎหมายลักษณะตัว ๋ แลกเงินต่อนายมะเมียคือ นายมะเส็ง
8. ใบประจ้าต่อหมายถึง กระดาษแผ่นหนึ่ งที่ผนึ กต่อเข้ากับตัว ๋ เงินเดิมเมื่อไม่มีท่ีใน
ตัว
๋ เงินซึ่งสลักหลังได้ต่อไป
9. นายขาวออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้น ายเขียวใช้เงิน 100,000 บาท เมื่อได้เ ห็น แก่น าย
ด้า นายด้าสลักหลังโอนแก่นายแดง นางแดงสลักหลังโอนแก่นายทอง นายทองยื่นตัว ๋
แก่นายเขียวรับรองตัว ๋ แลกเงินว่าจะจ่ายเงินให้ในอีก 3 วัน ดังนี้ นายทองฟ้ อง นายขาว
53
นายเขียว นายด้า และนายแดงให้รับผิดใช้เงิน โดยนายทองจะฟ้ องเขียวผู้จ่ายได้
คนเดียวเท่านั้น
10. ค้าว่า “ค่ส
ู ัญญาคนก่อนๆ” ในตัว
๋ เงิน หมายถึง ผู้ส่ังจ่ายเช็คผ้ถ
ู ือ
11. นายจั น ทร์ เ ป็ นผู้ รั บ เงิ น ตามตั ๋ว แลกเงิ น ที่ น ายอาทิ ต ย์ ส่ ั ง จ่ า ยให้ ฉ บั บ หนึ่ ง นาย
จันทร์ สลักหลังลอย ให้แก่นายอังคาร นายอังคารส่งมอบตัว ๋ แลกเงินแก่นายพุธ นาย
พุธโอนส่งมอบตัว ๋ แก่นายพฤหัส นายพฤหัสสลักหลังโอนให้แก่นายศุกร์ นายศุกร์สลัก
หลัง โอนให้แก่น ายเสาร์ ผู้ท่ีลงลายมือ ชื่อในการสลัก หลั ง รายที่ สุ ด ซึ่ง ได้ตั๋ว แลกเงิน
ด้วยการสลักหลังลอย มีสิทธิโอนตัว ๋ แลกเงินต่อไปคือ นายพฤหัส
12. บุคคลที่เป็ นคู่สัญญาคนก่อนๆ ตามตัว ๋ เงิน คือ ผู้ออกตัว
๋ สัญญาใช้เงิน
13. นายสิ บ ออกตั ๋ว แลกเงิ น สั่ ง นายยี่ สิ บ ผู้ จ่ า ยเงิ น 2,000 บาท แก่ น ายสามสิ บ นาย
สามสิบสลักหลังโอนแก่นายสี่สิบ นายสี่สิบ สลักหลังลอย โอนให้แก่นายห้าสิบ นาย
ห้าสิบท้า ตัว ๋ แลกเงินหาย นายหกสิบเก็บได้แล้วน้า ไปซื้อสร้อยคอทองค้า จากนายเจ็ด
สิบ ผู้ท่ีรับต้องรับผิดตามกฎหมายลักษณะตัว ๋ แลกเงินได้แก่ นายสิบและนายสี่สิบ
14. นายมกราสั่งจ่ายเช็คเงิน 10,000 บาทให้แก่นายกุมภา นายกุมภาสลักหลังโอนให้
แก่น ายมีน า นายมีนาสลักหลัง โอนให้แก่น ายเมษา นายเมษาท้า เช็ค หาย มีผู้เ ก็บ ได้
แล้วปลอมลายมือชื่อนายเมษา สลักหลังลอย ให้แก่นายพฤษภา ดังนี้ ผู้ท่ีทรงตัว ๋ โดย
ชอบด้วยกฎหมายคือ นายเมษา
15. นายเขียวเป็ นคนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้ส่ ังว่าเป็ นคนไร้ความสามารถสั่งจ่ายเช็ค
ให้แก่นายทองโดยนายทองรู้ว่าขณะรับโอนนายเขียววิกลจริต นายทองสลักหลังโอน
เช็คแก่นายด้า โดยนายด้า รู้ขณะรับโอนว่านายเขียวเป็ นคนวิกลจริตอีกเหมือนกัน ต่อ
มานายด้าน้าเช็คไปซื้อสินค้าจากนายขาวซึ่งเป็ นพ่อค้า ดังนี้ นายเขียวสามารถยกข้อ
ต่อสู้ต่อนายทองและนายด้าได้ แต่ยกข้อต่อสู้ต่อนายขาวไม่ได้
16. นายมกราออกตัว ๋ แลกเงินสั่งนายกุมภาให้ใช้เงิน 100,000 บาท แก่นายมีนาผู้รับ
เงิน นายมีนาสลักหลังลอยมอบตัว ๋ แก่นายเมษา นายเมษาลงลายมือชื่อสลักหลังตัว ๋ ว่า
“นายเมษาตัวแทน ” อย่างหนึ่ ง หรือ “นายเมษาผู้จัดการทั่วไปของบริษท ั ก.” อีกอย่าง
หนึ่ ง ดังนี้ นายเมษาจะต้องรับผิดตามตัว ๋ ทั้งสองกรณีเพราะสลักหลังไม่ระบุว่ากระท้า
การแทนผู้ใด
17. นายหนึ่ งออกตัว ๋ แลกเงินสั่งนายสองให้ใช้เงินแก่นายสามก้าหนดสามเดือนนับแต่
ได้เห็นตัว ๋ นายสามจึงน้าตัว ๋ ไปยื่นแก่นายสองให้รับรองแต่ก่อนตัว ๋ ถึงก้าหนด นายสาม
ได้สลักหลังโอนตัว ๋ ให้แก่นายสี่ นายสี่สลักหลังโอนให้แก่นายห้า นายห้าสลักหลังโอน
ให้แก่นายหก ครั้นตัว ๋ ถึงก้า หนดนายหกน้า ตั๋วไปยื่น ให้นายสองรับรองว่าจะใช้เงิน ให้
อย่างแน่ นอนในก้าหนดสามเดือน ดังนี้ นายหกฟ้ องนายสองผู้จ่ายได้ แต่ฟ้องนายหนึ่ ง
นายสาม นายสี่ นายห้าไม่ได้
ตัว
๋ แลกเงิน
วันที่ 1 มกราคม 2536
ถึงนางมณฑา
โปรดสั่งจ่ายเงินจ้านวน หนึ่ งล้านบาท ให้แก่นายสังข์ทอง หรือตาม
ค้าสั่ง
.....................................................
(ลามือชื่อท้าวสามลผู้ส่ังจ่าย)
55
9.1.2 วันถึงก้าหนดของตัว ๋ แลกเงิน
ท้าวสามลออกตัว ๋ แลกเงินลงวันที่ 1 กันยายน 2536 สั่งนางมณฑาให้ใช้
เงินจ้านวน หนึ่ งล้านบาทให้แก่นายสังข์ทองก้าหนดสองเดือนนับแต่ได้เห็น
วันที่ 30 ธันวาคม 2536 นางมณฑาได้เห็นและรับรองตัว ๋ แลกเงินฉบับนี้ ดังนี้
นายสังข์ทองต้องน้าตัว ๋ แลกเงินไปยื่นให้นางมณฑาใช้เงินเมื่อใด
วันถึงก้าหนดตัว ๋ แลกเงินฉบับนี้ คือสองเดือนนับแต่ได้เห็น นางมณฑา
ผู้ส่ังจ่ายได้เห็นตัว
๋ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2535 ครบก้าหนดสองเดือน ในวันที่
30 กุมภาพันธ์ แต่เดือนกุมภาพันธ์ไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย วันสุดท้าย
แห่งเดือนกุมภาพันธ์ คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2536 จึงเป็ นวันสุดท้ายอันเป็ น
วันสิ้นระยะเวลาตามมาตรา 193/5 วรรคสอง วันถึงก้า หนดของตัว ๋ แลกเงิน
ฉบับนี้ ท่ีนายสังข์ทองต้องน้า ตัว ๋ แลกเงินไปยื่นให้นางมณฑาใช้เงิน คือวันที่
28 กุมภาพันธ์ 2536
9.1.3 ความรับผิดของผู้ส่ังจ่ายหรือผู้สลักหลังตัว
๋ แลกเงิน
ท้าวสามลออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าสั่งให้ธนาคารมณฑาจ้ากัด จ่ายเงิน
ให้แก่นายสังข์ทองหนึ่ งล้านบาท ก่อนเช็คถึงก้าหนด นายสังข์ทองสลักหลัง
โอนเช็คให้แก่เขยที่หนึ่ ง เขยที่หนึ่ งสลักหลังโอนแก่เขยที่สอง แล้วมีการโอน
แก่เขยที่สาม เขยที่ส่ี เขยที่ห้าจนถึงเขยที่หก ตามล้าดับ ครั้นเช็คถึงก้าหนด
เขยที่หกน้าเช็คไปยื่นแก่ธนาคารมณฑาจ้ากัด เพื่อใช้เงิน แต่ธนาคารมณฑา
จ้า กัด ปฏิเสธการใช้เงิน เขยที่สามได้เข้าใช้เงินแก่เขยที่หก และรับเช็คมา
แล้วดังนี้ เขยที่สามจะเรียกร้องต่อใครให้รับผิดใช้เงินตามเช็คได้บ้าง
เขยที่สามซึ่งเป็ นผู้สลักหลังหลังคนที่ถูกบังคับให้ใช้เงินตามเช็ค ย่อม
เรียกร้องให้ท้าวสามลผู้ส่ังจ่ายนายสังข์ทอง เขยที่หนึ่ งและเขยที่สอง ให้รับ
ผิดใช้เงินตามเช็คได้ ตามมาตรา 914 967 971 และ 989
มาตรา 914 บุคคลผู้ส่ังจ่ายหรือสลักหลังตัว๋ แลกเงินย่อมเป็ นอัน สัญญาว่าเมื่อ
ตัว๋ นั้นได้น้า ยื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรอง และใช้เงินตาม เนื้ อความแห่งตัว ๋ ถ้าและตัว ๋
แลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรอง ก็ดีหรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้ส่ังจ่ายหรือผู้
สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึง่ ต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตัว
๋
นั้น ถ้า หากว่าได้ท้าถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
มาตรา 967 ในเรื่องตัว ๋ แลกเงินนั้ น บรรดาบุคคลผู้ส่ังจ่ายก็ดีรับรอง ก็ดีสลัก
หลังก็ดี หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อ ผู้ทรง
ผู้ทรงย่อมมีสิทธิว่ากล่าวเอาความแก่บรรดาบุคคลเหล่านี้ เรียงตัว หรือรวมกัน
ก็ได้ โดยมิพักต้องด้าเนิ นตามล้าดับที่คนเหล่านั้นมาต้อง ผูกพัน
สิทธิเช่นเดียวกันนี้ ย่อมมีแก่บุคคลทุกคนซึ่งได้ลงลายมือชื่อในตัว ๋ เงิน และเข้า
ถือเอาตัว๋ เงินนั้น ในการที่จะใช้บังคับเอาแก่ผู้ท่ีมีความผูกพันอยู่ แล้วก่อนตน
การว่ากล่าวเอาความแก่คู่สัญญาคนหนึ่ ง ซึ่งต้องรับผิดย่อมไม่ตัดหน ทางที่จะ
ว่ากล่าวเอาความแก่คู่สัญญาคนอื่น ๆ แม้ท้ังจะเป็ นฝ่ ายอยู่ใน ล้า ดับภายหลังบุคคลที่
ได้ว่ากล่าวเอาความมาก่อน
56
มาตรา 971 ผู้ส่ังจ่ายก็ดี ผู้รับรองก็ดี ผู้สลักหลังคนก่อนก็ดีซึ่งเขา สลักหลัง
หรือโอนตัว๋ แลกเงินให้อีกทอดหนึ่ งนั้ น หามีสิทธิจะไล่เบี้ยเอา แก่คู่สัญญาฝ่ าย ซึ่งตน
ย่อมต้องรับผิดต่อเขาอยู่กันก่อนแล้วตามตัว ๋ เงินนั้นได้ไม่
มาตรา 989 บทบัญญัติท้ังหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตัว ๋ แลกเงิน ดั่งจะกล่าว
ต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับ สภาพแห่งตราสารชนิ ดนี้
คือบท มาตรา 910 , 914 ถึง 923 , 925 , 926 , 938 ถึง 940 , 945 , 946 , 959 , 967
, 971
ถ้าเป็ นเช็คที่ออกมาแต่ต่างประเทศ ท่านให้น้าบทบัญญัติด่ังต่อไปนี้ มาใช้บังคับ
ด้วย คือบท มาตรา 924 , 960 ถึง 964 , 973 ถึง 977 , 980
9.1.4 ข้อก้าหนดลบล้างหรือจ้ากัดความรับผิดและข้อก้าหนดลดหน้าที่
ตามตัว ๋ แลกเงิน
นายอาทิตย์ออกตัว ๋ แลกเงินสั่งนายจันทร์ ให้จ่ายเงินเมื่อครบสามเดือน
นั บแต่ไ ด้เ ห็นเป็ นจ้า นวนเงิน 50,000 บาท แก่นายอั งคาร และนายอาทิต ย์
ระบุไว้ในตัว ๋ ว่า “นายอาทิตย์รับผิดตามตัว ๋ นี้ เพียง 10,000 บาท” นายอังคาร
รับตัว
๋ แล้งลงชื่อสลักหลังโอนแก่นายพุธและนายอังคารระบุไว้ในตัว ๋ ว่า “ ให้
ยื่นตัว
๋ นี้ พร้อมรับรองภายในเจ็ดวันนับจากวันสลักหลังนี้ ” ดังนี้ อธิบายความ
รับผิดของนายอาทิตย์และนายอังคารที่มีต่อนายพุธ
ข้อความที่นายอาทิตย์ผู้ส่ังจ่ายจดลงไว้ในตั๋วแลกเงิน เป็ นข้อก้า หนด
จ้ากัดความรับผิดของนายอาทิตย์ท่ีมีต่อนายพุธผู้ทรงว่า จะรับผิดชดใช้เงิน
ตามตั๋ว เพี ย ง 10,000 บาท ไม่ ใ ช่ 50,000 บาท ตามจ้า นวนเงิ น ในตั๋ว ส่ ว น
ข้อความที่นายอังคารผู้สลักหลังจดลงไว้ในตัว ๋ แลกเงินเป็ นข้อก้า หนดจ้า กัด
เวลายื่นตัว ๋ แลกเงินให้นายจันทร์ผู้จ่ายรับรอง ซึ่งเป็ นข้อก้าหนดจ้ากัดความ
รับผิด อย่ างหนึ่ งที่ ผู้ส ลัก หลั งมี ต่อ ผู้ท รง ดังนี้ ข้อ ก้า หนดทั้ งสองข้อ ดั ง กล่ า ว
ย่อมใช้บังคับได้ นายอาทิตย์และนายอังคารจึงมีค วามรั บผิ ดจ้า กั ดตามข้อ
ก้าหนดที่ระบุไว้ในตัว ๋ แลกเงินนั้น
9.2 การโอนและการสลักหลังตัว
๋ แลกเงิน
1. ตัว๋ แลกเงินย่อมโอนให้แก่กันด้วยสลักหลังและส่งมอบ เว้นแต่ตัว ๋ ผู้ถือ
ย่อมโอนกันได้เพียงแต่ส่งมอบตัว ๋ ให้แก่ผู้รับโอนเท่านั้น แต่ตัว ๋ แลกเงินเป็ น
สัญ ลั ก ษณ์อ ย่ างหนึ่ ง ผู้ ส่ั ง จ่ ายหรื อ ผู้ ส ลั ก หลั ง ย่ อ มระบุ ข้อ ความห้ า มโอนได้
เสมอ
2. สิทธิของผู้รับโอนตัว ๋ แลกเงินมีผู้รับโอนอาจมีสิทธิดีกว่าผู้โอน
3. วิธีโอนตัว ๋ แลกเงินย่อมเป็ นไปตามประเภทของตัว ๋ แลกเงิน หรือตัว ๋ ผู้ถือ
และตัว ๋ ระบุช่ ือ
4. ผู้สลัก หลั งระบุ ข้อ ห้า มสลัก หลั งไปในตั ๋วแลกเงิน ได้ การสลัก หลั งต้อ ง
ไม่ มีเ งื่อ นไขและสลัก หลั งบางส่ว นไม่ไ ด้ การสลัก หลั งเมื่ อสิ้ นเวลาคั ดค้ า น
การไม่รับรองหรือไม่ใช้เงิน ผู้ทรงไล่เบี้ยเอาจากผู้รับรองและคู่สัญญาที่สลัก
57
หลั งภายหลัง ก้า หนดเวลาท้า ค้า คั ด ค้ า นได้ส่ ว นเมื่ อมี ค้า คั ด ค้ า น การไม่
รับรองหรือไม่ใช้เงินแล้วจึงสลักหลัง ผู้ทรงไล่เบี้ยเอาจากผู้รับรองและผู้ส่ัง
จ่ายหรือผู้สลักหลังก่อนเวลาท้าค้าคัดค้านได้เท่านั้น
5. การสลักหลังตัว ๋ แลกเงินระบุช่ ือ ย่อมโอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแก่
ตัว ๋ แลกเงิน ได้แก่สิทธิท่ีจะสลักหลังโอนตัว ๋ ต่อไป สิทธิท่ีจะบังคับเอาเงินตาม
ตัว ๋ และสิทธิท่ีจะแสวงคืนการครอบครองตัว ๋ ส่วนการสลักหลังตัว ๋ แลกเงินซึ่ง
สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ไม่ท้าให้ผู้สลักหลังรับผิดอย่างผู้สลักหลังแต่มีผลให้รับ
ผิดอย่างผู้รับอาวัลผู้ส่ังจ่าย
6. การสลักหลังตัว ๋ แลกเงินแก่ตัวแทนเพื่อเรียกเก็บเงินหรือให้จัดการแก่
ตัว ๋ แทนตนนั้น ตัวการที่สลักหลังไม่ได้โอนสิทธิอย่างการสลักหลังตามปกติ
ผู้ ท รงที่ ส ลั ก หลั ง มี อ้า นาจกระท้า การเพื่ อให้ ไ ด้ สิ ท ธิ อั น เกิ ด แก่ ตั๋ว นั้ น แทน
ตัวการที่สลักหลัง และผู้ทรงที่รับสลักหลังจะสลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นต่อไป
ได้ในฐานะเป็ นตัวแทนเท่านั้น
7. การสลักหลังจ้า น้า ตั๋วแลกเงิน ท้า ให้ผู้ทรงที่รับจ้า น้า มีสิ ทธิ เรี ยกเก็ บ
เงิน ตามตั๋ว ในวันถึ งก้า หนด แต่เมื่ อจั ดสรรช้า ระหนี้ และอุ ปกรณี แ ล้ ว มี เ งิ น
เหลือต้องส่งคืนให้แก่ผู้สลักหลังที่จ้า น้า และผู้ทรงที่รับจ้า น้า และสลักหลัง
ตัว
๋ แลกเงินนั้นต่อไปได้ในฐานเป็ นตัวแทนเท่านั้น
9.2.1 การโอนตัว ๋ แลกเงิน
ก. ออกตั๋ ว สั ญ ญาใช้ เ งิ น 100,000 บาท แก่ ข. ข. ประสงค์ จ ะโอนตั๋ ว
สัญญาใช้เงินฉบับนี้ เพื่อใช้หนี้ แก่ ค. ดังนี้ ท่านจะให้ค้าแนะน้าแก่ ข. ว่าจะท้า
อย่างไรจึงจะมีผลการโอนตามกฎหมายลักษณะตัว ๋ เงิน
ให้ ค้า แนะน้า แก่ ข. ดั ง นี้ คื อ ตามบทบั ญ ญั ติ ใ นมาตรา 917 วรรคแรก
ประกอบด้วยมาตรา 985 ตัว ๋ สัญญาใช้เงินย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและ
ส่งมอบ ดังนี้ ข. จึงต้องลงลายมือชื่อสลักหลังระบุ ค. เป็ นผู้รับประโยชน์ ที่
ด้านหน้าหรือด้านหลังของตัว ๋ ก็ได้ท่ีเรียกว่าเป็ นการสลักหลังเฉพาะ หรือ ข .
เพียงแต่ลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังของตัว ๋ ที่เรียกว่าสลักหลังลอย ก็ได้
แต่ ไ ม่ ว่ า ข. จะสลั ก หลั ง เฉพาะหรื อ สลั ก หลั ง ลอยก็ ต าม ข. ต้ อ งส่ ง มอบตั๋ว
สัญญาฉบั บ นี้ ใ ห้ แ ก่ ค. ไปด้ว ยจึ งจะมี ผลสมบู ร ณ์เ ป็ นการโอนตั๋ว สัญ ญาใช้
เงินตามกฎหมาย
อนึ่ ง ตัว
๋ สัญญาใช้เงิน ไม่มีตัว ๋ ผู้ถือ การโอนตัว ๋ สัญญาใช้เงินจึงต้องสลัก
หลังและส่งมอบเท่านั้นจะโอนตัว ๋ ให้กันด้วยวิธีส่งมอบอย่างเดียวไม่ได้
มาตรา 917 อันตัว๋ แลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่ส่ังจ่ายให้แก่ บุคคลเพื่อเขา
สั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ
๋ แลกเงินว่า "เปลี่ยนมือไม่ได้" ดั่งนี้ ก็ดี
เมื่อผู้ส่ังจ่ายเขียนลงในด้านหน้าแห่งตัว
หรือเขียนค้าอื่นอันได้ความเป็ นท้านองเช่นเดียวกันนั้นก็ดี ท่านว่าตัว
๋ เงินนั้นย่อมจะโอน
ให้กน
ั ได้แต่โดยรูปการและด้วยผลอย่างการ โอนสามัญ
58
อนึ่ ง ตัว
๋ เงินจะสลักหลังให้แก่ผู้จ่ายก็ได้ ไม่ว่าผู้จ่ายจะได้รับรองตัว๋ นั้ นหรือ
ไม่ หรือจะสลักหลังให้แก่ผู้ส่ังจ่าย หรือให้แก่คู่สัญญาฝ่ ายใด แห่งตัว ๋ เงินนั้นก็ได้ ส่วน
บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ก็ย่อมจะสลักหลังตัว ๋ เงิน นั้นต่อไปอีกได้
มาตรา 985 บทบัญญัติท้ังหลายในหมวด 2 ว่าด้วยตัว ๋ แลกเงิน ดั่งจะกล่าวต่อ
ไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องตัว
๋ สัญญาใช้เงินเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสาร
ชนิ ด นี้ คื อ บท มาตรา 911 , 913 , 916 , 917 , 919 , 920 , 922 ถึ ง 926 , 938 ถึ ง
947 , 949 , 950 , 954 ถึง 959 , 967 ถึง 971
๋ สัญญาใช้เงินที่ออกมาแต่ต่างประเทศ ท่านให้น้า บท บัญญัติต่อไปนี้
ถ้าเป็ นตัว
มาใช้บังคับด้วย คือบท มาตรา 960 ถึง 964 , 973 , 974
9.2.2 สิทธิของผู้รับโอนตัว ๋ แลกเงิน
นายมะไฟหลอกนายมะเฟื องให้ ออกเช็ค สั่ ง จ่ า ยเงิ น 500,000 บาท แก่
ตนเมื่อน้า ไปอวดนางสาวมะกรูดสัก 2-3 วัน แล้วจะคืนให้ นายมะเฟื องเห็น
แก่ เ พื่ อนจึ ง ออกเช็ ค ให้ นายมะเฟื องได้ รั บ เช็ ค แล้ ว สลั ก หลั ง โอนต่ อ นาย
มะนาวเพื่อช้าระค่าซื้อรถยนต์ ต่อมานายมะไฟไม่คืนเช็คให้ นายมะเฟื องจึง
อายัดเช็คต่อธนาคารไม่ให้จ่ายเงินนายมะนาวน้าเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคาร
ไม่ ได้ จึ งฟ้ องคดี ให้ นายมะเฟื องรั บผิ ดตามเช็ ค ดั งนี้ นายมะเฟื องจะยกข้ อ
ต่อสู้ว่า มีข้อตกลงระหว่างตนกับนายมะไฟได้หรือไม่เพราะเหตุใด
ตามบทบั ญ ญั ติ ใ นกฎหมายลั ก ษณะตั๋ว เงิ น มาตรา 916 ซึ่ ง อนุ โ ลมใช้
บังคับในเรื่อเช็คด้วยมีใจความว่าบุคคลหลังหลายผู้ถูกฟ้ องในมูลตัว ๋ เงิน หา
อาจจะต่ อ สู้ ผู้ ท รงด้ ว ยข้ อ ต่ อ สู้ อั น อาศั ย ความเกี่ ย ว พั น กั น เฉพาะบุ ค คล
ระหว่างตนกับผู้ส่ังจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อนๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะ
ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
ตามอุทาหรณ์ นายมะเฟื องซึ่งเป็ นผู้ถูกฟ้ องในมูลเช็ค จึงหาอาจจะต่อสู้
นายมะนาวผู้ท รงเช็ คที่ รับสลัก หลั งโอนมาโดยสุ จ ริต ไม่ รู้ ข้อ ตกลงระหว่ า ง
นายมะเฟื องกับนายมะไฟผู้ทรงคนก่อนนั้ นไม่ ดังนั้ นนายมะเฟื องผู้ส่ังจ่าย
เช็คจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็ค
มาตรา 916 บุ ค คลทั้ ง หลายผู้ ถู ก ฟ้ องในมู ลตั๋ว แลกเงิน หาอาจจะ ต่ อ สู้ ผู้ ท รง
ด้ว ยข้อต่อสู้อัน อาศัยความเกี่ยวพันกัน เฉพาะบุค คลระหว่าง ตนกับ ผู้ส่ัง จ่ายหรือกับ
ผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะ ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
9.2.3 วิธโี อนตัว ๋ แลกเงิน
การสลักหลังตัว ๋ เงินมีก่ีประเภทอะไรบ้าง อธิบาย
การสลักหลังตัว ๋ เงินมี 2 ประเภทคือ คือ
(1) สลั ก หลั ง เฉพาะ ได้ แ ก่ สลั ก หลั ง โดยระบุ ช่ ื อผู้ รั บ ประโยชน์ไ ว้ ด้ ว ย
กล่าวคือ ต้องเขียนค้าสลักหลังไว้ในตัว ๋ เงินหรือใบประจ้าต่อที่ด้านหน้าหรือ
ด้านหลังของตัว ๋ เงินหรือใบประจ้าต่อและต้องลงลายมือชื่อผู้สลักหลังไว้ด้วย
เช่น เขียนว่า “จ่ายนายสุโขทัยหรือตามสั่ง” และลงลายมือชื่อผู้สลักหลังไว้ท่ี
ด้านหน้าหรือด้านหลังของตัว ๋ เงินหรือใบประจ้าต่อ
59
สลั ก หลั ง ลอย ได้ แ ก่ สลั ก หลั ง โดยมิ ไ ด้ ร ะบุ ช่ ื อผู้ รั บ ประโยชน์ไ ว้
(2)
เพียงแต่ลงลายมือชื่อผู้สลักหลังไว้ท่ีด้านหลังตัว ๋ เงิน หรือใบประจ้า ต่อ เช่น
ลงลายมื อ ชื่ อผู้ ส ลั ก หลั ง ไว้ ท่ี ด้ า นหลั ง ตั๋ ว เงิ น หรื อ ใบประจ้า ต่ อ โดยไม่ มี
ข้อความใดเลย
แบบประเมินผลหน่วยที่ 9
1. ด้า ออกตั ๋ว แลกเงิ น สั่ ง แดงผู้ จ่ า ยว่ า “ ให้ จ่ า ยเงิ น 10,000 บาท ของบริ ษัท สยาม
จ้า กั ด ซึ่ ง อยู่ ท่ี ท่ า น เมื่ อขาวยื่ นตั๋ ว ” ลงชื่ อด้า ผู้ จ่ า ย กรณี น้ี ไม่ ใ ช่ ตั๋ ว แลกเงิ น ตาม
กฎหมาย เพราะมีเงื่อนไขในค้าสั่งให้จ่ายเงิน
2. วันถึงก้าหนดของตัว ๋ แลกเงินคือ เมื่อสิ้นระยะเวลาอันก้าหนดนับแต่วันที่ลงในตัว ๋
นั้น
3. นายมกราออกเช็ ค สั่ ง จ่ า ยเงิ น 200,000 บาทแก่ น ายกุ ม ภา นายกุ ม ภาสลั ก หลั ง
โอนแก่ น ายมีน า นายมีน าเห็น ชื่อนายมกราเป็ นผู้ส่ั ง จ่ ายมีค วามแค้น เป็ นส่ ว นตัว อยู่
แล้วจึงฟ้ องนายมกราให้รับผิดตามฟ้ อง ดังนี้ นายมกราไม่ต้องรับผิด เพราะนายมีนา
ยังไม่ได้น้าเช็คไปยืนและธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงิน
4. ความหมายของ “สลักหลัง” คือ ลงลายมือชื่อผู้ทรงที่ด้านหลังตัว ๋ ระบุช่ ือเพื่อโอน
ตัว๋ เงิน
5. ท้าวสามลออกตัว ๋ แลกเงินสั่งมณฑาให้จ่ายเงินแก่สังข์ทอง สังข์ทองสลักหลังโอน
แก่รจนา รจนาให้มณฑารับรองตัว ๋ แล้วสลักหลังโอนไปให้เขย 1 เขย หนึ่ ง สลักหลังให้
แก่เขย 2 เขย 2 น้า ตัว ๋ ไปให้มณฑาใช้เงินเมื่อถึงก้า หนดแต่ม ณฑาโกรธเขย 2 จึงไม่ใ ช้
เงินให้ เขย 2 ไม่ท้าค้าคัดค้านจนพ้นก้าหนดแล้วจึงสลักหลังโอนให้แก่เขย 3 เขย 3 สลัก
หลังโอนให้เขย 4 เขย 4 สลักหลังโอนให้เขย 5 เขย 5 สลักหลังโอนให้เขย 6 ดังนี้ เขย 6
สามารถไล่เบี้ยเอาจากเขย 2 ถึงเขย 5 ให้รบ ั ผิดได้เท่านั้น
6. ผู้มีสิทธิโอนตัว ๋ แลกเงินได้แก่ ผู้จัดการมรดกของผู้ทรง
7. นายหนึ่ งสั่งจ่ายเช็คเงิน 100,000 บาท แก่นายสองโดยไม่ได้ลงวันที่ส่ ังจ่ายไว้ ต่อ
มานายหนึ่ งตายไป นายสองรีบกรอกวัน เดือน ปี ลงในเช็คแล้วน้าไปขึ้นเงิน ธนาคาร
ไม่ยอมจ่ายเงิน นายสองจึงฟ้ องนายสามทายาทของนายหนึ่ ง ดังนี้ นายสามต่อสู้ว่าเช็ค
ไม่ได้ลงวันที่ส่ังจ่าย จึงไม่ต้องรับผิด ตามกฎหมายแล้วนายสามต่อสู้ไม่ได้ เพราะนาย
สองกระท้าการโดยสุจริต กรอกวันตามที่ถก ู ต้องแท้จริงได้
8. เอ ออกตัว ๋ แลกเงินสั่ง บี ให้จ่ายเงินแก่ ชี น้า ตัว
๋ เงินไปยื่นให้ บี รับรองให้ ชี จึง
สลักหลังโอนให้ ดี ดี สลักหลังโอนให้ อี เมื่อตัว ๋ ถึงก้าหนดใช้เงิน อี น้าตัว ๋ ไปยื่นให้ บี ให้
จ่ายเงิน แต่ บี ปฏิเสธ อี จึงท้า ค้า คัดค้านการไม่ใช้เงิน แล้ว อี สลักหลัง โอนตัว ๋ ให้แก่
เอฟ ดังนี้ เอฟ สามารถเรียกร้องให้ เอ บี ซี ดี รับผิดได้เท่านั้น
62
9. นายชวด ออกตัว
๋ แลกเงินสั่งนายฉลูให้ใช้เงินแก่ นายขาล นายขาล สลักหลัง
โอนแก่ นายเถาะ ให้จัดการแทน นายเถาะ ยื่นตัว ๋ แลกเงินต่อ นายฉลู เพื่อให้รับรองแต่
นายฉลู ไม่ยอมรับรอง ดังนี้ นายขาล มีสิทธิฟ้องนายชวดให้รับผิดได้ เพราะนายขาล
เป็ นตัวการ
10. หนึ่ งออกตัว ๋ สัญญาใช้เงิน 200,000 บาท แก่สอง ก่อนตัว ๋ ถึงก้าหนด สองจึงยืมเงิน
สามและสลักหลังตัว ๋ สัญญาใช้เงินฉบับนี้ จ้าน้าแก่สาม เมื่อถึงก้าหนดสามน้าตัว ๋ สัญญา
ใช้เงินไปยื่นแก่หนึ่ ง แต่หนึ่ งไม่ยอมใช้เงิน ดังนี้ หนึ่ งจะยกข้อต่อสู้ของหนึ่ งที่มีต่อสอง
ขึ้นต่อสู้สามไม่ได้ เพราะสามเป็ นผู้ทรงที่รับจ้าน้า
11. จันทร์ออกตัว ๋ แลกเงินสั่งอังคารให้จ่ายเงินแก่พุธ 100,000 บาท โดยพุธรับรองตัว ๋
นี้ แล้ว อังคารได้สลักหลังโอนให้พฤหัส เมื่อตัว ๋ ถึงก้า หนดใช้เงิน พฤหัสน้า ตัว ๋ ไปยื่นให้
พุธจ่ายเงิน แต่พุธเล่นการพนั น เสีย ไม่มีเ งิน จ่า ยให้ ขอผลั ด ไป 7 วัน พฤหัส จึง ท้า ค้า
คั ด ค้ า นการไม่ ใ ช้ เ งิ น แล้ ว รี บ สลั ก หลั ง โอนตั๋ว ไปให้ ศุ ก ร์ ศุ ก ร์ ส ลั ก หลั ง ต่ อ ไปยั ง เสาร์
เสาร์สลักหลังต่อไปยังอาทิตย์ ดังนี้ อาทิตย์มีสิทธิไล่เบี้ย แก่จันทร์ อังคาร และพุธ ได้
นั้น
12. หนึ่ งออกตัว ๋ แลกเงิน สั่ง สองให้จ่ายเงิน 500,000 บาทแก่สาม สาม สลัก หลัง โอน
แก่ สี่ สี่ สลักหลังโอนแก่ ห้า ห้าให้สองรับรองตัว ๋ แล้วสลักหลังโอนให้แก่ หก หกน้าตัว ๋
ไปยื่นแก่สองแต่สองไม่ยอมใช้เงินให้ หกไม่ท้าค้าคัดค้านจนพ้นก้าหนดแล้วจึงสลักหลัง
โอนให้แก่เ จ็ด เจ็ดสลัก หลัง โอนให้แก่แปด แปดสลัก หลัง โอนให้แก่เ ก้า เก้าสลัก หลัง
โอนแก่สิบ ดังนี้ สิบจะเรียกร้องเงิน 500,000 บาท จากสอง เจ็ด แปดและ เก้า เท่านั้น
13. สามลออกตัว ๋ แลกเงินสั่งมณฑาให้จ่ายเงิน 1 ล้านบาทแก่สังข์ทอง สังข์ทองสลัก
หลัง โอนให้แก่ร จนาโดยข้อความว่า “ราคาอยู่ท่ี เ รียกเก็บ” รจนายื่นตั๋ว ต่อ ให้ ม ณฑา
รับรอง แต่มณฑาโกรธจึงไม่ยอมรับรอง สังข์ทองฟ้ องสามลให้รับผิดได้เพราะสังข์ทอง
เป็ นตัวการ
14. เอกออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้โท จ่ายเงิน 550,000 บาทแก่ตรี ตรียืมเงินจัตวาและสลัก
หลังตัว ๋ จ้าน้าแก่ จัตวา เมื่อตัว ๋ ถึงก้าหนด จัตวาน้าตัว ๋ ไปยื่นแก่โท แต่โทไม่ยอมจ่ายเงิน
โทจะยกข้อต่อสู้ม าต่ อสู้ จัต วา ดั ง นี้ โทยกข้อต่อสู้ของโทที่ มีต่ อตรี ขึ้น ต่อ สู้จั ต วาไม่ไ ด้
เพราะจัตวาเป็ นผู้ทรงที่รับจ้าน้า
15. นายมกราสั่งจ่ายเช็คเงิน 80,000 บาทแก่นายกุมภาโดยลืมลงวันที่ส่ ังจ่าย ต่อมา
อีกสามเดือนนายภุมภาสลักหลังโอนแก่นายมีนา อีก 7 วันนายมกราตาย นายมีนาท
ราบข่าวจึงกรอกวันที่ส่ังจ่ายลงในเช็คและน้าไปขึ้นเงินต่อธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธ
การจ่ายเงินโดยอ้างว่านายมกราตายแล้ว นายมีนาจึงฟ้ องนายเมษาบุตรของนายมก
ราให้รับผิดใช้เงินตามเช็ค นายเมษาต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดเนื่ องจากเช็คไม่ลงวันที่ส่ังจ่าย
ข้อต่อสู้ฟังไม่ขึ้น เพราะนายมีนากระท้าการโดยสุจริตกรอกวันตามที่ถูกต้องแท้จริง
แบบทดสอบหน่วยที่ 10
1. แดงออกตั ๋ว แลกเงิ น สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น ให้ ข าว 10,000 บาท การกระท้า ต่ อ ไปนี้ ท่ี
ถือว่าเป็ นการรับรองคือ ด้าลงลายมือชื่อที่ด้านหน้าของตัว ๋ แลกเงิน
2. แดงออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้ด้าจ่ายเงินให้ขาว 10,000 บาท ภายใน 3 เดือนนับแต่ได้
เห็น ดังนี้ ขาวจะต้องด้าเนิ นการ ขาวจะต้องน้าตัว ๋ ไปให้ด้ารับรอง
3. แดงออกตั ๋ ว แลกเงิ น สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น ให้ ข าว 10,000 บาท ขาวน้า ตั ๋ ว ไปให้ ด้า
รับรอง ด้ารับรองเพียง 5,000 บาท ดังนี้ ด้าต้องรับผิดตามตัว ๋ แลกเงินเพียง 5,000 บาท
4. แดงออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้ด้าจ่ายเงินแก่ผู้ถือแล้วมอบตัว ๋ ให้ขาว ขาวสลักหลังโอน
ให้เขียว เขียวลงชื่อที่ด้านหน้าแล้วส่งมอบให้เหลือง ดังนี้ ผู้รับ อาวัลแดงคือ ขาวและ
เขียว
68
5. แดงออกตัว
๋ แลกเงินสั่งให้ด้า จ่ายเงินให้ขาว 10,000 บาท ขาวสลักหลังโอนให้
เขียว ชมพูรบ ั อาวัลเขียว เขียวสลัดหลังตัว ๋ โอนให้เหลือง เหลืองสลักหลังให้ม่วง ครั้นตัว ๋
ถึงก้าหนด ด้าไม่ยอมใช้เงินชมพูจึงช้าระเงินให้ม่วงไป 10,000 บาท ดังนี้ ชมพูจะไล่เบี้ย
จากแดงได้
6. แดงออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้ด้าจ่ายเงินให้ขาว 10,000 บาท ภายใน 3 เดือนนับแต่ได้
เห็ น ดั ง นี้ ถ้ า ขาวน้า ตั๋ว ไปให้ ด้า รั บ รอง และด้า ลงชื่ อรั บ รองและลงวั น ที่ 30 เมษายน
2535 ดังนี้ ขาวจะต้องน้าตัว ๋ ไปยื่นให้ใช้เงิน ภายใน 31 กรกฎาคม 2535
7. กรณี ต่อไปนี้ ถือว่า ผู้ทรงผ่อนเวลาให้ผู้จ่ายคือ ก่อนวันครบก้า หนด ผู้จ่ายมาขอ
ผลัดการช้าระหนี้ ผู้ทรงยอมให้เวลาอีก 7 วัน นับจากวันที่ตัว ๋ ครบก้าหนด โดยจะยังไม่
เรียกร้องจากผู้จ่ายในระหว่างนี้
8. ถ้าผู้ทรงไม่น้าตัว ๋ ไปยื่นต่อผู้รับรองให้ใช้เงินในวันที่ตัว ๋ ครบก้าหนด ผู้ท่ีจะหลุดพ้น
จากความรับผิดคือ ผู้ส่ังจ่ายและผู้รับอาวัลรับรอง
9. แดงออกตั ๋ว แลกเงิ น สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น แก่ ข าว 10,000 บาท กรณี ท่ี ถื อ ว่ า เป็ นกา
รอาวัลได้แก่ ชมพูลงลายมือชื่อที่ด้านหน้าของตัว ๋
10. แดงออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้ด้าจ่ายเงินแก่ขาว 10,000 บาท ขาวสลักหลังโอนตัว ๋ ให้
เขียว ชมพูและม่วงลงลายมือชื่อที่ด้านหน้าของตัว ๋ ต่อมาชมพูใช้เงินให้เขียวไป 10,000
บาท ดังนี้ ชมพูจะไล่เบี้ยจากแดงได้ 10,000 บาท
11. แดงออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้ด้าจ่ายเงินให้ขาว 10,000 บาท ด้าลงลายมือชื่อของตน
ไว้ท่ีด้านหลังของตัว ๋ ดังนี้ ด้าจะต้องรับผิดในฐานะ ผู้สลักหลัง
12. แดงออกตั ๋ว แลกเงิ น สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น ให้ แ ก่ ผู้ ถื อ 10,000 บาท แล้ ว ส่ ง มอบต่ อ ให้
ขาว ในกรณีท่ีถือว่าเป็ นการอาวัลคือ ด้าลงลายมือชื่อที่ด้านหลังของตัว ๋
13. กรณีท่ี แดงออกตัว ๋ สั่งให้ด้าจ่ายเงินให้ขาวเมื่อได้เห็น ขาวจะน้าเอาตัว ๋ แลกเงินไป
ให้ด้ารับรองไม่ได้
14. แดงออกตั ๋ ว แรกเงิ น สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น ให้ ข าว 10,000 บาท ขาวน้า ตั ๋ ว ไปให้ ด้า
รับ รอง ด้า รับ รองโดยมีเ งื่ อนไขว่า จะใช้ เ งิ น ต่อ เมื่อสิน ค้า ซึ่ง ด้า ซื้ อจากแดงได้ ส่ ง มอบ
เรียบร้อย ขาวก็ยอมรับ ดังนี้ ผู้รับผิดตามตัว ๋ คือ ด้าต้องรับผิดตามตัว ๋ ถ้าเงื่อนไขส้าเร็จ
15. แดงออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้ด้า จ่ายเงินให้ขาว 10,000 บาท ขาวสลักหลังโอนตัว ๋ ให้
เขียว ชมพูรับอาวัลเขียว เขียวสลักหลังโอนตัว ๋ ให้ม่วง เมื่อครบก้าหนดด้าไม่ยอมใช้เงิน
เขียวจึงใช้เงินม่วงไป 10,000 บาท ดังนี้ เขียวสามารถไล่เบี้ยแดงได้ 10,000 บาท
16. แดงออกตั ๋ว แลกเงิ น เมื่ อ 1 มกราคม 2535 สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น ให้ ข าว 10,000 บาท
เมื่อครบก้าหนด 1 เดือน นับแต่ได้เห็น ขาวน้าตัว ๋ ไปให้ด้ารับรอง ด้า ยอมรับรองแต่ไม่
ได้ลงวันที่รับรองไว้ ดังนี้ ขาวจะต้องน้าตัว ๋ ไปยื่นให้ใช้เงินได้เมื่อ วันที่ 1 ตุลาคม 2535
17. ถ้าผู้ทรงผ่อนเวลาให้ผู้รับรอง บุคคลที่จะหลุดพ้นความรับผิดคือ ผู้ส่ ังจ่ายและผู้
รับอาวัลผู้รับรอง
18. แดงออกตั ๋ว แลกเงิ น สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น แก่ ข าวในวั น ที่ 10 เมษายน 2535 จ้า นวน
10,000 บาท ด้าได้ลงชื่อรับรองในตัว ๋ ต่อมาขาวมิได้น้าตัว ๋ ไปยื่นให้ด้าใช้เงินตามก้าหนด
ดังนี้ ผลคือ ด้าจะหลุดพ้นความรับผิดต่อเมื่อด้าวางเงิน 10,000 บาท
19. แดงออกตัว ๋ แลกเงินสั่งให้ด้าจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือ 10,000 บาท แล้วมอบให้ขาว ขาว
สลักหลังให้เขียว เขียวสลักหลังให้ม่วง ม่วงสลักหลังตัว ๋ ให้เหลือง เมื่อตัว๋ ครบก้าหนดด้า
ยัง ไม่ ยอมใช้เ งิน เหลือ งจึ ง เรีย กเงิ น จากม่ ว ง ม่ ว งยอมช้า ระเงิ น ไป 10,000 บาท ดัง นี้
ม่วงจะไล่เบี้ยเอาจากแดง
69
20. แดงออกตั ๋ว แลกเงิ น สั่ ง ให้ ด้า จ่ า ยเงิ น ให้ ข าว 10,000 บาท ในวั น ที่ 1 เมษายน
2535 ขาวสลักหลังตัว ๋ ให้เขียว ด้าลงชื่อรับรองในตัว ๋ ครั้งถึงวันที่ 30 มีนาคม 2536 เขียว
ป่ วยเป็ นไส้ติ่งอักเสบต้องเข้าผ่าตัดและพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 10 วัน พอออก
จากโรงพยาบาลเขียวก็รีบน้าตัว ๋ ไปยื่นให้ด้าใช้เงิน ด้าไม่ยอมใช้เงิน เขียวจึงใช้สิทธิไล่
เบี้ยกับ ด้า แดง และขาว
“อาวัล”
มาตรา 938 ตัว
๋ แลกเงินจะมีผู้ค้ าประกัน รับประกันการใช้เงินทั้งจ้านวน หรือ
แต่บางส่วนก็ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า "อาวัล"
อันอาวัลนั้นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่ งจะเป็ นผู้รับ หรือแม้คู่สัญญา แห่งตัว
๋
เงินนั้นฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งจะเป็ นผู้รับก็ได้
มาตรา 939 อันการรับอาวัลย่อมท้าให้กันด้วยเขียนลงในตัว
๋ แลก เงินนั้นเอง
หรือที่ใบประจ้าต่อ
ในการนี้ พึ ง ใช้ ถ้อ ยค้า ส้า นวนว่า "ใช้ ได้เ ป็ นอาวั ล " หรื อส้า นวนอื่นใด ท้า นอง
เดียวกันนั้น และลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล
อนึ่ ง เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับ อาวัลในด้านหน้าแห่ง ตั๋ว เงิน ท่าน ก็จัดว่า
เป็ นค้ารับอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีท่ีเป็ นลายมือชื่อของผู้จ่าย หรือผู้ส่ังจ่าย
ในค้ารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือ ว่ารับประกัน
ผู้ส่ังจ่าย
มาตรา 940 ผู้ รั บ อาวั ล ย่ อ มต้ อ งผู ก พั น เป็ นอย่ า งเดี ย วกั น กั บ บุ ค คล ซึ่ ง ตน
ประกัน แม้ถึงว่าความรับ ผิดใช้เงิน อัน ผู้รับ อาวัลได้ประกัน อยู่น้ั น จะตกเป็ น ใช้ไม่ได้
ด้วยเหตุใด ๆ นอกจากเพราะท้าผิดแบบระเบียบ ท่านว่าข้อ ที่สัญญารับอาวัลนั้นก็ยัง
คงสมบูรณ์
เมื่อผู้รับอาวัลได้ใช้เงินไปตามตัว ๋ แลกเงินแล้ว ย่อมได้สิทธิในอัน จะไล่เบี้ยเอา
แก่บุคคลซึ่งตนได้ประกันไว้ กับทั้งบุคคลทั้งหลายผู้รับ ผิดแทนตัวผู้น้ัน
หน่วยที่ 12 เช็ค
เช็ ค เป็ นตราสารเปลี่ ย นมื อ ที่ มี ก ารใช้ ม ากที่ สุ ด ในตั๋ว เงิ น 3 ประเภท
1.
โดยเช็คมีลกั ษณะเป็ นค้าสั่งของผู้ส่ังจ่ายสั่งธนาคารให้ใช้เงินจ้านวนหนึ่ งเมื่อ
ทวงถามแก่ ผู้ รั บ เงิ น หรื อ ตามค้า สั่ ง ของผู้ รั บ เงิ น หรื อ ผู้ ถื อ เช็ ค จะต้ อ งมี
รายการตามที่ ก ฎหมายก้า หนดไว้ และกฎหมายให้ น้า บทบั ญ ญั ติ ใ นบาง
76
เรื่องของตัว ๋ แลกเงินมาใช้กับเช็คด้วย ส่วนการยื่นเช็คเพื่อให้ธนาคารใช้
เงินนั้ นจะต้องยื่นภายในก้า หนดเวลาที่ กฎหมายก้า หนดไว้ มิฉ ะนั้ น ผู้ ทรง
อาจสิ้ น สิ ท ธิ ไ ล่ เ บี้ ย เอาแก่ ผู้ ส ลั ก หลั ง และสิ้ น สิ ท ธิ บ างประการอั น มี ต่ อ ผู้ ส่ั ง
จ่าย
2. เมื่อมีการยื่นเช็คต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน โดยปกติแล้วธนาคารมีหน้า
ที่ใช้เงินตามเช็คนั้น เว้นแต่เข้าข้อยกเว้นของกฎหมายที่ว่าธนาคารมีสิทธิไม่
ใช้เงินตามเช็ค หรือธนาคารสิ้นอ้านาจหน้าที่ในการใช้เงินตามเช็ค ความรับ
ผิดหรือหน้าที่ของธนาคารที่จะต้องใช้เงินตามเช็คนั้นต้องพิจารณาลักษณะ
ของเช็ค และละฉบับด้ว ยว่ าเป็ นกรณี เช็ คทั่ ว ไป เช็ ค ที่ ธ นาคารรั บ รอง หรื อ
เช็คขีดคร่อม
12.1 บทบัญญัติทัว
่ ไปเกีย
่ วกับเช็ค
1. เช็คเป็ นตราสารเปลี่ยนมือที่มีบุคคลเกี่ยวข้องด้วย 3 ฝ่ าย คือผู้ส่ังจ่าย
ธนาคาร และผู้รับเงินหรือผู้ถือ โดยผู้ส่ังจ่ายออกตราสารที่เรียกว่าเช็ค เป็ น
ค้า สั่งให้ธนาคารใช้เงินจ้า นวนหนึ่ งเมื่อทวงถามแก่ผู้รับเงินหรือตามค้า สั่ง
ของผู้รับเงินหรือผู้ถือ
2. กฎหมายก้า หนดรายการที่ ต้ อ งมี ในเช็ ค โดยมี ร ายการที่ ส้า คั ญ ซึ่ ง จะ
ขาดเสียมิได้ 5 รายการ หากขาดไปย่อมมีผลท้า ให้ตราสารนั้ น ไม่ สมบูร ณ์
เป็ นเช็คคือ (1) ค้าบอกชื่อว่าเป็ นเช็ค (2) ค้าสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงิน
จ้านวนแน่ นอน (3) ชื่อยีห้อและส้า นักงานของธนาคาร (4) ชื่อยีห้อของผู้รับ
เงิน หรือค้าจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ และ (5) ลายมือชื่อผู้ส่ังจ่าย
3. เนื่ องจากเช็คมีลักษณะคล้ายกับตัว ๋ เงิน คงแตกต่างกันในสาระส้าคัญที่
ว่าผู้จ่ายเงินตามเช็คได้แก่ ธนาคาร ส่วนผู้จ่ายเงินตามตัว ๋ แลกเงินอาจเป็ น
บุคคลใดก็ได้ ดังนั้น กฎหมายจึงให้น้าบทบัญญัติว่าด้วยตัว ๋ แลกเงินบางเรื่อง
มาใช้บังคับกับเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพของเช็คด้วย
4. ผู้ทรงเช็คซึ่งให้ธนาคารในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คใช้เงินต้องยื่นเช็ค
แก่ธนาคาร เพื่อให้ใช้เงินภายในหนึ่ งเดือนนับแต่วันออกเช็ค ถ้าเป็ นเช็คให้
ใช้เงินที่อ่ ืน ต้องยื่นภายในสามเดือนมิฉะนั้นผู้ทรงสิ้นสิทธิท่ีจะไล่เบี้ยเอาแก่
ผู้สลักหลัง และเสียสิทธิท่ีมีต่อผู้ส่ังจ่ ายเท่ าที่ จะเกิ ดความเสียหาย แก่ ผู้ส่ั ง
จ่าย เพราะการที่ละเลยไม่ย่ ืนเช็คนั้นภายในก้าหนด
12.1.1 ความหมายของเช็ค
อธิบายความหมายของเช็ค
เช็คเป็ นตราสารเปลี่ยนมือที่มีบุคคลเกี่ยวข้องด้วยกัน 3 ฝ่ าย คือ ผู้ส่ัง
จ่าย ธนาคาร และผู้รับเงินหรือผู้ถือ โดยผู้ส่ังจ่ายออกตราสารที่เรียกว่าเช็ค
เป็ นค้าสั่งให้ธนาคารใช้เงินจ้านวนหนึ่ งเมื่อทวงถามแก่ผู้รับเงินหรือตามค้า
สั่งของผู้รับเงินหรือผู้ถือ มาตรา 987
อธิบายว่าเช็คแจกจ่างจาก ตัว ๋ แลกเงินและตัว
๋ สัญญาใช้เงินอย่างไร
เช็คแตกต่างจากตัว ๋ แลกเงินในประการที่ว่า ผู้รับค้าสั่งให้จ่ายเงินตาม
เช็คจะต้องเป็ นธนาคารเท่านั้ น ส่วนผู้รับค้า สั่งให้ใช้เงินตามตั๋วแลกเงินจะ
77
เป็ นบุ ค คลใดก็ ไ ด้ นอกจากนั้ น เช็ ค ยั ง มี ลั ก ษณะเป็ นค้า สั่ ง ให้ ใ ช้ เ งิ น เมื่ อ
ทวงถาม ส่วนตัว ๋ แลกเงินอาจมีการก้าหนดเวลาใช้เงินตามตัว ๋ ได้
เช็คมีลักษณะแตกต่างจากตัว ๋ สัญญาใช้เงินในประการที่ว่าเช็คต้องมี
บุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่ าย คือ ผู้ส่ังจ่าย ธนาคาร และผู้รับเงิน กับเช็คเป็ นค้า
สั่ ง ให้ จ่ า ยเงิ น เมื่ อทวงถาม ส่ ว นตั๋ว สั ญ ญาใช้ เ งิ น มี บุ ค คลเกี่ ย วข้ อ งเพี ย ง 2
ฝ่ าย คือผู้ออกตัว ๋ ซึ่งเป็ นบุคคลใดๆก็ได้ กับผู้รับเงิน และมีลักษณะเป็ นค้ามั่น
สัญญาอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็ นจ้านวนแน่ นอนเมื่อถึงวันก้าหนด
ใช้เงิน มาตรา 982 และ มาตรา 987
มาตรา 982 อัน ว่าตั๋วสัญญาใช้เ งินนั้ น คือหนั ง สือ ตราสารซึ่ง บุค คลคนหนึ่ ง
เรียกว่าผู้ออกตัว
๋ ให้ค้ามั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจ้านวน หนึ่ งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ ง หรือ
ใช้ให้ตามค้าสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ ง เรียกว่าผู้รับเงิน
มาตรา 987 อัน ว่าเช็ค นั้ น คือหนั ง สือตราสารซึ่งบุค คลคนหนึ่ ง เรียกว่า ผู้ส่ั ง
จ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจ้านวนหนึ่ งเมื่อทวงถามให้แก่ บุคคลอีกคนหนึ่ งหรือให้ใช้ตาม
ค้าสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ งอันเรียกว่า ผู้รับเงิน
12.1.2 รายการในเช็ค
ให้เขียนเช็คที่ออกช้าระช้าระหนี้ ให้แก่นายแดงจ้านวนหนึ่ งพันบาท
โดยสมมติรายการต่าง ๆ ให้ครบถ้วนตามกฎหมายก้าหนด
เช็ค
ธนาคารสยามพาณิ ชย์ จ้ากัด 12 เมษายน
ส้านักงานใหญ่ ถนนราชด้าเนิ น กร่งเทพฯ 2536
จ่าย ……นาย
แดง…………………………………………
หรือ ผู้ถือ
จ้านวน
เงิน…………..1000.00…………………………....บาท (หนึ่ งพันบาท)
ลงชื่อ……นายประชุม อินทรโชติ…
เช็คต่อไปนี้ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่
1) เช็คลงวันที่ส่ังจ่ายล่วงหน้า
2) เช็คไม่ได้ลงวันที่ส่ังจ่าย
3) เช็คที่ไม่ได้ลงลายมือชื่อ
เช็คลงวันที่ส่ังจ่ายล่วงหน้ามีผลสมสมบูรณ์ตามกฎหมายโดยถือว่าวัน
ที่ส่ังจ่ายเป็ นวันออกเช็ค
78
เช็คไม่ลงวันที่ท่ีส่ังจ่ายมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้ทรงชอบด้วย
กฎหมายคนหนึ่ งคนใดท้าการโดยสุจริตจะจดวันตามที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้
โดยผลของมาตรา 910 ประกอบมาตรา 989
มาตรา 910 ตราสารอันมีรายการขาดตกบกพร่องไปจากที่ท่านระบุ บังคับไว้
ใน มาตรา ก่อนนี้ ย่อมไม่สมบูรณ์เป็ นตัว ๋ แลกเงิน เว้น แต่กรณี ด่ัง จะกล่าว ดังต่อไปนี้
คือ
ตัว
๋ แลกเงินซึ่งไม่ระบุเวลาใช้เงิน ท่านให้ถือว่าพึงใช้เงินเมื่อได้เห็น
ถ้าสถานที่ใช้เงินมิได้แถลงไว้ในตัว ๋ แลกเงิน ท่านให้ถือเอาภูมิล้าเนาของ ผู้จ่าย
เป็ นสถานที่ใช้เงิน
ถ้าตัว
๋ แลกเงินไม่แสดงให้ปรากฏสถานที่ออกตัว ๋ ท่านให้ถือว่าตัว ๋ เงินนั้นได้ออก
ณ ภูมิล้าเนาของผู้ส่ังจ่าย
ถ้ามิได้ลงวันออกตัว ๋ ท่านว่าผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย คนหนึ่ งคนใดท้า การ
โดยสุจริต จะจดวันที่ถูกต้องแท้จริงลงก็ได้
12.1.3 บทบัญญัติว่าด้วยตัว ๋ แลกเงินที่น้ามาใช้กับเช็ค
อธิบายวิธีการโอน (1) เช็คระบุช่ ือผู้รับ (2) เช็คผู้ถือ
(1) การโอนเช็ ค ที่ ร ะบุ ช่ ื อ ผู้ รั บ เงิ น ย่ อ มโอนกั น ได้ โ ดยวิ ธี ก ารสลั ก หลั ง
และส่งมอบ ทั้งนี้ โดยผลของมาตรา 989 ที่ให้น้า วิธีการโนตั๋วแลกเงินตาม
มาตรา 917 ถึงมาตรา 923 มาใช้กับเช็ค การสลักหลังมี 2 ประเภท คือ การ
สลั ก หลั ง ลอย ซึ่ ง ได้แ ก่ การลงลายมื อ ชื่ อผู้ ส ลั ก หลั ง ที่ ด้ า นหลั ง เช็ ค โดยไม่
ระบุ ช่ ื อผู้ รั บ ประโยชน์ และการสลั ก หลั ง ที่ ร ะบุ ช่ ื อผู้ รั บ โอน ซึ่ ง ได้ แ ก่ การ
เขียนระบุช่ ือผู้รับประโยชน์และลงลายมือชื่อสลักหลังไว้ด้านหลังเช็ค
(2) การโอนเช็ ค ผู้ ถื อ ย่ อ มโอนไปเพี ย งด้ ว ยการส่ ง มอบให้ กั น โดยไม่
จ้าเป็ นต้องมีการสลักหลัง ทั้งนี้ โดยผลของมาตรา 918 ประกอบมาตรา 989
การสลั ก หลั ง เช็ ค ซึ่ ง สั่ ง ให้ ใ ช้ แ ก่ ผู้ ถื อ ย่ อ มมี ผ ลเป็ นการประกั น (อาวั ล )
ส้าหรับผู้ส่ังจ่าย โดยผลของมาตรา 921 ประกอบมาตรา 989
นายซื่อถูกนายคดใช้อาวุธขู่ให้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คเงินห้าพันบาทให้ตน
นายซื่อมีความกลัวจึงยอมลงลายมือชื่อในเช็คให้ แต่เพราะมีไหวพริบดี จึง
แกล้งลงลายมือชื่อให้ผิดไปจากลายมือชื่อที่มอบไว้เป็ นตัวอย่างแก่ธนาคาร
นายคดน้าเช็คไปโอนใช้หนี้ ให้บริษท ั บริโภค ผู้รับเช็คนั้นไว้โดยสุจริต บริษท ั
น้าเช็คนั้นไปขึ้นเงินที่ธนาคาร ธนาคารไม่ยอมจ่ายเพราะลายมือชื่อแตกต่าง
กับที่ใช้ตัวอย่างไว้ ดังนี้ บริษท ั จะฟ้ องนายซื่อให้รับผิดใช้เงินตามเช็คได้หรือ
ไม่
บริ ษัท ฟ้ องนายซื่ อได้ ใ ห้ รั บ ใช้ เ งิ น ตามเช็ ค ได้ เ พราะนายซื่ อเป็ นผู้ ล ง
ลายมื อ ชื่ อสั่ ง จ่ า ยเช็ ค ทั้ ง นี้ โดยผลของมาตรา 900 มาตรา 914 ประกอบ
มาตรา 989
นายซื่ อผู้ ถู ก ฟ้ องในมู ล เช็ ค หาอาจต่ อ สู้ บ ริ ษัท ผู้ ท รงโดยชอบด้ ว ยข้ อ
ต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกับเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับนายคดผู้ทรงคน
ก่อนนั้ น ได้ ไม่ เพราะบริษัทผู้ ทรงรั บโอนเช็ คจากนายคดไว้ โ ดยสุ จ ริ ต การ
โอนมิได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล มาตรา 916 มาตรา 989
79
มาตรา 900 บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตัว ๋ เงินย่อมจะได้รับ ผิดตามเนื้ อ
ความในตัว ๋ เงินนั้น
ถ้าลงเพียงแต่เครื่องหมายแต่อย่างหนึ่ งอย่างใด เช่น แกงได หรือ ลายพิมพ์นิ้ว
มือ อ้างเอาเป็ นลายมือชื่อในตัว
๋ เงินไซร้ แม้ถึงว่าจะมี พยานลงชื่อรับรองก็ตาม ท่านว่า
หาให้ผลเป็ นลงลายมือชื่อในตัว๋ เงิน นั้นไม่
มาตรา 914 บุคคลผู้ส่ังจ่ายหรือสลักหลังตัว๋ แลกเงินย่อมเป็ นอัน สัญญาว่าเมื่อ
ตัว๋ นั้นได้น้า ยื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรอง และใช้เงินตาม เนื้ อความแห่งตัว ๋ ถ้าและตัว ๋
แลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรอง ก็ดีหรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้ส่ังจ่ายหรือผู้
สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึง่ ต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตัว
๋
นั้น ถ้า หากว่าได้ท้าถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
มาตรา 916 บุ ค คลทั้ ง หลายผู้ ถู ก ฟ้ องในมู ลตั๋ว แลกเงิน หาอาจจะต่ อ สู้ ผู้ ท รง
ด้ว ยข้อต่อสู้อัน อาศัยความเกี่ยวพันกัน เฉพาะบุค คลระหว่าง ตนกับ ผู้ส่ัง จ่ายหรือกับ
ผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะ ได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล
มาตรา 917 อันตัว๋ แลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่ส่ังจ่ายให้แก่ บุคคลเพื่อเขา
สั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ
เมื่อผู้ส่ังจ่ายเขียนลงในด้านหน้าแห่งตัว ๋ แลกเงินว่า "เปลี่ยนมือไม่ได้" ดั่งนี้ ก็ดี
หรือเขียนค้าอื่นอันได้ความเป็ นท้านองเช่นเดียวกันนั้นก็ดี ท่านว่าตัว ๋ เงินนั้นย่อมจะโอน
ให้กนั ได้แต่โดยรูปการและด้วยผลอย่างการ โอนสามัญ
อนึ่ ง ตัว
๋ เงินจะสลักหลังให้แก่ผู้จ่ายก็ได้ ไม่ว่าผู้จ่ายจะได้รับรองตัว ๋ นั้ นหรือไม่
หรื อ จะสลั ก หลั ง ให้ แ ก่ ผู้ ส่ั ง จ่ า ย หรื อ ให้ แ ก่ คู่ สั ญ ญาฝ่ ายใด แห่ ง ตั๋ว เงิ น นั้ น ก็ ไ ด้ ส่ ว น
บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ก็ย่อมจะสลักหลังตัว ๋ เงิน นั้นต่อไปอีกได้
มาตรา 918 ตัว
๋ แลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้ น ท่านว่าย่อม โอนไปเพียง
ด้วยส่งมอบให้กัน
มาตรา 919 ค้าสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตัว ๋ แลกเงินหรือใบประจ้า ต่อ และ
ต้ อ ง ล ง ล า ย มื อ ชื่ อ ผู้ ส ลั ก ห ลั ง
การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ท้ังมิได้ระบุช่ ือผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลัก
หลังจะมิได้กระท้าอะไร ยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ ด้านหลังตัว ๋ แลกเงินหรือที่ใน
ประจ้าต่อ ก็ย่อมฟั งเป็ นสมบูรณ์ดุจกันการ สลักหลังเช่นนี้ ท่านเรียกว่า "สลักหลังลอย"
มาตรา 920 อันการสลักหลังย่อมโอนไปซึง ่ บรรดาสิทธิอันเกิดแต่ ตัว
๋ แลกเงิน
ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติด่ังกล่าวต่อไปนี้ ประการหนึ่ ง ประการใดก็ ได้
คือ
(1) กรอกความลงในที่ว่างด้ว ยเขียนชื่อของตนเอง หรือชื่อบุค คลอื่น ผู้ใ ดผู้
หนึ่ ง
(2) สลักหลังตัว
๋ เงินต่อไปอีกเป็ นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้ แก่บุคคลอื่น
ผู้ใดผู้หนึ่ ง
(3) โอนตัว
๋ เงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอก โดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และ
ไม่สลักหลังอย่างหนึ่ งอย่างใด
80
มาตรา 921 การสลั ก หลัง ตั๋ว แลกเงิ น ซึ่ง สั่ ง ให้ ใ ช้ เ งิน แก่ ผู้ ถื อ นั้ น ย่ อ ม เป็ น
เพียงประกัน (อาวัล) ส้าหรับผู้ส่ังจ่าย
12.1.4 การยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงิน
กฎหมายก้าหนดเวลาที่ผู้ทรงจะต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน
ไว้อย่างไร หากผู้ทรงไม่ย่ ืนเช็คภายในก้าหนดเวลาดังกล่าวจะมีผลอย่างไร
กฎหมายก้า หนดเวลาที่ผู้ทรงจะต้องยื่นเช็คให้ต่อ ธนาคารเพื่ อให้ใ ช้
เงินไว้ ดังนี้
1) ภายใน 1 เดื อนนั บแต่ วั น ออกเช็ ค ถ้ า เป็ นเช็ ค ที่ ใ ห้ ใ ช้ เ งิ น ในเมื อ ง
เดียวกันกับที่ออกเช็ค
2) ภายใน 3 เดือนนับแต่วันออกเช็คที่ใช้ใช้เงินที่อ่ ืน
ผลของการที่ผู้ทรงไม่ย่ ื นเช็ค ภายในก้า หนดดัง กล่า วท้า ให้ผู้ทรงสิ้ น
สิทธิท่ีจะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลัง และเสียสิทธิท่ีมีต่อผู้ส่ังจ่ายเพียงเท่าที่จะ
เกิ ด ความเสี ย หายแก่ ผู้ ส่ั ง จ่ า ยเพราะหารที่ ล ะเลยไม่ ย่ ื นเช็ ค นั้ นภายใน
ก้าหนด มาตรา 990
เค็มออกเช็คสั่งให้ธนาคารในเมืองเดียวกันที่เค็มออกเช็คสั่งจ่ายเงิน
จ้า นวนหนึ่ ง พั น บาท ลงวั น ที่ ส่ั ง จ่ า ย 1 พฤษภาคม 2536 โดยระบุ ใ นเช็ ค ว่ า
“จ่าย จืด หรือผู้ถือ” จืดสลักหลังเช็คโอนให้แก่เปรี้ยว เปรี้ยวได้ย่ ืนเช็คนั้นให้
ธนาคารใช้เงินเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2536 ธนาคารปฏิเสธการใช้เงินเพราะ
เงินในบัญชีเค็มไม่พอจ่าย ให้วินิจฉัยว่าเปรี้ยวมีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค
จากเค็มและจืดหรือไม่
เช็คที่ระบุว่าจ่ายให้ “จืด หรือ ผู้ถือ” ถือว่าเป็ นเช็คที่จ่ายให้แก่ผู้ถือ
จืดสลักหลังเช็คระบุให้จ่ายแก่ผู้ถือดังกล่าวโอนให้แก่เปรี้ยว ย่อมเป็ น
การอาวัลผู้ส่ังจ่ายตามมาตรา 921 มาตรา 989
ถึ ง แม้ ว่ า เปรี้ ย วจะน้า เช็ ค ไปยื่ นต่ อ ธนาคารให้ ใ ช้ เ งิ น เกิ น ก้า หนด 1
เดือน ตามที่ก้าหนดไว้ในมาตรา 990 อันจะเป็ นเหตุให้เปรี้ยวสิ้นสิทธิท่ีจะไล่
เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังก็ตาม แต่ในกรณีจืดมีฐานะเป็ นผู้อาวัลส้าหรับผู้ส่ังจ่าย
ด้วย เปรี้ยวจึงมีสิทธิเรียกร้องจากจืด
เปรี้ยวมีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็คจากเค็มผู้ส่ังจ่ายตามมาตรา 990
มาตรา 914 ประกอบมาตรา 989
มาตรา 914 บุคคลผู้ส่ังจ่ายหรือสลักหลังตัว๋ แลกเงินย่อมเป็ นอัน สัญญาว่าเมื่อ
ตัว๋ นั้นได้น้า ยื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรอง และใช้เงินตาม เนื้ อความแห่งตัว ๋ ถ้าและตัว ๋
แลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรอง ก็ดีหรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้ส่ังจ่ายหรือผู้
สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึง่ ต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตัว
๋
นั้น ถ้า หากว่าได้ท้าถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว
มาตรา 921 การสลักหลังตัว
๋ แลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็ นเพียง
ประกัน (อาวัล) ส้าหรับผู้ส่ังจ่าย
81
มาตรา 938 ตั๋ว แลกเงิน จะมี ผู้ ค้ าประกั น รับ ประกั น การใช้ เ งิ น ทั้ ง จ้า นวน
่ ท่านเรียกว่า "อาวัล"
หรือแต่บางส่วนก็ได้ ซึง
มาตรา 989 บทบัญญัติท้ังหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตัว ๋ แลกเงิน ดั่งจะกล่าว
ต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับ สภาพแห่งตราสารชนิ ดนี้
คือบท มาตรา 910 , 914 ถึง 923 , 925 , 926 , 938 ถึง 940 , 945 , 946 , 959 , 967
, 971
ถ้าเป็ นเช็คที่ออกมาแต่ต่างประเทศ ท่านให้น้าบทบัญญัติด่ังต่อไปนี้ มาใช้บังคับ
ด้วย คือบท มาตรา 924 , 960 ถึง 964 , 973 ถึง 977 , 980
มาตรา 990 ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่า ถ้าเป็ นเช็ค
ให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็ค ต้องยื่นภายใน เดือนหนึ่ งนับแต่วันออกเช็คนั้น
ถ้าเป็ นเช็คให้ใช้เงินที่อ่ ืนต้องยื่น ภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้น ท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิท่ีจะ
ไล่ เ บี้ ย เอาแก่ ผู้ส ลัก หลั ง ทั้ ง ปวง ทั้ ง เสี ย สิ ท ธิ อั น มี ต่ อ ผู้ ส่ั ง จ่ า ยด้ ว ยเพี ย งเท่ า ที่ จ ะ เกิด
ความเสียหายอย่างหนึ่ งอย่างใดแก่ผู้ส่ังจ่ายเพราะการที่ละเลย เสียไม่ย่ ืนเช็คนั้น
อนึ่ ง ผู้ทรงเช็ค ซึ่ง ผู้ส่ัง จ่ายหลุด พ้น จากความรั บ ผิ ด ไปแล้ว นั้ น ท่ านให้ รับ ช่ วง
สิทธิของผู้ส่ังจ่ายคนนั้นอันมีต่อธนาคาร
12.2 ความรับผิดของธนาคาร
1. ปกติธนาคารมีหน้าที่ต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออก
เบิกเงินแก่ตน เว้นแต่ในกรณี ท่ี (1) ไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้าพอจะจ่าย
ตามเช็ค หรือ (2) เช็คนั้นยื่นเพื่อให้ใช้เงินเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันออก
เช็ค หรือ (3) ได้มีค้าบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป
2. หน้าที่และอ้านาจของธนาคารซึ่งจะใช้เงินตามเช็คสิ้นสุดลงเมื่อมีกรณี
หนึ่ ง กรณี ใ ด เกิ ด ขึ้ น ใน 3 กรณี ดั ง นี้ คื อ (1) มี ค้า บอกห้ า มการใช้ เ งิ น (2)
ธนาคารผู้รู้ว่าผู้ส่ังจ่ายตาย (3) ธนาคารรู้ว่าได้มีค้า สั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือค้า
สั่งให้ผู้ส่ังจ่ายเป็ นบุคคลล้มละลาย หรือได้มีประกาศโฆษณาค้าสั่งเช่นว่านั้น
3. การที่ ธนาคารรั บรองเช็ คด้ วยการเขียนข้อ ความลงลายมื อชื่ อบนเช็ ค
เช่น ค้า ว่า “ใช้ได้” หรือ “ใช้เงินได้” ธนาคารต้องผูกพันในฐานเป็ นลูกหนี้
ชั้นต้นในอันจะต้องใช้เงินแก่ผู้ทรงตามเช็คและมีผลให้ผู้ส่ังจ่ายและสลักหลัง
หลุดพ้นความผิดตามเช็คนั้น เว้นแต่ธนาคารจะได้ลงค้ารับรองดังกล่าวโดย
ค้าขอร้องของผู้ส่ังจ่าย
4. กฎหมายก้าหนดวิธีการขีดคร่อมเช็คและบุคคลผู้มีอ้านาจขีดคร่อมเช็ค
ไว้ และเมื่อขีดคร่อมเช็คแล้ว การขีดคร่อมนั้นย่อมเป็ นส่วนส้า คัญของเช็ค
โดยจะลบล้างไม่ไ ด้ ซึ่ งก่อให้ เกิด ผลว่า การเรียกเก็บ เงิ นตามเช็ ค ขี ด คร่ อ ม
ย่อมกระท้า ได้ แต่โดยวิธีการให้ธนาคารเป็ นตัวแทนเรียกเก็บ กฎหมายจึง
ก้า หนดหลักเกณฑ์ในเรื่องความรับผิด หน้าที่ ของคู่สัญญาในเช็คและของ
ธนาคาร ตลอดจนให้ความคุ้มครองธนาคารที่จ่ายเงินกับธนาคารที่รับเงิน
ตามเช็คขีดคร่อมไว้โดยเฉพาะ
82
12.2.1 หน้าที่ใช้เงินตามเช็ค
ปกติธนาคารมีหน้าที่ใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้าได้ออกเบิกเงินแก่ตน
เว้นแต่กรณีต่อไปนี้ ท่ีธนาคารมีสิทธิปฏิเสธการใช้เงินตามเช็คคือ
1.)ไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้านั้นเป็ นเจ้าหนี้ พอจะจ่ายตามเช็ค
2.)เช็คนั้นยื่นให้ใช้เงินเมื่อพ้นเวลา 6 เดือนนับแต่วันออกเช็ค
3.)ได้มีค้าบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป
ธนาคารไม่จ้า เป็ นต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออก
เบิกเงินแก่ตนใน 3 กรณีต่อไปนี้
1.)มีค้าบอกห้ามการใช้เงิน
2.)รู้ว่าผู้ส่ังจ่ายตาย
3.)รู้ว่าศาลได้มีค้าสั่งพิทักษ์ทรัพย์ช่ัวคราว หรือค้าสั่งให้ผู้ส่ังจ่ายเป็ น
คนล้มละลายหรือได้มีประกาศโฆษณาค้าสั่งเช่นว่านั้น
พิ เ ศษออกเช็ ค สั่ ง ธนาคารสยามพาณิ ช ย์ ใ ห้ จ่ า ยเงิ น จ้า นวนหนึ่ ง พั น
บาทแก่เอก ลงวันที่ส่ังจ่าย 1 มกราคม 2535 เอกเก็บเช็คไว้ในโต๊ะท้างานลืม
ไปจนกระทั่ง วันที่ 1 สิงหาคม 2535 จึงได้น้า เช็คไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้
เงิน ธนาคารจ่ายเงินหนึ่ งพันบาทให้แก่เอกไป ให้วินิจฉัยว่าธนาคารมีสิทธิ
หักเงินจ้านวนหนึ่ งพันบาทจากบัญชีของพิเศษหรือไม่
ถึงแม้ว่าธนาคารจ่ายเงินตามเช็คให้แก่เอกไปโดยเอกน้า เช็คนั้ นมา
ยื่ นต่ อ ธนาคารเพื่ อให้ ใ ช้ เ งิ น เมื่ อพ้ น ก้า หนดเวลา 6 เดื อ นแล้ ว ก็ ต าม แต่
ธนาคารก็ มี สิ ท ธิ หั ก เงิ น จ้า นวนหนึ่ ง พั น บาทที่ จ่ า ยให้ แ ก่ เ อกไปจากบั ญ ชี
พิ เ ศษได้ เ พราะมาตรา 991(2) เป็ นเพีย งบทบั ญ ญั ติ ใ ห้ สิ ท ธิ ธ นาคารที่ จ ะไม่
จ่ายเงินตามเช็ค เมื่อเช็คนั้ นได้ย่ ืนให้ใช้เงินเมื่อเวลา 6 เดือนนับแต่วันออก
เช็คเท่านั้น
มาตรา 991 ธนาคารจ้าต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคาร ได้ออกเบิก
เงินแก่ตน เว้นแต่ในกรณีด่ังกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) ไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้าคนนั้นเป็ นเจ้าหนี้ พอจะจ่ายตาม เช็คนั้นหรือ
(2) เช็คนั้นยื่นเพื่อให้ใช้เงินเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันออกเช็ค หรือ
(3) ได้มค
ี ้าบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป
12. ตัว
๋ เงินมีประโยชน์ต่อธุรกิจ การค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ
13. ดร๊าฟท์มีประโยชน์ต่อธุรกิจการค้าคือ เป็ นเครื่องมือโอนเงินไปต่างจังหวัดหรือ
จากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ หรือระหว่างประเทศ
14. นาย ก. ขายสินค้าให้นาย ข. นาย ข. ผู้ซ้ ือสินค้าได้ส่ ังจ่ายเช็คขีดคร่อมให้แก่นาย
ก. เพื่อช้าระค่าสินค้า นาย ก. ไม่มีความประสงค์ท่ีจะได้รับเช็คของนาย ข. เพื่อเป็ นการ
ช้าระค่าสินค้าเนื่ องจากไม่มีความมั่นใจว่าเงินในบัญชีจะมีพอจ่ายหรือไม่ ท่านเป็ นนาย
ก. จะแก้ไขปั ญหาโดย น้าเช็คนั้นไปให้ธนาคารรับรอง
15. วิธีการใช้เช็คที่ถูกต้องที่สุดคือ ควรระบุช่ ือผู้รับเงิน พร้อมทั้งขีดฆ่า “หรือผู้ถือ”
ออก และขีดคร่อมเช็คเช็คในกรณีท่ีจ้าเป็ นเท่านั้น จึงจะจ่ายเช็คเงินสด หรือผู้ถือ
16. การกู้เงินธนาคารโดยบุคคลค้้าประกันมีหลักเกณฑ์อย่างไร ในการเลือกผู้กู้และ
ผู้ค้ าประกันคือ ต้องมีทรัพย์และเชื่อถือได้
17. นาย ก. เป็ นพ่อค้าในกรุงเทพฯมีความประสงค์ขอกู้เงินธนาคารเพื่อหมุนเวียนใน
ธุ ร กิ จ การค้ า โดยเสนออสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ จดทะเบี ย นจ้า นองเป็ นประกั น ธนาคารจะ
พิจารณาหลักเกณฑ์ท่ีจะอนุมัติเงินกู้รายนี้ คือ วัตถุประสงค์ในการกู้อยู่ในหลักการที่จะ
ลงทุน ลงทุนในสินค้าที่ต้องใช้เป็ นประจ้า วันของผู้บ ริโ ภค และก้า ลังอยู่ใ นความนิ ยม
ส่วนหลักทรัพย์มีราคา 2:1 ของจ้านวนเงินกู้ ผู้ขอกู้เป็ นคนดีและเชื่อถือได้
18. สังหาริมทรัพย์ท่ีธนาคารไม่รับจ้าน้าได้แก่ แหวนเพชร
19. หากพ่อค้า มีความประสงค์จะได้เงินทุนเพื่อหมุน เวียนในธุรกิจ จะมีวิธีการที่จะ
ให้ได้เงินทุนนั้นมา เช่น (ก) ขอกู้ธนาคาร โดยเสนอสังหาริมทรัพย์จ้า นองเป็ นประกัน
(ข) ขอกู้ธนาคาร โดยเสนออสังหาริมทรัพย์จ้า น้า เป็ นประกัน (ค) ขอกู้โดยมีบุคคลค้้า
ประกัน (ง) น้าสินค้ามนคลังไปจ้าน้ากับธนาคาร
20. ตัว
๋ สัญญาใช้เงิน และตัว
๋ แลกเงิน มีประโยชน์แก่ผู้ทรงคือ น้าตัว
๋ ไปขายลด ก่อนที่
ตัว
๋ จะถึงก้าหนดช้าระตามวันที่ในตัว ๋ ได้
หน่วยที่ 15 ความผิดทางอาญาเกีย
่ วกับการใชูเช็ค
1. พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 เป็ นกฎหมายที่
บัญ ญัติความผิด ทางอาญาของผู้ อ อกเช็ ค เพิ่ ม ขึ้ น เป็ นอี ก ส่ ว นหนึ่ ง ต่ า งหาก
จากความรับผิดทางแพ่ง อันเป็ นมาตรการทางอาญาเพื่อคุ้มครองสิทธิและ
ป้ องกันความเสียหายจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ ายในการใช้เช็ค
99
2. ลักษณะของการกระท้า อันเป็ นความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็ค จะต้อง
เข้าลักษณะอนุมาตราในอนุมาตราหนึ่ งในมาตรา 4 แห่งพรบ. ว่าด้วยความ
ผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ซึ่งแต่ละลักษณะความผิดย่อมเป็ นความผิดแยก
ต่างหากจากกัน
3. ความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เป็ นความ
ผิดอันยอมความได้ ซึ่งผู้เสียหายจะต้องร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานหรือฟ้ องคดี
ต่อศาลภายในก้าหนด 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระท้า
ความผิด
15.1 สาระส้าคัญของกฎหมายว่าดูวยความผิดเกีย
่ วกับการใชูเช็ค
1. พรบ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คบัญญัติขึ้น เพื่อเป็ นเครื่อง
ค้ม
ุ ครองป้ องกันความเสียหายจากการใช้เช็ค
2. เช็ ค ที่ จ ะเป็ นมู ล ฐานความผิ ด ทางอาญา จะต้ อ งอาศั ย หลั ก กฎหมาย
เบื้ องต้น อัน เกี่ย วกับเช็ ค ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ชย์ เ ป็ นหลั ก
ประกอบการพิจารณา รวมทั้งเช็คนั้นจะต้องเป็ นเช็คที่ออกเพื่อช้าระหนี้ โดย
ชอบด้วยกฎหมายก่อให้เกิดความผูกพันแก่คก ู่ รณี
15.1.1 ความเป็ นมาของกฎหมาย
พรบ. ว่ าด้ ว ยความผิ ด อั น เกิ ด จากการใช้ เ ช็ ค ประกอบด้ ว ยความผิ ด
อย่างไรบ้าง
พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้ก้า หนดลักษณะความ
ผิดไว้ 5 ประการ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ว่า ผู้ใดออกเช็คเพื่อช้าระหนี้ ท่ีมี
อยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระท้า ออย่างใด
อย่างหนึ่ งดังต่อไปนี้
(1) ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
(2) ออกเช็ ค โดยในขณะที่ อ อกไม่ มี เ งิ น อยู่ ใ นบั ญ ชี อั น จะพึ ง ให้ ใ ช้
เงินได้
(3) ออกเช็ ค ให้ ใ ช้ เ งิ น มี จ้า นวนสู ง กว่ า ที่ มี อ ยู่ ใ นบั ญ ชี อัน จะพึ ง ให้ ใ ช้
เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
(4) ถอนเงิ น ทั้ ง หมด หรื อ แต่ บ างส่ ว นนอกจากบั ญ ชี อัน จะพึ ง ให้ ใ ช้
เงินตามเช็คจนจ้านวนเงินไม่เพียงพอที่จะให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
(5) ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต
15.1.2 ลักษณะของเช็คที่จะเป็ นมูลฐานแห่งความผิด
อ้วน สั่งจ่ายเช็คให้ผอมไว้เป็ นประกันค่าซื้อเครื่องรับโทรทัศน์ท่ีผอม
ได้ขายให้แก่อ้วน โดยมีข้อตกลงกันว่าผอมจะต้องน้าเช็คมาแลกเงินจากอ้วน
100
ก่อน แต่ผอมกับน้าเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร โดยไม่น้ามาแลกเงินจาก
อ้วนตามข้อตกลง เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค อ้วนจะมีความ
ผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คหรือไม่
อ้วนไม่มีความผิด ตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิด จากการใช้เ ช็ค
เพราะผอมน้า เช็ ค ไปเบิ ก เงิ น จากธนาคารฝ่ าฝื นข้ อ ตกลง ถื อ ได้ ว่ า ผอมยั ง
ไม่ มี อ้า นาจท้า ได้ (มาตรา 4 พรบ. ความผิ ด อั น เกิ ด จากการใช้ เ ช็ ค พ.ศ.
2534)
15.2 ลักษณะของการกระท้าอันเป็ นความผิด
1. การออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเป็ นเรื่องที่ผู้ออก
เช็คมีบัญชีหรือไม่มีบัญชีอยู่ท่ีธนาคาร แต่มีเจตนาทุจริตในการเขียนเช็คเพื่อ
มิให้ธนาคารจ่ายเงิน
2. การออกเช็ ค โดยในขณะที่ อ อกเช็ ค นั้ น ไม่ มี เ งิ น ในบั ญ ชี อั น จะพึ ง ให้ ใ ช้
เงิ น ได้ เป็ นเรื่ องที่ ผู้ อ อกเช็ ค มี บั ญ ชี อ ยู่ ใ นธนาคาร แต่ พ อถึ ง วั น ที่ เ ช็ ค ถึ ง
ก้าหนดช้าระเงินอยู่ผู้ออกเช็คไม่มีเงินอยู่ในบัญชีเลย
3. การออกเช็คให้ใช้เงินมีจ้า นวนสูงกว่าจ้า นวนเงินที่มีอยู่ ในบั ญชี อัน จะ
พึงให้ใช้เงินได้ ในขณะที่ออกเช็ ค เป็ นเรื่องที่ ผู้ท่ี เคยค้า กับ ธนาคารได้ ออก
เช็คสั่งจ่ายเงิน พอถึงวันที่เช็คถึงก้าหนดใช้เงิน ปรากฏว่าเงินในบัญชีไม่พอ
จ่ายตามเช็ค
4. การออกเช็คแล้วถอนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนจากบัญชีจนมีเงินเหลือ
ไม่พอจ่ายตามเช็ค เป็ นกรณี ทีผู้ส่ังจ่ายเช็คมีเงินอยู่ในบัญชีพอที่จะจ่ายตาม
เช็ คได้ในขณะออกเช็ ค แต่ ต่ อมาได้ ถ อนเงิ น ทั้ ง หมดหรื อ บางส่ ว นจนไม่ พ อ
จ่ายตามเช็คได้
5. การห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คโดยเจตนาทุจริต เป็ นเรื่องที่ผู้ส่ัง
จ่ า ยเช็ ค กระท้า เพื่ อแสวงหาประโยชน์ท่ี มิ ค วรได้ โดยชอบด้ ว ยกฎหมาย
ส้าหรับตนเองและผู้อ่ ืน โดยมุ่งหมายจะไม่ให้ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายได้
รับเงินจากธนาคาร
15.2.1 การออกเช็คโดยเจตนาที่ไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
เรืองมีเงินในบัญชีกระแสรายวันจ้านวน 100,000 บาท ได้เขียนเช็คสั่ง
จ่ า ยเงิ น ช้า ระหนี้ บั ว 80,000 บาท เช็ ค ลงวั น ที่ 1 เมษายน 2536 และวน
เดียวกันนั้นเอง ก็ได้เขียนเช็คสั่งจ่ายเงินเพื่อช้า ระค่าซื้อโทรทัศน์จากแมว
จ้า นวน 25,000 บาท เมื่ อแมวไปเบิ กเงิน จากธนาคาร ธนาคารปฏิเ สธการ
จ่ า ยเงิ น เนื่ องจากเงิ น ในบั ญ ชี ข องเรื อ งไม่ พ อจ่ า ย เพราะบั ว ไม่ ไ ด้ เ บิ ก เงิ น
80,000 บาท ก่ อนหน้านั้ น ดั ง นี้ ใ ห้ วิ นิ จ ฉัย ว่ า เรื อ งมี ค วามผิ ด จาก พรบ. ว่ า
ด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คหรือไม่ เพราะเหตุใด
กรณี น้ี เรืองมีความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดเกิดจากการใช้เช็ค
เพราะว่า การที่เรืองออกเช็คช้า ระหนี้ บัวไปแล้วจ้า นวน 80,000 บาท เหลือ
101
เงินในบัญชีเพียง 20,000 บาท เรืองยังได้เขียนเช็คช้า ระหนี้ ค่าสินค้าให้
แก่แมวอีก 25,000 บาท การกระท้าของเรืองเป็ นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะ
ไม่ให้มีการใช้เงินแก่แมวตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
มาตรา 4(1)
15.2.2 การออกเช็คโดยในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินในบัญชีอันจะ
พึงให้ใช้เงินได้
การออกเช็ คโดยในขณะที่ อ อกนั้ น ไม่ มี เ งิ น อยู่ ใ นบั ญ ชี อัน จะพึ ง ให้ ใ ช้
เงินได้ หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่ า ในวั น ที่ อ อกเช็ ค (วั น ที่ ล งในเช็ ค ) อั น เป็ นวั น ที่ เ ช็ ค ถึ ง
ก้าหนดช้าระหนี้ ผู้ทรงน้าเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคาร แต่บัญชีเงินฝากของผู้
สั่งจ่ายไม่มีเงินเหลืออยู่เลย
15.2.3 การออกเช็คให้ใช้เงินมีจ้านวนสูงกว่าจ้านวนเงินที่มีอยู่ใน
บัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
การออกเช็คให้ใช้เงินมีจ้านวน สูงกว่าจ้านวนเงินที่มีอย่ใู นบัญชี อันจะ
พึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า ออกเช็คมียอดจ้า นวนเงินสูงกว่าจ้า นวนเงินที่มีอยู่ใน
บัญชีเงินฝากในวันที่เช็คถึงก้าหนดช้าระเงินจึงมีเงินไม่พอจ่ายตามเช็คได้
15.2.4 การออกเช็คแล้วถอนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนออกจากบัญชี
อันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจ้านวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็ค
นั้นได้
การออกเช็คแล้วถอนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนออกจากบัญชีอัน จะพึง
ให้ใช้เงินตามเช็คจนจ้านวนเงินที่เหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คได้น้ัน
หมายความว่าอย่างไร
ผู้ส่ังจ่ายออกเช็คได้ให้ผู้อ่ ืนไปแล้วโดยมีจ้านวนพอจ่ายตามเช็คให้ แต่
ต่อมาก่อนวันที่ถึงก้าหนดในเช็คผู้ออกเช็คถอนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนออก
จากบัญชีจนท้าให้มีเงินในบัญชีไม่พอจ่ายตามเช็ค
15.2.5 ห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต
มั่นสั่งซื้อสินค้าจากแม้ น มั่ นจ่ ายเช็ คช้า ระหนี้ ค่ าซื้ อสิ นค้ าให้แ ม้นไว้
ก่อนที่แม้นจะส่งมอบสินค้าให้ม่ัน เมื่อถึงก้า หนดส่งมอบสินค้าแล้ว แม้นไม่
ส่งมอบสินค้าให้ม่ันตามก้าหนด มั่นจึงแจ้งอายัดเช็คกับธนาคารห้ามจ่ายเงิน
ตามเช็ค ดังนี้ มั่นจะมีความผิดหรือไม่
มั่น ย่อมไม่มีความผิด เพราะการกระท้า ของมั่นไม่มีเจตนาทุจริตใน
การสั่งห้ามธนาคารมิให้จ่ายเงินตามเช็ค (มาตรา 4 พรบ. ความผิดอันเกิด
จากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534)
15.3 การด้าเนิ นคดี
1. ผู้เสียหายในคดีความผิดทางอาญาเกี่ยวกับการใช้เช็ค ได้แก่ ผู้ท่ีได้รับ
ความเสียหาย เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เช่นผู้ทรงเช็ค
102
2. ผู้กระท้าความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
นอกจากผู้ส่ังจ่ายเช็คแล้วบางกรณีผู้ร่วมกระท้าผิดซึ่งอาจเป็ นตัวการหรือผู้
สนับสนุนการกระท้าความผิด
3. ความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้ เช็ คเป็ นความ
ผิดอันยอมความได้ ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่รเู้ รื่อง
ความผิดและร้ต ู ัวผู้กระท้าความผิด มิฉะนั้นคดีเป็ นอันขาดอายุความ
4. การควบคุมหรือขังผู้ต้องหา หรือจ้าเลย ตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอัน
เกิดจากการใช้เช็คเป็ นไปตาม พรบ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความ
อาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ส่วนการปล่อยชั่วคราวให้พนั กงานสอบสวน
พนั ก งานอั ย การ หรื อ ศาลสั่ ง ปล่ อ ยชั่ ว คราวโดยมี ป ระกั น แต่ ไ ม่ มี ห ลั ก
ประกัน หรือมีประกันและหลักประกันไม่เกินหนึ่ งในสามของจ้านวนเงินตาม
เช็ค
5. เนื่ องจากความผิ ด ตาม พรบ. ว่ า ด้ ว ยความผิ ด อั น เกิ ด จากการใช้ เ ช็ ค
เป็ นความผิดอันยอมความได้เมื่อผู้เสียหายถอนค้า ร้องทุกข์ ถอนฟ้ อง ยอม
ความ และคดีเลิกกัน สิทธิน้าคดีอาญามาฟ้ องตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอัน
เกิดจากการใช้เช็คฯ ย่อมระงับไป
15.3.1 ผู้เสียหาย
แดงออกเช็คใช้เงินให้ขาว และขาวสลักหลังใช้หนี้ ให้เหลือง เหลืองลง
ลายมือชื่อด้านหลังเช็คและส่งมอบเช็คให้ชมพูน้า ไปเข้า บั ญชี ข องชมพู แต่
ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาเช็คได้กลับมาอยู่ท่ีฟ้า ดังนี้ ฟ้ าจะ
มีสท
ิ ธิร้องทุกข์และฟ้ องคดีต่อศาลได้หรือไม่
ฟ้ าไม่ใช่ผู้ทรงเช็คในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อันเป็ นวันเกิด
เหตุจึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิร้องทุกข์และไม่มีอ้านาจน้าเช็คมาฟ้ อง
15.3.2 ผู้กระท้าความผิด
แดงกับด้า เป็ นหนี้ ขาว แดงเขียนกรอกข้อความลงในเช็ ค ให้ ด้า เซ็น
ชื่ อเป็ นผู้ ส่ั ง จ่ ายน้า เช็ ค ไปช้า ระหนี้ ข าว ต่ อ มาธนาคารปฏิ เ สธการจ่ า ยเงิ น
ตามเช็ค ขาวจึงร้องทุกข์และฟ้ องคดีหาว่าแดง และด้า ร่วมกันออกเช็คโดย
ไม่มีเงินอันเป็ นความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
แดงจะอ้างว่าตนมิได้เป็ นผู้ส่ังจ่ายไม่ต้องรับผิด ได้หรือไม่
การกระท้า ของแดงที่ เขี ยนกรอกข้ อความในเช็ค ซึ่ง ธนาคารปฏิเ สธ
การจ่ายเงินดังกล่าวย่อมมีความผิดฐานเป็ นตัวการร่วมกระท้าความผิดฐาน
ออกเช็คไม่มีเงิน
15.3.3 การร้องทุกข์ อายุความร้องทุกข์ การฟ้ องคดี การควบคุม
ขัง ปล่อยชั่วคราว
แดงได้ร้องทุกข์ต่อพนั กงานสอบสวนได้ด้า เนิ นคดีแก่ด้า ในความผิด
ฐานออกเช็คไม่มีเงิน ในหนังสือร้องทุกข์มีข้อความให้เจ้าพนักงานด้าเนิ นคดี
103
จนถึ ง ที่ สุ ด ผู้ เ สี ย หายบอกกั บ ต้า รวจว่ า ต้ อ งการให้ ไ ด้ เ งิ น ตามเช็ ค คื น
เท่านั้น ไม่อยากเอาโทษ ต้ารวจจึงยังไม่สอบสวนด้าเนิ นคดี ต่อมาเมื่อด้าไม่
ใช้ เ งิ น แดงจึ ง มาแจ้ ง ต้า รวจจั บ ด้า ดั งนี้ พ นั ก งานสอบสวนจะด้า เนิ น คดี ไ ด้
หรือไม่
พนักงานสอบสวนย่อมมีอ้า นาจท้า การสอบสวนด้า เนิ นคดีได้ เพราะ
ได้ มีการร้ องทุก ข์ท่ี ชอบด้ วยกฎหมายแต่แ รกแล้ ว ส่ ว นกรณี ท่ี แ ดงบอกกั บ
ต้ารวจว่าต้องการได้เงินคืน ไม่อยากเอาโทษนั้นมิใช้เป็ นการแสดงเจตนาว่า
ไม่ตด ิ ใจด้าเนิ นคดีด้าแต่อย่างไรหรือไม่
15.3.4 การถอนค้าร้องถอนฟ้ อง ยอมความและคดีเลิกกัน
แดงผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ในคดีความผิดอันเกี่ยวกับการใช้เช็ค กล่าว
หาขาวต่อ ร.ต.ต. เหลือง ซึ่งเป็ นพนักงานสอบสวนไว้แล้ว ต่อมาแดงได้ขอ
ถอนค้าร้องทุกข์ต่อ ร.ต.ต. เหลือง ดังนี้ แดงจะฟ้ องคดีน้ี ต่อศาลอีกได้หรือไม่
แดงย่อมน้าคดีไปฟ้ องต่อศาลไม่ได้ เพราะการถอนค้าร้องทุกข์ท้า ให้
สิทธิน้าคดีอาญามาฟ้ องเป็ นอันระงับไป ตาม ปวอ. มาตรา 39 (2)
แบบประเมินผลหน่วยที่ 15
1. กรณี ท่ีถือว่าเป็ นการออกเช็คเพื่อก่อให้เกิดความผูกพันในการช้า ระหนี้ อันเป็ น
ความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้แก่ การออกเช็คล่วงหน้า
เพื่อช้าระหนี้
2. การออกเช็คโดยการแกล้งเขียนตัวเลขกับตัวอักษรแสงดจ้านวนเงินต่างกัน เมื่อ
ผ ู้ทรงน้า เช็ ค ขึ้ น เงิ น ที่ ธ นาคารๆ ปฏิ เ สธการจ่ า ยเงิ น การกระท้า ของผู้ ส่ั ง จ่ า ยเข้ า
ลักษณะความผิด ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
3. ก. ออกเช็คโดยไม่ลงวันที่ให้ ข. ข. น้าเช็คไปยื่นให้ธนาคารใช้เงิน ธนาคารปฏิเสธ
การจ่ายเงินดังนี้ ไม่มีความผิด เพราะไม่มีวันที่ท่ีกระท้าความผิด
4. การออกเช็คโดยในขณะที่อ อกไม่มีเงินในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ หมายถึ ง ผู้ส่ ัง
จ่ายเช็คไม่มีเงินอยู่ในบัญชีในวันที่ในวันที่ลงในเช็ค
5. ความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เกิดขึ้นเมื่อ ธนาคาร
ปฏิเสธการใช้เงิน
6. แดง ออกเช็คช้าระหนี้ ให้ด้า ด้าสลักหลังส่งมอบเช็คช้าระหนี้ เขียว เขียวน้าเช็คไป
ยื่นเข้าบัญชีท่ีธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เขียวส่งมอบเช็คช้าระหนี้ ให้เหลือง
ดังนี้ ผู้เสียหายในการร้องทุกข์ด้าเนิ นคดีคือ เขียว
7. แดงเป็ นลูกหนี้ ด้า 5,000 บาท ถูกด้าทวงหนี้ จึงไปหาขาวกับเหลือง ให้ออกเช็คใช้
แล้วแดงน้าเช็คมาสลักหลังให้ด้าเป็ นการช้าระหนี้ ซึ่งแดง ขาว เหลือง รู้ว่าเงินในบัญชี
ของขาวและเหลื อ งที่ ธ นาคารไม่ พ อจ่ า ย ดั ง นี้ บุ ค คลที่ ถื อ ว่ า เป็ นผู้ ก ระท้า ผิ ด คื อ แดง
เหลือง และขาว
8. ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2536 ผู้เสียหายรู้ถึง
การกระท้า ผิดและรู้ตัวผู้ก ระท้า ผิดในวัน ที่ ธนาคารปฏิเ สธการจ่ ายเงิน ผู้เ สียหายจะ
ต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือยื่นฟ้ องต่อศาลภายในวันที่ 10 เมษายน 2536
104
9. แดงผ้เู สียหายได้ร้องทุกข์ภายในเวลาที่กฎหมายก้าหนดแล้ว แดงจะต้องฟ้ อง
คดีภ ายในก้า หนดเวลาพร้ อมกับ ได้ตัว ผู้ก ระท้า ผิ ด มาด้ ว ยอย่ างช้า ที่ สุ ด ภายใน 5 ปี
คดีจึงจะไม่ขาดอายุความ
10. ความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เลิกกัน เมื่อผู้กระท้า
ความผิดน้าเงินตามเช็คฯไปช้าระแก่ผู้ทรงเช็ค ภายในก้าหนด 30 วัน นับแต่วันที่ผู้ออก
เช็คได้รบ ั หนังสือบอกกล่าวจากผู้ทรงเช็คว่าธนาคารไม่ใช้เงินตามเช็ค
11. กรณี การออกเช็คใหม่แทนฉบับเก่า เพื่อช้าระหนี้ เดิม ถือว่าเป็ นการออกเช็คเพื่อ
ก่อให้เกิดความผูกพัน ในการช้า ระหนี้ อันเป็ นความผิดตาม พรบ. ว่าด้ว ยความผิดอัน
เกิดจากการใช้เช็ค
12. นายชมออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้นายชื่นจ้านวน 1,000 บาท แต่นายชมไม่ต้องการให้
นายชื่นได้รับเงิน จึงแกล้งเขียนตัวหนังสือเป็ นหนึ่ งร้อยบาทถ้วน เมื่อผู้ทรงน้า เช็คไป
ขึ้น เงินจากธนาคาร ๆ ปฏิเ สธการจ่ายเงิน ดังนี้ ผู้ส่ัง จ่ายเช็คมีค วามผิด ฐาน ออกเช็ค
โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค
13. แดงออกเช็คสั่งจ่ายโดยระบุช่ ือด้า เป็ นผู้รับเงินและขีดฆ่าค้า ว่า “หรือผู้ถือ” ออก
เนื่ องจากแดงไม่มีเงินในบัญชีท่ีจะจ่ายให้ด้า การกระท้า ของแดงเข้าลักษณะ ออกเช็ค
ในขณะที่ท่ีออกไม่มีเงินในบัญชีจะพึงใช้เงินได้
14. นายสี เ ขี ย นเช็ค ในวั น ที่ 1 กัน ยายน 2535 สั่งเงิน จ่ า ยเงิ นให้ น ายส้ ม 50,000 บาท
โดยลงวันที่ในเช็ควันที่ 10 กันยายน 2535 ต่อมาวันที่ 11 กันยายน 2535 นายส้มน้าเช็ค
ไปยื่นต่อธนาคาร แต่ธนาคารปฏิ เ สธการจ่ ายเงิน ดัง นี้ ค วามผิ ด เกิด ขึ้น เมื่อ วัน ที่ 11
กันยายน 2535
15. กรณี ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเกิดขึ้นแล้ว ผู้เสียหายในการร้องทุกข์ได้แก่
ผู้ทรงเช็ค
16. ความผิดตาม พรบ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ผู้เสียหายต้องร้อง
ทุกข์ภายในระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่รู้ถึงการกระท้าความผิดและรู้ตัวผู้กระท้า
ความผิด
17. ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ภายในก้าหนดเวลาแล้วต้องฟ้ องคดีภายใน ก้าหนดเวลา 5
ปี
******************************