Professional Documents
Culture Documents
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1 และวิธีตอบคำาถามที่ถูกต้อง
(แนวคำาตอบ)
ย่อหน้าที่หนึ่งเน้นหนักไปทางแก่นกฎหมายแยกเป็นหมวดหมู่สาระสำาคัญ
บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่อง ความสามารถในการทำานิติกรรมของผู้
เยาว์ มีสาระสำาคัญสรุปได้ดังนี้
-นิติกรรมใด ๆ ที่ผู้เยาว์ทำาไปโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนย่อมเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็น
อย่างอื่น
-ผู้แทนโดยชอบธรรมมีสิทธิ...
1.ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมออันเป็นโมฆียะนั้นให้สมบูรณ์ได้หรือ
2.บอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้นให้ตกเป็นโมฆะ
-การให้สัตยาบันต่อนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้ทำาไปโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนั้นย่อมกระทำาได้โดยแสดง
เจตนาต่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งและมีผลให้นิติกรรมดังกล่าวสมบูรณ์ตลอดไป
-การบอกล้างนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้ทำาไปโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น ย่อมกระทำาได้โดยแสดงต่อคู่กรณี
อีกฝ่ายหนึ่ง มีผลให้นิติกรรมดังกล่าวตกเป็นโมฆะคือเสียเปล่ามาแต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการ
พ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้แทนนอกจากนี้หากผู้มีสิทธิบอกล้างมฆียะกรรมมิได้ใช้สิทธิบอกล้าง
เมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปี นับแต่ได้ทำานิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น
(ย่อหน้าที่สอง เน้นหนักไปในทางวินิจฉัย หรือปรับบทกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริง ภาษากฎหมายมาตรานั้น วรรคนั่น เขาเรียก
ว่าอะไรก็เรียกไปตามนั้น)
กรณีตามปัญหาวินิจฉัยดังนี้ เด็กชายดีอายุ 14 ปี ผูเ้ ยาว์ในฐานะผู้ขายตกลงขายรถจักรยานเสือภูเขา ซึ่งนายเด่นบิดาซื้อมาให้
ตนในราคา 5,000 บาท แก่นายดังผู้ซื้อในราคาเพียง 2,000 บาท โดยยังไม่ได้รับความยินยอมจากนายเด่นบิดาของเด็กชายดี
ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายดีผู้เยาว์ ทำาให้นิติกรรมซึ่งก็หมายถึงสัญญาซื้อขายรถจักรยานเสือภูเขาระหว่างเด็ก
ชายดีผู้ขายกับนายดังผู้ซื้อนั้นตกเป็นโมฆียะ เมื่อนายเด่นมาปรึกษาข้าพเจ้าในฐานะทนายความข้าพเจ้าจะแนะนำาให้นายเด่น
พิจารณาทางเลือกเป็น 2 แนวทางดังนี้
ก.ทางเลือกที่หนึ่ง หากนายเด่นตัดสินใจยอมรับนิติกรรมซึ่งหมายถึงสัญญาซื่อขายที่เด็กชายดีบุตรของตนในฐานะผู้ขายได้ทำา
ขึน้ กับนายดังในฐานะผู้ซื้อ นายเด่นสามารถให้สัตยาบันแก่นิติกรรมหรือสัญญาซื้อขายนั้นได้ด้วยการแสดงเจตนายินยอมให้
นายดังรับทราบ หรือทอกระยะเวลาออกไปให้พ้นหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เด็กชายดีและ
นายดังทำานิติกรรมซึ่งหมายถึงสัญญาซื้อขายนั้น
ข. ทางเลือกที่สอง หากนายเด่นตัดสินใจไม่ยอมรับนิติกรรมซึ่งหมายถึงสัญญาซื้อขายที่เด็กชายดีบุตรของตนในฐานะผู้ขายได้
ทำาขึ้นกับนายดังในฐานะผู้ซื้อ นายเด่นสามารถบอกล้างนิติกรรมหรือสัญญาซื้อขายนั้นได้ด้วยการแสดงเจตนาบอกล้างให้นาย
ดังทราบ มีผลให้นิติกรรมซึ่งหมายถึงสัญญาซื้อขายนั้นตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกและให้เด็กชายดีและนายดังคู่กรณีกลับคืนสู่
ฐานะเดิมคือเด็กชายดีต้องคืนราคาคือเงินค่าซื้อรถจักรยานที่ได้รับจากนายดังให้แก่นายดังไป และนายดังต้องคืนรถจักรยาน
คันที่เด็กชายดีส่งมอบให้เพราะเป็นการปฏิบัติตามการซื้อขาย และถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะได้คืน เช่นนายดังทำาให้รถจักรยาน
พังเสียหาย นายดังก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่เด็กชายดี
(ย่อหน้าที่สาม สรุปสั้น ๆ ตามคำาถามทีละประเด็นให้ครบถ้วน)
สรุปหรือธง
ข้าพเจ้าแนะนำาให้นายเด่นพิจารณาทางเลือกตาม ก. หรือ ข. ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
วิธีการเขียนตอบ “ข้อสอบอุทาหรณ์”
(1) โครงสร้างของการเขียนตอบข้อสอบอุทาหรณ์
1. ประเด็นของคำาถาม
การเขียนตอบ โดยมากจะเริ่มต้นด้วยการตั้งประเด็นของคำาถาม กล่าวคือเมื่อนักศึกษาอ่านคำาถามและจับประเด็นข้อสอบได้
แล้ว เพื่อแสดงให้ผู้ตรวจเห็นถึงความสามารถในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในเบื้องต้น และเพื่อป้องกันการวินิจฉัยผิดพลาด หรือ
หลงประเด็น นักศึกควรจะเขียนประเด็นของคำาถามไว้เป็นลำาดับแรกของการเขียนตอบ
2. หลักกฎหมาย
ข้อสอบอุทาหรณ์จะมีคะแนนของหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของคำาถามเสมอ ซึ่งอาจจะมีสัดส่วนน้อยกว่าการปรับบท
ซึ่งเป็นส่วนที่ 3 แต่คะแนนของหลักกฎหมายก็อาจเป็นส่วนทีส่ ามารถชี้วัดผลการสอบในแต่ละข้อได้ บางครั้งผู้ตรวจข้อสอบอาจ
กำาหนดสัดส่วนการให้คะแนนของหลักกฎหมายถึงครี่งหนึ่งของคะแนนทั้งข้อ ซึ่งมักจะเป็นกรณีที่คำาถามมีประเด็นที่ถามหลาย
ประเด็น
3. การปรับบทกฎหมายเข้ากับข้อเท็จจริง
ส่วนนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สำาคัญที่สุดของการเขียนตอบข้อสอบอุทาหรณ์ เนื่องจากเป็นส่วนที่วัดความเข้าใจในหลัก
กฎหมาย และความสามารถในการปรับใช้หรือวินิจฉัยของนักศึกษา ความยากในการเขียนตอบข้อสอบอุทาหรณ์จึงอยู่ที่ส่วน
ของการปรับบทกฎหมายนี่เอง
4. การสรุปคำาตอบ
ส่วนนี้อาจถือได้ว่าเป็นส่วนสุดท้ายที่จะมาเติมเต็มให้กับการเขียนตอบข้อสอบของนักศึกษาจบลงด้วยความสมบูรณ์ ทั้งนี้แม้
นักศึกษาจะจับประเด็น วางหลักกฎหมาย หรือปรับบทที่ถูกต้อง แต่หากนักศึกษาไม่สรุปคำาตอบให้ตรงกับคำาถามที่โจทย์ถาม
ก็เหมือนนักศึกษายังไม่ได้ทำาในสิ่งที่ผู้ถามประสงค์จะให้ทำา ซึ่งนักศึกษาอาจเสียคะแนนที่ไม่ควรจะเสียไป
คำาถาม
นายแสวงขับรถโดยประมาทเลินเล่อ ชนนางอรชรหญิงหม้ายซึ่งตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนเศษ เป็นเหตุให้สมองของทารกในครรภ์ได้
รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ต่อมานางอรชรได้คลอดบุตรออกมา คือ ดช.ประสาท ปรากฎว่า ดช.ประสาทมีอาการ
วิกลจริตเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนขณะอยู่ในครรภ์ นางอรชรจึงได้ยื่นฟ้องนายแสวงต่อศาลแทน ดช.ประสาท
เรียกค่าสินไหมทดแทน โดยอ้างว่านายแสวงประมาทเลินเล่อทำาให้ดช.ประสาทวิกลจริต นายแสวงให้การต่อสู้คดีว่า ดช.
ประสาทไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน เพราะในขณะที่ตนขับรถชนนางอรชรนั้น ดช.ประสาทยังไม่มีสภาพบุคคล จึงยังไม่มี
สิทธิใดๆ ให้ผู้อื่นละเมิดได้ ขอให้ศาลยกฟ้อง ข้อต่อสูข้ องนายแสวงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด
อนึ่ง เมื่อ ดช.ประสาทมีอายุ 17 ปีเศษ ได้ซื้อรองเท้าจากร้านศึกษาภัณฑ์พานิชมา 1 คู่ในราคา 35 บาท สัญญาซื้อขายรายนี้จะ
มีผลสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเหตุใด (1/2520)
แนวการตอบ
นักศึกษาคนที่ 1
ประเด็น
1. สิทธิของทารกในครรภ์มารดา
2. ความสามารถในการทำานิติกรรมของผู้เยาว์
3. ความสามารถในการทำานิติกรรมของคนวิกลจริต
หลักกฎหมายบัญญัติอยู่ใน ป.พ.พ. ดังนี้
มาตรา 15 วางหลักว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่มขึ้นแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
มาตรา 19 วางหลักว่า บุคคลจะพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์
มาตรา 21 วางหลักว่า ผู้เยาว์จะทำานิติกรรมใดๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม มิฉะนั้นนิติกรรมตกเป็น
โมฆียะ
มาตรา 24 วางหลักว่า ผู้เยาว์สามารถทำานิติกรรมได้หากว่าเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการจำาเป็นในการดำารงชีพ
ตามสมควร
มาตรา 30 วางหลักว่า นิติกรรมที่คนวิกลจริตทำาขึ้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงความวิกลจริตในขณะทำา
นิติกรรม นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ
วินิจฉัย
ข้อเท็จจริงตามปัญหาขณะที่นายแสวงทำาละเมิด ดช.ประสาทเป็นทารกในครรภ์มารดา ตามมาตรา 15 ว.1 บุคคลจะมีสิทธิได้ก็
ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล และสภาพบุคคลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคลอดและอยู่รอดเป็นทารก เมื่อปรากฏว่าขณะถูกชนดช.ประสาท
ยังไม่คลอด คือ เป็นทารกในครรภ์มารดา ดช.ประสาทย่อมยังไม่มีสภาพบุคคล จึงไม่อาจมีสิทธิใดๆ ให้นายแสวงละเมิดได้
อย่างไรก็ตามการที่ต่อมา ดช.ประสาท คลอดและอยู่รอดเป็นทารก ตามมาตรา 15 ว.2 ดช.ประสาทย่อมมีสิทธิย้อนหลังไปใน
ขณะที่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา ดังนั้นเมื่อ ดช.ประสาทถูกละเมิดสิทธิในร่างกายขณะเป็นทารกในครรภ์มารดา ย่อม
สามารถฟ้องร้องนายแสวงฐานะละเมิดได้ นางอรชรในฐานะผูแ้ ทนโดยชอบธรรมจึงสามารถฟ้องให้นายแสวงรับชดใช้ค่า
สินไหมทดแทน แทนดช.ประสาทได้
ต่อมาเมื่อ ดช.ประสาท อายุได้ 17 ปีเศษ ได้ไปซื้อร้องเท้ามา 1 คู่ ในเวลานั้น ดช.ประสาทอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงยังเป็น
ผูเ้ ยาว์ตามมาตรา 19 การที่ดช.ประสาทไปซื้อรองเท้าเป็นการทำานิติกรรม เมื่อไม่ปรากฏว่าได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดย
ชอบธรรม คือ นางอรชร นิติกรรมย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนิติกรรมการซื้อรองเท้าดังกล่าว
ข้าพเจ้าเห็นเป็นการซื้อทรัพย์ที่ราคาที่ราคาไม่สูง และดช.ประสาทอาจจะนำารองเท้าดังกล่าวมาไว้ใส่ ซึ่งผู้เยาว์ทั่วๆไปก็ควรมี
รองเท้าใส่ จึงเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ทำานิติกรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจำาเป็นต่อการดำารงชีพตามสมควร นิติกรรมการซื้อรองเท้านี้จึง
มีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 24
กรณีต้องพิจารณาด้วยว่าการทำานิติกรรมซื้อรองเท้านั้นตกเป็นโมฆียะเพราะความเป็นคนวิกลจริตของ ดช.ประสาทหรือไม่ เห็น
ว่าตามข้อเท็จจริงแม้ ดช.ประสาทจะมีอาการวิกลจริตตั้งแต่เกิดและอาจยังคงมีอาการวิกลจริตอยู่ แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้
ขายรู้ถึงความวิกลจริตของ ดช.ประสาทในขณะทำานิติกรรม นิติกรรมจึงไม่ตกเป็นโมฆียะตาม มาตรา 30 แต่อย่างใด
สรุป
ข้อต่อสู้ของนายแสวงฟังไม่ขึ้นเพราะดช.ประสาทมีสิทธิย้อนหลังตั้งแต่เวลาที่เป็นทารกในครรภ์มารดา ตามมาตรา 15 ว.2 จึง
ถูกทำาละเมิดได้ และมีสิทธิเรียกให้นายแสวงรับผิดฐานละเมิด
สัญญาซื้อรองเท้ามีผลสมบูรณ์เพราะเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำาขึ้นเป็นการสมแก่ฐานุรูปและจำาเป็นต่อการดำารงชีพตาม มาตรา
24 และไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะความวิกลจริตของผู้เยาว์ตามมาตรา 30 เพราะไม่ปรากฏว่าคู่กรณีอีกฝ่ายรู้ถึงความวิกลจริต
ของ ดช.ประสาทในขณะทำานิติกรรม
นักศึกษาคนที่ 2
ประเด็นที่ 1 ดช.ประสาทมีสิทธิตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์มารดาหรือไม่
หลักกฎหมายใน ป.พ.พ.
ม.15 วางหลักว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่มขึ้นแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ทารกในครรภ์มารดาก็อาจมีสิทธิได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
ข้อเท็จจริงตามปัญหาในขณะที่ถูกรถนายแสวงชน ดช.ประสาทยังเป็นเพียงทารกในครรภ์มารดาจึงยังไม่มสี ภาพบุคคล เพราะ
ยังไม่คลอดออกมา เมื่อไม่มีสภาพบุคคลย่อมไม่มีสิทธิและหน้าที่ใดๆในทางกฎหมายได้ โดยหลัก ดช.ประสาทจึงไม่อาจถูก
ละเมิดสิทธิได้ ตาม ม.15 ว.1
อย่างไรก็ตามต่อมาปรากฏว่าภายหลัง ดช.ประสาทคลอดออกมาและมีชีวิตอยู่รอด ม.15 ว.2 บัญญัติให้ ดช.ประสาทมีสิทธิได้
และมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะอยู่ในครรภ์มารดา เมื่อในขณะอยู่ในครรภ์มสี ิทธิ การที่นายแสวงขับรถมาชนทำาให้ดช.ประสาทได้
รับการกระทบกระเทือนทางสมองอย่างแรง จึงเป็นการละเมิดสิทธิของ ดช.ประสาท ดช.ประสาทจึงสามารถเรียกค่าสินไหม
ทดแทนจากนายแสวงฐานละเมิดได้
สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสวงฟังไม่ขึ้นเพราะดช.ประสาทมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะเป็นทารกในครรภ์มารดาตาม ม.15 ว.2
ประเด็นที่ 2 สัญญาซื้อรองเท้าตกเป็นโมฆียะเพราะความเป็นผู้เยาว์หรือไม่
ม. 19 วางหลักว่า บุคคลจะพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์
ม.21 วางหลักว่า ผู้เยาว์จะทำานิติกรรมใดๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำาลงไปโดยไม่
ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ
ม.24 วางหลักว่า ผู้เยาว์อาจทำานิติกรรมที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและจำาเป็นต่อการดำารงชีพได้
ข้อเท็จจริงตามปัญหา ดช.ประสาทอายุ 17 ปีเศษ อายุยงั ไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงยังเป็นผู้เยาว์ตาม ม.19 การที่ดช.ประสาทไป
ทำานิติกรรม คือ สัญญาซื้อรองเท้า เมื่อไม่ปรากฏว่าได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม โดยหลักสัญญาซื้อรองเท้าย่อม
ตกเป็นโมฆียะตาม ม.21
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการที่ดช.ประสาทซื้อรองเท้าอาจนำามาใช้ใส่ในชีวิตประจำาวัน และการราคาของรองเท้าก็เป็นราคาที่พอ
สมควรที่ผู้เยาว์น่าจะซื้อได้เอง ด้วยเหตุนี้สัญญาซื้อรองเท้าจึงเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำาลงโดยสมแก่ฐานานุรูปและจำาเป็นต่อการ
ดำารงชีพ สัญญาซื้อขายรองเท้าจึงมีผลสมบูรณ์ตาม ม.24
สรุป สัญญาซื้อรองเท้ามีผลสมบูรณ์เพราะเป็นนิติกรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจำาเป็นต่อการดำารงชีพตาม ม.24
ประเด็นที่ 3 สัญญาซื้อขายรองเท้าตกเป็นโมฆียะเพราะความวิกลจริตหรือไม่
ม.30 ถ้าคนวิกลจริตทำานิติกรรมในขณะจริตวิกลและคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงความวิกลจริต นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ
ข้อเท็จจริงตามปัญหา ดช.ประสาท มีถูกรถยนต์จนมีอาการวิกลจริต ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอาการวิกลจริตจนถึงเวลาที่ทำาสัญญา
ซื้อรองเท้าด้วย อย่างไรก็ตามตาม ม.30 นิติกรรมที่คนวิกลจริตทำาลงนั้นจะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้อยู่ถึง
ความวิกลจริตด้วย เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงความวิกลจริต นิติกรรมย่อมไม่ตกเป็นโมฆียะ
สรุป นิติกรรมไม่ตกเป็นโมฆียะตามม.30 เพราะไม่ปรากฏว่า คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้ถึงความวิกลจริตของดช.ประสาทในขณะทำา
นิติกรรม
นักศึกษาคนที่ 3
ประเด็น ความสามารถในการมีสิทธิของทารกในครรภ์มารดา
ข้อเท็จจริงตามปัญหา ดช.ประสาทถูกรถชนในขณะอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งในขณะนั้น ดช.ประสาทยังไม่คลอดและอยู่รอดเป็น
ทารก จึงยังไม่มีสภาพบุคคล ตามป.พ.พ.วางหลักว่า สภาพบุคคย่อมเริ่มขึ้นแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลง
เมื่อตาย เมื่อ ดช.ประสาทยังไม่มสี ภาพบุคคลจึงไม่มสี ิทธิใดๆ ให้ถูกละเมิดได้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากต่อมาดช.ประสาทได้คลอดออกมาและอยู่รอดเป็นทารก ซึ่งกฎหมายได้ว่างหลักว่า ทารกในครรภ์
มารดาก็อาจมีสิทธิได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก ด้วยเหตุนี้เมื่อ ต่อมาปรากฏว่า ดช.ประสาทคลอดและอยู่
รอดเป็นทารกแม้จะมีอาการวิกลจริต ดช.ประสาทก็ย่อมมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะเป็นทารกในครรภ์มารดา ดังนั้นเมื่อขณะอยู่
ในครรภ์มารดา ดช.ประสาทถูกนายแสวงขับรถโดยประมาททำาให้ตนได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง จึงถือเป็นการละเมิด
สิทธิของ ดช.ประสาท ดช.ประสาทมีสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากนายแสวงฐานละเมิด
สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสวงฟังไม่ขึ้น เพราะดช.ประสาทมีสิทธิย้อนหลังไปในขณะเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา
ประเด็น ความสามารถในการทำานิติกรรมของผู้เยาว์
ในขณะที่ดช.ประสาทซื้อร้องเท้า ดช.ประสาทมีอายุเพียง 17 ปีเศษ จะเห็นได้ว่าอายุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์จึงยังเป็นผู้เยาว์อยู่
ตามหลักกฎหมายที่ว่า บุคคลจะพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์
เมื่อในขณะเป็นผู้เยาว์ดช.ประสาทได้ไปทำานิติกรรม คือ การซื้อรองเท้า โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้รับความยินยอมจากผู้
แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมซื้อรองเท้าจึงตกเป็นโมฆียะ ตามหลักกฎหมายที่ว่า ผู้เยาว์จะทำานิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความ
ยินยอมจากผูแ้ ทนโดยชอบธรรม มิฉะนั้นนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่ารองเท้าที่ซื้อนั้นเป็นทรัพย์ที่ราคาไม่แพงมาก ซึ่งผู้เยาว์สามารถซื้อได้ถือว่าเป็นการสมแก่ฐานานุรูป
และการซื้อนั้นเป็นการทำาลงเพื่อความจำาเป็นในการใช้สอยจึงถือเป็นการที่จำาเป็นต่อการดำารงชีพตามสมควร ซึ่ง ดช.ประสาท
ย่อมทำานิติกรรมนี้ได้ ตามหลักกฎหมายที่ว่า นิติกรรมที่สมแก่ฐานานุรูปและจำาเป็นต่อการดำารงชีพ ผู้เยาว์สามารถทำาได้
สรุป นิติกรรมซื้อรองเท้ามีผลสมบูรณ์ เพราะเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำาลงไปอันเป็นการสมแก่ฐานานุรูปและจำาเป็นต่อการดำารง
ชีพตามสมควร
ประเด็น ความสามารถในการทำานิติกรรมของคนวิกลจริต
คนวิกลจริตที่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถโดยหลักย่อมมีความสามารถในการทำานิติกรรมโดยสมบูรณ์ ข้อเท็จจริง
มีปัญหาให้ต้องพิจารณาด้วยว่านิติกรรมซื้อรองเท้าที่ดช.ประสาททำาลงนั้นบกพร่องเพราะความวิกลจริตของดช.ประสาทหรือ
ไม่ เนื่องจากโจทย์บอกว่าดช.ประสาทมีอาการวิกลจริตเพราะถูกรถชนอาจสันนิษฐานได้ว่าขณะที่ทำานิติกรรมก็ยังอาจมีอาการ
วิกลจริตอยู่ อย่างไรก็ตามหลักกฎหมายที่วานิติกรรมจะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อคนวิกลจริตได้ทำานิติกรรมในขณะจริตวิกลและใน
ขณะทำานิติกรรมคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้รู้ถึงความวิกลจริตนั้นด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่าคู่กรณีอีกฝ่ายรู้ถึงความวิกลจริตของดช.
ประสาทในขณะทำานิติกรรม นิติกรรมจึงไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด
สรุป นิติกรรมซื้อร้องเท้าไม่ตกเป็นโมฆียะเพราะความวิกลจริตของ ดช.ประสาท เนื่องจากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า คู่กรณีอีก
ฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงความวิกลจริตของ ดช.ประสาทในขณะทำานิติกรรม
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1
9. นายทองต้องการทำาบุญตักบาตรเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของตนจึงได้จัดหาเครื่องของใส่บาตรเพื่อทำาบุญ เช้าต่อมานายทอง
ได้เตรียมตัวทำาบุญใส่บาตร พอดีเห็นพระเดินมาจึงได้นิมนต์และใส่บาตร ต่อมานางศรีได้บอกนายทองว่าพระที่นายทองใส่
บารตแท้จริงเป็นนายวันชัย ซึ่งปลอมเป็นพระมา พอนายทองได้ทราบจึงได้ตามไปทวงของที่ใส่บาตรคืน ถามว่านายทอง
สามารถทวงของคืนได้หรือไม่ จงอธิบาย
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1
หลักการวินิจฉัย ควรฝึกแยกพิจารณาทีละประเด็น
1.คู่สัญญาตกลงซื้อนางด่างหางแดง
2.แม้ยังไม่มีการส่งมอบวัตถุแห่งหนี้ สัญญาซื้อขายย่อมสมบูรณ์นับแต่วันทำาสัญญา ลูกหนี้-เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องชำาระหนี้อันพึง
ชำาระต่อกันแล้ว รอเพียงให้ถึงกำาหนดเวลาชำาระเท่านั้น
3.ลูกสุนขั เป็นดอกผลธรรมดา(เปิดดูประมวลว่าลูกสุนัขเป็นของใคร)
4.หากนางด่างหางแดงตายโดยไม่ใช่ความผิดของผู้ใด การชำาระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย ไม่มีผู้ใดต้องรับผิด
5.นายท้ากกี้เป็นผู้รับบาปเคราะห์ในความตายของนางด่างหางแดง
จะเรียกร้องให้นายเนวินชำาระหนี้ไม่ได้(โจทย์ไม่ได้ให้รายละเอียดมาว่านางด่างหางแดงตายในวันที่เท่าใด อนุมานเอาว่าตาย
ก่อนมีการส่งมอบ ถ้าตายหลังส่งมอบก็ต้องพิจารณาเป็นกรณีไปอีกว่าตายเพราะเหตุใด) คำาแนะนำานี้เป็นหลักในการพิจารณา
ตอบข้อสอบเท่านั้น ไม่ใช่วิธีตอบข้อสอบ
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1
1. ต้อย อายุ 14 ปี คุณตาเห็นว่าต้อยกำาพร้าแม่จึงยกเครื่องเพชรให้ 1 ชุด ต่อมาต้อยคิดจะขายเครื่องเพชรหนึ่งชิ้นเพื่อนำาเงินไป
เป็นค่าเรียนคอมพิวเตอร์ จึงไปปรึกษาพ่อ พ่อจึงบอกว่า “ เครื่องเพชรชุดนี้คุณตายกให้ลูกแล้ว ลูกจะเอาไปทำาอะไร ก็แล้วแต่
ลูกจะเห็นสมควรเถอะ พ่อไม่ขัดข้องอะไรทั้งสิ้น “ ต่อมาต้อยอยากได้โทรศัพท์มือถือจึงนำาเครื่องเพชรชิ้นที่ 2 ไปขาย โดยไม่ได้
ขออนุญาต พ่อก่อน ต่อมาต้อยป่วยคิดว่าตนเองเป็นไข้หวัดนกคงไม่รอดแน่ เกิดสิ้นหวังในชีวิตจึงทำาพินัยกรรมยกเครื่องเพชร
ชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ให้คุณตาเพราะคิดว่าเครื่องเพชรเป็นของคุณตาก็ควรจะคืนให้คุณตาไป ระหว่างที่นั่งรถประจำาทางไปหา
หมอเกิดมีวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันโยนระเบิดใส่รถโดยสารทำาให้ต้อยถึงแก่ความตาย ภายหลังบิดา ทราบเรื่องว่าต้อยขายเครื่อง
เพชรชิ้นที่ 2 ไปในราคาที่ถูกมากจึงต้องการบอกล้างนิติกรรมการซื้อขาย เพชร และยกเลิกพินัยกรรม
จงวินิจฉัยว่า บิดาสามารถบอกล้างนิติกรรมการขายเพชรครั้งที่ 2 และ ยกเลิกพินัยกรรมของต้อยได้หรือไม่เพราะเหตุใด
หลักกฎหมาย
มาตรา 19 บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบรู ณ์
มาตรา 21 ผู้เยาว์จะทำานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบ
ธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำาลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ
เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 25 ผู้เยาว์อาจทำาพินัยกรรมได้เมื่ออายุสิบห้าปีบริบูรณ์
มาตรา 26 ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมอนุญาตให้ผู้เยาว์จำาหน่ายทรัพย์สินเพื่อการ
อันใดอันหนึ่งอันได้ระบุไว้ ผู้เยาว์จะจำาหน่ายทรัพย์สินนั้นเป็นประการใดภายในขอบของการที่ระบุไว้นั้นก็ทำาได้ตามใจสมัคร
อนึ่ง ถ้าได้รับอนุญาตให้จำาหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุวา่ เพื่อการอันใดผู้เยาว์ก็จำาหน่ายได้ตามใจสมัคร
ข้อวินิจฉัย
การที่ต้อยผู้เยาว์ได้ขออนุญาตบิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เพื่อขายเครื่องเพชรชิ้นที่หนึ่ง ซึ่งได้รับมาจากคุณตาหนึ่งชุด โดย
ต้องการนำาเงินไปเป็นค่าเรียนคอมพิวเตอร์ และบิดาได้อนุญาต โดยบอกว่า “ เครื่องเพชร..ชุดนี.้ .คุณตายกให้ลูกแล้ว ลูกจะเอา
ไปทำาอะไร ก็แล้วแต่ลูกจะเห็นสมควรเถอะ พ่อไม่ขัดข้องอะไรทั้งสิ้น “ ย่อมเป็นการที่ต้อยผู้เยาว์ได้รับอนุญาตจากผู้แทนโดย
ชอบธรรมให้จำาหน่ายทรัพย์สินโดยมิได้ระบุว่าเพื่อการอันใด ต้อยผู้เยาว์ก็ย่อมจำาหน่ายได้ตามใจสมัคร ดังนั้นแม้ว่าภายหลัง
บิดาจะทราบว่าต้อยขายเครื่องเพชรชิ้นที่สองไปในราคาถูกมากก็ไม่สามารถบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายได้ ส่วนการทำา
พินัยกรรมตามประมวลกฎหมายนี้วางหลักว่าผู้เยาว์อาจทำาพินัยกรรมได้เมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ แต่ต้อยทำาพินัยกรรมยก
เครื่องเพชรชิ้นสุดท้ายให้คุณตาในขณะที่มีอายุ 14 ปีการทำา พินัยกรรม ตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย บิดาของต้อย
จึงไม่จำาเป็นต้องยกเลิกพินัยกรรมแต่อย่างใด
สรุป
1. บิดาไม่สามารถบอกล้างนิติกรรมการขายเพชรครั้งที่2 ได้ เพราะได้ให้ความยินยอมไว้แล้ว
2. พินัยกรรมเป็นโมฆะ บิดาจึงไม่จำาเป็นต้องยกเลิกแต่ประการใด
3. นาย เอ เขียนจดหมาย เสนอขายรถยนต์ให้นาย บี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 ราคา 500000 บาท โดยบอกว่าถ้านาย บี
ตกลงซื้อให้ส่งคำาตอบภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2547 นายบี ส่งจดหมายถึงนาย เอ ว่าต้องการ
ซื้อรถและส่งเงินชำาระค่ารถยนต์มาบางส่วนเป็นจำานวนเงิน 20000 บาท นาย ซี ซึ่งไม่พอใจนาย เอ อยู่จึงเอาระเบิดไปโยนใส่
รถยนต์คันดังกล่าวเสียหายทั้งคัน นายเอ ทวงเงินค่ารถยนต์ ที่เหลืออีก 480000 บาทจากนายบี โดยบอกว่า สัญญาซื้อขาย
สมบูรณ์แล้วนายบีต้องชำาระราคาทั้งหมด
จงวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายรถยนต์สมบูรณ์หรือไม่ เพราะเหตุใด และนายบีต้องชำาระเงินที่เหลือหรือไม่เพราะเหตุใด
หลักกฎหมาย
มาตรา 357 คำาเสนอใดเขาบอกปัดไปยังผู้เสนอแล้วก็ดี หรือมิได้สนองรับภายในเวลากำาหนดดังกล่าวมาในมาตราทั้งสามก่อน
นี้ก็ดี คำาเสนอนั้นท่านว่าเป็นอันสิ้นความผูกพันแต่นั้นไป
มาตรา 359 ถ้าคำาสนองมาถึงล่วงเวลา ท่านให้ถือว่าคำาสนองนั้นกลายเป็นคำาเสนอขึ้นใหม่คำาสนองอันมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อ
จำากัด หรือมีข้อแก้ไขอย่างอื่นประกอบด้วยนั้น ท่านให้ถือว่าเป็นคำาบอกปัดไม่รับ ทั้งเป็นคำาเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัว
มาตรา 361 อันสัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางนั้น ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้นแต่เวลาเมื่อคำาบอกกล่าวสนองไป
ถึงผู้เสนอ
ถ้าตามเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง หรือตามปกติประเพณีไม่จำาเป็นจะต้องมีคำาบอกกล่าวสนองไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเกิดเป็น
สัญญาขึ้นในเวลาเมื่อมีการอันใดอันหนึ่งขึ้น อันจะพึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสนองรับ
วินิจฉัย
จากปัญหามีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ
1. สัญญาซื้อขายสมบูรณ์หรือยัง
2. นายบีต้องชำาระราคาที่เหลือหรือไม่
นาย เอ เขียนจดหมาย เสนอขายรถยนต์ให้นาย บี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 ราคา 500000 บาท โดยบอกว่าถ้านาย บี
ตกลงซื้อให้ส่งคำาตอบภายในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 แต่นายบีไม่ได้ตอบไปตามกำาหนดเวลา
คำาเสนอของนายเอจึงไม่ได้รับการแสดงเจตนาตอบรับจากนายบีในเวลาที่กำาหนดคำาเสนอนั้นท่านว่าเป็นอันสิ้นความผูกพัน
ส่วนการที่ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2547 นายบี ส่งจดหมายถึงนาย เอ ว่าต้องการซื้อรถและส่งเงินชำาระค่ารถยนต์มาบางส่วนเป็น
จำานวนเงิน 20000 บาท จึงเป็นคำาเสนอของนายบี ที่เสนอขอซื้อรถยนต์ของนายเอ ขึ้นใหม่ และยังไม่มีผลผูกพันเนื่องจากยัง
มิได้รับคำาสนองตอบจากนายเอแต่อย่างใด เมื่อคำาเสนอของนายบียังมิได้มีคำาสนองตอบ นั่นคือคำาเสนอ และคำาสนองยังไม่ถูก
ต้องตรงกัน สัญญาจึงยังไม่เกิดขึ้น เมื่อนายซี ซึ่งไม่พอใจนาย เอ อยู่เอาระเบิดไปโยนใส่รถยนต์คันดังกล่าวเสียหายทั้งคัน นาย
เอ จะมาทวงเงินค่ารถยนต์ ที่เหลืออีก 480000 บาทจากนายบี โดยบอกว่า สัญญาซื้อขายสมบูรณ์แล้วนายบี ต้องชำาระราคา
ทั้งหมด นั้นจึงไม่ถูกต้อง ตามหลักกฎหมายข้างต้น
สรุป
1. สัญญาซื้อขายยังไม่สมบูรณ์ เพราะคำาเสนอและคำาสนองยังไม่ถูกต้องตรงกัน สัญญาจึงยังไม่เกิดขึ้น
2. นายบีไม่ต้องชำาระราคารถยนต์ที่เหลือเพราะสัญญาซื้อขายยังไม่เกิด
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1
ข้อสอบกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน
3. ไกรทำาสัญญาให้แก้วใช้ทางเดินสู่สาธารณะโดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นภาระจำายอม ต่อมาแก้วโดยกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้หวาน
ไกรจึงปิดทางภาระจำายอมนั้น ทำาให้หวานผ่านทางนั้นไม่ได้ หวานจึงฟ้องให้ไกรทำาตามสัญญาที่ไห้ไว้กับแก้วได้ห รือไม่ เพราะ
เหตุใด
1. กุ้งกู้เงินปู จำานวน 30,000 บาท เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2546 โดยมี ปลาเป็นผู้คำ้าประกัน มีกำาหนดชำาระหนี้เมื่อครบ 1 ปี เมื่อ
ครบกำาหนดชำาระหนี้ กุ้งเพิกเฉยไม่ชำาระหนี้ ปูเองก็ไม่ได้ทวงถามให้ชำาระหนี้แต่อย่างใด จนเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2548 ปูได้
ฟ้องให้ปลาชำาระหนี้ ปลาอ้างเรื่องที่ปูยอมผ่อนระยะเวลาชำาระหนี้ให้แก่กุ้ง โดยปลามิได้ยินยอมด้วย ปลาย่อมหลุดพ้นไม่ต้อง
รับผิดในการชำาระหนี้ ดังนั้นข้อต่อสู้ของ ปลา ที่มีต่อ ปู ฟังขึ้นหรือไม่เพราะเหตุใด
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 4
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 4
3. นายกรณ์เป็นกรรมการบริษัทฯทำาการค้าเกี่ยวกับเคมีภัณฑ์ที่จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวมยุเรศมาชักชวนนายกรณ์ให้ลงหุ้นใน
ห้างหุ้นส่วนมยุเรศเคมีภัณฑ์ นายกรณ์จึงลงหุ้น 1 ล้านบาทและจำากัดความรับผิดไว้ 1 ล้านบาทโดยมิได้ขอความยินยอมจากบ
ริษัทฯ ถามว่านายกรณ์กระทำาการชอบหรือไม่ชอบ
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 1
แนวเฉลย
ในข้อแรก 21+175
มาตรา 21 ผู้เยาว์จะทำานิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำาลงปราศจาก
ความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 175 โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้
(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้เยาว์ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ผู้เยาว์จะบอกล้างก่อนที่ตนบรรลุนิติภาวะก็ได้ถ้าได้รับความ
ยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมเป็นโมฆียะ และผู้แทนโดยชอบธรรมของเอก็บอกล้างแล้ว จึงทำาให้ คู่กรณีกลับคืนสู่
ฐานะเดิม
มาตรา 176 (แถม) โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้า
เป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับค่าเสียหาย ชดใช้ให้แทน
บิดาบีต้องคืนมือถือให้ แต่มือถือหายไป บิดาเอ ก็ต้องได้รับค่าเสียหาย ชดใช้ให้แทน
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 4
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 2
ข้อสอบกฎหมายพาณิยช์ 3
3. ไกรทำาสัญญาให้แก้วใช้ทางเดินสู่สาธารณะโดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นภาระจำายอม ต่อมาแก้วโดยกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้หวาน
ไกรจึงปิดทางภาระจำายอมนั้น ทำาให้หวานผ่านทางนั้นไม่ได้ หวานจึงฟ้องให้ไกรทำาตามสัญญาที่ไห้ไว้กับแก้วได้ห รือไม่ เพราะ
เหตุใด
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 1
1. นายไก่มีบ้านอยู่ริมแม่นำ้า ทางราชการได้ประกาศเตือนประชาชนที่อยู่ริมแม่นำ้าว่านำ้าเหนือไหลบ่ามาจะก่อให้เกิดความเสีย
หายท่วมบ้านเรือนที่อยู่ริมแม่นำ้าได้ให้ประชาชนคอยระวังและจัดเตรียมกระสอบทรายหรือทำาเขื่อนกั้นนำ้าบริเวณบ้านหรือที่ดิน
ของตน นายไก่จึงได้ตกลงซื้อกระสอบทรายและอิฐบล็อกจากนายเป็ดซึ่งเป็นเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง เพื่อทำาคันกั้นนำ้า นาย
เป็ดบอกว่าตนได้จัดเตรียมกระสอบทรายไว้จำาหน่ายแล้วที่มีอยู่ในโกดังทั้งหมดตอนนี้มีประมาณ 200 กระสอบ จัดเก็บไว้ต่าง
หากไม่ได้รวมกับวัสดุก่อสร้างอื่น ถ้านายไก่ต้องการตนจัดส่งให้ได้ทันทีและตกลงขายให้นายไก่ทั้งหมด ราคา 1,500 บาท นาย
ไก่จึงได้ตกลงซื้อกระสอบทรายทั้งหมดที่นายเป็ดมีอยู่ ส่วนอิฐบล็อกนั้น นายเป็ดตกลงขายให้ในราคาแผ่นละ 2.00 บาท นาย
ไก่จึงตกลงซื้ออิฐบล็อกจากนายเป็ดอีก 100 แผ่น โดยนายเป็ดสัญญาว่าจะจัดส่งกระสอบทรายให้นายไก่ได้ในวันพรุ่งนี้เช้า แต่
อิฐบล็อกที่นายเป็ดมีอยู่ในโกดังไม่พอ นายเป็ดตกลงจะจัดหามาให้ครบและจะส่งให้นายไก่ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์นับจากวันนี้
นายเป็ดจัดส่งกระสอบทรายทั้งหมดที่มีอยู่ไปให้นายไก่ที่บ้าน นายไก่รับกระสอบทรายมาทั้งหมดแล้ว ได้ชำาระเงินให้นายเป็ด
เท่าที่ตกลง 1,500 บาท ภายหลังนายเป็ดทราบว่ากระสอบทรายทั้งหมดมีจำานวน 220 กระสอบ นายเป็ดจึงได้มาเรียกเก็บเงิน
เพิ่มจากส่วนที่เกินไป 20 กระสอบ แต่นายไก่ไม่ยอมชำาระ เมื่อครบเวลาส่งมอบอิฐบล็อกนายเป็ดจึงได้ให้พนักงานในร้านของ
นายเป็ดถือจดหมายลงชื่อนายเป็ดทวงเงินค่ากระสอบทรายที่เกินไปและพร้อมในจดหมายก็ปฏิเสธที่จะจัดหาอิฐบล็อกที่นาย
เป็ดได้ตกลงขายให้นายไก่โดยอ้างว่า นำ้าได้ท่วมโกดังเก็บวัสดุก่อสร้างของนายเป็ดเสียหาย นายไก่จะเรียกร้องให้นายเป็ดส่ง
มอบอิฐบล็อกให้ตามสัญญาได้หรือไม่ และนายเป็ดจะเรียกราคาค่ากระสอบทรายที่เกินไป 20 กระสอบได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำาตอบ หลักกฎหมาย มาตรา 456 วรรค 2 และวรรค 3 มาตรา 458 และมาตรา 460 วรรค 1
วินิจฉัย นายไก่ตกลงซื้อกระสอบทรายและอิฐบล็อกจากนายเป็ด นายเป็ดบอกว่าตนมีกระสอบทรายอยู่ในโกดังทั้งหมด
ประมาณ 200 กระสอบ และตกลงขายให้นายไก่ในราคา 1,500 บาท นายไก่จึงตกลงซื้อกระสอบทรายทั้งหมดที่นายเป็ดมีอยู่
สัญญาซื้อขายกระสอบทรายเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในสังหาริมทรัพย์ธรรมดาที่มีราคาตั้งแต่ห้าร้อยบาทขึ้นไป ตาม
มาตรา 456 วรรค 3 ซึ่งนำาวรรค 2 มาใช้บังคับเป็นสัญญาซื้อขายเหมา รู้ตัวทรัพย์แน่นอน และรู้ราคาที่แน่นอนแล้ว จำานวน
กระสอบทราย 200 กระสอบเป็นการประมาณการ กรรมสิทธิ์โอนเป็นของนายไก่ผู้ซื้อตั้งแต่ตกลงทำาสัญญาตามมาตรา 458
ส่วนอิฐบล็อกนายเป็ดตกลงขายให้ในราคาแผ่นละ 2.00 บาท นายไก่จึงตกลงซื้ออิฐบล็อกจากนายเป็ดอีก 100 แผ่น นายเป็ด
สัญญาว่าจะจัดส่งกระสอบทรายให้นายไก่ได้ในวันพรุ่งนี้เช้า แต่อิฐบล็อกที่นายเป็ดมีอยู่ในโกดังไม่พอ นายเป็ดตกลงจะจัดหา
มาให้ครบและจะส่งให้นายไก่ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์นับจากวันนี้ สัญญาซื้อขายอิฐบล็อกเป็นสัญญาซื้อขายทรัพย์สินซึ่งมิได้
กำาหนดลงไว้แน่นอน กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนจนกว่าจะได้หมายหรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือก หรือทำาโดยวิธีอื่น เพื่อให้บ่งตัว
ทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนแล้ว ตามมาตรา 460 วรรคหนึ่ง นายเป็ดจัดส่งกระสอบทรายทั้งหมดที่มีอยู่ไปให้นายไก่ที่บ้าน
นายไก่รับกระสอบทรายมาทั้งหมดแล้ว ได้ชำาระเงินให้นายเป็ดเท่าที่ตกลง 1500 บาท ภายหลังนายเป็ดทราบว่ากระสอบทราย
ทั้งหมดมีจำานวน 220 กระสอบ นายเป็ดจึงได้มาเรียกเก็บเงินเพิ่มจากส่วนที่เกินไป 20 เมื่อเป็นสัญญาซื้อขายเหมา แม้จำานวน
ทรัพย์สินจะมากหรือน้อยไปกว่าการประมาณการของผู้ซื้อหรือผู้ขาย คู่สัญญาฝ่ายใดจะเรียกให้ลดหรือเพิ่มราคาหรือทรัพย์สิน
ไม่ได้ ส่วนอิฐบล็อกเมื่อครบเวลาส่งมอบอิฐบล็อกแล้ว นายไก่จะเรียกร้องให้นายเป็ดส่งมอบอิฐบล็อกให้ตามสัญญาได้ เพราะ
เป็นสัญญาซื้อขายที่กรรมสิทธิ์ยังเป็นของนายเป็ดอยู่ ตามมาตรา 460 วรรคหนึ่ง และเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดา
ที่มีราคาไม่ถึง 500 บาท และนายเป็ดได้มีจดหมายลงชื่อนายเป็ดทวงเงินค่ากระสอบทรายที่เกินไปและพร้อมในจดหมายก็
ปฏิเสธที่จะจัดหาอิฐบล็อกที่นายเป็ดได้ตกลงขายให้นายไก่โดยอ้างว่า นำ้าได้ท่วมโกดังเก็บวัสดุก่อสร้างของนายเป็ดเสียหายซึ่ง
ไม่เป็นเหตุพ้นวิสัย นายเป็ดยังสามารถปฏิบัติชำาระหนี้ได้ ส่วนสัญญาซื้อขายกระสอบทราย นายเป็ดจะเรียกราคาค่ากระสอบ
ทรายที่เกินไป 20 กระสอบไม่ได้ เพราะเป็นสัญญาซื้อขายเหมาที่ผู้ซื้อได้ชำาระราคาครบถ้วนตามสัญญาเรียบร้อยแล้ว
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 1
ธงคำาตอบ
หลักกฎหมาย 1. ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรค 1 2. ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรค 2
แนวคำาตอบ การทำาสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่ เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์
ตามมาตรา 456 วรรค 1 บัญญัติบังคับไว้ว่าการซื้อขายจะต้องทำาตามแบบคือต้องทำาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ ถ้าฝ่าฝืนไม่ทำาตามผลก็เป็นโมฆะ การที่นายไก่และนายไข่ทำาสัญญากันเองแม้จะทำาที่บ้านกำานัน ๆ ไม่ใช่เจ้า
พนักงานผู้มีหน้าที่จดทะเบียนสัญญาซื้อขาย นั้นสัญญาซื้อขายที่ตกลงกันระหว่างนายไก่และนายไข่จึงตกเป็นโมฆะ เท่ากับว่า
นายไก่และนายไข่ไม่ได้ทำาสัญญาซื้อขายกันขึ้นเลย ก็ให้นายไก่และนายไข่กลับคืนสู่ฐานเดิม เงินที่นายไข่ชำาระไปทั้งหมดนาย
ไก่ก็ต้องคืนให้แต่นายไข่ฐานลาภมิควรได้ นายไข่ไม่จำาต้องบอกเลิกสัญญาระหว่างตนและนายไก่อีก เพราะสัญญาเป็นโมฆะ
มาแต่เริ่มแรกแล้ว
ส่วนถ้าเงื่อนไขเปลี่ยนไปว่าถ้าหากนายไข่ชำาระราคาครบถ้วนแล้วนายไก่จะไปทำาหนังสือและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในบ้าน
และที่ดินให้แก่นายไข่นั้นสัญญาที่ตกลงทำากันระหว่างนายไก่และนายไข่ จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดิน เพราะบ้าน
และที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันยังไม่โอนไปเป็นของผู้ซื้อ ผูซ้ ื้อคือนายไข่และนายไก่ตกลง
ที่จะไปทำาการโอนกรรมสิทธิ์กันในภายภาคหน้า เมื่อนายไข่ชำาระราคาครบตามข้อตกลงแล้วนายไก่ไม่ยอมไปจดทะเบียนโอน
กรรมสิทธิ์ให้แก่นายไข่ ๆ มีสิทธิฟ้องบังคับให้นายไก่ไปปฏิบตั ิตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงในสัญญาจะซื้อจะขายได้ เพราะมีหลักฐาน
ตามทีม่ าตรา 456 วรรค 2 บัญญัติไว้ คือมีการทำาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิด เพราะนายไก่และนายไข่ทำาสัญญา
กับไว้และมีการชำาระหนี้บางส่วนคือนายไข่ได้ชำาระหนี้ทั้งหมดของตนคือเงิน 1 ล้านบาทไปแล้ว ดังนั้นคำาตอบก็จะเปลี่ยนแปลง
ไปคือเงื่อนไขนี้นายไข่ผู้ซื้อสามารถนำาคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อฟ้องบังคับให้นายไก่ปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ได้
ธงคำาตอบ
นายสามจดทะเบียนขายฝากที่ดินของนายสามปลงหนึ่งไว้กับนายสอง ในราคา 1 ล้านบาท กำาหนดค่าสินไถ่ 1 ล้าน 3 แสน
บาท แต่นายสามรับเงินค่าขายฝากจากนายสองจริงเพียง 9 แสนบาท กำาหนดเวลาไถ่คืน 5 ปี ขายฝากไปได้หนึ่งปี นายสามมา
ขอไถ่ที่ดินแปลงนี้คืน โดยได้นำาเงิน 9 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 คิดดอกเบี้ยให้นายสอง 1 ปีนับจากเวลาขายฝาก
จนถึงเวลาไถ่ทรัพย์คืน แต่นายสองไม่ยอมให้ไถ่ที่ดินคืนโดยอ้างว่ายังไม่ครบ 5 ปีตามสัญญา และค่าสินไถ่ที่ตกลงไว้ 1 ล้าน 3
แสนบาทรวม ดอกเบี้ยตามสัญญา 5 ปี ข้ออ้างของนายสองรับฟังไม่ได้ เพราะผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินได้เสมอภายใน
กำาหนดเวลาไถ่ตามกฎหมายหรือตามสัญญานับตั้งแต่ทำาสัญญาขายฝาก และนายสามได้ใช้สิทธิไถ่โดยชอบแล้วเพราะได้ไถ่
คืนภายในกำาหนดระยะเวลาไถ่ตามสัญญาโดยได้นำาเงิน 9 แสนบาทตามราคาขายฝากที่แท้จริง พร้อมดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15
คิดดอกเบี้ยให้นายสอง 1 ปีนับจากเวลาขายฝากจนถึงเวลาไถ่ทรัพย์คืน ตามมาตรา 499
ธงคำาตอบ
นายฟ้าเป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งเมื่อประมาณต้นปี 2538 กิจการค้าของนายฟ้าเจริญรุ่งเรืองนายฟ้าจึงได้จดทะเบียนยกที่ดิน
ในจำานวนหลายแปลงที่นายฟ้ามีอยู่ให้นายดินซึ่งเป็นบุตรชายนายฟ้าพร้อมกับเงินลงทุน 3 ล้านบาท ต่อมากิจการนายฟ้า
ขาดทุน นายฟ้าต้องการเก็บเงินที่นายฟ้ามีอยู่ไว้ลงทุนทำาการค้าต่อและไม่ต้องการที่จะขายที่ดินแปลงใดที่นายฟ้ามีอยู่ในขณะ
นี้ชดใช้หนี้ นายฟ้าจะให้นายดินช่วยชำาระหนี้สินของบริษัทนายฟ้าที่เป็นหนี้อยู่ นายฟ้าได้มาขอให้นายดินช่วยเหลือแต่นายดิน
ปฏิเสธ แม้นายฟ้าผู้ให้จะมาขอให้นายดินผู้รับช่วยแต่ไม่ได้มาขอสิ่งจำาเป็นเลี้ยงชีวิต และผู้ให้ยังมีเงินที่ดินอื่น ๆ อีก จึงไม่ได้
เป็นผู้ยากไร้ ตามมาตรา 531(3) นายฟ้าจะถอนคืนการให้เพราะนายดินประพฤติเนรคุณไม่ได้
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 1
ธงคำาตอบ
หลักกฎหมาย มาตรา 493 "ในการขายฝาก คู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อจำาหน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากก็ได้ ถ้าและผู้ซื้อ
จำาหน่ายทรัพย์สินนั้นฝ่าฝืนสัญญาไซร้ก็ต้องรับผิดต่อผู้ขายในความเสียหายใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น"
มาตรา 494 ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดั่งจะกล่าวต่อไปนี้… (2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำาหนด 3
ปีนับแต่เวลาซื้อขาย
มาตรา 498 "สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะนำาใช้ได้เฉพาะต่อบุคคลเหล่านี้คือ….(2) ผู้รับโอนทรัพย์สินหรือรับโอนสิทธิเหนือ
ทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในอาศัยแห่งสิทธิไถ่
คืน"
มาตรา 499 ว. 1 "สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำาหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก"
ในการทำาสัญญาขายฝากแหวนเพชรระหว่างนายไก่และนายไข่มีข้อตกลงกันไม่ให้นายไข่ผู้รับซื้อฝากจำาหน่ายแหวนเพชรที่นำา
มาขายฝากไว้ต่อไปซึ่งคู่สัญญาสามารถตกลงกันได้ตามมาตรา 493 แต่ถ้าหากว่าเมื่อนายไข่ฝ่าฝืนสัญญาโดยนำาแหวนเพชรไป
จำาหน่ายต่อให้นายแดง เมื่อนายไก่เกิดความเสียหายใด ๆ นายไก่ก็สามารถฟ้องให้นายไข่รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
ตามมาตรา 493
เมื่อนายแดงซื้อแหวนวงดังกล่าวต่อจากนายไข่โดยไม่ทราบว่าติดสัญญาขายฝากอยู่ เพิ่งจะมา ทราบเมื่อนายไก่มาขอใช้สิทธิ
ในการไถ่ แม้นายไก่พร้อมที่จะชำาระสินไถ่คือจำานวน 1 ล้านบาท ตามมาตรา 499 ว.1 และกำาหนดระยะเวลาขายฝากยังไม่ได้
สิน้ สุดลงตามมาตรา 494 (2) นายแดงก็มีสิทธิปฏิเสธไม่ให้ นายไก่ไถ่แหวนเพชรคืนไปได้ เพราะในขณะรับโอนมานายแดงไม่
ทราบว่าแหวนเพชรที่ตนซื้อมาจากนายไข่นั้นติดสัญญาขายฝากอยู่ (มาตรา 498 (2))
ดังนั้นข้ออ้างของนายแดงที่จะปฏิเสธไม่ให้นายไก่ไถ่แหวนเพชรคืนไปนั้นรับฟังได้ นายไก่ไม่มสี ิทธิไถ่แหวนคืนจากนายแดง ถ้า
อยากจะได้คืนก็ต้องซื้อคืนในราคาที่นายแดงเสนอขาย ถ้าหากนายไก่เสียหายอย่างใดในการไถ่คืนแหวนเพชรจากนายแดง
นายไก่ก็มีสิทธิฟ้องให้นายไข่รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้
4. นายชมเป็นพี่ชายนายเชย นายชมได้จดทะเบียนยกที่ดินแปลงหนึ่งและให้สายสร้อยเส้นหนึ่งกับนายเชยโดยตกลงไว้ใน
ทะเบียนด้วยว่านายเชยต้องแบ่งที่ดินแปลงที่ยกให้นี้ครึ่งหนึ่งถวายวัด แต่เมื่อรับโอนที่ดินแปลงนี้มาแล้วนายเชยก็ไม่ยอมแบ่ง
ที่ดินครึ่งหนึ่งให้วัด นายชมจะฟ้องร้องบังคับให้นายเชยปฏิบัติตามข้อตกลงที่จดไว้ในทะเบียนได้หรือไม่ อย่างไร และถ้าสาย
สร้อยเส้นนั้นไม่ใช่ สายสร้อยที่ทำาด้วยทองคำาแท้ ๆ นายเชยจะฟ้องให้นายชมรับผิดเพื่อความชำารุดบกพร่องได้หรือไม่ เพราะ
เหตุใด
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 1
3. ก) นางสมรทำาสัญญาจ้างนายใหญ่เป็นลูกจ้าง นางสมรไม่ชอบนายใหญ่เท่าใดนักเพราะไม่ค่อยมีนำ้าใจในการทำางานกับ
ลูกจ้างคนอื่น ๆ ต่อมานายหนุ่มเพื่อนของนางสมรต้องการคนงาน นางสมรจึงสั่งให้นายใหญ่ไปทำางานกับนายหนุ่มแทนแต่นาย
ใหญ่ไม่ยอม นางสมรจึงบอกกับนายใหญ่ว่าถ้าไม่ไปจะถือว่าเป็นการขัดคำาสั่ง เช่นนี้นายใหญ่จะปฏิเสธได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
จงอธิบาย
ข) สัญญาจ้างทำาของ ถ้าผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดหาสัมภาระ จะมีหน้าทีแ่ ละความรับผิดอย่างไรบ้าง จงอธิบาย
ธงคำาตอบ ก) นายใหญ่เป็นลูกจ้างของนางสมร ตามสัญญาจ้างแรงงาน การที่นางสมรให้นายใหญ่ไปทำางานกับนายหนุ่มถือว่า
เป็นการโอนสิทธิของตนให้แก่บุคคลภายนอกซึ่งต้องได้รับความยินยอมจาก ลูกจ้างก่อน ตามมาตรา 577 วรรคแรก เมื่อนาย
ใหญ่ไม่ยินยอมจึงมีสิทธิปฏิเสธได้ และกรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการขัดคำาสั่งของนายจ้างแต่อย่างใด
ข) ตอบตามมาตรา 590 มาตรา 591 และมาตรา 604 โดยอธิบายตามสมควร (ดูหนังสือหน้า 133-134)
1. แดงได้ทำาสัญญาเป็นหนังสือให้จำาเลยเช่าบ้านโดยไม่มีกำาหนดเวลา มีข้อสัญญาข้อหนึ่งระบุว่าถ้าผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าต้องการ
บอกเลิกการเช่าให้บอกให้คู่สัญญาทราบก่อนอย่างน้อย 45 วัน สัญญาเช่านี้ ตกลงชำาระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน ปรากฏว่า
จำาเลยเช่าบ้านมาเพียง 1 ปี แดงได้ขายบ้านหลังนี้ให้โจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนี้
แล้วโจทก์จึงฟ้องขับไล่ให้จำาเลยออกจากบ้านทันทีโดยมิได้แจ้งให้จำาเลยทราบเลย โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ต้องปฏิบัติตาม
สัญญาที่จะต้องแจ้งให้คู่สัญญาทราบก่อน 45 วัน เพราะข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงที่นอกเหนือจากสัญญาเช่า ถ้าจำาเลยมา
ปรึกษาท่านท่านจะ ให้คำาปรึกษาจำาเลยว่าอย่างไร จงอธิบาย.
ธงคำาตอบ
(ก) สัญญาจ้างแรงงานจะเกิดขึ้นต่อเมื่อคู่สัญญาตกลงกัน ตามมาตรา 575 การที่นายผอมจ่ายค่าจ้างให้ นายหมูที่ทำางานเป็น
พ่อครัวให้ จะถือว่าเป็นนายจ้างของนายหมูไม่ได้ ทัง้ นี้เพราะสัญญาจ้างแรงงานเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาทำาสัญญาระหว่าง
นายอ้วนกับนายหมู เพียงแต่นายอ้วนได้ให้นายหมูไปช่วยงานของนายผอมเท่านั้น เพราะฉะนั้นนายผอมจึงไม่ใช่นายจ้างตาม
มาตรา 575 ที่จะต้องจ่ายเงินค่าเดินทางขากลับให้ตามมาตรา 586 (อธิบายหลักกฎหมายมาตรา 575)
(ข) วัตถุประสงค์ของสัญญาจ้างทำาของอยู่ที่ผู้รับจ้างตกลงจะทำาการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำาเร็จตามมาตรา 587 ผู้รับจ้างจึงต้อง
ทำาการงานนั้นให้แก่ผู้วา่ จ้างโดยจะเอาการงานที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทำาอีกทอดหนึ่งก็ได้
ตามมาตรา 607
สัญญาจ้างทำาของจึงไม่เป็นสัญญาเฉพาะตัวของผู้รับจ้าง แต่ถ้าสาระสำาคัญแห่งสัญญาอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้
รับจ้าง ผูร้ ับจ้างจะเอาไปให้รับจ้างช่วงทำาอีกทอดหนึ่งไม่ได้ (อธิบายหลักกฎหมายมาตรา 607)
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 1
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 1
2. นายวุฒิตกลงเช่าตึกแถวที่กำาลังก่อสร้างอยู่จากนายสิทธิหนึ่งห้องเพื่อจัดตั้งสำานักงานทนายความ มีกำาหนดเวลาเช่ากัน 3 ปี
ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายแต่ประการใด แต่นายวุฒิได้ให้ค่าเช่าล่วง
หน้านายสิทธิไปแล้ว 3 เดือน เป็นเงิน 30,000 บาท เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว นายสิทธิไม่ยอมส่งมอบห้องตึกแถวแก่นายวุฒิ นาย
วุฒิจึงต้องฟ้องร้องขอให้ศาลบังคับให้นายสิทธิส่งมอบห้องให้แก่ตน โดยอ้างว่าสัญญาเช่าผูกพันใช้บังคับกันได้ เพราะได้ชำาระ
ค่าเช่าล่วงหน้าอันเป็นการชำาระหนี้ตามสัญญาเช่าแก่นายสิทธิถึง 3 เดือน ถ้าท่านเป็นศาล จะตัดสินให้นายวุฒิหรือนายสิทธิ
ชนะคดี
15. บริษัทเสือสิงห์ จำากัด ว่าจ้างบริษัทกระทิงแรด จำากัด ก่อสร้างตึกแถวอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น รวม 30 ห้อง กำาหนดแล้วเสร็จ
ภายในเวลา 1 ปี คือภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2538 ในขณะเดียวกันบริษัทเสือสิงห์ จำากัด ได้ทำาสัญญาขายตึกแถวนี้แก่พ่อค้า
ประชาชนทั่วไป มีกำาหนดเข้าทำาการค้าและพักอาศัยได้ ปรากฏว่าบริษัทกระทิงแรด จำากัด ได้เร่งรัดการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ
เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 โดยบริษัทเสือสิงห์ จำากัด ได้ทำาการตรวจรับมอบตึกแถวโดยละเอียด และบริษัทกระทิงแรด จำากัด
ก็มิได้ปิดบังจุดบกพร่องแต่อย่างใด แต่พบว่าพื้นดาดฟ้าของตึกใช้ซีเมนต์ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจเป็นปัญญานำ้ารั่วซึมได้ แต่ก็
มิได้ทักท้วงแต่อย่างได โดยเฉพาะตอนฝนตกหนัก ทำาให้ทรัพย์สินเสียหายและใช้ประโยชน์จากตึกแถวไม่ได้เต็มที่ จึงรวมกัน
เรียกร้องให้บริษัทเสือสิงห์ จำากัด รับผิดชอบความเสียหาย บริษัทเสือสิงห์ จำากัด จึงมีหนังสือบอกกว่าให้บริษัทกระทิงแรด
จำากัด รับผิดชอบ ดังนี้ ถ้าท่านเป็นที่ปรึกษากฎหมายของบริษัทกระทิงแรด จำากัด ท่านจะให้คำาแนะนำาอย่างไร
ธงคำาตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 797 บัญญัติวา่ “อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น คือ สัญญาซึ่งให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่า ตัวแทน มีอำานาจทำาการแทนบุคคลอีก
คนหนึ่งเรียกว่าตัวการ และตกลงจะทำาการดั่งนั้น
อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดยแต่งตั้งแสดงออกชัดหรือเป็นโดยปริยายก็ย่อมได้”
มาตรา 798 บัญญัติวา่ “ กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำาเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง
ทำาเป็นหนังสือด้วย…”
วินิจฉัย
1.นายกล้าได้มอบหมายให้นายไก่ไปดำาเนินการขายที่ดินของตน และนายไก่ก็เข้าทำาการแทนนายกล้าจนการซื้อขายที่ดินแปลง
ดังกล่าวสำาเร็จลุล่วง เช่นนี้เป็นการที่นายไก่ตกลงรับทำาการแทนนายกล้าตัวการ นายไก่จึงเป็นตัวแทนนายกล้า ตามมาตรา
797 แห่ง ปพพ.
2.การที่นายกล้าอ้างว่าการซื้อขายที่ดิน กฎหมายกำาหนดว่าต้องทำาเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนก็ต้องทำาเป็นหนังสือตามมาตรา
798 วรรคแรก ปพพ.นั้น เมื่อนายกล้ากับนายไก่ไม่ได้ตกลงทำาการเป็นตัวแทนเป็นหนังสือ สัญญาตัวแทนจึงใช้ไม่ได้นั้น มาตรา
798 มิใช่แบบของสัญญาตัวแทน สัญญาตัวแทนไม่มแี บบแต่อย่างใด เมื่อคู่สัญญาตกลงกันแม้ด้วยวาจาสัญญาตัวแทนก็เกิด
ขึน้ ผูกพันนายไก่ตัวแทน กับนายกล้าตัวการ ตามมาตรา 797 ปพพ.แล้ว ข้ออ้างของนายกล้าจึงฟังไม่ขึ้น
ธงคำาตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 655 วรรคแรก “ห้ามท่านมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำาระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำาระไม่น้อยกว่า 1 ปี คู่สัญญา
กู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำานวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ แต่การตกลงเช่นนั้นต้อง
ทำาเป็นหนังสือ”
ตามปัญหาการที่นางช้อยจะคิดดอกเบี้ยทบต้นในหนี้ที่นายชมค้างชำาระมาตั้งแต่เริ่มกู้ยืมกันนั้นต้องห้ามตามกฎหมาย เพราะ
ตาม ปพพ.มาตรา 655 นั้นมีหลักเกณฑ์ว่าดอกเบี้ยต้องค้างชำาระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญาจึงจะตกลงให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้
แสดงว่าดอกเบี้ยที่ค้างชำาระตั้งแต่กู้ยืมกันในปีแรกนั้นนางช้อยจะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คู่สัญญาจะตกลงกันให้ดอกเบี้ยทบ
ต้นได้ต่อเมื่อนายชมค้างชำาระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง ดังนั้นนางช้อยจะคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ในปีที่สอง คือ ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม
2541 เป็นต้นไป ส่วนในปีแรกต้องคิดดอกเบี้ยตามกฎหมายคือร้อยละเจ็ดครึ่ง ต่อปีโดยไม่ทบต้น
สรุป 1. นางช้อยคิดดอกเบี้ยทบต้นในปีแรกไม่ได้ คงคิดอัตราดอกเบี้ยได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี
2. นางช้อยคิดดอกเบี้ยทบต้นในปีที่สองเป็นต้นไปได้
ธงคำาตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 862 วรรคสาม บัญญัติวา่ "คำาว่า“ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงจะได้รับค่าสินไหมทดแทน หรือรับ
จำานวนใช้ให้
วรรคสี่ อนึ่ง ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้"
มาตรา 374 บัญญัติวา่ "ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำาสัญญาตกลงว่าจะชำาระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิ
ที่จะเรียกชำาระหนี้จากเจ้าหนี้โดยตรงได้
ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอา
ประโยชน์จากสัญญานั้น"
1. ตามปัญหาการที่นายสมทำาสัญญาประกันภัยสินค้าในคลังสินค้าของตนกับบริษัท ทำาดีประกันภัย จำากัด โดยยกประโยชน์ให้
แก่นายส่งนั้น นายส่งย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ ตามมาตรา 862 วรรคสาม และในกรณีดังกล่าวผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์
มิใช่บุคคลเดียวกันตามมาตรา 862 วรรคสี่
การที่บริษัท ทำาดีประกันภัย จำากัด ปฏิเสธสิทธิของนายส่งว่านายส่งไม่ได้เป็นผู้ทำาสัญญาฉบับดังกล่าว จึงไม่สามารถเรียกค่า
สินไหมทดแทนได้ ฟังไม่ขึ้น เพราะกรณีตามปัญหาของนายส่ง เรียกค่าสินไหมทดแทนในฐานะผู้รับประโยชน์
2. การที่นายสมทำาสัญญาประกันภัยยกประโยชน์ให้แก่นายส่งบุตรชาย เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก บุคคล
ภายนอกคือนายส่ง มีสิทธิที่จะเรียกชำาระหนี้จากลูกหนี้ คือ บริษัท ทำาดีประกันภัย จำากัดโดยตรงได้ ตามมาตรา 374 วรรคแรก
ปพพ. และการที่นายส่งได้แจ้งต่อบริษัทฯว่า จะเข้าถือประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย เมื่อนำ้าได้ท่วมคลังสินค้าดังกล่าวเสีย
หายนั้น ถือว่าสิทธิของนายส่งได้เกิดขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้คือบริษัท ทำาดีประกันภัย จำากัดว่าจะถือเอา
ประโยชน์จากสัญญานั้น แล้วตามมาตรา 374 วรรคสอง ปพพ. บริษัทจะปฏิเสธสิทธิของนายส่งว่าไม่ได้แสดงเจตนาแก่บริษัทฯ
ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาฉบับนี้ตั้งแต่แรกที่ทำาสัญญากัน ข้ออ้างของบริษัทฯ ดังกล่าวฟังไม่ขึ้น
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 819 บัญญัติวา่ “ ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใด ๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน เพราะ
การเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำาระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน”
มาตรา 820 บัญญัติวา่ “ ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอก ในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำาไป
ภายในขอบเขตอำานาจแห่งฐานตัวแทน”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายดำาชำาระเบี้ยประกันให้กับนายทอง กรรมสิทธิ์ในเงินจำานวนนี้ได้ตกเป็นของบริษัท จงดีจำากัดประกัน
ภัยแล้ว ดังนั้นนายทองจึงสามารถยึดหน่วงไว้ได้ เพราะเหตุที่บริษัทฯ ซึ่งเป็นตัวการได้ค้างชำาระบำาเหน็จตัวแทนแก่นายทอง
และเมื่อนายดำาได้ชำาระเบี้ยประกันให้กับตัวแทนของบริษัทฯ โดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว บริษัทฯ ในฐานะตัวการก็ต้องรับผิดชอบ
ในการกระทำาของตัวแทนของตน กล่าวคือ ต้องถือว่านายดำาชำาระเบี้ยประกันให้บริษัทฯไปแล้ว จึงไม่มีหน้าที่ต้องชำาระเบี้ย
ประกันใหม่แต่อย่างใด
สรุป
1. เงินจำานวน 25,000 บาท เป็นทรัพย์สินของทางบริษัทฯที่นายทองสามารถยึดเหนี่ยวไว้ได้
2. นายดำาไม่ต้องชำาระเบี้ยประกันให้กับบริษัทฯอีก
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 653 วรรค 2 “ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำาสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิก
ถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”
มาตรา 321 “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำาระหนี้อย่างอื่นแทนการชำาระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป”
ตามปัญหาการกู้ยืมเงินระหว่างนายขาวและนายเขียวเป็นการกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การนำาสืบการใช้เงินก็ต้องมี
หลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือได้มีการเวนคืนหลักฐานการกู้ยืมเงิน หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสาร
นั้นตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรค 2 จึงจะต่อสู้นายเขียวผู้ให้ยืมได้ แต่การที่นายขาวได้โอนเงินทางโทรเลขเข้าบัญชีเงินฝากของ
นายเขียวที่ธนาคาร ไทยนครนั้นถือเป็นการชำาระหนี้อย่างอื่นตาม ปพพ. มาตรา 321 ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรค 2
เมื่อนายเขียวในฐานะเจ้าหนี้ได้ยอมรับแล้ว ถือว่านายขาวได้ชำาระหนี้เงินกู้ให้นายเขียวแล้ว นายขาวจึงไม่ต้องปฏิบัติตาม
มาตรา 653 วรรค 2 ดังนั้นนายขาวสามารถต่อสู้นายเขียวได้โดยไม่ต้องชำาระหนี้ดังกล่าวอีก (ฎีกา 2965/2531)
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 880 “ ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำาของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไป
เป็นจำานวนเพียงใด ผู้รับประกันก็ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียง
นั้น”
กรณีตามปัญหา เมื่อบริษัท จักรินทร์ประกันภัย จำากัด ผู้รับประกันได้ซ่อมรถยนต์ให้แก่นายสนองผู้เสียหายแล้ว ย่อมถือว่าได้
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยตามกฎหมาย จึงฟ้องเรียกเงินจากนายไสวในฐานละเมิดได้เป็นจำานวน 100,000
บาท แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายสนองยังไม่ได้ยื่นฟ้องนายไสวแต่อย่างใด (ฎีกา 1006/2503)
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 653 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา่ “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่าง
หนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำาคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่…”
มาตรา 654 บัญญัติวา่ ”ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำาหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมา
เป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”
ตามปัญหา สุนัยฟ้องเรียกต้นเงิน 800,000 บาทจากสุนันท์ได้ เนื่องจากการกู้ยืมรายนี้ได้ทำาหลักฐานการกู้ยืมเงิน คือ สัญญากู้
ยืมเงินเป็นหนังสือไว้ ส่วนการที่สุนันท์ตอบจดหมายว่าไม่เคยกู้เงินสุนัยไป ก็ไม่มีผลให้สัญญากู้ยืมเงินที่ทำาไว้เสียหายไปแต่
อย่างไร สุนัยจึงสามารถฟ้องร้องเรียกต้นเงินจากสุนันท์ได้
ส่วนดอกเบี้ยที่คิดในอัตราร้อยละ 18 ต่อเดือนนั้น เกินอัตราที่กฎหมายกำาหนด ตามมาตรา 654 ดอกเบี้ยตามสัญญาจึงเป็น
โมฆะทั้งหมด ดังนั้น ส่วนที่เป็นดอกเบี้ยจึงเรียกไม่ได้ แต่สุนัยสามารถเรียกดอกเบี้ยได้ร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับตั้งแต่ผิดนัด
เป็นต้นไปตามมาตรา 224
สรุป สุนัยฟ้องเรียกเงินกู้จำานวน 800,000 บาทได้ และเรียกดอกเบี้ยจากสุนันท์นับตั้งแต่วันที่ผิดนัดได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 863 บัญญัติวา่ “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อม
ไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”
มาตรา 874 บัญญัติวา่ “ถ้าคู่สัญญาได้กำาหนดราคาแห่งมูลประกันภัยไว้ ผู้รับประกันภัยชอบทีจ่ ะได้ลดจำานวนค่าสินไหม
ทดแทน ก็แต่เมื่อพิสูจน์ได้ว่าราคาแห่งมูลประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้นั้นเป็นจำานวนสูงเกินไปหนัก และคืนจำานวนเบี้ย
ประกันภัยให้ตามส่วนกับทั้งดอกเบี้ยด้วย”
ตามปัญหา การเอาประกันภัยมากกว่าส่วนได้เสียที่ผู้เอาประกันภัยมีอยู่ ไม่มีผลกระทบถึงความสมบูรณ์ของสัญญาประกันแต่
อย่างใด ตราบที่ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยแล้วสัญญาย่อมผูกพันกันตามมาตรา 863
ตามทีส่ ายัณห์ทำาสัญญาประกันภัยบ้านไว้จำานวน 5 ล้านบาทโดยเข้าใจว่าบ้านของตนมีราคา 5 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าเมื่อ
บริษัทฯ พิสูจน์ได้ว่าราคาบ้านที่เอาประกันภัยเป็นจำานวนสูงเกินไปหนักคือราคาเพียง 2 ล้านบาท บริษัทก็สามารถลดจำานวน
ค่าสินไหมได้ และคืนจำานวนเบี้ยประกันภัยให้กับสายัณห์ตามส่วนกับทั้งดอกเบี้ย
ดังนั้นสายัณห์มีสิทธิให้บริษัทฯ คืนเบี้ยประกันให้ตนตามส่วนพร้อมทั้งดอกเบี้ยตามาตรา 874
1. สำาลีเป็นเจ้าของร้านขายอะไหล่รถยนต์ มอบหมายให้สำารวยเป็นผู้จัดการร้านและอนุญาตให้สำารวยตั้งสำานวนเป็นตัวแทน
ช่วงได้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขณะที่สำาลีไปทำาธุรกิจต่างจังหวัด สำารวยจึงตั้งสำานวนและสำาคัญเป็นตัวแทนช่วง โดยที่สำารวย
ทราบดีว่าสำานวนเคยถูกศาลพิพากษาให้จำาคุกในคดีความผิดที่เกี่ยวกับทรัพย์มาหลายครั้งแล้วไม่แจ้งให้สำาลีทราบ ปรากฏว่า
ต่อมาสำานวนได้ยักยอกเงินของร้านไปเป็นจำานวน 5,000 บาท ดังนี้ การตั้งตัวแทนช่วงของนายสำารวยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
และสำาลีจะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายดังกล่าวจากสำารวยได้หรือไม่ อย่างไร
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 797 บัญญัติวา่ “อันว่าสัญญาตัวแทนนั้น คือ สัญญาซึ่งให้บุคคลหนึ่ง เรียกว่า ตัวแทน มีอำานาจทำาการแทนบุคคลอีก
คนหนึ่งเรียกว่าตัวการ และตกลงจะทำาการดั่งนั้น
อันความเป็นตัวแทนนั้นจะเป็นโดยแต่งตั้งแสดงออกชัดหรือเป็นโดยปริยายก็ย่อมได้”
มาตรา 808 บัญญัติวา่ “ตัวแทนต้องทำาการด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีอำานาจใช้ตัวแทนช่วงทำาการได้”
มาตรา 813 บัญญัติวา่ “ตัวแทนผู้ใดตั้งตัวแทนช่วงตามที่ตัวการระบุให้ตั้ง ท่านว่าตัวแทนผู้นั้นจะต้องรับผิดเพียงแต่ในกรณีที่
ตนได้รู้วา่ ตัวแทนช่วงนั้นเป็นผู้ที่ไม่เหมาะแก่การหรือเป็นผู้ที่ไม่สมควรไว้วางใจแล้วและมิได้แจ้งความนั้นให้ตัวการทราบหรือ
มิได้เลิกถอนตัวแทนช่วงนั้นเสียเอง”
ตามปัญหา สำารวยผู้จัดการร้านอะไหล่รถยนต์มีอำานาจกระทำาการแทนสำาลีจึงเป็นตัวแทนของสำาลีตาม ปพพ. มาตรา 797
สำารวยจะตั้งสำานวนและสำาคัญเป็นตัวแทนช่วง ซึ่งตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า สำาลีตัวการอนุญาตให้ตั้งสำานวนเป็นตัวแทนช่วงได้
แต่หาได้อนุญาตให้ตั้งสำาคัญเป็นตัวแทนช่วงด้วยไม่ ดังนั้นสำารวยตัวแทนจึงตั้งสำานวนเป็นตัวแทนช่วงได้ แต่จะตั้งสำาคัญเป็น
ตัวแทนช่วงไม่ได้ ตาม ปพพ. มาตรา 808
ข้อเท็จจริงปรากฏว่าสำารวยตัวแทนทราบว่าสำานวนเคยถูกศาลพิพากษาให้จำาคุกในคดีความผิดที่เกี่ยวกับทรัพย์มาหลายครั้ง
แล้วและไม่แจ้งให้สำาลีตัวการทราบถึงการที่สำานวนตัวแทนช่วงซึ่งสำาลีตัวการอนุญาตให้ตั้งนั้นเป็นผู้ที่ไม่สมควรไว้วางใจ แล้ว
ต่อมาปรากฏว่าสำานวนตัวแทนช่วงได้ยักยอกเงินของร้านไปจำานวน 5,000 บาท เช่นนี้สำารวยตัวแทนจึงต้องรับผิดต่อสำาลี
ตัวการในกรณีดังกล่าวตาม ปพพ. มาตรา 813
สรุป 1. การแต่งตั้งสำานวนเป็นตัวแทนช่วงของสำารวยชอบด้วยกฎหมาย แต่การแต่งตั้งสำาคัญเป็นตัวแทนช่วงของสำารวยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายตาม ปพพ. มาตรา 808
2.สำาลีตัวการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายดังกล่าวได้จากสำารวยตัวแทนได้ตามปพพ. มาตรา 813
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 653 วรรค 2 “ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำาสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิก
ถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”
ตามปัญหา การกู้ยืมเงินระหว่างตาสอนกับยายมาได้ทำาสัญญากู้ยืมกันเป็นหนังสือ ซึ่งสัญญากู้ยืมดังกล่าวนั้นก็เป็นหลักฐาน
เป็นหนังสือ ดังนั้นการนำาสืบการใช้เงินก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือได้เวนคืนสัญญากู้ยืมเงิน
นั้นแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในสัญญากู้ยืมดังกล่าวแล้วนั้นตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง แม้วา่ จำานวนเงินที่กู้ยืมจะไม่
เกินกว่า 50 บาทก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าตาสอนได้ไปชำาระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้แก่ยายมาโดยมิได้ขอสัญญากู้ยืมคืน
ไม่ได้แทงเพิกถอนในสัญญากู้ยืมนั้นและไม่ได้ทำาสัญญาการชำาระเงินกันเป็นหนังสือแต่อย่างใด คงมีตาสินเป็นผู้เห็นเหตุการณ์
เท่านั้น เช่นนี้แล้ว ตาสอนจะนำาสืบการใช้เงินดังกล่าวไม่ได้
สรุป ข้าพเจ้าในฐานะนักกฎหมายจะให้คำาปรึกษาแก่ตาสอนว่าตาสอนจะนำาตาสินซึ่งเป็นพยานบุคคลมาสืบถึงการใช้เงินใน
จำานวนดังกล่าวมิได้ ตาม ปพพ. มาตรา 653 วรรคสอง และจะต้องชำาระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้แก่ยายมา มิฉะนั้นจะถูกฟ้องเป็น
คดีต่อศาล
1. นายจันทร์ตั้งนายพุธเป็นตัวแทนทำาหน้าที่จัดการผลประโยชน์ของนายจันทร์โดยไม่มีบำาเหน็จ และให้มีอำานาจตั้งตัวแทนช่วง
ได้ นายพุธได้ตั้งนายศุกร์เป็นตัวแทนช่วงให้ไปเก็บเงินค่าเช่าจากนางอังคารลูกหนี้ของนายจันทร์ ซึ่งโดยปกตินายพุธก็เคยใช้
นายศุกร์ไปเก็บเงินในกิจการส่วนตัวของนายพุธเสมอมา ปรากฏว่าเมื่อนายศุกร์เก็บเงินจากนางอังคารได้แล้วไม่ยอมส่งมอบให้
แก่นายพุธและได้หลบหน้าไป ดังนี้
ก.ใครมีอำานาจฟ้องเรียกเงินคืนจากนายศุกร์ได้บ้าง
ข. นายจันทร์จะฟ้องเรียกเงินจากนายพุธโดยอ้างว่านายพุธตั้งตัวแทนช่วงโดยประมาทเลินเล่อได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 807 บัญญัติวา่ “ตัวแทนต้องทำาการตามคำาสั่งแสดงออกชัดแจ้งหรือโดยปริยายของตัวการ เมื่อไม่มีคำาสั่งเช่นนั้น ก็ต้อง
ดำาเนินตามทางที่เคยทำากันมาในกิจการค้าขายอันเขาให้ตนทำาอยู่นั้น
อนึ่งบทบัญญัติมาตรา 659 ว่าด้วยการฝากทรัพย์นั้น ท่านให้นำามาใช้โดยอนุโลมตามควร”
มาตรา 814 บัญญัติวา่ “ตัวแทนช่วงย่อมรับผิดโดยตรงต่อตัวการฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น”
ตามปัญหา ก. นายพุธมีอำานาจตั้งนายศุกร์เป็นตัวแทนได้ตามที่นายจันทร์ได้ให้อำานาจไว้ ดังนั้นนายจันทร์ตัวการเท่านั้นที่มี
อำานาจฟ้องเรียกเงินคืนจากนายศุกร์ตัวแทนช่วง เพราะตัวแทนช่วงย่อมต้องรับผิดต่อตังการโดยตรงตามปพพ.มาตรา 814
ข.นายพุธเป็นตัวแทนไม่มีบำาเหน็จ ดังนั้นความระมัดระวังในการจัดทำากิจการย่อมใช้ในระดับตนเองเหมือนเช่นเคยประพฤติใน
กิจการของตัวเอง ตาม ปพพ. มาตรา 807 ที่ให้นำาบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องฝากทรัพย์มาใช้บังคับ ซึ่งโดยปกติแล้วนายพุธก็เคยใช้
นายศุกร์ให้ไปเก็บเงินในกิจการของตนเองเสมอมา ดังนั้นการที่นายพุธตั้งนายศุกร์เป็นตัวแทนช่วงไปเก็บเงินจากนางอังคารจึง
เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนตามกฎหมายแล้ว ไม่เป็นการประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด ดังนั้นนายพุธไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่
นายจันทร์
นายจันทร์จึงฟ้องเรียกเงินจากนายพุธไม่ได้
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 655 วรรคแรก “ห้ามท่านมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำาระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำาระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่
สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำานวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นได้ แต่การตกลงเช่น
นั้นต้องทำาเป็นหนังสือ”
ตามปัญหา สัญญากู้ที่ตกลงให้ส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือน หากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำาระเดือนใด ผู้ให้กู้มสี ิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ทันที
โดยไม่ต้องรอให้ดอกเบี้ยค้างชำาระไม่น้อยกว่าปีหนึ่งก่อนนั้น ฝ่าฝืนมาตรา 655 วรรคแรก จึงเป็นโมฆะ ดังนั้นสมบูรณ์ไม่
สามารถคิดดอกเบี้ยทบต้นในช่วง 6 เดือน ที่สมหมายค้างชำาระได้ เนื่องจากดอกเบี้ยค้างชำาระน้อยกว่า 1 ปี แม้จะมีการตกลง
ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นหนังสือก็ตาม
แนวตอบ
หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 887 บัญญัติวา่ “อันว่าประกันภัยคำ้าจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนใน
นามของผู้เอาประกันเพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ
บุคคลผู้เสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากผู้รับประกันโดยตรงแต่ค่าสินไหมทดแทนเช่นว่านี้
หาอาจจะคิดเกินไปกว่าจำานวนอันผู้รับประกันภัยจะพึงต้องใช้ตามสัญญานั้นได้ไม่ ในคดีระหว่างบุคคลผู้ต้องเสียหายกับผู้รับ
ประกันภัยนั้น ท่านให้ผู้ต้องเสียหายเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาในคดีด้วย
มาตรา 888 บัญญัติวา่ “ถ้าค่าสินไหมทดแทนอันผู้รับประกันภัยได้ใช้ไปโดยคำาพิพากษานั้นยังไม่ได้คุ้มค่าวินาศภัยเต็มจำานวน
ไซร้ ท่านว่าผู้เอาประกันภัยก็ยังคงต้องรับใช้ตามจำานวนที่ยังขาด เว้นไว้แต่บุคคลผู้ต้องเสียหายจะได้ละเลยเสียไม่เรียกเอาตัวผู้
เอาประกันภัยเข้ามาสู้คดีด้วยดังกล่าวไว้ในมาตราก่อน”
วินิจฉัย (ผูพ้ ิมพ์วินิจฉัยเอง เพราะข้อสอบช่วงนีข้ าดหายไป ผู้อ่านกรุณาตรวจสอบความถูกต้องด้วย)
1. ตามปัญหา การที่บริษัทเพียงฟ้า จำากัด จะไม่ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางฟ้าโดยอ้างว่า ต้องไปเรียกร้องเอาเทพผู้
เอาประกันภัยก่อนนั้นทำาไม่ได้ เนื่องจากความรับผิดของผู้รับประกันภัยต่อบุคคลภายนอกมีความสัมพันธ์สืบเนื่องมาขากความ
รับผิดของผู้เอาประกัน และถือว่าเป็นวัตถุแห่งหนี้ตามสัญญาประกันภัยคำ้าจุน ซึ่งเป็นสัญญาเพื่อบุคคลภายนอกโดยผลของ
กฎหมาย บุคคลภายนอกผู้ได้รับความเสียหายจึงสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได้โดยตรง ตาม
ปพพ.มาตรา 887 วรรคสอง
สรุป บริษัทเพียงฟ้า จำากัดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้นางฟ้าโดยไม่ต้องให้นางฟ้าไปเรียกร้องเอาจากดุสิตผู้เอาประกันภัยก่อน
2. ตามปัญหาการที่ ศาลพิพากษาให้บริษัทเพียงฟ้า จำากัด ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางฟ้าเป็นจำานวนเงิน 500,000 บาท
แล้ว ส่วนอีก 300,000 บาทบริษัทเพียงฟ้า จำากัด จะให้นางฟ้าไปเรียกร้องเอาจากเทพผู้เอาประกันภัยเอง นั้นชอบด้วย
กฎหมาย ปพพ.มาตรา 888 เนื่องจากเทพทำาสัญญาประกันภัยไว้กับทางบริษัทฯในวงเงิน 500,000 บาท
ดังนั้น บริษัทเพียงฟ้า จำากัด จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางฟ้าเป็นจำานวนเงิน 500,000 บาท และเนื่องจากนางฟ้า
เรียกเทพเข้ามาในคดีด้วย จึงสามารถเรียกค่าสินไหมที่ยังไม่ครบตามจำานวนที่เสียหายจริง คือ อีก 300,000 บาทได้จากเทพ
ตามปพพ.มาตรา 887 และ 888
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 2
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ. มาตรา 233 บัญญัติวา่ “ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้อง
เสียประโยชน์ เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้ เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อ
ที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”
ปพพ. มาตรา 234 บัญญัติวา่ “เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นั้นจะต้องขอหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีนั้นด้วย”
วินิจฉัย
กรณีนี้เห็นได้ว่าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินที่จะชำาระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพราะคลองลูกหนี้เป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนั้นวิธีที่เจ้า
หนี้จะสามารถรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้มาเพื่อชำาระหนี้แก่ตนได้นั้น คือต้องให้คลองนั้นฟ้องเรียกเงินค่ารับเหมาก่อสร้างจาก
แม่นำ้าซึ่งเป็นลูกหนี้ของตนเสียก่อน
หากคลองนั้นเพิกเฉยหรือขัดขืนไม่ยอมที่จะบังคับชำาระหนี้ค่ารับเหมาก่อสร้างจากแม่นำ้าแล้ว ทะเลสามารถที่ใช้สิทธิเรียกร้อง
ของลูกหนี้คือ คลองนั้นฟ้องแม่นำ้าได้ในนามของตนเอง ตามนัยมาตรา 233 เพราะการที่คลองไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องของตนนั้น
ทำาให้ทะเลซึ่งเป็นเจ้าหนี้นั้นเสียประโยชน์ เพราะคลองไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำาระหนี้ได้
ในการฟ้องคดีโดยใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นี้ ทะเลต้องขอหมายเรียกให้คลองลูกหนี้ของตนเข้า มาในคดีนี้ด้วยตามนัย มาตรา
234 ทั้งนี้ เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีนี้มีผลผูกพัน คลองซึ่งจะปฏิเสธไม่รับรู้ผลของคดีนี้ไม่ได้
ดังนั้นจึงแนะนำาให้ทะเลใช้สิทธิเรียกร้องของคลองในนามของตนเองฟ้องแม่นำ้าให้ชำาระหนี้และขอหมายเรียกคลองเข้ามาในคดี
ด้วย
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ. มาตรา 420 บัญญัติวา่ “ผู้ใดจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ ทำาต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่
ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างอื่นอย่างใดก็ดีท่านว่าผู้นั้นทำาละเมิดจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
เพื่อการนั้น”
ปพพ. มาตรา 439 บัญญัติวา่ “บุคคลผู้จำาต้องคืนทรัพย์ อันผู้อื่นต้องเสียไปเพราะละเมิดแห่งตนนั้น ยังต้องรับผิดชอบตลอดถึง
การที่ทรัพย์นั้นทำาลายลงโดยอุบัติเหตุ หรือการคืนทรัพย์ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างอื่นโดยอุบัติเหตุหรือทรัพย์นั้นเสื่อมลง
โดยอุบัติเหตุนั้นด้วย…”
วินิจฉัย
จากการที่นายโดดลักรถยนต์นั่งของนายทิพย์ไปนั้น เป็นการกระทำาละเมิดต่อนายทิพย์ เพราะการลักรถยนต์นั้นเป็นการจงใจ
เอา ทรัพย์ของผู้อื่นไป โดยผิดกฎหมายจึงทำาให้นายทิพย์เสียหาย เพราะนายทิพย์ไม่มีรถใช้จึงต้องไปเช่ารถของบุคคลอื่นใช้
นายโดดจึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายทิพย์เป็นค่าเสียหาย เพราะการที่นายทิพย์ต้องไปเช่ารถคนอื่น เป็นผลโดยตรง
จากการที่นายโดดลักรถยนต์ไปตามนัยมาตรา 420
การที่นายโดดขับรถไปชนเสาไฟฟ้าข้างทางโดยอุบัติเหตุ รถเสียหายยับเยินทั้งคันนั้นก็เป็นกรณีซึ่งทรัพย์นั้นทำาลายลงโดย
อุบัติเหตุ แม้นายโดดจะไม่ได้ขับรถโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม นายโดดก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายทิพย์
ตามนัย มาตรา 439 เพระนายโดดมีหน้าที่ต้องคืนรถที่ตนได้ขโมยมาโดยละเมิดจึงต้องรับผิดแม้วา่ เหตุจะเกิดจากอุบัติเหตุ
ก็ตาม
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ. มาตรา 237 บัญญัติวา่ “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำาลงทั้งรู้อยู่ว่า
จะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำานิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอก
แต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย…”
วินิจฉัย
ตามปัญหา นี้เป็นกรณีซึ่งเจ้าหนี้ใช้สิทธิเพิกถอนการฉ้อฉลหลักเกณฑ์การเพิกถอน การฉ้อฉลของลูกหนี้นั้นต้องเป็นกรณีซึ่งเป็น
นิติกรรม ซึ่งลูกหนี้รู้อยู่ว่านิติกรรมที่ตนทำาลงนั้นทำาให้เจ้าหนี้ของตนเสียเปรียบ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องรู้ถึงข้ออันเจ้าหนี้จะ
เสียเปรียบด้วย เจ้าหนี้จะขอเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้
ความข้อเท็จนั้น การที่ตุลาเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นก็แสดงอยู่ในตัวว่าไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำาระหนี้ได้อยู่แล้ว การที่ถอด
สร้อยคอทองคำาให้ธันวาไปแทนค่ารักษาพยาบาลนั้น ธันวาเองก็รู้ว่าตุลาเป็นคนหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนั้นการชำาระหนี้ของตุลา
ย่อมทำาให้สิงหาซึ่งเป็นเจ้าหนี้อีกคนหนึ่งเสียเปรียบเพราะจะไม่สามารถบังคับชำาระหนี้ของตนจากตุลาได้เพราะตุลาไม่มี
ทรัพย์สินพอแต่อย่างไรก็ตาม มูลหนี้ที่เกิดขึ้นอันเป็นเหตุให้ตุลาต้องชำาระหนี้นั้นไม่ใช่มูลหนี้ที่เกิดจากนิติกรรม แต่เป็นมูลหนี้ซึ่ง
เกิดจากละเมิด ซึ่งตามหลักเกณฑ์ มาตรา 237 นั้น ต้องเป็นนิติกรรม ดังนี้กรณีการชำาระหนี้ของตุลาจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์
การเพิกถอนการฉ้อฉลดังกล่าว
ดังนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของสิงหา สิงหาไม่สามารถฟ้องขอเพิกถอนการชำาระหนี้จากมูลละเมิดได้
เฉลย
หลักกฎหมาย ปพพ. มาตรา 206 บัญญัติวา่ “ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มลู ละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่วันทำาละเมิด”
ปพพ. มาตรา 224 บัญญัติวา่ “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี…”
วินิจฉัย
ตามปัญหา การที่แก้วขับรถชนขวดจนได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นกรณีซึ่งเกิดหนี้ขึ้นแล้ว โดยเป็นหนี้อันเกิดจากมูลละเมิด ซึ่งแก้ว
เป็นลูกหนี้ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ขวดเจ้าหนี้ตามมาตรา 206 หนี้ซึ่งเกิดจากมูลละเมิดนั้น ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดนับ
แต่วันทำาละเมิดแล้ว คือ ผิดนัดตั้งแต่วันที่ขับรถชนขวด คือ วันที่ 10 มีนาคม 2538 ดังนั้น เมื่อกฎหมายให้ผิดนัดนับแต่วันทำา
ละเมิดแล้ว เจ้าหนี้คือขวดก็ไม่ต้องเตือนให้และหนี้นั้นต้องชำาระนับแต่วันทำาละเมิดจะอ้างว่าหนี้ไม่ถึงกำาหนดชำาระไม่ได้
ในกรณีดอกเบี้ยนั้น แม้ไม่ได้ตกลงกันก็สามารถเรียกร้องได้ตามกฎหมายถึง มาตรา 224 เพราะค่าเสียหายในมูลละเมิดต้อง
จ่ายเป็นเงินตามทีข่ วดเรียกร้อง เพื่อเป็นหนี้เงินก็มีดอกเบี้ยตามที่กฎหมายกำาหนด เมื่อขวดผิดนัดไม่ชำาระหนี้ก็ต้องเสียดอกเบี้ย
ซึ่งผิดนัดตามกฎหมาย แม้จะมิได้ตกลงกันไว้เจ้าหนี้ก็เรียกร้องได้
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับแก้วทั้งสองกรณี เพราะว่าขวดไม่ต้องเตือน หนี้นั้นถึงกำาหนดชำาระแล้วนับแต่วันทำาละเมิดและสามารถ
เรียกดอกเบี้ยได้ตามกฎหมายแม้ไม่ตกลงกันไว้
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.มาตรา 206 บัญญัติว่าในกรณีหนี้อันเกิดจากมูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาทำาละเมิด
ปพพ.มาตรา 224 บัญญัติวา่ หนี้เงินนั้นท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
วินิจฉัย
กรณีนี้เป็นเรื่องลูกหนี้ผิดนัดโดยการผิดนัดนี้เกิดจากก่อขับรถชนเกิดในขณะเมาสุรา ดังนั้น มูลหนี้ที่เกิดเป็นมูลหนี้อันเกิดจาก
การละเมิด เมื่อหนี้เกิดจากมูลละเมิดแล้ว ก่อซึ่งเป็นลูกหนี้นั้น ได้ชื่อว่าผิดนัดนับแต่วันทำาละเมิดคือวันที1 มกราคม 2540 ที่ก่อ
อ้างว่าตนยังไม่ผิดนัดนั้นไม่ถูกต้องเพราะหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดนั้นผิดนัดทันทีนับแต่วันที่เกิดละเมิดโดยผลของกฎหมายตาม
ม.206 จึงไม่ต้องมีการเตือนทั้งขาวไม่ได้บอกก็ไม่เป็นข้ออ้างแต่อย่างไร
เมื่อเกิดหนี้เงินนั้นจากมูลละเมิดแล้วกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยได้ในระหว่างผิดนัด ฉะนั้นถือได้ว่าก่อผิดนัดนับแต่วันทำาละเมิดคือ
วันที่ 1 มกราคม 2540 ดังนั้นดอกเบี้ยต้องคิดนับแต่วันทำาละเมิดตาม ม.224 มิใช่คิดแต่วันที่ศาลมีคำาพิพากษาดังนี้จึงไม่เห็น
ด้วยกับข้ออ้างของก่อในทุกกรณี
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.ม.303 บัญญัติวา่ “สิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าจะพึงกันได้เว้นไว้แต่สภาพแห่งสิทธิ์นั้นเองจะไม่เปิดช่องให้โอนกันได้”
ความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บังคับหากคู่กรณีได้แสดงเจตนาเช่นนี้ ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำาการ
โดยสุจริต
ปพพ.ม.306 วรรคแรก บัญญัติว่า “การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำาระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทำาเป็นหนังสือ
ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไป
ยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำาบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ท่านว่าต้องทำาเป็นหนังสือ
วินิจฉัย
กรณีนี้เป็นเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้อง การที่ก้อนได้โอนการเป็นเจ้าหนี้ของตนที่มีต่อเขียดไปให้คล่องนั้นย่อมทำาได้ เพราะเป็น
สิทธิเรียกร้องซึ่งไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด อีกทั้งการโอนหนี้นั้นได้ทำาเป็นหนังสือระหว่างก้อนและคล่องแล้วการโอน
สิทธิเรียกร้องนี้จึงสมบูรณ์
ถึงแม้ว่าเขียดจะอ้างว่าตนและก้อนได้ตกลงห้ามโอนสิทธิเรียกร้องนี้ก็ตามกฎหมายห้ามยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้
สุจริต คล่องเป็นผู้รับโอนสุจริตไม่รู้ว่ามีข้อตกลงห้ามโอนกันดังกล่าวดังนั้น เขียดจะอ้างข้อตกลงนี้ต่อคล่องไม่ได้
ทั้งต่อมาก้อนได้แฟกซ์มาถึงเขียดแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้คล่องไปแล้วซึ่งก็เท่ากับว่าแม้ในตอนแรกคล่องเพียงแต่
โทรศัพท์ไปแจ้งให้เขียดทราบนั้นจะยกหนี้เป็นข้อต่อสู้เขียดไม่ได้ก็ตาม แต่ต่อมาได้มีการบอกกล่าวเป็นหนังสือทางแฟกซ์มายัง
เขียดแล้วแม้ว่าก้อนจะเป็นผู้แจ้งมาเอง ก็ถือว่าการแจ้งนั้นสมบูรณ์ทำาเป็นหนังสือแล้วตามมาตรา 306 เขียดจะยินยอมหรือไม่
ไม่เป็นข้อสำาคัญเมื่อการโอนสิทธิเรียกร้องสมบูรณ์เขียดต้องชำาระหนี้ให้คล่องมิใช่ก้อน
9. ก้องเป็นหนี้ซื้อของเชื่อจุ่นอยู่เป็นเงินหนึ่งแสนบาท โดยปกติจุ่นจะแจ้งให้ก้องทราบล่วงหน้าแล้วส่งพนักงานมาเก็บเงินที่ค้าง
ชำาระ ต่อมาจุ่นพบก้องที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งจึงแจ้งให้ก้องนำาเงินค่าซื้อของมาชำาระให้ตน ก้องบอกว่าตนพร้อมจะชำาระแต่ให้จุ่น
ทำาใบแจ้งหนี้เป็นหนังสือมาก่อนแล้วให้พนักงานมาเก็บเงินเหมือนเคย แต่จุ่นไม่ปฏิบัติตาม ต่อมาอีก 3 เดือน จุ่นฟ้องก้องเรียก
เงินหนึ่งแสนบาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ตนทวง ก้องอ้างว่าจุ่นไม่บอกกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่มีทำาเป็นหนังสือ
ทั้งตนยังไม่ผิดนัด เพราะเป็นความผิดของเจ้าหนี้เองที่ผิดนัดไม่ส่งพนักงานไปเก็บเงิน จุ่นเรียกดอกเบี้ยไม่ได้ จุ่นมาปรึกษาท่าน
ท่านจะให้คำาปรึกษาจุ่นอย่างไร
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ. มาตรา 203 ถ้าเวลาอันจะพึงชำาระหนี้มิได้กำาหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าย่อม
จะเรียกให้ชำาระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำาหนี้ของตนได้โดยฉับพลันดุจกัน
ปพพ. มาตรา 224 หนี้เงินนั้นท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
วินิจฉัย
กรณีนี้เป็นเรื่องหนี้ไม่มีกำาหนดเวลาชำาระเพราะเป็นหนี้ซื้อของเชื่อ ทั้งไม่สามารถที่จะอนุมานได้จากพฤติการณ์ใด ๆ ก็ไม่ได้วา่
จะชำาระหนี้กันเมื่อใด เพราะโดยปกติทางเจ้าหนี้จะเป็นผู้เรียกให้ลูกหนี้ชำาระหนี้เอง
หนี้ไม่มกี ำาหนดเวลาชำาระนั้น หนี้ถึงกำาหนดชำาระเมื่อเกิดหนี้ขึ้น ซึ่งเจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำาระหนี้โดยพลัน และฝ่ายลูก
หนี้ก็มีหน้าที่ต้องชำาระให้กับเจ้าหนี้โดยพลันเช่นกัน เมื่อจุ่นเรียกให้ก้องชำาระหนี้แล้วที่ร้านอาหารเพราะเป็นหนี้ไม่กำาหนดเวลา
ชำาระ ก้องมีหน้าที่ที่จะต้องชำาระโดยพลันทั้งก้องเองก็บอกว่าตนพร้อมที่จะชำาระหนี้แล้ว และเวลาก็ล่วงเลยมานานถึง 3 เดือน
แล้ว ก้องจะอ้างว่าจุ่นบอกกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ทำาเป็นหนังสือไม่ได้ เพราะการบอกกล่าวให้ชำาระหนี้ตามกำา
หมายไม่ได้กำาหนดให้ต้องทำาเป็นหนังสือการที่จุ่นเรียกให้ก้องชำาระหนี้ด้วยวาจาจึงเป็นการชอบแล้ว
เมื่อก้องไม่ชำาระหนี้ เมื่อจุ่นเรียกให้ชำาระหนี้แล้ว ก้องผิดนัดนับแต่เวลาที่จุ่นทวง การที่จุ่นไม่ส่งพนักงานมาเก็บเงินไม่ทำาให้ก้อง
หลุดพ้นจากการชำาระหนี้ ดังนั้นเมื่อก้องผิดนัดจึงต้องชำาระทั้งเงินค่าซื้อของเชื่อจำานวนหนึ่งแสนบาทและยังต้องเสียดอกเบี้ยใน
จำานวนเงินดังกล่าวนับแต่เลาที่ผิดนัดด้วยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ดังนั้นข้ออ้างของก้องฟังไม่ขึ้น ก้องผิดนัดนับแต่วันที่จุ่นทวงถามให้ชำาระหนี้ และต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่ผิดนัดนั้นด้วย
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ. มาตรา 237 บัญญัติวา่ เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำาลงทั้งรู้อยู่ว่าจะ
เป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำานิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอก
แต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริง อันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำาให้โดยเสน่หา ท่านว่า
เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝา่ ยเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนหน้านี้ ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใด ๆ อันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
วินิจฉัย
กรณีนี้เป็นเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลโดยเจ้าหนี้คือหนึ่ง การเพิกถอนการฉ้อฉลจะทำาได้ต่อเมื่อลูกหนี้ทำานิติกรรมจำาหน่ายจ่าย
โอนทรัพย์สินของตนเองจนทำาให้เจ้าหนี้เสียเปรียบคือไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำาระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ได้เพียงพอ ทั้งผู้ได้ลาภงอกก็
ต้องรู้อยู่ด้วยว่าเป็นการทำาให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
สองเป็นลูกหนี้กิจการของสองขาดทุนมากไม่มีทรัพย์สินพอชำาระหนี้ให้หนึ่ง การที่สองได้ตกลงจ้างสามมาเป็นผู้จัดการกิจการ
แทนตน เป็นการทำานิติกรรม คือ สัญญาจ้าง โดยค่าจ้างนั้นได้จ้างกันในราคาแพง ซึ่งสามเองในที่นี้เป็นผู้ได้ลาภงอกโดยเป็นผู้ที่
เข้าทำานิติกรรมกับลูกหนี้และได้ประโยชน์จากสัญญาจ้างนี้
ทั้งสองและสามต่างคนต่างก็รู้อยู่ว่า สองไม่มีเงินพอชำาระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ คือ หนึ่ง แต่สามก็ยังรับจ้าง คือยินยอมทำานิติกรรม
ทั้งที่รู้อยู่วา่ จะเป็นทางให้เจ้าหนีข้ องสองเสียเปรียบ คือไม่ได้รับเงินเพียงพอเพื่อชำาระหนี้นั่นเอง
สัญญาจ้างนี้แม้นเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์จริง แต่เจ้าหนี้คือ หนึ่งสามารถขอเพิกถอนนิติกรรมที่เกิดจากการฉ้อฉลนี้เสียได้ โดย
ต้องฟ้องเป็นคดีขอเพิกถอนสัญญาจ้างนี้เสีย ทำาให้สัญญาจ้างไม่มีผลบังคับ
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.มาตรา 204 วรรค 2 ถ้าได้กำาหนดเวลาชำาระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้ไม่ได้ชำาระหนี้ตามกำาหนดไซร้ท่านว่าลูก
หนี้ตกเป็นผูผ้ ิดนัด โดยมิพักต้องเตือนเลย วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำาระหนี้ซึ่งได้
กำาหนดเวลาลงไว้ อาจคำานวณนับได้โดยปฏิทินนับแต่วันที่ได้บอกกล่าว
ปพพ.มาตรา 205 ตราบใดการชำาระหนี้นั้นยังมิได้กระทำาลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตราบนั้น
ลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่
ปพพ.มาตรา 217 ลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างที่ตนผิดนัด ทั้งจะ
ต้องรับผิดชอบในการที่การชำาระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นด้วย เว้นแต่ความเสีย
หายนั้นถึงแม้ว่าตนจะได้ชำาระหนี้ ทันเวลากำาหนดก็คงจะต้องเกิดมีอยู่นั่นเอง
วินิจฉัย
ตามข้อเท็จจริง เมื่อ ก เช่ารถ ข โดยมีกำาหนดส่งคืนรถวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 นั้นเป็นกรณีที่หนี้นั้นมีกำาหนดชำาระแน่นอนตาม
วันแห่งปฏิทิน ซึ่งตามมาตรา 204 วรรค 2 หากว่าเมื่อถึงกำาหนดวันดังกล่าวแล้ว ก ซึ่งเป็นลูกหนี้ ไม่นำารถที่เช่ามาคืน ข ซึ่งเป็น
เจ้าหนี้แล้ว ก ได้ชื่อว่าผิดนัดโดยที่ ข ไม่ต้องเตือนเลย
ต่อมาปรากฎว่าในขณะหนี้ยังไม่ถึงกำาหนดชำาระ นำ้าท่วมทางขาดซึ่งตามมาตรา 205 นั้นเป็นกรณีซึ่งทำาให้ ก ยังมาชำาระหนี้ไม่
ได้ เพราะทางขาด ซึ่งเป็นพฤติการณ์ซึ่งเกิดขึ้นโดยที่ ก ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นแม้ว่าจะเลยกำาหนดส่งคืนรถไปแล้ว เพ
ราะก ไม่สามารถกลับบ้านได้ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2542 ในขณะนั้นถือว่า ก ก็ยังไม่ผิดนัด แต่เมื่อ ก กลับมาถึงบ้านแล้วยังไม่
รีบนำารถส่งคืนรถให้ ข กลับรอไปจนถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 แล้วจึงค่อยขับรถไปคืน ข ดังนี้เห็นได้ว่า ก นั้นผิดนั้น เพราะเลย
กำาหนดเวลาชำาระหนี้ตามวันแห่งปฏิทินแล้วทั้งพฤติการณ์ซึ่งทำาให้ลูกหนี้ไม่ผิดนัดก็ผ่านพ้นไปแล้ว แม้วา่ การที่รถของ ข ไหม้
เสียหายทั้งคันทำาให้การชำาระหนี้เป็นพ้นวิสัยซึ่งมิใช่ความผิดของ ก ก ลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับผิด เพราะเหตุเกิดในระหว่างที่ ก
ผิดนัดด้วยตามมาตรา 217
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของ ก ก ต้องรับผิดในการชำาระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะอุบัติเหตุซึ่งเกิดในระหว่างที่ ก ผิดนัด
ก ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ ข
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.มาตรา 291 ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำาการชำาระหนี้โดยทำานองซึ่งแต่ละคนจำาต้องชำาระหนี้สิ้นเชิงไซร้ แม้ถึงว่าเจ้าหนี้
ชอบที่จะได้รับชำาระหนี้เชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว(กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน)ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำาระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่ง
สิน้ เชิง หรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทวั่ ทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำาระเสร็จสิ้นเชิง
ปพพ.มาตรา 295 วรรคแรก ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้นเมื่อเป็นเรื่องเท้าถึงตัวลูกหนี้ร่วมกัน
คนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะ ปรากฏว่ากับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง
วินิจฉัย
ก ข และ ค เป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงิน ง ไป 30,000 บาท ตามมาตรา 291 เห็นได้วา่ ก ข ค ร่วมกันผูกพันในสัญญาเงินกู้อันเดียวกัน
บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นลูกหนี้หลายคนต้องร่วมผูกพันกันเป็นลูกหนี้ร่วม
ผลของการเป็นลูกหนี้ร่วม คือ เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ลูกหนี้ชำาระหนี้ได้โดยสิ้นเชิง โดยลูกหนี้ทั้งปวงยังคงต้องผูกพันกันอยู่
จนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำาระจนเสร็จสิ้นแล้ว
การที่ ก อ้างว่าหลุดพ้นจากการชำาระหนี้ เพราะหย่อนความสามารถนั้น เป็นกรณี ก อ้างเหตุส่วนตัวเพื่อเป็นข้อยกเว้นตาม
มาตรา 295 วรรค 1 ซึ่งให้ถือว่าเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะตัวลูกหนี้คนนั้นเท่านั้น ก ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
หลังจาก ก ได้ก่อหนี้แล้วดังนั้น ในขณะที่หนี้เกิดขึ้น ก ยังเป็นบุคคลซึ่งมีความสามารถอยู่ ดังนี้ ระหว่าง ก และ ง เป็นหนี้ที่
สมบูรณ์ ก ไม่สามารถอ้างเหตุสว่ นตัวดังกล่าวให้หลุดพ้นจากการชำาระหนี้ นิติกรรมไม่เป็นโมฆียะ ก ยังคงต้องชำาระหนี้
ข และ ค ก็ไม่หลุดพ้นจากการรับผิดเช่นกัน เพราะ ข้ออ้างของ ก เป็นเหตุส่วนตัวเป็นคุณและโทษเฉพาะตัวลูกหนี้คนใดคนหนึ่ง
ลูกหนี้คนอื่น ๆ จะยกขึ้นกล่าวอ้างไม่ได้ ข และ ค เป็นลูกหนี้ร่วมไม่หลุดพ้นความรับผิด
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของ ก ข และ ค เพราะบุคคลทั้ง 3 เป็นลูกหนี้ร่วม เมื่อหนี้ถึงกำาหนดชำาระ ก ขและคต้องชำาระหนี้
ให้แก่ง
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.มาตรา 420 ผูใ้ ดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำาต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี
อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีท่านว่าผู้นั้นทำาละเมิด จึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการ
นั้น
ปพพ.มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำาละเมิด ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกัน
รับผิดชอบร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอด กรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าใน
จำาพวกที่ทำาละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย
อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำาละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำาละเมิดร่วมกันด้วย
ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆกันเว้นแต่โดย
พฤติการณ์ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น
วินิจฉัย
การที่ ก และ ข ขับรถชนกันเป็นเหตุให้หนึ่งได้รับบาดเจ็บนั้น ก และ ข ทำาละเมิดต่อต่อหนึ่ง เพราะทั้ง ก และ ข ขับรถโดยความ
ประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้หนึ่งได้รับบาดเจ็บจากความประมาทเลินเล่อขอ ก และ ข ซึ่งเป็นกรณีทำาให้หนึ่งเสียหายต่อ
ร่างกาย ก และ ข ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่หนึ่งในการทำาละเมิดนั้นตามมาตรา 420
ที่ ข อ้างว่าตนไม่ต้องรับผิดแต่ผู้เดียว ก เองต้องร่วมรับผิดด้วยเพราะ ก เองประมาทเลินเล่อทำาให้เกิดเหตุ การที่จะร่วมกันรับ
ผิดในกรณีร่วมกันทำาละเมิดนั้นต้องได้ความว่าบุคคลหลายคนนั้นร่วมกันทำาละเมิดจึงจะร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
อย่างลุกหนี้ตามมาตรา 432
แต่กรณีนี้เป็นกรณี ก และ ข ได้ประมาทเลินเล่อก่อความเสียหายแก่บุคคลอื่นในเหตุเดียวกัน แต่ไม่ได้ร่วมกันทำาละเมิดจึงไม่
เข้ามาตรา 432 จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิด
ทั้ง ก และ ข ต้องรับผิดฐานละเมิด แต่แยกกันรับผิด โดยรับผิดมากน้อย แล้วแต่ความร้ายแรงนั้น
ดังนั้น ข้าพเจ้าจะแนะนำาให้หนึ่งฟ้องทั้ง ก และ ข เรียกค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดต่อหนึ่ง แต่ไม่ใช่ร่วมกันรับผิดคือ ต่างคน
ต่างรับผิดตาม มาตรา 420 ตามแต่ความร้ายแรงของผลการทำาละเมิดของแต่ละฝ่าย
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.มาตรา 204 วรรค 2 “ถ้าได้กำาหนดเวลาชำาระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำาระหนี้ตามกำาหนดไซร้ ท่านว่าลูก
หนี้ตกเป็นผูผ้ ิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย…..”
ปพพ.มาตรา 205 “ตราบใดการชำาระหนี้ยังมิได้กระทำาลงเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้น
ลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่”
วินิจฉัย
ก้อยกู้เงินข้องไปโดยมีข้อตกลงว่าจะใช้เงินคืนภายใน 1 ปีนับแต่วันทำาสัญญา ข้อตกลงในสัญญานี้ถือว่าการชำาระหนี้สามารถ
จะกำาหนดนับได้ตามวันแห่งปฏิทิน เพราะสามารถนับวันทำาสัญญาไปครบ 1 ปี เมื่อใดก็ต้องชำาระหนี้เมื่อนั้น ดังนี้จึงเป็นหนี้ที่ได้
กำาหนดเวลาชำาระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินแล้ว
ต่อมาก้อยถูกรถชนได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนาน 3 เดือน แต่ก้อยก็ยังคงมีหน้าที่จะต้องชำาระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำาหนด
คือ เมื่อครบ 1 ปี นับแต่วันสำาสัญญา เมื่อก้อยไม่ชำาระหนี้ตามกำาหนด ก้อยจึงผิดนัดซึ่งตามกรณีตามมาตรา 204 วรรค 2 ถือว่า
ก้อยตกเป็นผูผ้ ิดนัดโดยที่ข้องไม่จำาเป็นต้องเตือนแต่อย่างใดเลยดังนั้นข้ออ้างของก้อยนั้นไม่ถูกต้อง
ก้อยอ้างว่าตนประสบอุบัติเหตุต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลมาเป็นข้อแก้ตัวที่ก้อยจะยังไม่ชะระหนี้ไม่ได้เพราะเหตุหรือพฤติการณ์
ตาม ม . 205 ซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบต้องเป็นเหตุขัดขวางที่ไม่อาจก้าวล่วงไปได้เลย แต่กรณีตามข้อเท็จจริงนี้เป็นแต่เพียง
เหตุขัดข้องซึ่งอาจจะก้าวล่วงได้ คือสามารถให้บุคคลอื่นไปชำาระหนี้แทนได้ ลูกหนี้จะถือเอาเป็นพฤติการณ์อันขัดขวางตนไว้มิ
ให้ต้องรับผิดชอบไม่ได้ (ฎ 166/2478)
ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของก้อย ก้อยเป็นผู้ผิดนัดโดยต้องชำาระหนี้ ข้องไม่ต้องเตือนและจะเอา ม. 205 เพื่อเป็นข้อแก้ตัว
ไม่ได้
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.มาตรา 291 “ถ้าบุคคลหลายคน จะต้องกระทำาการชำาระหนี้โดยกำาหนดซึ่งแต่ละคนจำาต้องชำาระหนี้สินแล้วไซร้ แม้ถึงว่า
เจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำาระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำาระหนี้จากลูกหนี้แค่คน
ใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือโดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำาระเสร็จ
สิน้ เชิง
ปพพ. มาตรา 295 ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่องเท้าตัวถึงลูกตัวหนี้ร่วมกันคนใด
ก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษเฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง
ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำาบอกกล่าว การผิดนัด การที่หยิบยกอ้างความผิด การชำาระหนี้
อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งกำาหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลงและการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อน
กลืนกันไปกับหนี้สิน
วินิจฉัย
แดง เหลือง เขียว ร่วมกันกู้เงินเจริญไป ดังนั้นบุคคลทั้ง 3 จึงเป็นลูกหนี้ร่วม และต้องผูกพันที่จะชำาระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้โดยสิ้นเชิง
ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไป 9 ปี แดงแต่ผู้เดียวได้นำาเงินบางส่วนมาผ่อนชำาระหนี้ให้แก่เจริญ จึงเป็นกรณีซึ่งแดงรับสภาพหนี้โดยการ
ชำาระหนี้บางส่วน เป็นเหตุให้อายุความคือระยะเวลาที่ล่วงไปแล้วนี้ ไม่นับเข้าในอายุความ และให้เริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ แม้
ต่อมาเวลาจะล่วงเลยมา 10 ปีเศษแล้วก็ตามหนี้ของแดงก็ยังไม่ขาดอายุความ
เหลือง และเขียว แม้จะเป็นลูกหนี้ร่วมกันกับแดงแต่มิได้มีสว่ นในการชำาระหนี้บางส่วนกับแดงแต่อย่างใด เพราะกรณีเป็นเรื่อง
ท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมคนใดก็ย่อมเป็นเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น กรณีเรื่องอายุความนี้เป็นคุ ณแก่เหลืองและ
เขียว เหลือง เขียวจึงสามารถยกกำาหนดอายุความมาเป็นข้อต่อสู้ เจริญว่าหนี้กู้ยืมนั้นขาดอายุความแล้ว เพราะได้กู้ยืมกันมา
เกิน 10 ปี แล้ว ตาม ม. 295 ดังนี้ เหลือง เขียวจึงหลุดพ้นไม่ต้องชำาระหนี้ให้แก่เจริญ
แต่แดงไม่สามารถยกเรื่องอายุความในกรณีเหลืองกับเขียวมากล่าวอ้างได้ เพราะตนได้รับสภาพหนี้ ซึ่งทำาให้อายุความในส่วน
ของตนสะดุดลงเป็นโทษเฉพาะตัวของแดง แดงจึงยังคงต้องผูกพันที่จะต้องชำาระหนี้ให้กับเจริญแต่เพียงผู้เดียว
เฉลย
หลักกฎหมาย
ปพพ.มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำาต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี
อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำาละเมิด จำาต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการ
นั้น”
ปพพ.มาตรา 436 “บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหาย อันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น หรือเพราะ
ทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร”
วินิจฉัย
การที่ก่อมาอยู่ที่บ้านข้อง แล้วดีดบุหรี่ไปนอกบ้านไปถูกเสื้อของคดไหม้เป็นรูนั้น เป็นกรณีซึ่งก่อได้กระทำาโดยประมาทเลินเล่อ
โดยผิดกฎหมายเป็นเหตุให้บุหรี่ถูกเสื้อของคดเสียหายไหม้เป็นรู ดังนั้นก่อจึงกระทำาละเมิดต่อคดี ตาม ม.420 ซึ่งเป็นความรับ
ผิดในการกระทำาด้วยตนเอง ต้องชดใช้ค่าสินไหมให้คดเพราะเหตุละเมิดตามม.420 นี้
ข้องเป็นเจ้าของบ้าน เป็นผู้ครอบครองโรงเรือนก็จริงแต่กรณีนี้ความเสียหายเกิดเพราะก่อเป็นผูท้ ำาละเมิดความเสียหายมิได้เกิด
จากของตกหล่นจากโรงเรือนหรือเพราะทิ้งขว้างตกในที่อันมิควร แต่เป็นกรณีมีบุคคลประมาทเลินเล่อทำาละเมิด เพียงแต่บุคคล
ผูท้ ำาละเมิดอยู่ในบ้านของข้องเท่านั้น ดังนั้นข้องมิได้ทำาละเมิดจึงไม่ต้องรับผิด
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 2
1. นายสมบัติกับนายสำารวยเป็นเพื่อนกัน นายสำารวยกู้เงินนายสมบัติไป 4,000 บาท นายสำารวยผิดนัดชำาระหนี้มา 2 เดือนแล้ว
นายสมบัติเป็นช่างซ่อมรถ นายสำารวยนำารถยนต์ราคา 600,000 บาท มาให้นายสมบัติซ่อม คิดค่าซ่อม 2,000 บาท ตกลงชำาระ
ค่าซ่อมเมื่อซ่อมเสร็จแล้ว เมื่อซ่อมรถเสร็จ นายสำารวยก็ไม่ชำาระ นายสมบัติจึงยึดหน่วงรถของนายสำารวยที่ตนครองครองไว้
อ้างว่าเป็นประกันหนี้ที่นายสำารวยติดค้างอยู่รวมเป็นเงิน 6,000 บาท จนกว่าจะได้รับชำาระหนี้ นายสำารวยโต้แย้งว่า ไม่ว่าเป็น
หนี้เงินกู้หรือหนี้ค่าซ่อมรถ นายสมบัติไม่มสี ิทธิยึดหน่วงรถไว้ เพราะราคารถสูงกว่าจำานวนหนี้มากนัก ท่านเห็นด้วยกับข้อโต้
แย้งของนายสำารวยหรือไม่
เฉลย
ปพพ.มาตรา 241 วรรคแรกบัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นผู้ครองทรัพย์สินของผู้อื่น และมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วย
ทรัพย์สินซึ่งครองนั้นไซร้ ท่านว่าผู้นั้นจะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้จนกว่าจะได้ชำาระหนี้ก็ได้ แต่ความที่กล่าวนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ
เมื่อหนี้นั้นยังไม่ถึงกำาหนด”
ตามปัญหา แยกพิจารณาได้ดังนี้
(ก) หนี้เงินกู้ของนายสำารวยมิใช่หนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่นายสมบัติเกี่ยวด้วยรถที่ตนครอบครองไว้ ดังนั้นนายสมบัติจะยึด
หน่วงรถไว้ไม่ได้ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของนายสำารวยในผลที่ว่ายึดไม่ได้
(ข) สำาหรับหนี้ค่าซ่อมรถ เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่นายสมบัติเกี่ยวด้วยรถยนต์ของนายสำารวยที่นำามาให้นายสมบัติซ่อม
และนายสมบัติครอบครองไว้นั้น นายสมบัติจึงมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ไว้ได้ จนกว่าจะได้รับชำาระหนี้ค่าซ่อม แม้รถยนต์จะมีราคา
สูงกว่าหนี้ค่าซ่อมมากเพียงใดก็ตาม ทั้งหนี้ของนายสำารวยก็ถึงกำาหนดชำาระแล้ว ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของนาย
สำารวย
เฉลย
ปพพ. มาตรา 420 บัญญัติไว้มีใจความสำาคัญว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำาต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย
แก่ทรัพย์สิน….ผูน้ ั้นทำาละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
ปพพ. มาตรา 433 บัญญัติไว้มีใจความสำาคัญว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ เจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษา
ไว้แทนเจ้าของสัตว์จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น
ตามมาตรา 420 เป็นความรับผิดของบุคคลในการกระทำาของตนเอง ส่วนตามมาตรา 433 เป็นความรับผิดของบุคคลในความ
เสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์
ตามปัญหา เป็นการที่นายดำาใช้ลิงของนายแดงเป็นเครื่องมือในการกระทำาละเมิดโดยบังคับให้ลิงลักมะพร้าวจากต้นของนาย
เขียว เป็นความรับผิดของนายดำาในการกระทำาของตนเอง มิใช่ความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ซึ่งเจ้าของสัตว์
จะต้องรับผิดตามมาตรา 433 นายดำาจึงต้องรับผิดต่อนายเขียวตามมาตรา 420 นายแดงเจ้าของลิงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา
433 ถ้าข้าพเจ้าเป็นนายดำา จะไม่โต้แย้งกับนายเขียว แต่ถ้าเป็นนายแดงจะโต้แย้งกับนายเขียวโดยนัยดังกล่าว
3. นายจันทร์ขายบ้านและที่ดินให้นายเสาร์ แต่มิได้ทำาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย การซื้อ
ขายตกเป็นโมฆะเสียเปล่า ต่างก็เข้าใจว่าสัญญามีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย นายจันทร์ได้ส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายเสาร์
ครอบครอง ลูกจ้างของนายเสาร์รีดผ้าให้นายเสาร์ตามหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อ ทำาให้ไฟไหม้บ้านเสียหายไปแถบหนึ่ง ดังนี้
นายจันทร์มีสิทธิเรียกบ้านและที่ดินคืนได้หรือไม่ และนายเสาร์และลูกจ้างของนายเสาร์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นาย
จันทร์หรือไม่
เฉลย
(ก) ในข้อที่ว่านายจันทร์จะเรียกบ้านและที่ดินคืนได้หรือไม่นั้น
ปพพ. มาตรา 406 วรรคแรก ตอนแรกบัญญัติว่า บุคคลใดได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใดเพราะการที่บุคคลอีกคนหนึ่งกระทำาเพื่อชำาระหนี้
ก็ดี หรือได้มาด้วยประการอื่นก็ดี โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเสียเปรียบแล้ว
ไซร้ บุคคลนั้นจำาต้องคืนทรัพย์ให้แก่เขา
และวรรค 2 ตอนแรกบัญญัติวา่ บทบัญญัติอันนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงกรณีที่ได้ทรัพย์มาเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมิได้มีได้
เป็นขึ้นด้วย
ตามปัญหา การที่มิได้ทำาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย การซื้อขายตกเป็นโมฆะเสียเปล่าและ
นายจันทร์ได้ส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายเสาร์ครอบครองแล้วนั้น เป็นการได้ทรัพย์มาเพราะเหตุที่มิได้มีได้เป็นขึ้นตาม
ปพพ.มาตรา 406 วรรค 2 และทำาให้นายจันทร์เสียเปรียบ เป็นการได้ทรัพย์มาโดยลาภมิควรได้ นายเสาร์จึงต้องคืนบ้านและ
ที่ดินให้นายจันทร์ตามมาตรา 406 วรรคแรก
(ข) ในข้อที่ว่านายเสาร์และลูกจ้างนายเสาร์ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจันทร์หรือไม่นั้น
ปพพ.มาตรา 420 บัญญัติว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำาต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน ผู้นั้น
ทำาละเมิด จำาต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 425 บัญญัติวา่ นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำาไปในทางการที่จ้าง
ตามปัญหา เมื่อการซื้อขายบ้านและที่ดินตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตาม (ก) บ้านและที่ดินยังเป็นของนายจันทร์อยู่ การที่ลูกจ้าง
นายเสาร์รีดผ้าให้นายเสาร์ตามหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำาให้ไฟไหม้บ้านเสียหาย เป็นการกระทำาละเมิดตามมาตรา 420
ลูกจ้างนายเสาร์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เหตุละเมิดได้เกิดขึ้นในทางการที่จ้างเพราะเกิดเหตุเมื่อลูกจ้างรีดผ้าให้ตาม
หน้าที่ นายเสาร์จึงต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างด้วยตามมาตรา 425
เฉลย
ปพพ.มาตรา 291 บัญญัติว่า “ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำาการชำาระหนี้โดยทำานองซึ่งแต่ละคนจำาต้องชำาระหนี้โดยสิ้นเชิงไซร้
แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะด้รับชำาระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว (กล่าวคือ ลูกหนี้ร่วม) ก็ดี เจ้าหนี้จะเรียกชำาระหนี้จากลูกหนี้
แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะใช้
ชำาระเสร็จสิ้นเชิง”
ปพพ.มาตรา 296 บัญญัติว่า “ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้นท่านว่า ต่างคนต่างต้องรับผิดชอบเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่
จะได้กำาหนดเป็นอย่างอื่น….”
กรณีนี้เป็นเรื่องลูกหนี้ร่วมซึ่งเป็นบุคคลหลายคนซึ่งมีหน้าที่ร่วมกันที่จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้จะได้รับชำาระหนี้โดยสิ้นเชิงหรือแต่
โดยส่วนหรือจะเรียกร้องเอาจากลูกหนี้ร่วมพร้อมกันก็ได้ ดังนั้นจึงเป็นสิทธิของ ง ซึ่งสามารถที่จะเรียกร้องให้ ก และ ข เท่านั้นที่
จะต้องชำาระหนี้ให้ ง
ระหว่างลูกหนี้ร่วมด้วยกันแล้ว ลูกหนี้ต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน แม้ว่า ก และ ข จะปฏิเสธไม่ชำาระเกินส่วนของตนไม่ได้
ก็ตาม เพราะต้องผูกพันอยู่จนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำาระหนี้โดยสิ้นเชิง แต่เมื่อ ก และ ข ได้ชำาระหนี้แก่ ง โดยครบถ้วนไว้แล้ว ก็มี
สิทธิที่จะไล่เบี้ยส่วนทีแ่ ต่ละคนได้ออกเกินไปแทน ค ได้
ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นชอบกับข้ออ้างของ ก และ ข โดยเห็นว่า ก และ ข ต้องชำาระหนี้เงินกู้คนละ 30,000 บาท ตามที่ ง ฟ้อง แต่
ทั้ง ก และ ข ก็มสี ิทธิจะไปไล่เบี้ยเอาจาก ค ในส่วนที่แต่ละคนได้จ่ายเกินไป คือคนละ 10,000 บาท
เฉลย
ปพพ.มาตรา 233 บัญญัติว่า “ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้อง
เสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้ เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้
เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”
ปพพ.มาตรา 234 บัญญัติว่า “เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นั้นจะต้องขอหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีนั้นด้วย”
กรณีนี้เป็นเรื่องการใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ซึ่งเป็นวิธีการที่เจ้าหนีส้ ามารถควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ รวมทั้งให้เจ้าหนี้
ใช้วิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินที่บุคคลภายนอกต้องชำาระแก่ลูกหนี้ด้วย
ก สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้คือ ข ฟ้อง ค ในนามของตนเอง เพราะการที่ ข เพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องของตนโดยไม่
ฟ้องร้อง ค นั้น เป็นเหตุให้เจ้าหนี้คือ ก เสียประโยชน์เพราะ ข เองไม่มีทรัพย์สินที่จะชำาระหนี้ได้ครบถ้วน
ในการฟ้องคดีที่จะเรียกให้ ค ชำาระหนี้นั้น ก จะต้องขอหมายเรียก ข ลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วย ตาม ม.234 ทั้งนี้เพื่อให้การ
พิจารณาพิพากษาคดีมีผลผูกพัน ข ซึ่ง ข จะปฏิเสธไม่รับรู้ผลของคดีไม่ได้
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงแนะนำาให้ ก ใช้สิทธิเรียกร้องของ ข ฟ้อง ค ในนามของตน ให้ ค ชำาระหนี้ และหมายเรียก ข เข้ามาในคดีด้วย
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 3
นายเสมา อายุ 50 ปี โสด จดทะเบียนรับนาย ช้างอายุ 34 ปี และ น.ส.แก้วอายุ 30 ปีอีกคนหนึ่ง ซึ่ง น.ส.แก้วในขณะนั้นเป็น
บุตรบุญธรรมของนายขวัญอยู่ ต่อมานายเสมาค้าขายขาดทุนไม่มีรายได้ จึงเรียกร้องค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบุตร บุญธรรมได้
หรือไม่ ?
ข้อสอบกฎหมายพาณิช 1
2. นายวุฒิตกลงเช่าตึกแถวที่กำาลังก่อสร้างอยู่จากนายสิทธิหนึ่งห้องเพื่อจัดตั้งสำานักงานทนายความ มีกำาหนดเวลาเช่ากัน 3 ปี
ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อบุคคลทั้งสองฝ่ายแต่ประการใด แต่นายวุฒิได้ให้ค่าเช่าล่วง
หน้านายสิทธิไปแล้ว 3 เดือน เป็นเงิน 30,000 บาท เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว นายสิทธิไม่ยอมส่งมอบห้องตึกแถวแก่นายวุฒิ นาย
วุฒิจึงต้องฟ้องร้องขอให้ศาลบังคับให้นายสิทธิส่งมอบห้องให้แก่ตน โดยอ้างว่าสัญญาเช่าผูกพันใช้บังคับกันได้ เพราะได้ชำาระ
ค่าเช่าล่วงหน้าอันเป็นการชำาระหนี้ตามสัญญาเช่าแก่นายสิทธิถึง 3 เดือน ถ้าท่านเป็นศาล จะตัดสินให้นายวุฒิหรือนายสิทธิ
ชนะคดี
มกราบุกรุกที่ดินของกุมภาเพื่อเลี้ยงไก่ชนขาย ต่อมากุมภาขายที่ดินแปลงนั้นแก่มีนาโดยจดทะเบียนการซื้อขายถูกต้องทุก
อย่าง และมีนาก็ทราบเหตุการณ์บุกรุกที่ดินของกุมภาเป็นอย่างดี เมื่อมีนาเข้าไปในที่ดินเพื่อครอบครองใช้ประโยชน์ในฐานะ
เจ้าของและถูกมกราขัดขวาง มีนาจึงเรียกร้องให้กุมภารับผิดชอบโดยอ้างว่าตนถูกรอนสิทธิ ท่านเห็นด้วยกับข้ออ้างของมีนา
หรือไม่ และกุมภาผู้ขายจะต้องส่งมอบที่ดินที่ขายแก่มีนาหรือไม่
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 4
1. นายเกิดลงทุน 50,000 บาท นายไก่ลงทุน 50,000 บาท นายกว้างลงทุน 40,000 บาท เข้าหุ้นส่วนทำาอู่ซ่อมรถยนต์ สิน้ ปีแรก
ห้างฯ เป็นหนี้ค่าอะไหล่บริษัทสมพรอะไหล่ยนต์ เป็นเงิน 50,000 บาท นายไก่ขอลาออกจากหุ้นส่วน ดังนี้นายไก่ต้องรับผิดใน
หนี้ของห้างฯ หรือไม่ นายเกิดและนายกว้างก็ยังดำาเนินการอู่ซ่อมรถยนต์ต่อ พร้อมทั้งไปจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ
นิติบุคคล นายเกิดได้ซื้ออะไหล่จากบริษัทสมพรฯ และค้างชำาระหนี้อีก 20,000 บาท บริษัทสมพรฯ ได้ฟ้อง นายเกิด นายกว้าง
ให้รับผิดชำาระหนี้ จงอธิบายว่าบุคคลทั้งสองต้องรับผิดชำาระหนี้ของห้าง ฯ อย่างไร หรือไม่
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1051 บัญญัติไว้ว่า ตามปัญหานายไก่ต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯ ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะออกจากห้างหุ้นส่วน
และต้องรับผิดไม่จำากัดจำานวนจนกว่าจะหมดอายุความของหนี้ ตามหลักกฎหมายที่ว่า “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไป
แล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป” (มาตรา 1051)
แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและค้างชำาระหนี้ 20,000 บาท เจ้าหนี้ของห้างฯ จะฟ้องให้นายเกิดและนายก
ว้างร่วมกันรับผิดชำาระหนี้ได้ เพราะการซื้ออะไหล่เป็นกิจการที่เป็นธรรมดาของการค้าของห้างฯ แต่เนื่องจากห้างฯเป็น
นิติบุคคลมีตัวตนต่างหากจากห้างหุ้นส่วน เจ้าหนี้ของห้าง ฯ จะฟ้องผู้เป็นหุ้นส่วนให้ชำาระหนี้ได้ตามหลีกกฎหมายที่ว่า “เมื่อใด
ห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนผิดนัดชำาระหนี้เมื่อนั้นเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนชอบที่จะเรียกชำาระหนี้เอาแต่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคน
หนึ่งก็ได้” ดังนั้นบริษัท สมพรฯ จึงเรียกให้เกิดแลกว้างชำาระหนี้
เฉลย
ปพพ.มาตรา 1129 , ปพพ.มาตรา 1135
ตามปัญหา นายดำามีหุ้นออกให้แก่ผู้ถือจำานวน 200 หุ้น หุ้นระบุชื่อจำานวน 100 หุ้น นายดำาโอนหุ้นผู้ถือ 70 หุ้น ให้แก่นายแดง
ตามหลักกฎหมายที่กำาหนดในเรื่องการโอนหุ้นผู้ถือตามมาตรา 1135 นั้นสามารถโอนกันได้เพียงการส่งมอบเท่านั้น ดังนี้ผู้ถือ
หุ้น 70 หุ้น ของนายดำาที่โอนให้แก่นายแดงนั้น สมบูรณ์ สำาหรับกรณีหุ้นระบุชื่อจำานวนอีก 30 หุ้น นั้นการโอนดังกล่าวไม่มีผล
เพราะการโอนหุ้นระบุชื่อ ตามหลักกฎหมายมาตรา 1129 กำาหนดให้ทำาเป็นหนังสือมีพยานอย่างน้อยหนึ่งคนลงลายมือชื่อ และ
ลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอน หากไม่ทำาการโอนตามที่กฎหมายกำาหนด การโอนตกเป็นโมฆะ ดังนั้นการโอนหุ้น 30 หุ้น ของ
นายดำาให้กับนายแดงนั้นตกเป็นโมฆะ นายดำาจะต้องทำาหนังสือตามที่กฎหมายกำาหนด พร้อมทั้งระบุหมายเลขหุ้นไว้ท้าย
หนังสือด้วย
ดังนั้น การโอนหุ้น 70 หุ้น นั้น มีผลสมบูรณ์ ส่วนการโอนหุ้นระบุชื่อ 30 หุ้น นั้น ตกเป็นโมฆะ
เฉลย
ปพพ.มาตรา 1237(4) นอกจากนี้ศาลอาจสั่งให้เลิกบริษัทด้วยเหตุต่อไปนี้ คือ
(4) ถ้าจำานวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงจนเหลือไม่ถึงเจ็ดคน
จากปัญหา บริษัทใหญ่ยิ่ง ได้จัดขึ้นโดยมีนายใหญ่ เล็ก กลาง จิ๋ว เสือ สิงห์ และแมว เป็นผู้เริ่มก่อการและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ของบริษัท บริษัทดำาเนินการมามีผู้ถือหุ้นอื่นอีกมาก แต่หลังจากบริษัทได้กำาไร ถูกบีบให้ขายหุ้นให้พี่น้อง จึงเหลือผู้ถือหุ้น
จำานวน 7 คนเท่านั้น ต่อมาในปีที่สอง นายสิงห์ขายหุ้นให้กับนายใหญ่อีก จึงทำาให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเหลืออยู่เพียง 6 คน ตาม
หลักกฎหมายมาตรา 1237 (4) ได้กำาหนดไว้ว่าหากผู้ถือหุ้นลดน้อยลงเหลือไม่ถึง 7 คน ศาลอาจสั่งให้เลิกบริษัทได้ บริษัทใหญ่
ยิ่งเหลือผู้ถือหุ้นอยู่ คือ ใหญ่ เล็ก กลาง จิ๋ว เสือ และแมว จำานวน 6 คน จึงเป็นเหตุหนึ่งที่จะฟ้องศาลให้สั่งยกเลิกบริษัทได้
นายเสือ และนางแมว จึงสามารถฟ้องศาลขอให้เลิกบริษัทได้
4. นิด หน่อย และน้อยเข้าหุ้นส่วนประกอบกิจการค้าเสื้อผ้าสำาเร็จรูป และได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
ต่อมาน้อยต้องการออกจากห้างหุ้นส่วน น้อยต้องปฏิบัติอย่างไร และเมื่อน้อยออกจากห้างหุ้นส่วนไปแล้ว น้อยยังต้องรับผิดใช้
หนี้สินของห้างหุ้นส่วนอย่างไร หรือไม่
เฉลย
ตามปัญหาห้างหุ้นส่วนนี้เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน และไม่ได้กำาหนดเวลาเลิกห้างฯ ไว้การที่นายน้อยต้องการออกจาก
ห้างหุ้นส่วน ก็เท่ากับต้องการที่จะเลิกห้างฯด้วย ซึ่งนายน้อยต้องบอกกล่าวการเลิกห้าง โดยบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหก
เดือน ก่อนสิ้นรอบปีทางบัญชี (1056)
ตามหลักกฎหมายที่ว่า “ถ้าห้างหุ้นส่วนนั้นตั้งขึ้นโดยไม่มกี ำาหนดกาลอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นยุติ ท่านว่าจะเลิกได้ต่อเมื่อผู้เป็น
หุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งบอกเลิก เมื่อสิ้นรอบปีทางบัญชีเงินของห้างหุ้นส่วนนั้น และผู้เป็นหุ้นส่วนนั้นต้องบอกกล่าว ความจำานง
เลิกล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกเดือน”
สำาหรับความรับผิดในหนี้ของห้างฯ นั้น น้อยต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯ ที่เกิดขึ้น ขณะที่ตนเป็นหุ้นส่วนอยู่ และรับผิดไม่เกินสอง
ปี นับแต่วันที่ออกจากห้างฯ ( 1058 )
ตามหลักกฎหมายที่ว่า “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้น
ก่อนที่ตนออกจากห้างหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจำากัดเพียง 2 ปี นับแต่เมื่อออกจากห้างหุ้นส่วน
เฉลย
ตามปพพ.มาตรา 1135 บัญญัติไว้ว่า “หุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือนั้น ย่อมโอนกันได้เพียงการส่งมอบใบหุ้นแก่กัน
จากคำาถามในประเด็นแรกที่ว่าการที่นายสิงห์โอนหุ้นให้แก่นายเม่นนั้นถูกต้องหรือ ไม่ จากการที่กฎหมายกำาหนดในเรื่องการ
โอนหุ้นชนิดที่เป็นหุ้นผู้ถือนั้น เนื่องจากเป็นหุ้นที่ได้ชำาระเงินครบแล้ว จึงสามารถที่จะโอนกันได้โดยการส่งมอบใบหุ้นให้ก็ถือว่า
เป็นการถูกต้องแล้ว ตามหลักกฎหมายมาตรา 1135 ดังนั้นการที่นายสิงห์โอนหุ้นชนิดผู้ถือให้นายเม่นนั้นเป็นเรื่องที่ทำาได้ไม่ขัด
ต่อกฎหมายแต่อย่างใด เพราะความถูกต้องอยู่ที่การส่งมอบให้นั่นเอง ดังนั้นการโอนหุ้นที่นายเม่นได้มาจึงเป็นการถูกต้องแล้ว
ตามปพพ.มาตรา 1136 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ทรงใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือ ย่อมมีสิทธิจะมาขอเปลี่ยนเอาใบหุ้นชนิดระบุชื่อได้ เมื่อ
เวนคืนใบหุ้นชนิดฉบับออกให้แก่ผู้ถือนั้นให้ขีดฆ่าเสีย”
จากคำาถามในประเด็นที่สอง ที่นายเม่นจะขอเปลี่ยนหุ้นชนิดผู้ถือเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อนั้น สามารถที่จะทำาได้ เพราะกฎหมาย
อนุญาตให้ผู้ทรงใบหุ้นชนิดถือนั้นใช้สิทธิในการขอเปลี่ยนประเภทใบหุ้นได้ เมื่อนายเม่นเป็นผู้ทรงใบหุ้น ดังกล่าวจึงเป็นผู้มสี ิทธิ
ที่จะขอเปลี่ยนใบหุ้นเป็นใบหุ้นระบุชอื่ ได้ ตามหลักกฎหมายมาตรา 1136 ที่กล่าวมาข้างต้น
ดังนั้นนายเม่นสามารถที่จะขอเปลี่ยนใบหุ้นที่ได้รับการโอนมาโดยถูกต้องจากนายสิงห์ได้ตามที่กฎหมายให้สิทธิไว้
เฉลย
ตามปพพ.มาตรา 1237 (2) บัญญัติไว้วา่ “นอกจากนี้ศาลอาจสั่งให้เลิกบริษัทจำากัดด้วยเหตุต่อไปนี้ (1) ………..
(2) ถ้าบริษัทไม่เริ่มทำาการภายในหนึ่งปีนับแต่วันจดทะเบียน หรือหยุดทำาการถึงหนึ่งปีเต็ม…….
จากคำาถามนายสินและเพื่อนได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัทขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตั้งให้นายสินเป็นกรรมการผู้จัดการ แต่ด้วยเหตุ
ที่บริษัทแสนสี่ได้มาซื้อตัวนายสินไปนั้น ทำาให้นายสินไม่คิดที่จะมาเริ่มดำาเนินกิจการของบริษัทสินสหายแต่อย่างใด ไม่ว่านาย
แก้วและเพื่อน ๆ จะทวงถามอย่างไรก็ตาม นายสินก็ไม่เข้ามาดำาเนินกิจการของบริษัทสินสหาย จนเวลาล่วงเลยมาเป็นเวลา
ปีกว่า นายแก้วจึงเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัทสินสหาย โดยขอให้เลิกบริษัท แต่มีผู้คัดค้านว่า จดทะเบียนบริษัท
แล้วจะเลิกไม่ได้
ในหลักการเรื่องการยกเลิกบริษัทนั้นกฎหมายกำาหนดว่าถ้ากำาหนดกันไว้เข้าเกณฑ์ตามมาตรา 1236 ก็ให้เป็นไปตามนั้น แต่
หากมีเหตุที่บริษัทไม่สามารถดำาเนินการได้ตามที่กฎหมายกำาหนดไว้ตามมาตรา 1236 แล้วก็สามารที่จะปฏิบัติตามมาตรา
1237 ได้โดยสามารถที่จะร้องขอให้ศาลสั่งให้เลิกบริษัทได้ตามเหตุที่กำาหนดไว้
ซึ่งตามปัญหาข้างต้นนั้นเป็นเรื่องที่บริษัทได้จดทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแต่บริษัทไม่เริ่มทำาการ กฎหมายกำาหนดให้เป็นเหตุที่
สามารถที่จะร้องขอให้เลิกบริษัทได้ การที่นายแก้วเสนอให้มีการเลิกบริษัทนั้นเป็นสิ่งทีท่ ำาได้ โดยการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมี
คำาสั่งให้เลิกบริษัท เพราะบริษัทสินสหายไม่มีการเริ่มทำาการภายในเวลาหนึ่งปี นับตั้งแต่เริ่มจดทะเบียนมา
ดังนั้นตามที่นายแก้วและเพื่อนได้เสนอให้เลิกบริษัทนั้น สามารถเลิกบริษัทได้ด้วยเหตุที่ไม่เริ่มดำาเนินกิจการภายในหนึ่งปีนับแต่
เมื่อได้จดทะเบียนบริษัท โดยการร้องขอต่อศาลให้ศาลมีคำาสั่งให้เลิกบริษัทสินสหายได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น
เฉลย
ตามปพพ.มาตรา 1049 ว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่บุคคลภายนอกในกิจการค้าขาย ซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนหาได้
ไม่
ตามปัญหา ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ซึ่งมีนายเจริญและนายสุขเป็นหุ้นส่วนกันนั้น นายเจริญเป็นผู้ขายไม้ของห้างฯแต่
ผูเ้ ดียวให้แก่นายศิริ นายสุขหุ้นส่วนอีกคนหาได้เกี่ยวข้องเป็นผูข้ ายด้วยไม่ ฉะนั้นแม้นายเจริญไปต่างประเทศ และมีนายสุขเป็น
ผูจ้ ัดการห้างฯในขณะที่นายเจริญไปต่างประเทศก็ตาม นายสุขจะถือเอาสิทธิใด ๆ แก่นายศิริซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในกิจการ
ค้าขายของห้างฯซึ่งไม่ปรากฏชื่อของตนไม่ได้
ฉะนั้นศาลย่อมพิพากษาให้ยกฟ้องคดีที่นายสุขเป็นโจทก์ฟ้องนายศิริ แต่นายสุขก็มีทางแก้ไขโดยให้นายเจริญลงชื่อในคำาฟ้อง
พร้อมมอบอำานาจให้นายสุขฟ้องแทน
( ฉะนั้น นายสุขไม่มีอำานาจฟ้องนายศิริให้ชำาระหนี้ให้แก่ตนได้ แต่ห้างหุ้นส่วนมีอำานาจที่จะเรียกชำาระหนี้จากนายศิริได้ โดย
นายสุขให้นายเจริญลงชื่อในคำาฟ้อง หรือมอบอำานาจให้นายสุขฟ้องแทนได้ )
8. นายเล็กทำาธุรกิจในด้านการส่งเสื้อผ้าสำาเร็จรูป ออกไปขายในต่างประเทศจนประสบความสำาเร็จเป็นอย่างดีจึงได้คิดขยับ
ขยายกิจการ พร้อมทั้งจะให้ลูก ๆ ของตนเข้ามามีส่วนร่วมและช่วยบริหารกิจการด้วย นายเล็กจึงได้ดำาริที่จะจัดตั้งบริษัทขึ้นเพื่อ
ดำาเนินกิจการ โดยจะให้ลูก ๆ ของตนเข้าร่วมเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการ และเพื่อที่จะรักษาบริษัทนี้ไว้ให้เป็นกิจการเฉพาะของ
สมาชิกในครอบครัว นายเล็กจึงมีความประสงค์จะตั้งเงื่อนไขในการถือหุ้นว่า หุ้นของบริษัทนี้ผู้ที่ถือหุ้นจะนำาไปโอนให้แก่บุคคล
อื่นไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ถือหุ้นคนอื่น
เช่นนี้นายเล็กอยากทราบว่า ตามกฎหมายแล้วจะสามารถทำาได้หรือไม่ ถ้าทำาได้จะต้องทำาอย่างไร
เฉลย
ตามปกติ หุ้นในบริษัทนั้นต้องถือว่าสามารถโอนกันได้เสมอ แต่กฎหมายยินยอมให้บริษัทมีข้อจำากัดในการโอนได้บ้างกรณี
ทั้งนี้เพราะบริษัทอาจมีความจำาเป็นหรือเหตุผลบางประการที่จะต้องสงวนสิทธิในการโอนหุ้นของผู้ถือหุ้นไว้ เช่น ในกรณีที่ผู้ถือ
หุ้นของบริษัทเป็นบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็อาจมีข้อจำากัดการโอนเพื่อป้องกันมิให้การโอนหุ้นให้แก่บุคคลนอกกลุม่ อย่างใน
กรณีของนายเล็กที่ต้องการสงวนหุ้นไว้เฉพาะสมาชิกในครอบครัว ดังนี้เป็นต้น บริษัทที่นายเล็กจะก่อตั้งขึ้นนีม้ ีผู้ถือหุ้นเป็น
จำานวนน้อย คงจะตั้งในรูปของบริษัทเอกชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สำาหรับวิธีการนั้นก็คือ จะต้องกำาหนดข้อจำากัดการโอนนั้นไว้ในข้อบังคับของบริษัทว่า การโอนหุ้นให้แก่บุคคลใด จะต้องได้รับ
ความยินยอมจากผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่เสียก่อน (ปพพ.มาตรา 1129)
ส่วนในกรณีของบริษัทมหาชนจะตั้งข้อกำาหนดการโอนหุ้นไม่ได้ เว้นแต่เพื่อปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะ ( พรบ.มหาชน มาตรา
70)
เฉลย
ในการประกอบกิจการของบริษัท กรรมการต้องใช้ความเอื้อเฟื้อ สอดส่องอย่างบุคคลค้าขาย ผู้ประกอบด้วยความระมัดระวัง
(มาตรา 1168) โดยต้องเอาใจใส่ในการจัดการงานของบริษัทยิ่งกว่าวิญญูชนธรรมดา ถ้ากรรมการทำาความเสียหายให้แก่บริษัท
บริษัทจะฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมจากกรรมการได้ ถ้าบริษัทไม่ฟ้อง ผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งก็สามารถฟ้องได้ หรือแม้แต่เจ้าหนี้ของ
บริษัท ก็มีสิทธิฟ้องบังคับให้กรรมการที่ทำาให้เกิดความเสียหาย ขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ โดยเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้อง
ให้ชำาระหนี้ได้เพียงเท่าจำานวนหนี้ที่ตนมีอยู่ต่อบริษัทเท่านั้น (มาตรา 1169)
ตามปัญหา นายสีและนายสวยไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ทำาให้บริษัทได้รับความเสียหาย บริษัทจึงมีสิทธิฟ้องนายสีและนาย
สวยได้ แต่เมื่อบริษัทไม่ฟ้อง ดังนั้น
ก) นายสดซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทก็สามารถฟ้องได้ (มาตรา 1169)
ข) ธนาคารสุโขทัยก็สามารถฟ้องนายสีและนายสวยได้เช่นกันในฐานะเจ้าหนี้ แต่จะฟ้องได้เฉพาะเท่าจำานวนที่บริษัทเป็นหนี้อยู่
คือ 100,000 บาท เท่านั้น
เฉลย
ตามปพพ.มาตรา 1050 บัญญัติไว้ว่าการใด ๆ อันหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่ง ได้จัดทำาไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้น
ส่วน นั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน ย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และต้องร่วมกันรับผิดโดยไม่จำากัดจำานวน ในการ
ชำาระหนี้อันได้ก่อให้เกิดขึ้น เพราะจัดการไปเช่นนั้น
ตามปัญหาการที่นายเอก นายโท นายตรี เข้าหุ้นส่วนกันตั้งโรงฆ่าสุกร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บเงินจากผู้นำาเข้าสุกรไปฆ่านั้น
การที่นายเอกหุ้นส่วนผู้จัดการไปซื้อเชื่อสุกรของนายจัตวา มาฆ่าเสียเองนั้นเป็นการกระทำาการค้าขายนอกวัตถุประสงค์ของ
ห้าง และตามปัญหาไม่ปรากฏว่านายเอกได้ทำาไปในฐานะตัวแทนของนายโท และนายตรี ผู้เป็นหุ้นส่วนอื่น และไม่ปรากฏว่า
นายโทและนายตรีเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการนั้น
ดังนั้นนายโทและนายตรีจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายจัตวา ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก นายเอกจึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในการชำาระหนี้
ให้นายจัตวา
เฉลย
ในการเพิ่มทุนของบริษัทนั้น กฎหมายกำาหนดว่าบรรดาหุ้นออกใหม่ต้องเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิม ตามอัตราส่วนจำานวนหุ้นที่เขา
ถืออยู(่ มาตรา 1222) ทั้งนี้เพื่อให้อัตราส่วนการถือหุ้นในบริษัทภายหลังการเพิ่มนั้นเป็นไปเช่นเดียวกันก่อนการเพิ่มทุน เช่น
บริษัท ก มีหุ้นจดทะเบียน 1000 หุ้น นาย ข ถือหุ้นอยู่ 100 หุ้น ซึ่งเท่ากับ 10 % ของทุนจดทะเบียน ถ้าบริษัทเพิ่มทุนออกหุ้น
ใหม่ 500 หุ้น นาย ข ย่อมมีสิทธิได้ 50 หุ้น เป็นต้น
ดังนั้นการที่นายสวัสดิ์จะเสนอขายหุ้นแก่กลุ่มผู้ถือหุ้นข้างน้อย ในอัตรา 2 :1 ซึ่งจะทำาให้ผู้ถือหุ้นกลุ่มข้างน้อยมีสิทธิซื้อหุ้นเพียง
ครึ่งหนึ่งของจำานวนหุ้นเพิ่มทุนที่มีสิทธิซื้อ จึงไม่สามารถกระทำาได้เพราะขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย
12. บริษัทสีสันประกอบธุรกิจด้านการทำาป้ายโฆษณา มีนายสี และ นายสันเป็นผู้ถือหุ้น และเป็นกรรมการของบริษัทในการ
ประกอบกิจการปีแรก บริษัทก็ประสบกับการขาดทุน ในปีที่สองบริษัทไม่ขาดทุนแต่ก็ไม่กำาไร ส่วนในปีที่สามนั้น บริษัทประสบ
กับการขาดทุนอีก นายสีเห็นว่าตนไม่เคยได้รับประโยชน์จากการตั้งบริษัทนี้เลย ก็ประสงค์จะเลิกบริษัทเสีย แต่นายสันไม่ยอม
เช่นนี้นายสี อยากทราบว่าตนจะฟ้องศาลขอให้เลิกบริษัทเสียได้หรือไม่
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1237 กำาหนดไว้ในเรื่องการเลิกบริษัทโดยคำาสั่งศาล จะกระทำาได้ในกรณีดังต่อไปนี้
1. มีการกระทำาผิดในรายงานการประชุมตั้งบริษัท หรือทำาผิดในการประชุมตั้งบริษัท
2. บริษัทไม่เริ่มทำาการภายใน 1 ปี นับแต่วันจดทะเบียน หรือหยุดทำาการถึงหนึ่งปีเต็ม
3. การค้าของบริษัททำาไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียวและไม่มีหวั งจะกลับฟื้นตัวได้
4. จำานวนผู้ถือหุ้นลดน้อยลงเหลือไม่ถึงเจ็ดคน
การที่ศาลจะสั่งเลิกบริษัทเพราะเหตุที่บริษัทขาดทุนนั้น จะต้องปรากฏว่าบริษัทขาดทุนอย่างเดียว คือขาดทุนหลาย ๆ ปีติดต่อ
กัน และจะต้องไม่มีหวังที่จะกลับฟื้นคืนกำาไรได้ด้วย จึงเป็นเหตุที่ศาลจะสั่งให้เลิกบริษัทได้ เพราะเพียงแต่บริษัทระสบการ
ขาดทุนยังไม่เป็นเหตุที่ศาลจะสั่งให้เลิกบริษัท เพราะในการค้าย่อมมีกำาไรและขาดทุนคละกันไป
กรณีของบริษัทสีสันนั้นนายสีจะขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทไม่ได้ เพราะการขาดทุนของบริษัทยังไม่มีลักษณะเป็นการติดต่อกันอัน
จะถือได้ว่าบริษัทไม่มีหวังจะกลับมาฟื้นตัวได้อีก อีกทั้งในปีที่สองบริษัทก็ไม่ขาดทุน ดังนั้นบริษัทอาจจะสามารถทำากำาไรใน
อนาคตได้ จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีขาดทุนแต่อย่างเดียวและไม่มีหวังจะกลับฟื้นตัวได้
ดังนั้น นายสีจึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องศาลขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทได้
เฉลย
ตามปพพ.มาตรา 1012 อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อ
กระทำากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำาไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทำานั้น
มาตรา 1025 อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวง
ของหุ้นส่วนโดยไม่จำากัด
มาตรา 1050 การใด การใดอันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทำาไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่าน
ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จำากัดจำานวนในการชำาระหนี้
อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น
ตามปัญหา นายเก่งและนายกล้าได้ตกลงที่จะประกอบธุรกิจรับส่งคนโดยสารร่วมกัน โดยตกลงกันด้วยวาจา ซึ่งตาม
ปพพ.มาตรา 1012 ไม่ได้กำาหนดรูปแบบของการทำาสัญญาไว้ว่าจะต้องทำาเป็นหนังสือหรือแบบใด ดังนั้นการที่ตกลงกันด้วย
วาจาก็สามารถที่จะกระทำาได้ ดังนั้นการที่นายเก่งและนายกล้าตกลงกันนั้นจึงเป็นสัญญาเข้าห้างหุ้นส่วนที่ถูกต้อง
การเข้าห้างหุ้นส่วนกันนั้นเป็นการเข้าห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนต้องร่วมรับผิดในหนี้ร่วมกัน โดยไม่จำากัดจำานวน ใน
กิจการที่เป็นกิจการค้าของห้าง ตามปพพ.มาตรา 1025 การที่นายกล้าขับรถยนต์เพื่อรับจ้างขนส่งคนโดยสาร โดยประมาทชน
รถยนต์ของนางเดือนนั้นถือเป็นการกระทำาที่เป็นธรรมดาการค้าของห้าง ตามปพพ.มาตรา 1050 การกระทำาดังกล่าวจึงผูกพัน
หุ้นส่วนทุกคนและห้างหุ้นส่วน
ดังนั้นนางเดือนจึงสามารถที่จะฟ้องนายเก่งและนายกล้าให้ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1105 วรรค 3 อนึ่งเงินส่งใช้ค่าหุ้นคราวแรกนั้น ต้องมิได้น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าแห่งมูลค่าของหุ้นที่ตั้งไว้
จากปัญหา การที่บริษัทมีนาได้กำาหนดมูลค่าหุ้นไว้นั้นในราคา 100 บาท นั่นคือมูลค่าหุ้นที่กำาหนดไว้ สำาหรับการที่กำาหนดใน
หนังสือบริคณห์สนธิว่าให้จำาหน่ายในราคาที่มากกว่ามูลค่าได้นั้นเป็นสิ่งที่ทำาได้ แต่ราคาที่เป็นมูลค่าในหุ้นก็คือ 100 บาท ดัง
นั้นเมื่อกรรมการ คือนายมีน นายเมษ และนายกันย์ เรียกเก็บค่าหุ้นคราวแรกนั้นกฎหมายกำาหนดให้เรียกเก็บอย่างน้อยร้อยละ
25 จากมูลค่าหุ้นที่ตั้งไว้ นั่นหมายถึงการเรียกเก็บครั้งแรกต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 การที่กรรมการเรียกเก็บร้อยละ 30 จึง
สามารถที่จะกระทำาได้ เพราะเงินที่เรียกเก็บครั้งแรกนั้นเพื่อนำาไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจ จึงอยู่ในวิสัยที่กรรมการจะใช้ดุลพินิจใน
การเรียกเก็บ โดยกฎหมายกำาหนดว่าไม่ให้ตำ่ากว่าร้อยละ 25 เท่านั้น
ดังนั้นการที่กรรมการเรียกชำาระค่าหุ้นครั้งแรกร้อยละ 30 นั้นเป็นการกระทำาที่ถูกต้อง
เฉลย
ข้อ ก ตามหลักกฎหมายในเรื่องการชักนำาบุคคลอื่นเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วยได้บัญญัติไว้ในมาตรา 1040 ที่ว่า “ห้ามมิให้ชักนำา
บุคคลอื่นเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนโดยมิได้รับความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนหมดด้วยกันทุกคน เว้นแต่จะได้ตกลงกัน
ไว้เป็นอย่างอื่น”
ตามปัญหาการที่นายดำาและนายเหลืองจะให้นายฟ้าเข้ามาเป็นหุ้นส่วน แต่เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากนายแดงผู้เป็นหุ้นส่วน
คนหนึ่งนั้น เท่ากับว่าหุ้นส่วนทุกคนไม่ยินยอมให้นายฟ้าเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย
ดังนั้นนายฟ้าจึงไม่สามารถเข้ามาเป็นหุ้นส่วนได้แต่อย่างใด
ข้อ ข ตามหลักกฎหมายในเรื่องการให้ผู้จัดการออกจากตำาแหน่งนั้น ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 1036 ว่า “อันหุ้นส่วนผู้จัดการจะ
เอาออกจากตำาแหน่งได้ก็ต่อเมื่อ ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายอื่นยินยอมพร้อมกัน เว้นแต่จะตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น”
ตามปัญหา ถ้านายดำาและนายเหลืองต้องการเอานายแดงออกจากตำาแหน่งผู้จัดการก็สามารถที่จะกระทำาได้โดยที่นายดำาและ
นายเหลือง ยินยอมพร้อมใจกันให้นายแดงออกจากตำาแหน่งผู้จัดการ
ดังนั้น นายดำาและนายเหลือง สามารถเอานายแดงออกจากตำาแหน่งผู้จัดการของห้างฯนั้นได้ หากทั้งสองคนนั้นมีความเห็นเป็น
เช่นเดียวกัน
16. บริษัททิพย์รุ่งเรืองจำากัด มีทุนจดทะเบียนสี่ลา้ นบาท แบ่งออกเป็น 40,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท ต่อมาบริษัทมีทุนเหลือ
เพราะได้ยกเลิกโครงการบางโครงการไป กรรมการของบริษัทเห็นว่าสมควรที่จะต้องลดทุนของบริษัทลงให้เหลือเพียงหนึ่งล้าน
ห้าแสนบาท จึงมาปรึกษาท่าน
ก. การลดทุนของบริษัทใช้มติเสียงข้างมากจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นได้หรือไม่ อย่างไร
ข. จะลดทุนลงให้เหลือเพียงหนึ่งล้านห้าแสนบาทได้หรือไม่ กฎหมายมีข้อจำากัดในเรื่องการลดทุนไว้อย่างไร
เฉลย
ข้อ ก จากปัญหา มีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่ดังนี้
มาตรา 1224 ว่า บริษัทจำากัดจะลดทุนของบริษัทลงด้วยลดมูลค่าแต่ละหุ้น ๆ ให้ตำ่าลง หรือลดจำานวนหุ้นให้น้อยลง โดยมติ
พิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็ได้
การลดทุนจะทำาได้ก็ต่อเมื่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้ลดทุนได้ แต่การลดทุนนั้นต้องเป็นมติพิเศษ จากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเท่านั้น
จะเป็นมติธรรมดาที่ถือเสียงข้างมากเท่านั้นไม่ได้
ดังนั้นการลดทุนนั้นกรรมการบริษัทจะต้องจัดให้มีการประชุม 2 ครั้ง คือประชุมครั้งแรกที่ประชุมเห็นชอบกับมติลดทุนไม่น้อย
กว่า 3 ใน 4 และต่อมาให้มีการประชุมครั้งที่สองโดยที่ประชุมเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 และนำามติพิเศษไปจดทะเบียน
ด้วยเหตุนี้จึงจะใช้มติเสียงข้างมากเท่านั้นไม่ได้
ข้อ ข จากปัญหา มีหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่ดังนี้
มาตรา 1225 อันทุนของบริษัทนั้นจะลดลงไปให้ถึงตำ่ากว่าจำานวนหนึ่งในสี่ของทุนทั้งหมดหาได้ไม่
การที่บริษัททิพย์รุ่งเรืองจำากัดจะลดทุนลงเหลือ 1,500,000 บาทนั้น สามารถที่จะกระทำาได้ เพราะกฎหมายมีข้อจำากัดในเรื่อง
การลดทุนว่าจะลดทุนลงไปให้ตำ่ากว่าหนึ่งในสี่ของทุนทั้งหมดไม่ได้ คือเมื่อบริษัทลดทุนแล้ว ทุนที่เหลือจะมีตำ่ากว่าหนึ่งในสี่ของ
ทุนเดิมไม่ได้ ซึ่งจากการที่บริษัททิพย์รุ่งเรืองมีทุนจดทะเบียน 4,000,000 บาทนั้น จึงสามารถลดทุนลงได้เหลือตำ่าสุด คือไม่ตำ่า
กว่า 1,000,000 บาท
ดังนั้น การที่บริษัททิพย์รุ่งเรืองต้องการที่จะลดลงเหลือ 1,500,000 บาทนั้นจึงสามารถที่จะกระทำาได้ เพราะยังเหลือทุน
มากกว่าหนึ่งในสี่ของทุนจดทะเบียน
เฉลย
ตามกฎหมายในเรื่องการชำาระบัญชีของห้างฯ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 1062 ที่ว่า “การชำาระบัญชีให้ทำาโดยลำาดับดังนี้ คือ
(1) ให้ชำาระหนี้ทั้งหลายซึ่งค้างแก่บุคคลภายนอก
(2) ให้ชดใช้เงินทดลองและค่าใช้จ่ายซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนได้ออกของตนไป เพื่อจัดการค้าของห้างฯ
(3) ให้คืนทุนทรัพย์ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนได้ลงเป็นหุ้น
ตามปัญหา เมื่อห้างหุ้นส่วนเลิกกันก็ต้องดำาเนินการชำาระบัญชีตามกฎหมายข้างต้น คือ เมื่อเลิกห้าง ฯ ห้างมีเงินเหลืออยู่
500,000 บาท ต้องชำาระบัญชี ดังนี้
(1) ชำาระหนี้ทั้งหลายซึ่งค้างชำาระแก่บุคคลภายนอก กรณีนี้ต้องชำาระหนี้ค่าซื้ออะไหล่รถยนต์ให้กับบริษัทรวมยนต์ เป็นเงิน
100,000 บาท
ดังนั้น คงเหลือเงินหลังจากชำาระหนี้ 500,000 – 100,000 = 400,000 บาท
(2) ให้ชดใช้เงินทดรองและค่าใช้จ่ายซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนได้ออกของตนไปเพื่อจัดการงานของห้างฯ กรณีนายแดงได้ออกเงินค่าใช้
จ่ายไปทั้งสิ้น 70,000 บาท
ดังนั้น คงเหลือเงินหลังจากหักเงินทดรองจ่ายของนายแดง 400,000– 70,000 = 330,000 บาท
(3) ให้คืนทุนทรัพย์ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนได้ลงหุ้น กรณีนี้ผู้เป็นหุ้นส่วนลงหุ้นเท่ากัน การคิดทุนทรัพย์ก็ต้องเฉลี่ยไปสามส่วน
ดังนั้น การคืนทุนทรัพย์ของผู้เป็นหุ้นส่วนแต่ละคน 330,000 / 3 = 110,000 บาท
กรณีตามปัญหา นายแดงและผู้เป็นหุ้นส่วนทั้ง 3 คน จะได้เฉลี่ยคืนเป็นเงินคนละ 110,000 บาท
19. บริษัททิพย์สามัคคี จำากัด มีทุนจดทะเบียน 5,000,000 บาท แบ่งออกเป็น 50,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท ต่อมาบริษัทต้องการ
ขยายกิจการให้ใหญ่ขึ้น ประธานกรรมการจึงเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อขอมติในการเพิ่มทุน ในที่สุดที่ประชุมคณะ
กรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิ่มทุนของบริษัทได้ โดยให้เพิ่มทุนด้วยวิธีการเพิ่มมูลค่าหุ้นเป็นหุ้นละ 150 บาท ดังนี้ให้ท่าน
วินิจฉัยว่า
ก. การเพิ่มทุนของบริษัททิพย์สามัคคีจำากัด โดยอาศัยมติเอกฉันท์ของคณะกรรมการของบริษัทจะกระทำาได้เพียงใด หรือไม่
ข. การเพิ่มทุนด้วยการเพิ่มมูลค่าหุ้นจาก 100 บาท เป็น 150 บาท ของบริษัททิพย์สามัคคีจำากัด ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือ
ไม่ อย่างไร
เฉลย
มาตรา 1220 บริษัทจำากัดอาจเพิ่มทุนของบริษัทขึ้นได้ด้วยออกหุ้นใหม่ โดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น
1) จะเห็นได้ว่าการเพิ่มทุนของบริษัทจำากัดนั้นจะทำาขึ้นได้โดยมติพิเศษของที่ระชุมผู้ถือหุ้นเท่านั้น กรรมการของบริษัทจะ
ประชุมกันเองระหว่างกรรมการด้วยกัน แล้วลงมติให้เพิ่มทุนของบริษัทจำากัดไม่ได้ แม้จะมีมติเป็นเอกฉันท์ก็ตาม ต้องมีการ
เรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น และมติที่ได้ต้องเป็นมติพิเศษพิเศษด้วย จึงจะเป็นมติการเพิ่มทุนที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น มติการ
เพิ่มทุนของบริษัททิพย์สามัคคีจำากัด ดังกล่าวจึงมิใช่มติที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย
2) การเพิ่มทุนในบริษัทจำากัดทำาได้เพียงวิธีเดียว คือการออกหุ้นใหม่โดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น จากโจทก์ข้างต้น บริษัท
ทิพย์สามัคคีจำากัดเดิมมีทุนจดทะเบียนอยู่ 5,000,000 บาท แบ่งเป็น 50,000 หุ้น ๆ ละ 100 บาท หากต้องการเพิ่มทุนอีก
2,500,000 บาท บริษัทต้องออกหุ้นใหม่อีก 25,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาทเท่าเดิม แล้วเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายใน
บริษัทก่อนตามส่วนจำานวนที่เขาถือหุ้นอยู่ จึงเป็นการเพิ่มทุนที่ ชอบด้วยกฎหมาย การเพิ่มทุนโดยการเพิ่มมูลค่าหุ้นจาก 100
บาท เป็น 150 บาท จึงเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
20. บริษัทครัวไทย จำากัด ได้ทำาการควบบริษัทครัวอินเตอร์ จำากัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทไม้ยางไทย จำากัด ผู้ค้าส่งกับบริษัท
ครัวไทย จำากัด ผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทครัวไทย จำากัด อยู่จำานวน 200,000 บาท ได้ใช้สิทธิทำาการคัดค้านการควบบริษัทครัว
ไทย จำากัด แต่ทำาการคัดค้านเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำาหนด คำาคัดค้านจึงไม่มีผล บริษัททั้งสองจึงควบเข้ากันโดยดำาเนินการ
ในนามของบริษัทครัวอินเตอร์ จำากัด เมื่อเป็นเช่นนี้บริษัทไม้ยางไทย จำากัด จึงเรียกให้บริษัทครัวอินเตอร์ จำากัด ชำาระหนี้ให้กับ
ตน ตามจำานวนที่บริษัทครัวไทย จำากัด เป็นหนี้ตนอยู่ จำานวน 200,000 บาท
บริษัทครัวอินเตอร์ จำากัด ได้ปฏิเสธการชำาระหนี้ให้แก่บริษัทไม้ยางไทย จำากัด ว่าเป็นหนี้เดิมของบริษัทครัวไทย จำากัด บริษัท
ครัวอินเตอร์ จำากัด ไม่จำาเป็นต้องรับผิดชอบในหนี้เดิมแต่อย่างใด
ถามว่าบริษัทครัวอินเตอร์ จำากัด จะปฏิเสธการชำาระหนี้ให้แก่บริษัทไม้ยางไทย จำากัด ดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1243 วางหลักไว้ว่า บริษัทใหม่นี้ย่อมได้ไปทั้งสิทธิและความรับผิดบรรดามีอยู่แก่บริษัทเดิมอันได้มาควบเข้า
กันนั้นทั้งสิ้น
จากปัญหา บริษัทครัวไทยจำากัด ได้ควบเข้ากับบริษัทครัวอินเตอร์ จำากัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายถึงการดำาเนินกิจการใน
บริษัทครัวอินเตอร์ซึ่งใช้ชื่อเดิมของบริษัทครัวอินเตอร์จำากัดนั้น ได้รวมกิจการของบริษัทครัวไทยเข้ามาด้วยทั้งหมด ซึ่งการที่
บริษัทครัวไทยมีหนี้อยู่กับบริษัทไม้ยางไทยจำากัด จำานวน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) นั้น จะตกมาเป็นของบริษัทครัว
อินเตอร์จำากัดด้วย ตามหลักกฎหมายมาตรา 1243 ที่กล่าวมาข้างต้น บริษัทครัวอินเตอร์จึงไม่อาจปฏิเสธการชำาระหนี้ให้แก่
บริษัทไม้ยางไทยได้
ดังนั้น บริษัทครัวอินเตอร์จำากัด ไม่สามารถปฏิเสธการชำาระหนี้ให้แก่บริษัทไม้ยางไทยจำากัดได้ แต่อย่างใด
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 1
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 2
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 2
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 3
ธงคำาตอบ หลักกฎหมาย มาตรา 1599, 1629(2), 1630 วรรคสอง, 1635(1) มาตรา 1629 วรรคท้าย, 1627, 1629(1)
เมื่อนายอำานาจตายมรดกของนายอำานาจตกทอดแก่ทายาททันที ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 ทายาทของ นายอำานาจได้แก่นาย
นุกูลและนางกุหลาบบิดามารดาซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมลำาดับที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629(2) ทั้งสองมีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง
เสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1630 วรรคสอง
นางสร้อยคำาเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 วรรคท้าย ได้รับส่วนแบ่งเสมือน
ตนเป็นทายาทชั้นบุตร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1635(1) ส่วนนางมะลิเป็นภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่เป็นทายาทโดยธรรม
ไม่มสี ิทธิได้รับมรดกของนายอำานาจ
เด็กหญิงก้อยเป็นบุตรนอกสมรสที่บิดารับรองแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1627 จึงเป็นผู้สืบสันดาน ตาม ป.พ.พ. มาตรา
1629(1) มีสิทธิได้รับมรดกของนายอำานาจ ส่วนเด็กชายเก่งเป็นบุตรบุญธรรมของนางสร้อยคำา แม้นายอำานาจจะให้ความ
ยินยอมให้นางสร้อยคำารับเด็กชายเก่งเป็นบุตรบุญธรรมก็ไม่ถือว่าเด็กชายเก่งเป็นบุตรบุญธรรมของนายอำานาจ เด็กชายเก่งจึง
ไม่มสี ิทธิรับมรดกของนายอำานาจ
สรุป มรดกของนายอำานาจ 800,000 บาทจึงตกได้แก่ นายนุกูล นางกุหลาบ นางสร้อยคำา และเด็กหญิงก้อยคนละ 200,000
บาท
ธงคำาตอบ หลักกฎหมาย มาตรา 1698(1), 1642, 1699, 1620 วรรคสอง มาตรา 1629 วรรคท้าย, 1635(3), 1629(4)
นายสมศักดิ์ได้ทำาพินัยกรรมยกเงินสดให้แก่นายสมชายและนายสมานคนละ 600,000 บาท แต่ปรากฏว่านายสมานซึ่งเป็น
ผูร้ ับพินัยกรรมได้ตายก่อนผูท้ ำาพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมตกไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1698(1) แม้นายสมานผู้รับพินัยกรรมจะมี
บุตรชอบด้วยกฎหมายคือเด็กชายเอก เด็กชายเอกก็ไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายสมานผู้รับพินัยกรรม เพราะการรับมรดก
แทนที่จะมีได้เฉพาะทายาทโดยธรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1642 เท่านั้น มรดกส่วนของนายสมานจึงตกทอดแก่ทายาทโดย
ธรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1699 ประกอบมาตรา 1620 วรรคสอง ทายาทโดยธรรมของนายสมศักดิ์ได้แก่นางสมศรีภริยาซึ่งเป็น
ทายาทโดยธรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629 วรรคท้าย นางสมศรีจึงมีสิทธิได้รับมรดกของนายสมศักดิ์สองส่วนในสามเท่ากับ
400,000 บาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1635(3) และนายสมชายซึ่งเป็นน้องร่วมบิดาเดียวกันเป็นทายาทโดยธรรมตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1629(4) มีสิทธิได้รับมรดกของนายสมศักดิ์หนึ่งส่วนในสาม นายสมชายจึงได้รับมรดกของนายสมศักดิ์เท่ากับ 200,000
บาท
สรุป มรดกของนายสมศักดิ์ 1,200,000 บาทจึงตกได้แก่ นางสมศรี 400,000 บาท นายสมชาย 600,000 บาท ในฐานะผู้รับ
พินัยกรรมและ 200,000 บาท ในฐานะทายาทโดยธรรม
ธงคำาตอบ หลักกฎหมาย มาตรา 1608 วรรคท้าย, 1698 (3), 1617 มาตรา 1699, 1620 วรรคสอง,1629(1), 1633..........
นายอาทิตย์มีบุตรชอบด้วยกฎหมาย 3 คน คือ นายจันทร์ นายอังคาร และนายพุธ นายอาทิตย์ได้ทำาพินัยกรรมยกทรัพย์สินของ
ตนทั้งหมด 2,700,000 บาท ให้แก่นายอังคาร นายพุธบุตรชาย และนายเสาร์ น้องชายคนละ 900,000 บาท โดยมิได้ทำา
พินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่นายจันทร์ ถือว่านายจันทร์ผู้ที่มิได้รับประโยชน์จากพินัยกรรมเป็นผู้ถูกตัดมิให้รับมรดกตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1608 วรรคท้าย ซึ่งกรณีนี้เป็นการตัดโดยมิได้ระบุตัวทายาทผู้ถูกตัดไว้ให้ชัดเจน ทายาทจึงมีสิทธิได้รับมรดกใน
ฐานะทายาทโดยธรรม หลังจากนายอาทิตย์ตายแล้ว นายเสาร์ได้ทำาหนังสือสละมรดกโดยชัดแจ้งมอบไว้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
การสละมรดกของนายเสาร์มีผลสมบูรณ์ ข้อกำาหนดในพินัยกรรมย่อมตกไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1698(3) มรดกที่นายเสาร์สละ
ย่อมไม่ตกไปเป็นของเด็กชายวินบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายเสาร์เพราะผู้รับพินัยกรรมคนใดสละมรดก ผู้สืบสันดานของผู้
นั้นไม่มีสิทธิจะรับมรดกที่ได้สละแล้วนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1617 มรดกที่ได้สละแล้วจึงตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1699 ประกอบมาตรา 1620 วรรคสอง ทายาทโดยธรรมของนายอาทิตย์ได้แก่ นายจันทร์ นายอังคาร และนาย
พุธ ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1629(1) ทั้งสามจึงมีสิทธิได้รับมรดกคนละส่วนเท่า ๆ กัน คือคนละ 300,000 บาท
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1633
สรุป มรดกของนายอาทิตย์ 2,700,000 บาท จึงตกได้แก่...นายจันทร์ 300,000 บาทในฐานะทายาทโดยธรรม... นายอังคาร
900,000 บาท ในฐานะผู้รับพินัยกรรมและ 300,000 บาท ในฐานะทายาทโดยธรรม... นายพุธ 900,000 บาท ในฐานะผู้รับ
พินัยกรรมและ 300,000 บาท ในฐานะทายาทโดยธรรม
หลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 1598/25, 1598/26, 1598/27, 1620, 1627, 1629, 1633, 1635, 1639, 1643, 1698, 1699
วินิจฉัย เมื่อเอผู้มีสิทธิรับมรดกตามพินัยกรรมได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก ย่อมทำาให้พินัยกรรมนั้นเป็นอันไร้ผล ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1698, 1699 และไม่อาจมีการรับมรดำาแทนที่ในทายาทโดยพินัยกรรมได้ตามมาตรา 1639, 1643 มกรดกตาม
พินัยกรรมที่ไร้ผลนี้ย่อมตกแก่ทายาทโดยธรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1620
โดยมรดกของนางเขียวย่อมตกได้แก่ นายกรคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรม ตามมาตรา 1629 วรรค 2
และตกได้แก่ นายดำาบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (1) ประกอบมาตรา 1627
แต่สำาหรับนายเอและนายบีนั้นมิใช่ ทายาท โดยธรรมของนางเขียว เพราะตาม ป.พ.พ.มาตรา 1598/25, 15988/27 นั้น นาง
เขียวเป็นเพียง แต่ให้ความยินยอมเพื่อทำาให้การรับบุตรบุญธรรมของนายกรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น หาทำาให้นายเอและนาย
บีกลับกลายเป็นทายาทโดยธรรมของนางเขียวด้วยไม่ มรดกคือ เงินจำานวน 800,000 บาท นั้น ย่อมตกแก่นายกรและนายดำา
ตามมาตรา 1633, 1635 โดยได้รับคนละส่วนเท่า ๆ กัน
สรุป มรดกคือ เงิน 800,000 บาท ของนางเขียวย่อมตกแก่นายกรสามี ที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา
1629 วรรค 2 และตกแก่นายดำาบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1629 (1) ประกอบ 1627 โดยไม่รับคนละ 400,000 บาท
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1633, 1635
หลักกฎหมาย มาตรา 1606(1), มาตรา 1620 วรรค 2, มาตรา 1629 (3), มาตรา 1639, มาตรา 1642, มาตรา 1698(1),
มาตรา 1699
วินิจฉัย การที่นายเอกได้ทำาพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดจำานวน 300,000 บาท ให้แก่นายตรีและนายจัตวาคนละครึ่งนั้น เมื่อ
นายเอกถึงแก่กรรม นายจัตวาจึงได้รับมรดกครึ่งหนึ่งตามพินัยกรรม คือ 150,000 บาท แต่นายตรีผู้รับ พินัยกรรมอีกคนหนึ่งนั้น
ตายก่อนนายเอกผู้ทำาพินัยกรรม ข้อกำาหนดในพินัยกรรมในส่วนที่ยกทรัพย์สินให้นายตรีครึ่งหนึ่งจึงเป็นอันตกไป ตามมาตรา
1698(1)
ดังนั้นจึงต้องนำาทรัพย์มรดกครึ่งหนึ่งที่ยกให้นายตรีตามพินัยกรรม ไปแบ่งแก่ทายาทโดยธรรมของนายเอก ตาม มาตรา 1620
วรรค 2 ประกอบกับ มาตรา 1699 ซึ่งทายาทโดยธรรมที่เป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของนายเอกตามมาตรา 1629(3) คือ
นายโท นายตรี และนายจัตวา แต่นายโทต้องคำาพิพากษาถึงที่สุดว่าพยายามฆ่านายเอกเจ้ามรดกโดยเจตนา นายโทจึงถูก
กำาจัดมิให้รับมรดกของนายเอกเลยตามมาตรา 1606(1) โดยนายโทถูกกำาจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ด.ญ.เกดในฐานะ
ผูส้ ืบสันดานของนายโทจึงเข้ารับมรดกแทนที่ในส่วนที่นายโทพึงจะได้รับตาม มาตรา 1639 ประกอบกับมาตรา 1642 ส่วน
มรดกที่จะตกทอดแก่นายตรีในฐานะทายาทโดยธรรมนั้น ด.ช.ต่อผู้สืบสันดานของนายตรีเข้ารับมรดกแทนทีนายตรีได้ ตาม
มาตรา 1639 ประกอบด้วย มาตรา 1642 ดังนั้น มรดกจำานวน 150,000 บาท จึงตกได้แก่ ด.ญ.เกด ด.ช.ต่อ และนายจัตวา
คนละเท่า ๆ กัน คือ คนละ 50,000 บาท
หลักกฎหมาย มาตรา 1606(1), (3), 1627, 1629(1), 1639 และ มาตรา 1643
วินิจฉัย การที่นายดำาต้องคำาพิพากษาถึงที่สุดว่าได้มีเจตนาฆ่านางขาวถึงแก่ความตายทำาให้นายดำาถูกกำาจัดมิให้รับมรดกของ
นางขาวฐานเป็นผู้ไม่สมควรตามมาตรา 1606(1)
ส่วน น.ส.ฟ้าผู้เป็นบุตรบุญธรรมถือว่าเป็นผูส้ ืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1627 จึงมีสิทธิรับมรดก
ของนางขาวในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629(1) แต่การที่ น.ส.ฟ้ารู้อยู่แล้วว่า นางขาวถูกนายดำาฆ่าตายโดยเจตนา
แต่มิได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำารวจ เพราะกลัวว่านายดำาจะถูกลงโทษนั้น ย่อมทำาให้ น.ส.ฟ้าถูกกำาจัดมิให้รับมรดกของนางขาวฐาน
เป็นผู้ไม่สมควรตามมาตรา 1606(3) โดยในกรณีนี้ไม่เข้าข้อยกเว้นของการที่จะไม่ถูกกำาจัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1606(3)
ตอนท้าย เหตุเพราะ น.ส.ฟ้าอายุเกิน 16 ปี แล้ว และ น.ส.ฟ้าก็มิใช่ผู้สืบสันดานโดยตรงของนายดำา
ส่วนการที่นายใหญ่ได้ไปแจ้งการเกิดว่า ด.ช.เล็กเป็นบุตรของตนและได้ให้การอุปการะเลี้ยงดู ด.ช.เล็กมาตลอดถือว่า ด.ช.เล็ก
เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วตามมาตรา 1627 และ ด.ช.เล็กนั้นเป็นผูส้ ืบสันดานโดยตรงของนายใหญ่ ด.ช.เล็กจึงมี
สิทธิรับมรดกแทนที่นายใหญ่ได้ตามมาตรา มาตรา 1639 ประกอบกับมาตรา 1643 ดังนั้นมรดกของนางขาวคือเงินสด
300,000 บาท จึงตกได้แก่ ด.ช.เล็กแต่เพียงผู้เดียว
สรุป มรดกของนางขาวคือเงินสด 300,000 บาท จึงตกได้แก่ ด.ช.เล็ก แต่เพียงผู้เดียว
ข้อสอบกฎหมาย
1. สามารถ อายุ 27 ปี หมั้นกับ จินดา อายุ 22 ปี โดยไม่มผี ู้ใหญ่รับรู้ด้วย ของหมั้นได้แก่ แหวนเพชร 1 วง ราคา 200,000 บาท
ภายหลังการหมั้น 6 เดือน สามารถถูกตำารวจจับข้อหาค้ายาบ้าและสามารถรับสารภาพ จินดาต้องการเลิกสัญญาหมั้น จึงมา
ปรึกษาว่าจะทำาได้หรือไม่ อย่างไร
2. สมรสจดทะเบียนแต่งงานกับสมรัก เมื่อ 14 ก.พ.2546 อีก 1 เดือนต่อมา สมรสต้องไปทำางานต่างประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปี
โดยไม่ได้กลับมาเลย สมรักเหงาจึงไปคบหากับยืนยงคนรักเก่าและได้เสียกัน 3 เดือนต่อมา สมรสประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตใน
ต่างประเทศ 1 เดือนต่อมา สมรักจดทะเบียนแต่งงานกับยืนยง ต่อมาไม่นานสมรถคลอดบุตรคือเด็กหญิงนก เมื่อ 20 พ.ย.2546
คำาถามว่าเด็กหญิงนก เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร
ข้อสอบกฎหมายพาณิชย์ 2
ตอบ
อ้างหลักกฎหมาย ม 655 ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำาระ แต่ทว่าเมื่อ
ดอกเบี้ยค้างชำาระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้
คิดดอกเบี้ยในจำานวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้ แต่การตกลงนั้นต้องทำาเป็นหนังสือ
ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำานวณดอกทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอย่างอื่นทำานองเช่นว่านี้ก็ดี หาอยู่ในบังคับ
แห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่
ตอบ
อ้างหลักกฎหมาย มาตรา 800 ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทำาการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งที่จำาเป็น
เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำาเร็จลุลว่ งไป
และมาตรา 816 ถ้า ในการจัดทำากิจการ อันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออกเงินทดรอง หรือ ออกเงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่ง
พิเคราะห์ตามเหตุ ควรนับว่า เป็นการจำาเป็นได้ไซร้ ท่านว่า ตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้ จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ย นับแต่วันที่
ได้ออกเงินไปนั้นด้วย ก็ได้
ถ้า ในการจัดทำากิจการ อันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนต้องรับภาระ เป็นหนี้ขึ้น อย่างใดหนึ่งอย่างใด ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุ
ควรนับว่า เป็นการจำาเป็นได้ไซร้ ท่านว่า ตัวแทนจะเรียกให้ตัวการ ชำาระหนี้แทนตน ก็ได้ หรือถ้า ยังไม่ถึงเวลา กำาหนดชำาระหนี้
จะให้ตัวการ ให้ประกันอันสมควร ก็ได้
ถ้า ในการจัดทำากิจการ อันเขามอบหมายแก่ตนนั้น เป็นเหตุให้ตัวแทน ต้องเสียหาย อย่างหนึ่งอย่างใด มิใช่เป็นเพราะ ความผิด
ของตนเองไซร้ ท่านว่า ตัวแทน จะเรียกเอาเงิน ค่าสินไหมทดแทน จากตัวการ ก็ได้
ตอบ
อ้างหลักกฎหมาย มาตรา 861 อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง ตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้
เงินจำานวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัย หากมีขึ้น หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคตดั่งได้ระบุไว้ในสัญญาและใน การนี้บุคคลอีกคน
หนึ่งตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัย
และ มาตรา 865 ถ้าในเวลาทำาสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัย
ความทรงชีพ หรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ย
ประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือ ให้บอกปัดไม่ยอมทำาสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็น ความเท็จไซร้ท่านว่าสัญญานั้น
เป็นโมฆียะ
ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำาหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับ ประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้น
ภายใน กำาหนดห้าปีนับแต่วันทำาสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป
การที่นายชิวปิดบังข้อความจริง ในเรื่องที่รถยนต์คันดังกล่าวเคยโดนชนมาก่อน ซึ่งเป็นข้อความจริงที่อาจจะได้จูงใจให้บริษัท
รักษ์ทรัพย์จำากัด เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรืออาจบอกปัดไม่รับทำาประกันภัยกับนายชิว ส่งผลให้สัญญาประกันภัยเป็นโมฆียะ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังบริษัทรักษ์ทรัพย์ ได้ทราบข้อมูลอันจะบอกล้างสัญญาประกันภัยดังกล่าวได้ แต่มิได้ใช้สิทธิบอกล้าง
ภายในเวลา 1 เดือนตามหลักกฎหมายมาตรา 865 วรรคสอง ทำาให้สิทธิในการบอกล้างเป็นอันระงับสิ้นไป และสัญญาประกัน
ภัยสมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อเกิดความวินาศขึ้นกับรถยนต์ของนายชิวในภายหลัง บริษัทรักษ์ทรัพย์จำาต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้
กับนายชิวตามหลักของสัญญาประกันภัยมาตรา 861 ที่อ้างข้างต้น
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 3
ข้อสอบกฎหมายแพ่ง 3 (เนติบัณฑิต)
แนวคำาตอบ
การหมั้นของจำาลองกับจำาเรียงสมบูรณ์ไม่ขัดต่อเงื่อนไขแห่งการหมั้นในเรื่องอายุตามมาตรา 1435 เพราะทั้งคู่มีอายุครบ 17 ปี
บริบูรณ์แล้วและไม่ขัดต่อเงื่อนไขในเรื่องความยินยอมของบิดามารดาตามมาตรา 1436 เพราะจำาลองได้ขอหมั้นจำาเรียงต่อบิดา
มารดาของจำาเรียง จำาลองตกลงจะมอบของหมั้นให้แก่จำาเรียงหลายอย่างแต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันหมั้นจำาลองนำาเพียงแหวน
เพชร 1 วงซึ่งได้ยืมมาจากจำาลักษณ์พี่สาวโดยจำาลักษณ์ทราบดีว่าจำาลองจะนำาแหวนนี้ไปหมั้นจำาเรียงมามอบให้จำาเรียงพร้อม
กับทะเบียนรถยนต์ ฉะนั้นของหมั้นจึงมีเพียงแหวนเพชร 1 วง เท่านั้น เนื่องจากการหมั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบ
หรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงในขณะหมั้นตามมาตรา 1437 ส่วนทองคำาหนัก 20 บาท และรถยนต์ 1 คันตามที่
ตกลงไว้ ไม่ใช่ของหมั้นเนื่องจากจำาลองไม่ได้ส่งมอบให้จำาเรียงในขณะทำาการหมั้น การที่จำาลองทำาสัญญากู้มอบให้แก่จำาเรียง
1 ฉบับแทนทองคำา ซึ่งจำาลองมิได้นำามามอบให้แก่จำาเรียง สัญญากู้ไม่ใช่ของหมั้น เพราะของหมั้นต้องส่งมอบให้แก่หญิงใน
ขณะหมั้น สัญญากู้เป็นเพียงสัญญาจะให้ทรัพย์สินเป็นของหมั้นในวันข้างหน้าสัญญากู้ไม่เป็นของหมั้นและจำาเรียงจะบังคับให้
จำาลองชำาระหนี้ตามสัญญากู้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีมูลหนี้เดิมต่อกัน
นอกจากนั้นจำาลองได้นำาเงิน 80,000 บาท มามอบให้แก่บิดามารดาของจำาเรียง เพื่อตอบแทนการที่จำาเรียงยอมสมรส เงิน
80,000 บาท นี้ จึงเป็นสินสอดตามมาตรา 1437 วรรค 3
ต่อมาจำาลองได้นำารถยนต์มามอบให้จำาเรียงตามที่ตกลงกันไว้ รถยนต์คันนี้ไม่ใช่ของหมั้น เพราะไม่ได้มอบให้ในขณะหมั้นแต่
เป็นการให้โดยเสน่หา ทั้งคู่ได้เข้าพิธีสมรสกันตามประเพณีโดยยังมิได้จดทะเบียนสมรส จึงยังมิใช่สามีภริยากันตามกฎหมาย
เนื่องจากการสมรสต้องจดทะเบียนสมรสตามมาตรา 1457
จำาลองขอบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยอ้างเหตุว่าจำาเรียงไม่ยอมร่วมหลับนอนด้วย ไม่ได้ เนื่องจากทั้งคู่ยังไม่ได้เป็นสามีภริยากัน
ตามกฎหมายจึงไม่มีหน้าที่ต้องอยู่กินกันฉันสามีภริยาตามมาตรา 1461 การที่จำาลองบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยไม่มีเหตุอันจะ
อ้างกฎหมายได้ จึงเป็นการผิดสัญญาหมั้น จะเรียกของหมั้นและสินสอดคืนไม่ได้ แต่จำาลองไม่ต้องชำาระหนี้ตามสัญญากู้เพราะ
สัญญากู้ไม่ใช่ของหมั้น และไม่มีมูลหนี้เดิม นอกจากนี้ยังต้องชดใช้ค่าทดแทนฐานผิดสัญญาหมั้นแก่จำาเรียงด้วยตามมาตรา
1440
ส่วนจำาเรียง มีสิทธิ์ บอกเลิกสัญญาหมั้นได้ โดยอ้างการที่จำาลองไม่ปฏิบัติการชำาระหนี้ตามสัญญากู้เป็นเหตุสำาคัญที่ทำาให้ตน
ไม่สมควรสมรสด้วยตามมาตรา 1443 จำาเรียงไม่ต้องคืนของหมั้นและบิดามารดาของจำาเรียงไม่ต้องคืนสินสอดให้แก่จำาลองอีก
ทั้งจำาลองจะเรียกรถยนต์คืนจากจำาเรียงก็ไม่ได้ เพราะเป็นการให้โดยเสน่หา เมื่อจำาลองมิได้ประพฤติเนรคุณ จึงทำาให้เรียกคืน
ไม่ได้ แต่จำาเรียงไม่อาจเรียกให้จำาลองชำาระหนี้ตามสัญญากู้ได้ เพราะสัญญากู้ไม่ใช่ของหมั้น และไม่มีมูลหนี้เดิมอันจะเป็นเหตุ
ให้เรียกร้องกันตามสัญญาได้
หากจำาลองได้ขอร้องให้จำาเรียงจดทะเบียนสมรส แต่จำาเรียงได้ปฏิเสธตลอดมา ถือเป็นกรณีที่จำาเรียงผิดสัญญาหมั้นต้องคืน
แหวนหมั้นและสินสอดให้แก่จำาลอง แต่รถยนต์ไม่ต้องคืนเพราะเป็นการให้โดยเสน่หา นอกจากนั้นจำาเรียงยังต้องชดใช้ค่า
ทดแทนแก่จำาลองฐานผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1440 อีกด้วย
ธงคำาตอบ
เขียนขึ้นโดยอาศัยหลัก ในป.พ.พ.มาตรา 1656 และ 1687
หลักในการพิจารณาคำาตอบ
1.เป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์
2.ไม่มีข้อความฟุ่มเฟือย
3.ข้อกำาหนดพินัยกรรมให้เป็นไปตามที่ตั้งไว้ในปัญหา
4.พินัยกรรมได้ร่างขึ้นเพื่อความรอบคอบตามสมควรเพื่อขจัดปัญหาอาจกระทบกระเทือนความสมบูรณ์แห่งพินัยกรรม
3. นายใช้สมรสกับนส.ช้อยโดยทำาสัญญาก่อนสมรสไว้ว่าทรัพย์สินทุกอย่างที่ฝ่ายใดมีมาก่อนสมรสให้เป็นสินส่วนตัวของฝ่าย
นั้น ปรากฏว่านส.ช้อยมีที่ดินแปลงหนึ่งก่อนสมรส ครั้นสมรสกันแล้วและนางช้อยตกลงกันฉีกสัญญาก่อนสมรสนั้นทิ้งเสีย แล้ว
โอนใส่ชื่อนายใช้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวแล้วแทนนางช้อย ภายหลังนายใช้ขายกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นให้แก่นายชาญ
ไปดังนี้นางช้อยขะขอให้ทำาลายนิติกรรมการขายนี้ได้หรือไม่
ธงคำาตอบ
สัญญาก่อนสมรสที่กำาหนดให้ที่ดินเป็นสินส่วนตัวของนางช้อย จะเปลี่ยนแปลงมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล การฉีก
หนังสือสัญญาจึงไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสัญญาก่อนสมรส การที่นางช้อยโอนที่ดินใส่ชื่อนายใช้สามีนั้นเป็นสัญญาระหว่างสมรส
ซึ่งนางช้อยอาจบอกล้างได้ แต่นิติกรรมการขายระหว่างนายใช้กับนายชาญนั้น นางช้อยจะขอให้ทำาลายได้ก็ต่อเมื่อปรากฏว่า
นายชาญรับซื้อไว้โดยไม่สุจริต (ป.พ.พ. ม.1459 1464 37)
4. เด็กเกิดก่อนสมรสจะเป็นบุตรชอบด้วยกฏหมายของบิดาได้ในกรณีใดบ้างและเป็นบุตรชอบด้วยกฏหมายของมารดาหรือไม่
ธงคำาตอบ
เป็นบุตรชอบ ด้วยกฎหมายของบิดาในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้
1.บิดามารดาได้สมรสกัน
2.บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร
3.ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดาเสมอ( ป.พ.พ.ม.1525 1526)
ธงคำาตอบ
คู่สมรสของพยานในพินัยกรรมจะเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นโมฆะเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการยก
ทรัพย์สมบัติให้แก่ ข ทรัพย์สมบัติส่วนนี้จึงเป็นมรดกไม่มพี ินัยกรรมตกได้แก่ทายาทโดยธรรม ของกคือ จ ส่วน ค มีสิทธิได้รับ
ทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม ( ป.พ.พ.มาตรา 1620 1653 1699 1705)
ธงคำาตอบ
การสมรสของเด็กหญิงสาผิดบทบัญญัติแห่งป.พ.พ.มาตรา 1445 (1) โดยปกติอาจถูกเพิกถอนได้ แต่เมื่อปรากฏว่าเด็กหญิงสา
มีครรภ์กับนายแสงก่อนเด็กหญิงสามีอายุครบกำาหนดต้องถือว่าการสมรสของเด็กหญิงสาสมบูรณ์มาแต่เวลาสมรส (ป.พ.พ.
ม.1489)
7. (ก)ในกรณีที่ศาลพิพากษาว่าบุตรนอกสมรสเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฏหมายการเป็นบุตรชอบด้วยกฏหมายนั้นจะมีผลตั้งแต่เมื่อ
ใด
(ข) บุตรนอกสมรสซึ่งมีหลักฐานฟังได้ว่าขณะบิดามีชีวิตอยู่บิดาได้รับรองต่อคนทั่วๆไปว่าเป็นบุตรแต่ศาลเพิ่งพิพากษาว่าเป็น
บุตรชอบด้วยกฏหมายภายหลังเมื่อบิดาถึงแก่กรรมไปแล้วบุตรคนนี้จะได้รับมรดกบิดาได้หรือไม่
ธงคำาตอบ
(ก) การเป็นบุตรชอบด้วยกฏหมายต้องนับแต่วันที่คำาพิพากษาถึงที่สุดตามป.พ.พ.มาตรา 1530 (3) และฎีกาที่ 210/2491
(ข) ถ้ามีหลักฐานฟังได้ว่าบิดาได้รับรองอย่างในปัญหานี้ย่อมมีผลย้อนหลังถึงวันเกิดของบุตรบุตรจึงมีสิทธิรับมรดกของบิดาได้
ป.พ.พ.มาตรา 1524 และ 1627 คำาพิพากษาฏ.ที่446/2493
8. นายแดงมีภรรยาโดยกฏหมายอยู่แล้วแต่ภายหลังร้างกับภรรยาเดิมไปทำาการสมรสกับหญิงอื่นโดยจดทะเบียนสมรสกับหญิง
นั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และเกิดบุตรกับหญิงนั้น ภายหลังเมื่อนายแดงตายแล้วภริยาเดิมได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการ
สมรสระหว่างนายแดงกับหญิงคนที่กล่าวนั้น ศาลมีคำาสั่งเพิกถอนโดยพิพากษาว่าการสมรสนั้นเป็นโมฆะ ให้ท่านวินิจฉัยว่า
บุตรนายแดงซึ่งเกิดด้วยหญิงที่ถูกเพิกถอนการสมรสนั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฏหมายของนายแดงหรือไม่โดยยกกฏหมาย
ประกอบ
ธงคำาตอบ
การสมรสของนายแดงขัดต่อป.พ.พ.มาตรา 1445(3)เป็นโมฆะตามป.พ.พ.มาตรา 1490 จึงไม่ใช่กรณีที่การสมรสอาจจะถูกเพิก
ถอนได้ กรณีไม่เข้าป.พ.พ.มาตรา 1532 บุตรของนายแดงไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฏหมาย
9. นายแดงมีนิสัยชอบเสพสุราทำาการสมรสกับนางสาวขาวก่อนทำาการสมรสนายแดงได้ทำาสัญญาให้ไว้แก่นางสาวขาวว่าจะ
เลิกเสพสุราอย่างเด็ดขาด ถ้าเสพสุราอีกให้ภรรยาฟ้องหย่าได้ครั้นทำาการสมรสกันแล้วนายแดงยังคงเสพสุราอยู่ดังเดิมภริยา
นายแดงจะอาศัยสัญญาก่อนสมรสนั้นฟ้องหย่าได้หรือไม่ หากทำาสัญญากันดั่งนี้ภายหลังทำาการสมรส จะมีผลแตกต่างกัน
อย่างไรหรือไม่
11. นายดำาและนางแดงซึ่งมิใช่เป็นสามีภรรยากันตามกฏหมายได้สมัครใจได้เสียกันและเกิดบุตรด้วยกันคนหนึ่งแต่ไมมีผูอื่น
ทราบว่าเด็กนั้นเป็นบุตรของนายดำา ต่อมานายดำาไม่ให้เงินค่าเลี้ยงดูบุตรนั้น นางแดงขอให้นายดำารับรองบุตรนั้นว่าเป็นบุตร
ชอบด้วยกฏหมายของนายดำา นายดำาปฏิเสธ นางแดงจะมีทางบังคับให้นายดำารับรองบุตรนั้นตามกฏหมายบ้างหรือไม่
ธงคำาตอบ ไม่มี เพราะกรณิไม่เข้าเกณฑ์ที่จะฟ้องขอให้รับรองบุตรได้ตามบทบัญญัติแห่งป.พ.พ.มาตรา 1529 (คำาพิพากษาฏี
กาที่ 368/2499)
ข้อสอบกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน
1. หนึ่งทราบว่าที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของตนถูกสองครอบครองปรปักษ์เสียแล้ว หนึ่งจึงขายที่ดินนั้นแก่สาม ภายหลังการจด
ทะเบียนโอนแล้วสามจึงทราบว่าสองครอบครองที่ดินนั้นอยู่ สามจึงขายที่ดินนั้นต่อให้สี่โดยมีข้อสัญญาว่าให้สี่เป็นผู้ดำาเนินการ
ขับไล่สองเอง เมื่อจดทะเบียนโอนแล้วสี่จึงยื่นคำาขาดให้สองออกไปจากที่ดินนั้นภายใน 15 วัน มิฉะนั้นจะฟ้องร้องดำาเนินคดี
ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าสองจะมีข้อต่อสู้อย่างไรหรือไม่
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1299 วรรค 2 ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจาก
นิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้นถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จด
ทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริต
แล้ว
ตามปัญหา สามซื้อที่ดินจากหนึ่งโดยภายหลังจากจดทะเบียนโอนแล้วจึงทราบว่าสองครอบครองที่ดินนั้นอยู่ แสดงว่าในขณะที่
จดทะเบียนโอน สามยังไม่ทราบว่าสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินนั้น จึงถือว่าสามเป็นผู้ซื้อโดยสุจริต ดังนี้สามจึงเป็นบุคคล
ภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว สิทธิครอบครองปรปักษ์ของสองนั้น
เมื่อยังมิได้จดทะเบียนจึงยกเป็นข้อต่อสู้สามไม่ได้ตาม ปพพ. มาตรา 1299 วรรค 2 ดังกล่าว
สีเ่ ป็นผู้รับโอนที่ดินนั้นต่อจากสาม เมื่อสามซึ่งเป็นผู้โอนได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว สี่ซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมมี
สิทธิเช่นเดียวกับสามผู้โอน โดยไม่ต้องวิเคราะห์วา่ สี่จะเป็นผู้ได้สิทธิโดยเสียค่าตอบแทน หรือโดยสุจริตหรือไม่ สี่จึงมีสิทธิดีกว่า
สองผู้ครอบครองปรปักษ์ (เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่ 1015/2485)
ดังนั้น สองจึงไม่มขี ้อต่อสูแ้ ต่ประการใด
2. สมชายทะเลาะกับแฟนสาวและโกรธที่แฟนสาวคืนแหวนทองซึ่งตนให้เป็นของขวัญจึงขว้างแหวนทองนั้นทิ้งไปในกองขยะ
แล้วจากไป สมศรีเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปค้นหาจนพบแหวนทองนั้น สุดสวยอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเห็นว่าแหวนทองนั้นสวยมาก
จึงขอซื้อ สมศรีเกรงว่าเก็บไว้อาจมีปัญหายุ่งยากจึงขายแหวนทองนั้นให้สุดสวยไป วันรุ่งขึ้น สมชายนึกเสียดายแหวนทองนั้นจึง
กลับไปหาที่เดิมและทราบความจริงว่า สุดสวยเป็นคนรับซื้อแหวนทองนั้นไว้ สมชายจึงตามไปทวงแหวนนั้นคืนจากสุดสวย
ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าสุดสวยจะมีข้อต่อสู้อย่างไรหรือไม่
เฉลย
ตาม ปพพ.มาตรา 1319 ถ้าเจ้าของสังหาริมทรัพย์เลิกครอบครองทรัพย์ด้วยเจตนาสละกรรมสิทธิไซร้ ท่านว่าสังหาริมทรัพย์นั้น
ไม่มีเจ้าของ
มาตรา 1318 บุคคลอาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิแห่งสังหาริมทรัพย์อันไม่มีเจ้าของโดยเข้าถือเอา เว้นแต่การเข้าถือเอานั้นต้องห้าม
ตามกฎหมาย หรือฝ่าฝืนสิทธิของบุคคลอื่นที่จะเข้าถือเอาสังหาริมทรัพย์นั้น
ตามปัญหา สมชายทะเลาะกับแฟนสาวและโกรธที่แฟนสาวคืนแหวนทองซึ่งตนให้เป็นของขวัญ จึงขว้างแหวนทองนั้นทิ้งไปใน
กองขยะ ถือได้วา่ สมชายเลิกครอบครองสังหาริมทรัพย์ด้วยเจตนาสละกรรมสิทธิแล้ว แหวนทองนั้นจึงเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มี
เจ้าของ ตาม ปพพ. มาตรา 1319 ดังกล่าว
สมศรีเข้าไปค้นหาจนพบแหวนทองนั้น จึงถือได้ว่าสมศรีได้มาซึ่งกรรมสิทธิแห่งแหวนทองนั้นซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์อันไม่มี
เจ้าของ โดยเข้าถือเอา ตาม ปพพ. มาตรา 1318 ดังกล่าว สุดสวยเป็นผู้รับซื้อแหวนทองนั้นจากสมศรีผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ
สุดสวยจึงได้กรรมสิทธิในแหวนทองนั้นโดยชอบ
ฉะนั้น สุดสวยจึงมีข้อต่อสู้ตามหลักกฎหมายดังกล่าว
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยความเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้
ท่านว่าบุคคลนั้นได้
ตามปัญหา ค. ซื้อช้างซึ่งเป็น...พาหนะจาก ข. โดยมิได้มีการโอนกันทางทะเบียน การซื้อขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม
กฎหมาย แต่เนื่องจาก ค. รับซือ้ ช้างนั้นไว้โดยมิทราบว่า ข. มิใช่เจ้าของที่แท้จริงจึงถือได้ว่า ข. ได้ครอบครองช้างซึ่งเป็น
สังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นไว้โดยสุจริต ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยได้ครอบครอบติดต่อกันเป็นเวลา 6 ปีซึ่งเกินกว่า 5 ปีตาม
กฎหมาย และไม่ปรากฏว่าเป็นการครอบครองโดยไม่สงบ หรือไม่เปิดเผยแต่ประการใด ค จึงได้กรรมสิทธิ์ในช้างนั้นโดยการ
ครอบครองปรปักษ์ ตาม ปพพ. มาตรา 1382 ดังกล่าว
ฉะนั้น ค. จึงมีข้อต่อสู้ ข ได้โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ตามหลักกฎหมายดังกล่าว
4. จันทร์ได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำานาจให้อังคารนำาที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งไปจำานอง แต่อังคารได้แก้ไขหนังสือมอบอำานาจนั้น
แล้วไปทำานิติกรรมโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ตนเอง หลังจากนั้นอังคารได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงดังกล่าวแก่
นายพุธ โดยพุธไม่ทราบเรื่องความเป็นมาและได้จ่ายเงินค่าซื้อฝากไปเรียบร้อยแล้ว ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า จันทร์จะมีสิทธิขอให้
เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและขายฝากดังกล่าวได้หรือไม่โดยอาศัยบทกฎหมายใด
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1336 “ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำาหน่ายทรัพย์สินของตน และได้ซึ่ง
ดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืน ซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัด
ขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
ตามปัญหา การที่จันทร์ได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำานาจให้อังคารนำาที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งไปจำานอง แต่อังคารกลับแก้ไขหนังสือ
มอบอำานาจนั้น แล้วนำาไปทำานิติกรรมโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวแก่ตนเองนั้น เห็นได้ว่าเป็นการกระทำาโดยปราศจากอำานาจ
ดังนั้น ถือว่านิติกรรมโอนขายที่ดินดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเลย กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวจึงยังคงเป็นของจันทร์อยู่ อังคาร
ไม่มสี ิทธิใดที่จะนำาที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายฝากได้ แม้พุธจะได้ซื้อฝากโดยจดทะเบียนเรียบร้อยแล้ว และกระทำาการโดยสุจริต
ก็ไม่ทำาให้เกิดสิทธิใดซึ่งเป็นไปตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน (คำาพิพากษาฎีกาที่ 1048/2536)
ฉะนั้น จันทร์เจ้าของกรรมสิทธิจึงมีสิทธิติดตามเอาคืนโดยฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและขายฝากดังกล่าวได้ โดย
อาศัยอำานาจของเจ้าของกรรมสิทธิตามมาตรา 1336 ดังกล่าว
5. เสนอให้สนองอยู่อาศัยทำากินในที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของตนได้โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า สนองอยู่ทำากินได้ 2 ปี ก็ไปขอให้ทาง
ราชการออก สทก. (หนังสืออนุญาตให้ได้รับการผ่อนผันให้มีสิทธิทำากินในที่ดินได้ชั่วคราว) ให้แก่ตนเองโดยนายเสนอไม่ทราบ
เรื่อง อีก 10 ปีต่อมา เสนอต้องการใช้ที่ดินแปลงดังกล่าว จึงขอให้สนองย้ายออกไปแต่สนองไม่ยอมโดยต่อสู้ว่าตนได้สิทธิครอบ
ครองโดยชอบแล้ว ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า เสนอจะมีข้อต่อสู้อย่างไร หรือไม่
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1381 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการ
ยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครอง
โดยสุจริต อาศัยอำานาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก”
ตามปัญหา การที่เสนอให้สนองอยู่อาศัยทำากินในที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของตนโดยไม่ต้องเสียค่าเช่านั้น เห็นได้ว่าสนองอยู่ใน
ที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของเสนอ ถือว่าสนองยึดถือที่ดินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง แม้สนองจะไปขอให้ทาง
ราชการออก สทก.1 ให้แก่ตนเอง ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ เช่นนี้แม้สนองจะ
ไปขอให้ทางราชการออกหนังสือดังกล่าวช้านานเพียงใด ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ ขึ้น สนองยังคงอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบ
ครองอยู่นั่นเอง (คำาพิพากษาฎีกาที่ 1720/2536)
ฉะนั้น ตราบใดที่สนองยังมิได้บอกกล่าวไปยังเสนอว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินดังกล่าวแทนเสนออีกต่อไป แม้สนองจะยึดถืออยู่
นานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง เสนอจึงมีข้อต่อสู้ตามมาตรา 1381 ดังกล่าว
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสีย
เปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจด
ทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำาการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้
เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”
ตามปัญหา การที่สุกทำาสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่ใสนั้น สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวก่อให้เกิดเพียงบุคคลสิทธิ
ยังไม่ทำาให้ใสเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำาสัญญา
ประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมให้สุกโอนที่ดินให้แก่ใสแล้ว แม้จะยังมิได้จดทะเบียนโอน ใสก็เป็น
บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะได้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้ว ตาม ปพพ. มาตรา 1300 ดังกล่าว เจ้าหนี้ของสุกจะบังคับ
คดียึดที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นทางเสียเปรียบแก่ใสไม่ได้ ( คำาพิพากษาฎีกาที่ 4137/2533 )
ฉะนั้น ใสจึงมีข้อต่อสู้เจ้าหนี้ของสุกได้ โดยยกข้อต่อสู้ตามมาตรา 1300 ดังกล่าว
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสีย
เปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจด
ทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำาการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้
เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”
ตามปัญหา เกศได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงหนึ่งโดยการครอบครองโดยปรปักษ์แล้วแต่ยังมิได้นำาไปจดทะเบียน เกศจึงเป็นบุคคลผู้
อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ตามมาตรา 1300 ดังกล่าว การที่เกล้าจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดิน
แปลงดังกล่าวตามพินัยกรรม จึงเป็นทางเสียเปรียบแก่เกศผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ในเมื่อเกล้า
ได้รับโอนโดยทางมรดกซึ่งเป็นการได้มาโดยเสน่หามิได้มีค่าตอบแทน แม้จะได้จดทะเบียนรับโอนแล้ว เกศก็เรียกให้เพิกถอน
ทางทะเบียนได้ ( เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่ 1886/2536 )
ฉะนั้น เกศจึงมีข้อต่อสู้โดยฟ้องให้เพิกถอนทางทะเบียนได้ตามมาตรา 1300 ดังกล่าว
8. สีให้แสงเช่าที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของตนโดยคิดค่าเช่าเป็นส่วนแบ่งข้าวเปลือกจากการทำานาในที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมา
สีถึงแก่กรรม จากนั้นแสงก็ไม่ได้ชำาระค่าเช่าและแสดงตนเป็นเจ้าของที่ดินเสียเองอีก 5 ปี ต่อมาสวยทายาทผู้รับมรดกของสี
ทราบเรื่องจึงยื่นคำาขาดให้แสงออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวมิฉะนั้นจะฟ้องร้องดำาเนินคดี ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าแสงจะมีข้อ
ต่อสู้หรือไม่ อย่างไร
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1381 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการ
ยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครอง
โดยสุจริต อาศัยอำานาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก”
ตามปัญหาแสงเช่าที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งจากสี โดยเสียค่าเช่าเป็นส่วนแบ่งข้าวเปลือกจากการทำานาในที่ดินแปลงดังกล่าว
แสงจึงเป็นบุคคลผู้ยึดถือที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนสี ผู้ครอบครองตามมาตรา 1381 ดังกล่าว แสงจะเปลี่ยน
ลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยการบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่า ไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองอีกต่อไป
หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำานาจใหม่จากบุคคลภายนอก ในเมื่อแสงเพียงแสดงตนเป็นเจ้าของโดยมิได้บอก
กล่าวไปยังผู้ครอบครอง และมิได้อำานาจใหม่จากบุคคลภายนอกแต่ประการใด แม้แสงจะยึดถือที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่นาน
เท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง (เทียบคำาพิพากษาคดีฎีกาที่ 699/2536)
ฉะนั้น แสงจึงไม่มีข้อต่อสู้แต่ประการใด ตามนัยสำาคัญแห่งมาตรา 1381 ดังกล่าว
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1304 สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือ
สงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น…(2) ทรัพย์สินสำาหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางนำ้า ทางหลวง ทะเลสาบ
มาตรา 1305 ห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ตามปัญหา ที่ตื้นเขินชายตลิ่งซึ่งนำ้าท่วมถึงนั้นย่อมเป็นทรัพย์สินสำาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ตามมาตรา 1304 (2) ดังกล่าว ที่ตื้นเขินนั้นจึงมิใช่ที่งอกริมตลิ่ง ฉะนั้นพลอยเจ้าของที่ดินมีโฉนดที่ติดชายตลิ่งนั้นจึงหาได้
กรรมสิทธิ์ในที่ตื้นเขินนั้นไม่ (เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่ 350/2522) เมื่อที่ตื้นเขินนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินผู้ใดเข้าครอบ
ครองเป็นเวลานานเท่าใด ก็หาอาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินได้ไม่ ตามมาตรา 1306 ดังกล่าว ฉะนั้น แม้เพชรจะ
ได้ครอบครองทำาประโยชน์ในที่ตื้นเขินนั้นเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ก็หาได้กรรมสิทธิ์แต่อย่างใดไม่
ฉะนั้น ทั้งเพชรและพลอยหาได้กรรมสิทธิ์ในที่ตื้นเขินชายตลิ่งนั้นไม่ ตามมาตรา 1304 (2) และมาตรา 1306 ดังกล่าว
กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สิน
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1350 ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกัน เป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่สาธารณะไซร้ ท่านว่าเจ้าของ
ที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนและไม่ต้องเสียค่าทดแทน
ตามปัญหา ปูได้แบ่งขายที่ดินให้แก่ปลาโดยจดทะเบียนโอนกันเรียบร้อยแล้ว ต่อมาทางราชการจึงได้ตัดถนนผ่านหน้าที่ดินของ
ปู เช่นนี้เห็นได้ว่าทางสาธารณะได้เกิดขึ้นภายหลังจากได้แบ่งแยกที่ดินแล้ว มิใช่กรณีแบ่งแยกที่ดินเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มี
ทางออกสู่สาธารณะ อันเป็นผลให้เจ้าของที่ดินแปลงที่ไม่มีทางออกนั้นมีสิทธิเรียกเอาทางเดินบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกโดยไม่
ต้องเสียค่าทดแทนตามมาตรา 1350 กรณีนี้จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ปลาจึงเรียกให้ปูเปิดทางจำาเป็นให้ตนผ่านออกสู่
สาธารณะ โดยอ้างสิทธิไม่ต้องเสียค่าทดแทนไม่ได้ (เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่ 629/2522)
ฉะนั้น ข้ออ้างไม่ต้องเสียค่าทดแทนของปลาจึงหารับฟังได้ไม่
12. กิ่งยื่นคำาร้องขอออกหนังสือรับรองการทำาประโยชน์และนำาเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินผืนหนึ่งโดยเข้าใจเป็นที่รกร้างว่างเปล่า
แต่แท้จริงแล้วที่ดินผืนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในเขตที่ดินมือเปล่าของแก้ว อีกปีเศษต่อมา กิ่งนำารถไปไถทีด่ ินนั้นเพื่อเข้าทำาประโยชน์
แก้วทราบเรื่องจึงยื่นคำาขาดให้หยุดกระทำาการและขนย้ายทรัพย์สินออกไป ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า กิ่งจะมีข้อต่อสู้อย่างใด หรือ
ไม่
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1375 เข้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่ง
การครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง
ตามปัญหา การที่กิ่งยื่นคำาร้องขอออกหนังสือรับรองการทำาประโยชน์และนำาเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินในเขตที่ดินมือเปล่าของ
แก้วนั้น เห็นได้ว่ากิ่งยังมิได้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินนั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแย่งการครอบครอง แต่เมื่อกิ่งนำารถไปไถ
ที่ดินนั้นเพื่อเข้าทำาประโยชน์จึงถือได้ว่าการแย่งการครอบครองได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ระยะเวลาการแย่งการครอบครองยังไม่ครบปี
หนึ่ง แก้วจึงยังไม่ขาดสิทธิในการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามมาตรา 1375 ดังกล่าว (เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่
596/2530)
ฉะนั้น กิ่งจึงไม่มีข้อต่อสู้แต่ประการใด ตามนัยแห่งมาตรา 1375 ดังกล่าว
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1304 สาธารณสมบัติแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้
เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น…(2) ทรัพย์สินสำาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
มาตรา 1305 ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำานาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือ
พระราชกฤษฎีกา
ตามปัญหา ที่ดินซึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่ชาวบ้านใช้เลี้ยง...ร่วมกันนั้นเป็นทรัพย์สินสำาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (2) ดังกล่าว เมื่อที่ดินที่หมอกซื้อเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้หมอกจะซื้อจากการขาย
ทอดตลาดตามคำาสั่งของศาลโดยสุจริต หมอกก็ไม่ได้สิทธิในที่ดินแปลงนั้น เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กัน
มิได้ตามมาตรา 1305 ดังกล่าว (เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่ 2622/2522)
ฉะนั้น หมอกจึงไม่มขี ้อต่อสูแ้ ต่ประการใด ตามมาตรา 1304 (2) และมาตรา 1305 ดังกล่าว
14. เสือสร้างบ้านหลังหนึ่งแต่ได้ทำาถังส้วมซีเมนต์รุกลำ้าเข้าไปฝังอยู่ในที่ดินของช้าง โดยเข้าใจว่าอยู่ในเขตที่ดินของตนเอง เมื่อ
มีการรังวัดตรวจสอบเขตจึงทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว เสือจึงเสนอเงินค่าตอบแทนแก่ช้างเป็นค่าใช้ที่ดิน แต่ช้างไม่ยอมและ
ยืนยันให้เสือรื้อถอนออกไป ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า เสือจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างใด หรือไม่
เฉลย
ตาม ปพพ.มาตรา 1312 วรรค 1 บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกลำ้าเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของ
โรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนเป็นภารจำายอม…
ตามปัญหา เสือทำาถังส้วมซีเมนต์รุกลำ้าเข้าไปฝังอยู่ในที่ดินของช้างโดยเข้าใจว่าอยู่ในเขตที่ดินของตนเอง แต่ถังส้วมซีเมนต์มิใช่
โรงเรือนและอยู่นอกโรงเรือนไม่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือน แม้เสือจะกระทำาโดยสุจริตก็ไม่ได้รับ การคุ้มครองตามมาตรา 1312
วรรค 1 ดังกล่าว แม้เสือจะเสนอเงินตอบแทนแก่ช้างเป็นค่าใช้ที่ดิน แต่ช้างไม่ยอม เสือก็ต้องรื้อถอนถังส้วมซีเมนต์นั้นออกไป (
เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่ 2316/2522)
ฉะนั้น เสือจึงไม่ได้การคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรค 1 แต่ประการใด
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินผู้อื่นไว้โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็น
อสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่า
บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
ตามปัญหา ทุเรียนซื้อเรือนแพจากขนุน และได้จดทะเบียนโอนกันเรียบร้อย โดยทุเรียนไม่ทราบว่าขนุนปลอมหนังสือมอบ
อำานาจของบิดา เข้าใจว่าเป็นการโอนโดยชอบ จึงเห็นได้ว่าทุเรียนกระทำาโดยสุจริต และได้ครอบครองเรือนแพนั้นด้วยเจตนา
เป็นเจ้าของ และไม่ปรากฏว่าทุเรียนครอบครองโดยไม่สงบหรือโดยไม่เปิดเผยแต่ประการใด แม้เรือนแพนั้นจะมิใช่ของขนุนผู้
ขาย แต่เมื่อทุเรียนมิได้ครอบครองแทนผู้อื่น แต่ได้ครอบครองโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสำาหรับ
เรือนแพซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกินห้าปี ทุเรียนจึงได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382 ดังกล่าว (เทียบคำา
พิพากษาฎีกาที่ 969/2536)
ฉะนั้น ทุเรียนจึงมีข้อต่อสู้โดยอ้างการครอบครองปรปักษ์ได้ตามมาตรา 1382 ดังกล่าว
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1381 บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการ
ยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปหรือตนเองเป็นผู้ครอบครอง
โดยสุจริตอาศัยอำานาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก
ตามปัญหา บุญมาให้บุญมีเข้าทำากินในที่ดินมือเปล่าของตนแทนการชำาระหนี้ดอกเบี้ยนั้นเห็นได้วา่ บุญมีได้ยึดถือที่ดินดังกล่าว
อยู่ในฐานะเป็นผูแ้ ทนบุญมาผู้ครอบครอง การที่บุญมีไปขอออก น.ส.3 ก. ในที่ดินนั้นเป็นชื่อของตนโดยเห็นว่าอย่างไรเสียก็ไม่
ได้ชำาระหนี้แน่นั้นยังถือไม่ได้วา่ เป็นการบอกกล่าวไปยังบุญมาผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินดังกล่าวแทนบุญมาผู้
ครอบครองต่อไป จึงยังมิใช่การแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตาม ปพพ. มาตรา 1381 แต่ประการใด ดังนี้แม้บุญ
มีจะยึดถือที่ดินนั้นเป็นเวลาช้านานเพียงไรก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง (เทียบคำาพิพากษาฎีกาที่ 3417/2527)
ดังนั้น บุญมีจึงไม่มีข้อต่อสู้บุญมาแต่ประการใด
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1300 ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสีย
เปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจด
ทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำาการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้
เพิกถอนทะเบียนไม่ได้
ตามปัญหา ขาวได้กรรมสิทธิ์สว่ นหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของแดงโดยการครอบครองปรปักษ์มาเป็นเวลานานแล้วแต่มิได้จด
ทะเบียน ต่อมาแดงได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวทั้งแปลงให้แก่เขียว เมื่อเขียวทราบว่าขาวครอบครองที่ดินส่วนนั้นอยู่แล้วย่อมถือ
ได้ว่าเขียวเป็นผู้รับโอนโดยไม่สุจริต แม้เขียวจะสำาคัญผิดว่าเป็นที่ดินอยู่นอกโฉนดและเข้าใจว่าเป็นที่ดินของขาวเองก็ไม่อาจ
เป็นข้ออ้างที่จะทำาให้เขียวเป็นผู้จดทะเบียนรับโอนโดยสุจริตได้แต่ประการใด ฉะนั้นการจดทะเบียนดังกล่าวจึงเป็นทางเสีย
เปรียบแก่ขาวผู้ครอบครองปรปักษ์ซึ่งอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนอยู่ก่อนตาม ปพพ. มาตรา 1300 (เทียบคำา
พิพากษาฎีกาที่ 265/2530)
ดังนั้น ขาวจึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนของเขียวในส่วนที่ดินที่ตนครอบครองได้
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1377 ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้ การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง
ถ้าเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมีมาขัดขวางมิให้ผู้ครอบครองยึดถือทรัพย์สินไซร์ ท่านว่าการครอบครองไม่สิ้นสุดลง
ตามปัญหา การที่ชาติยอมออกจากที่ดินมือเปล่าของตนเพราะหลงเชื่อคำาบอกกล่าวของเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินนั้นเป็นที่
สาธารณะ ภายหลัง 10 ปีเศษต่อมามีการรังวัดสอบเขตที่ดินใหม่ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวอยู่นอกเขตที่สาธารณะนั้น เห็นได้ว่า
ชาติยินยอมออกจากที่ดินดังกล่าวเป็นเวลาถึง 10 ปีเศษแล้ว ถือไม่ได้ว่ามีเหตุอันมีสภาพเป็นการชั่วคราวมาขัดขวาง มิให้ชาติ
ยึดถือทรัพย์สินตาม ปพพ. มาตรา 1377 วรรคสอง จึงถือได้วา่ ชาติสละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือที่ดินนั้นต่อไป การครอบ
ครองของชาติจึงสิ้นสุดลงตาม ปพพ. มาตรา 1377 วรรคหนึ่ง (คำาพิพากษาฎีกาที่ 2954/2523)
ดังนั้น ชาติจะเรียกร้องที่ดินดังกล่าวคืนหาได้ไม่
เฉลย
ตาม ปพพ. มาตรา 1336 ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำาหน่ายทรัพย์สินของตน และได้ซึ่ง
ดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวาง
มิให้ผู้อื่นสอดเข้ามิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ตามปัญหา การที่เสือนำาพินัยกรรมปลอมไปจดทะเบียนรับมรดกที่ดินมีโฉนดปลงหนึ่งมาเป็นของตน แล้วนำาไปจดทะเบียนขาย
ฝากให้แก่ช้างนั้น เห็นได้ว่าเสือไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะทำานิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินนั้นได้ ฉะนั้นช้างจึงเป็น
ผูร้ ับขายฝากจากผู้ซึ่งไม่มสี ิทธิใด ๆ แม้ช้างจะได้จดทะเบียนโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับการคุ้มครองตามหลักผู้รับ
โอน ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้รับโอน ฉะนั้น แมวเจ้าของที่แท้จริงจึงมีสิทธิติดตามเอาคืนจากช้างผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตาม ปพพ.
มาตรา 1336 ดังกล่าว
ดังนั้น แมวจึงเรียกให้ช้างส่งมอบที่ดินดังกล่าวคืนแก่ตนได้
เฉลย
ตามปพพ. มาตรา 1360 เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่น ๆ
ท่านให้สันนิฐานไว้ก่อนว่า เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ มีสิทธิ์ได้ดอกผลตามส่วนของตนที่มีในทรัพย์สินนั้น
ตามปัญหา การที่เสนาะและสะอาดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกันในสวนมะพร้าวแปลงหนึ่งโดยมีส่วนคนละครึ่ง เสนาะได้
เข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยอยู่ในสวนมะพร้าวดังกล่าวนั้นสามารถกระทำาได้เพราะเป็นการใช้ทรัพย์สินในฐานะที่ตนเป็นเจ้าของ
รวมคนหนึ่ง ตามมาตรา 1360 วรรคหนึ่งแห่ง ปพพ. โดยไม่ถือว่าละเมิดต่อสะอาดซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง แม้สะอาดจะ
ไม่ทราบเรื่องและเสนาะก็ไม่เคยขออนุญาตก็ตาม เพราะผลมะพร้าวเป็นดอกผลของทรัพย์สินคือสวนมะพร้าวที่เสนาะและ
สะอาดมีส่วนคนละครึ่ง เมื่อไม่มีข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นตามมาตรา 1360 วรรคสองแห่ง ปพพ. ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่า
เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิ์ได้ดอกผลตามส่วนของตนที่มีในทรัพย์สินนั้น สะอาดจึงมีสว่ นในเงินค่าขายผลมะพร้าวครึ่งหนึ่ง
ดังนั้น เห็นว่าสะอาดฟ้องขับไล่เสนาะให้ออกไปจากมะพร้าวไม่ได้และสะอาดมีสิทธิ์เรียกร้องเงินค่าขายผลมะพร้าวจากเสนาะ
ได้ครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
ข้อสอบเก่ากฎหมายพาณิชย์ 3
แนวตอบ
มาตรา 682 วรรค สอง มาตรา 693
จากบทบัญญัติข้างต้น เมื่อเอกได้ชำาระหนี้ตามสัญญากู้เงินให้แก่ศักดิ์เจ้าหนี้แล้ว เอกย่อมเข้ารับช่วงสิทธิ์ของศักดิ์ บรรดามี
เหนือชาติลูกหนี้ และมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากชาติได้เต็มจำานวน แต่เมื่อปรากฏว่าชาติไม่มีเงินชำาระให้ เอกก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอากับ
เชิญซึ่งเป็นผู้คำ้าประกันอีกคนได้ แม้จะมิได้ทำาสัญญาคำ้าประกันร่วมกันกับเชิญก็ตาม แต่ทั้งเอกและเชิญต่างก้มีความรับผิด
อย่างลูกหนี้ร่วมต่อศักดิ์เจ้าหนี้ตามม.682 วรรค 2 เมื่อเอกชำาระหนี้ให้ศักดิ์แล้ว เอกย่อมรับช่วงสิทธิจากศักดิ์มาไล่เบี้ยเอาจาก
เชิญได้ แต่มสี ิทธิไล่เบี้ยได้เพียงกึ่งหนึ่งของจำานวนเงินที่ได้ชำาระไปเท่านั้น
แนวตอบ
มาตรา 724 วรรค หนึ่ง
จากข้อเท็จจริงในปัญหา นายชาติได้จำานองที่ดินของตนเป็นประกันหนี้ที่นายสินกู้เงินนายพันธุ์ 6 แสนบาท จึงเป็นเรื่องที่นาย
ชาติจำานองทรัพย์เป็นประกันหนี้ที่ผู้อื่นเป็นลูกหนี้ เมื่อนายชาติเข้าชำาระหนี้แทนนายสินลูกหนี้ 6 แสนบาท เต็มจำานวนหนี้โดย
มิได้มีการบังคับจำานองที่ดินของนายชาติ ดังนั้น นายชาติก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องนายสินให้ชำาระหนี้คืนแก่ตนได้ 6 แสนบาท เท่า
จำานวนที่ได้ชำาระหนี้แทนไป แม้ที่ดินจำานองจะมีราคาเพียง 3 แสนบาทก็ตาม นายสินลูกหนี้จะขอชำาระ เงิน 3 แสนบาทเท่า
ราคาที่ดินไม่ได้
ข้าพเจ้าจะแนะนำาให้นายชาติเรียกร้องให้นายสินชำาระเงิน 6 แสนบาท เท่าที่ได้เข้าชำาระหนี้แทนนายสิน
แนวตอบ
ปพพ.มาตรา 937 940 967 900 914
ตามปัญหาครามรับผิดต่อเขียวในฐานะเป็นผู้จ่ายที่ได้ลงลายมือชื่อรับรองตั๋วแลกเงิน(มาตรา 967 900 )
แสดรับผิดต่อเขียวในฐานะลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงิน (มาตรา 914 967 )
ส้มและฟ้ารับผิดต่อเขียวในฐานะผู้สลักหลัง (มาตรา 914)
ม่วงรับผิดต่อเขียวในฐานะผู้อาวัลฟ้า (มาตรา 940) ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกับบุคคลซึ่งตนประกัน
แนวตอบ
ปพพ.ม.700
การผ่อนเวลาในมาตราดังกล่าว หมายถึงกรณีที่เจ้าหนี้และลูกหนี้ตกลงกันให้มีการขยายกำาหนดเวลาชำาระหนี้ออกไปอีกระยะ
หนึ่งและข้อตกลงดังกล่าวต้องมีผลผูกพันเจ้าหนีว้ ่าถ้ายังไม่ถึงกำาหนดที่ขยายออกไปนั้นเจ้าหนี้ยังไม่มีสิทธิจะเรียกร้องให้ลูกหนี้
ชำาระหนี้ได้
สำาหรับกรณีที่น้อยส่งจดหมายขอขยายกำาหนดชำาระหนี้ออกไปอีก 2 เดือนนั้นเป็นการแสดงเจตนาฝ่ายเดียวไม่มีผลผูกพันตาม
กำาหนดเวลานั้นจึงไม่ใช่กรณีที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ตามม.700 ดังนั้นเมื่อหนี้ถึงกำาหนดชำาระแล้ว แม้ใหญ่จะเรียกร้องให้น้อย
ชำาระหนี้หลังจากครบกำาหนดไปแล้ว 2 เดือนและน้อยไม่ชำาระหนี้ให้ ใหญ่ก็มีสิทธิเรียกร้องเอาจากกลางในฐานะผู้คำ้าประกันได้
กลางยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
แนวตอบ
ปพพ.มาตรา 724 วรรคสอง
ตามข้อเท็จจริง ในปัญหา นายทรัพย์นำาที่ดินของตนราคา 7 แสนบาท มาจำานองประกันหนี้ที่นายสมกู้เงินนายสักไป 4 แสน
บาท จึงเป็นเรื่องที่นายทรัพย์จำานองที่ดินเป็นประกันหนี้ของผู้อื่น เมื่อนายทรัพย์มิได้เข้าชำาระหนี้แทนนายสมลูกหนี้ แต่ให้นาย
สักเจ้าหนี้บังคับจำานองที่ดินของตนได้เงินชำาระหนี้ 3 แสนบาท นายทรัพย์จึงมีสิทธิเรียกให้นายสมชำาระเงินคืนแก่ตนได้เพียง 3
แสนบาท เท่าจำานวนที่นายสักเจ้าหนี้ได้รับชำาระหนี้จากการบังคับจำานองที่ดินนายทรัพย์จะไปเรียกร้องให้นายสมชำาระเงินกู้แก่
ตน 7 แสนบาท เท่าราคาที่ดินจำานองไม่ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว การที่นายสมลูกหนี้ยืนยันขอชำาระหนี้คืนแก่นายทรัพย์เพียง 3 แสนบาท จึงเป็นข้ออ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย
ทุกประการ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับข้ออ้างของนายสม
แนวตอบ
ปพพม. 900 921 967 940 914
ข้อเท็จจริงตามปัญหา
มีนารับผิดในฐานะอาวัลมกรา ตามม.921 การสลักหลังต๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล)
สำาหรับผู้สั่งจ่าย
กุมภาไม่ต้องรับผิดเพราะมิได้ลงลายมือชื่อในตั๋วแลกเงิน (ม.900)
เฉลย
ปพพ.มาตรา 905 วรรคสอง
ตามกฏหมายลักษณะตั๋วเงินบัญญัติเป็นใจความว่า ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใด ต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครองท่านว่าผู้ทรง
ซึ่งแสดงให้ปรากกสิทธิของตนในตั๋วด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย หาจำาต้องสละ
ตั๋วเงินไม่ เว้นแต่ได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง หมายความว่าในเรื่องตั๋วเงินนั้นผู้รับโอนอาจ
มีสิทธิดีกว่าผู้โอน คือ ผู้ทรงอาจมีสิทธิดีกว่าผู้สลักหลังแก่ตนได้ ยกวันสองกรณีที่ผู้ทรงไม่มีสิทธิดีกว่าผู้สลักหลัง คือกรณีที่ผู้ทรง
ได้ตั๋วมาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลิ่นเล่ออย่างร้ายแรง
ตามอุทาหรณ์ นายเฉลาผู้ทรงซึ่งรับสลักหลังเช็คมาจากนายเฉลียวรู้อยู่ว่านายเฉลียวได้รับลักหลังเช็คมาด้วยการข่มขู่นาย
ฉลาดแต่ทั้งๆรู้เช่นนั้นยังรับโอนเช็คนั้นมา ดังนี้นายเฉลาผู้ทรงได้เช็คมาโดยทุจริต มีสิทธิเท่ากับนายเฉลียว นายเฉลาผู้ทรงจึงจำา
ต้องคืนเช็คให้แก่นายฉลาด หากนายฉลาดมาปรึกษา ข้าพเจ้าจะให้คำาปรึกษาให้นายฉลาดเรียกเช็คคืนจากนายเฉลา...
เฉลย
ปพพ.ม.991 ม.1009
กรณีตามปัญหาเป็นเรื่องความรับผิดของธนาคารในการจ่ายเงินตามที่มีผู้นำาตั๋วเงินชนิดจะพึงใช้เงินตามเขาสั่งเมื่อทวงถามมา
เบิกต่อธนาคาร ตามปพพ.ม.1009 การที่นายดอด ได้นำา เช็คของนายดีมาเขียนสั่งจ่ายเงินจำานวน 1 แสนบาท โดยลงลายมือชื่อ
นายดีเป็นการปลอมลายมือชื่อนายดีผู้สงั่ จ่าย เมื่อนายมีนำาเช็คมาทวงถามให้ธนาคารนครทนจำากัดใช้เงิน สมุห์บัญชีได้จ่ายเงิน
ไปโดยไม่ได้ตรวจสอบลายมือชื่อนายดีผู้สั่งจ่ายจากตัวอย่างลายมือชื่อที่ให้ไว้กับธนาคาร ถือว่าสมุห์บัญชีประมาทเลินเล่อ แม้
สมุห์บัญชีจ่ายเงินไปตามการค้าปกติ โดยสุจริตก็ตาม สมุห์บัญชีเป็นตัวแทนของธนาคารนครทน จำากัด มีหน้าที่ตรวจสอบ
ลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายเมื่อมีผู้นำาเช็คมาทวงถามให้ธนาคารใช้เงิน เนื่องจากมีนิติสัมพันธ์กับธนาคารตามสัญญาบัญชีเดิน
สะพัด ปพพ.ม.1009 คุ้มครองกรณีที่ลายมือชื่อของผู้รับเงินหรือของผู้สลักหลังปลอมเท่านั้น ถือว่าธนาคาร ไม่มีหน้าที่ต้องไป
ตรวจสอบลายมือชื่อบุคคลเหล่านั้น เพื่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงานของธนาคาร แต่ถ้าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายปลอม
ก็เท่ากับนายดีผู้สั่งจ่ายไม่ได้สั่งจ่ายเงินตามเช็คนั้น ธนาคารจึงไม่มีหน้าที่จ่ายเงินจากบัญชีของนายดีตาม ปพพ.ม.991..
เมื่อธนาคารจ่ายเงินไปกรณีลายมือชื่อปลอม ธนาคารต้องรับผิดต่อผู้จ่าย นายดีจึงมีสิทธิฟ้องให้ธนาคารรับผิดใช้เงินจำานวน 1
แสน บาท แก่ตน.
9. เสถียรกู้เงินสถิตย์ จำานวน 6 หมื่นบาท โดยจดทะเบียนจำานองที่ดินของตนเป็นประกันจำานวน 6 หมื่นบาท และสาธร คำ้า
ประกันหนี้ดังกล่าว ต่อมาเสถียรผิดนัดไม่ชำาระหนี้ และหนี้ตามสัญญาเงินกู้ยืมขาดอายุความ
1.สถิตย์จะฟ้องบังคับจำานองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
2.สถิตย์จะฟ้องสาธรผู้คำ้าประกันให้ชำาระหนี้จำานวน 6 หมื่นบาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
เฉลย
1. ใช้ปพพ.ม.744(1) ม.745
ตามปัญหานีแ้ ม้หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความฟ้องร้องแล้วก้ตาม แต่สัญญาจำานองไม่ระงับเพราะ
เหตุหนี้ที่จำานองเป็นประกันขาดอายุความ เสถียรเจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องบังคับจำานองได้
2. ปพพ.ม.694
ตามปัญหาเมื่อสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเสถียรเป็นหนี้สถิตย์อันเป็นหนี้ประธานขาดอายุความทำาให้เจ้าหนี้ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับ
คดีได้ สาธรผู้คำ้าประกันย่อมยกข้อต่อสู้ของเสถียรลูกหนี้ต่อสู้สถิตย์ได้ ดังนั้นหากสถิตย์จะฟ้องสาธรผู้คำ้าประกันสาธรสามารถ
ยกข้อต่อสู้ของเสถียรเรื่องหนี้เงิน...้้ยืมขาดอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดได้.
เฉลย
ตั๋วแลกเงินต้องมีรายการอันหนึ่งคือ วันถึงกำาหนดใช้เงิน และปพพ.ม.903 บัญญัติวา่ ในการใช้เงินตามตั๋วท่านห้ามมิให้ให้วัน
ผ่อน ซึ่งหมายถึง ก่อนวันถึงกำาหนดใช้เงิน ผู้ทรงตั๋วเงินตกลงยินยอมเลื่อนกำาหนดเวลาใช้เงินออกไป แต่การที่ตั๋วเงินถึงกำาหนด
ใช้เงินแล้ว ลูกหนี้คือผู้จ่ายขอผ่อนเวลาชำาระเงินไปฝ่ายเดียว จึงไม่ใช่การผ่อนเวลาอันต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ตามอุทาหรณ์ ตั๋วแลกเงินถึงกำาหนดชำาระเงินวันที่ 5 ธันวาคม 2545 แล้วนายอังคารผู้จ่ายขอผ่อนเวลาชำาระเงินตามตั๋วแลกเงิน
ไปฝ่ายเดียว ซึ่งนายพฤหัสผู้ทรงไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยการกระทำาของนายอังคารจึงไม่ถือว่ามีการผ่อนวันใช้เงิน อันต้องห้าม
ตามกฏหมาย..
เฉลย
ตามปพพ.มาตรา 686
กรณีตามอุทาหรณ์ แม้หนี้ตามสัญญากู้ระหว่างกัญญากู้ระหว่าง ก.และข.จะมีกำาหนดระยะเวลาแน่นอนคือ 1 ปี แต่เนื่องจาก
สัญญา มีข้อกำาหนดให้แบ่งชำาระหนี้เป็นงวดๆถ้าผิดนัดไม่ชำาระงวดใด ให้ถือว่าผิดชำาระหนี้ทั้งหมด เมื่อข้อสัญญาดังกล่าวมิได้
มีวัตถุประสงค์ ขัดต่อกฏหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนข้อสัญญานี้จึงมีผลผลใช้บังคับได้เช่นนี้
เมื่อกัญญาผิดนัดไม่ชำาระหนี้ตั้งแต่งวดนี้ที่4 จึงต้องถือว่า ก. ผิดนัดไม่ชำาระหนี้ทั้งหมด มีผลให้วิชัยมีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้ก.
ชำาระหนี้ที่ค้างชำาระทั้งหมดได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงกำาหนด 1 ปี ก็ได้
เมื่อก.ผิดนัดลงเมื่อใด เจ้าหนี้ก็ชอบจะเรียกให้ ค.ในฐานะผู้คำ้าประกันชำาระหนี้ได้แต่นั้น แม้หนี้รายนี้ยังไม่ถึงกำาหนด 1 ปีก็ตาม
ดังนั้น ข. มีสิทธิฟ้อง ค. ให้ชำาระหนี้ได้ทันที.
แนวตอบ
ปพพ. มาตรา 722
ตามปัญหา การที่ผู้รับจำานองจะขอให้ลบสิทธิที่จดทะเบียนหลังการจำานองนั้น สิทธิที่จะขอให้ลบจะต้องเป็นภาระจำายอมหรือ
ทรัพยสิทธิ กรณีนี้การที่บุ้งให้บูนเช่าที่ดินเพื่อปลูกบ้านเป็นเพียงบุคคลสิทธิ แม้ได้จดทะเบียนการเช่าก็เป็นสิทธิที่ไม่อาจขอให้มี
การลบจากทะเบียนได้แม้สิทธิตามสัญญาเช่าจะได้จดทะเบียนภายหลังการจดทะเบียนจำานองก็ตาม ดังนี้เบี้ยวจะขอให้บุ้งลบ
สิทธิตามสัญญาเช่าไม่ได่เพราะเหตุผลดังกล่าว.
เฉลย
ปพพ.มาตรา 1007
ตามปัญหาเห็นว่า เมื่อแจ๋วแก้ไขจำานวนเงินในเช็คจาก 4 หมื่นบาท เป็น 4 แสนบาท เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำาคัญ
โดยจิ๋วเป็นคู่สัญญาผู้ต้องรับผิดตามเช็คมิได้ยินยอมด้วยทำาให้เช็คฉบับนั้นเสียไป แต่เช็คฉบับนั้นยังคงใช้ได้ต่อแจ๋วคู่สัญญาซึ่ง
เป็นผู้ทำาการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และจ๊อดผู้สลักหลัง ภายหลังเช็คที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้ว
ดังนั้นแจ๋วและจ๊อดต้องรับผิดต่อจ๋อยผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย
เฉลย
ปพพ.มาตรา 904 914 920 922
ตามปัญหา การที่กาดสลักหลังโดยมีเงื่อนไขในคำาสลักหลังว่าใหญ่จะมีสิทธิตามตั๋วแลกเงินต่อเมื่อใหญ่สอบเข้าทำางานในห้าง
สรรพสินค้าได้ ดังนี้เป็นเงื่อนไขในคำาสลักหลังถือว่าเงื่อนไขนั้นไม่ได้เขียนไว้เลย และตั๋วโอนไปยังใหญ่โดยไม่มีเงื่อนไข ตาม
ม.920 922 ใหญ่ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับสลักหลังตาม ม.904 ใหญ่มสี ิทธิไล่เบี้ยจากเมษในฐานะผู้สั่งจ่าย
ทิศและกาดในฐานะผู้สลักหลัง ตามม.914 ส่วนพจน์ ผู้จ่ายไม่ต้องรับผิดเนื่องจากยังไม่ได้รับรองตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าว.
1. กุ้งกู้เงินปู จำานวน 30,000 บาท เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2546 โดยมี ปลาเป็นผู้คำ้าประกัน มีกำาหนดชำาระหนี้เมื่อครบ 1 ปี เมื่อ
ครบกำาหนดชำาระหนี้ กุ้งเพิกเฉยไม่ชำาระหนี้ ปูเองก็ไม่ได้ทวงถามให้ชำาระหนี้แต่อย่างใด จนเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2548 ปูได้
ฟ้องให้ปลาชำาระหนี้ ปลาอ้างเรื่องที่ปูยอมผ่อนระยะเวลาชำาระหนี้ให้แก่กุ้ง โดยปลามิได้ยินยอมด้วย ปลาย่อมหลุดพ้นไม่ต้อง
รับผิดในการชำาระหนี้ ดังนั้นข้อต่อสู้ของ ปลา ที่มีต่อ ปู ฟังขึ้นหรือไม่เพราะเหตุใด
1. ก. ยืม รถ จักรยาน ของ ข. ไป บอกว่า จะคืนให้ภายใน 7 วัน พอผ่านไป 7 วัน ข. ไป พบ ก. ที่ ตลาด บอกว่า ให้คืน จักรยาน
ที่ยืมไป ก. รับปาก เวลาผ่านมา ปรากฏว่า บ้าน ก. ถูกไฟไหม้ ทำาให้จักรยาน ไฟไหม้ ไปด้วย ข. จึงขอให้ ก. ชดใช้ ค่าจักรยาน
แต่ ก. บอกว่า ที่บอกว่าให้คืนที่ตลาดนั้น ควรให้ระยะเวลาพอสมควร ไถอว่าตนเองผิดนัด ถามว่า ข. จะให้ ก. ชดใช้ค่าเสียหาย
ได้หรือไม่
2. ก.ทำาสัญญาให้ ข . กู้ยืมเงิน 50,000 บาท เมื่อยังไม่ถึงเวลา ชำาระเงิน ก. ร้อนเงิน จึงโอนเงินกู้ ให้ ค. ทำาหนังสือสัญญา กัน
เรียบร้อย ต่อมา ข. ลูกหนี้ ถูกรางวัลได้ ทองมา 4 บาท จึงนำาทอง ไปเพื่อใช้หนี้ให้กับ ก. ก. จึงบอกว่า ได้โอนหนี้ให้ ค. แล้ว และ
ทอง 4 บาทนั้นชำาระได้แค่ดอกเบี้ย ไม่สามารถชำาระเงินกู้ได้หมด ข. ไม่ยอมจึงขู่ให้ ก. รับทองไว้ ก. จึงรับไว้ ต่อมา ค.ได้มี
หนังสือ ไปถึง ข. ให้ชำาระหนี้ ข. อ้างว่าได้ชำาระ หนี้ให้ ก. แล้ว ถ้า ค. มาปรึกษา ท่านจะให้คำาแนะนำาอย่างไร
3. นาย ก. เป็นเพื่อนบ้าน นาย ข . ไปมาหาสู่กัน ก. ไปใช้โทรสารที่บ้าน ข. เป็นประจำา แล้ว ข. ก็อนุญาติ ทุกที มาวันนึง ก. ไป
หา ข. ที่บ้าน แต่ ข. ไม่อยู่ ก. จึงได้ใช้ โทรสารของ ก. และ ใช้โทรศัพท์โทรไปต่างประเทศ ด้วย ข.กลับมาเห็นเข้า จึงโกรธมาก
จะฟ้อง ก. ได้หรือไม่
2. นาย ข มีรายได้จากค่าเช่า เดือนละ 3 หมื่นบาท ตั้งแต่เดือน ม.ค.- ต.ค. และเสียชีวิตลงในเดือน พ.ย. นาย ข. มีภรรยา 1 คน
ถามว่า นาย ข ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษีนั้นหรือไม่ หักค่าใช้จ่ายเป็นจำานวนเท่าใด และหักค่าลดหย่อนเป็น
จำานวนเท่าใด ยื่นเสียภาษีในนามของใคร และใครเป็นผู้ยื่นเสียภาษี ให้อธิบาย ไม่ต้องคำานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร วางหลักเกี่ยวกับการหักค่าใช้จ่ายไว้วา่
หลักที่ 1 การให้เช่าทรัพย์ ( โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง บ้าน ) ให้หักค่าใช้จ่ายเหมาอัตราร้อยละ 30
หลักที่ 2 กรณีผมุ้ ีเงินได้ เสียชีวิตระหว่างปีภาษี บุคคลผู้นั้น จะต้องเสียภาษีจนถึง ณ.วัน เวลาที่เสียชีวิตโดยมีผู้จัดการมกดก
บุตร หรือคู่สมรส เป็นผู้เสียภาษีให้ในนามของบุคคลผู้เสียชีวิต
จากข้อเท็จจริงที่โจทย์ให้มา เมื่อปรับกับหลักกฎหมายแล้ว วินิจฉัยได้ว่า
นาย ข มีรายได้จากการเช่าบ้าน 30,000 x 11 = 330,000 บาท
หักค่าใช้จ่าย อัตราร้อยละ 30 = 99,000 บาท
หักค่าลดหย่อน
ผูม้ ีเงินได้ ( นาย ข ) 30,000 บาท
ภรรยา 30,000 บาท
รวมหักค่าลดหย่อน 60,000 บาท
จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า
นาย ข หักค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำานวน 99,000 บาท หักค่าลดหย่อนเป็นเงินจำานวน 60,000 บาท และเสียภาษีในนามของ นาย ข
โดยมี ผู้จัดการมรดก หรือ บุตร หรือ คู่สมรส เป็นผู้ยื่นเสียภาษีให้
3. ภาษีเงินได้ นิติบุคคล ตัวอย่างเช่น บริษัท A จดทะเบียนนิติบุคคลต่างประเทศ ประกอบธุรกิจสายการบิน ขนส่งผู้โดยสาร
จาก กรุงเทพไป สิงคโปร์ และ จาก กรุงเทพ ไปเชียงใหม่ บริษัท A ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือไม่ อย่างไร
รายได้จากกรุงเทพไปเชียงใหม่ฐานกำาไรสุทธิ์30%
รายได้จากกรุงเทพไปสิงคโปร์ฐานรายรับก่อนหักรายจ่าย 3%
กฎหมายอาญา
กรณีตามปัญหาการที่ช้างตกมันของนายแดงวิ่งไปจะเอางาแทงนายดำานั้นเป็นภยันตรายที่เกิดจากการปทุษร้ายอันละเมิดก่อ
กฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่นายดำาใช้ปืนยิงช้างตายนั้นเป็นการที่จำาต้องกระทำาเพื่อป้องกันชีวิตของนายดำา
และได้กระทำาไปพอสมควรแก่เหตุ อันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ปอ. 68 นายดำาจึงไม่ต้องรับผิดอาญาฐานใด
เลย
กรณีตามปัญหาการที่นายไก่ผู้ถูกใช้ตกลงรับตามคำาจ้างวานของนายห่านเพื่อที่จะไปฆ่านายเป็ดนั้นเป็นการตกลงปลงใจคิด
ไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่านายเป็ด
ถ้านายไก่ผู้ถูกใช้(นายไก่)ได้กระทำาการฆ่านายเป็ดตามที่ใช้ ผู้ใช้(นายห่าน) ต้องรับโทษเสมือนตัวการในความผิดตาม ปอ.
289(4)+84 วรรคสอง
ถ้าความผิดมิได้กระทำาลงเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำา ยังไม่ได้กระทำาหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้(นายห่าน)ต้องรับโทษหนึ่งในสามตาม
ปอ.84 วรรคสองเช่นกัน
แนวตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ผูใ้ ดกระทำาชำาเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน
โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ.....
ถ้าการกระทำาความผิดตามวรรคแรก เป็นการกระทำาแก่เด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี ต้องระวางโทษ..........
มาตรา 74 เด็กอายุกว่าเจ็ดปีแต่ยังไม่เกินสิบสี่ปี กระทำาการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ให้ศาล
มีอำานาจที่จะดำาเนินการดังต่อไปนี้ .….
มาตรา 83 ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำาของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำาความผิดด้วยกันนั้นเป็น
ตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนั้น
มาตรา 84 ผูใ้ ดก่อให้ผู้อื่นกระทำาความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผูน้ ั้นเป็น
ผูใ้ ช้ให้กระทำาความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำาความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ
ถ้าความผิดมิได้กระทำาลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำา ยังไม่ได้กระทำาหรือเหตุอื่นใด ผูใ้ ช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่ง
ในสามของโทษที่กำาหนดไว้สำาหรับความผิดนั้น
แนวตอบ
ความรับผิดของนายเขียวต่อนายเหลือง
มีความผิดฐานฆ่านายเหลืองโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามมาตรา 289 (4 ) เป็นเจตนาฆ่าประเภทประสงค์ต่อผลตาม
มาตรา 59 โดยจะยกเอาความสำาคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาฆ่าไม่ได้ตามมาตรา 61
ความรับผิด ของนายเขียวต่อนายม่วง
แม้นายเขียวจะมีเจตนาฆ่านายม่วงแต่เมื่อนายเขียวได้ห่านายเหลืองดดยเจตนาโดยสำาคัญผิดว่าเป็นนายม่วง ดังนั้นระหว่าง
นายเขียวต่อนายม่วง นายเขียวจึงไม่มีความผิดใดๆต่อนายม่วง
ความรับผิดของนายฟ้าต่อนายเหลือง
นายฟ้าเป็นผู้สนับสนุนนายเขียวในการที่นายเขียวฆ่าผู้อื่น แม้วา่ นายเขียวซึ่งเป็นผู้ลงมือจะกระทำาโดยสำาคัญผิดในตัวบุคคล ก็
ถือว่าอยู่ในขอบเขตของการสนับสนุน ตามมาตรา 87 นายฟ้าจึงเป็นผู้สนับสนุนนายเขียวในการฆ่านายเหลือง จึงต้องรับผิด
ตาม มาตรา 289 (4 ) ประกอบมาตรา 86
นายฟ้าไม่ใช่ตัวการในการฆ่านายเหลือง เพราะไม่มีการกระทำาร่วมกันและไม่มีเจตนาร่วมกันกับนายเขียวในขณะที่นายเขียว
ยิงนายเหลือง แต่เป็นผู้สนับสนุน เพราะให้ปืนแก่นายเขียวในการใช้ยิงนายม่วง ( แต่ความจริงใช้ยิงนายเหลือง)
ความรับผิดของนายฟ้าต่อนายม่วง
เมื่อนายเขียวผูล้ งมือ ไม่ต้องรับผิดต่อนายม่วง นายฟ้าก็ไม่เป็นผู้สนับสนุนนายเขียวในการฆ่านายม่วง
ข้อนี้ไม่ใช่เป็นการกระทำาโดยพลาดเพราะในที่เกิดเหตุมีผู้เสียหายเพียงคนเดียว คือนายเหลือง จึงไม่ใช่การกระทำาโดยพลาด
ข้อสอบกฎหมายอาญา 2
ข้อสอบกฎหมายอาญา 2
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายอาญา (ว่าด้วยเรื่องความผิดเกี่ยวกับทรัพย์)
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไป โดยทุจริต ผู้นั้นกระทำาความผิดฐานลักทรัพย์ ต้อง
ระวางโทษ.......
มาตรา 1 (1) โดยทุจริต หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำาหรับตนเองหรือผู้อื่น
มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำาโดยเจตนา.........
มาตรา 59 วรรค สอง กระทำาโดยเจตนาได้แก่ การกระทำาโดยรูส้ ำานึกในการกระทำาและในขณะเดียวกันผู้กระทำาประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำานั้น
มาตรา 73 เด็กอายุยังไม่เกิน 7 ปี กระทำาการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ
ปรับข้อเท็จจริงเข้ากับหลักกฎหมาย การที่บี ขี่รถจักรยานของ เอซึ่งจอดอยู่ที่หน้าบ้านของเอ ไปบ้านหญิงคนรัก ของตน แล้ว
จอดรถไว้ริมถนน นั้นยังไม่เข้าข่ายเป็นความผิด ตาม ม.334 เพราะ บี มิได้มีเจตนา เอาไปเพื่อเป็นของตนเองหรือเพื่อเป็นของ
คนอื่น บีเพียงแต่นำาไปใช้ขี่ไปบ้านหญิงคนรักเท่านั้น และ บี ก็มิได้ซุกซ่อนรถจักรยานไว้แต่อย่างใดเพียงแต่จอดไว้ข้างถนนซึ่ง
เป็นทางสาธารณะ ยังถือไม่ได้วา่ บี มีเจตนาทุจริต ความผิดของ บี จึงยังไม่ครบองค์ประกอบในความผิดฐานลักทรัพย์......
ส่วน ด.ช. ซี เมื่อเห็นจักรยานจอดอยู่ริมถนน เกิดความรู้สึกอยากได้ จึงนำาไปขี่เล่น หลังจากนั้น ได้นำาไปซ่อนไว้ในสวนหลังบ้าน
ตน จะเห็นได้ว่า ด.ช.ซี มีเจตนาอยากเป็นเจ้าของรถจักรยาน ได้ขี่พาจักรยานไปและยังนำาไปซ่อนไว้ในสวนหลังบ้านเป็นการเอา
ทรัพย์ของผู้อื่นไป ด้วยเจตนาทุจริต เพื่อประโยชน์แก่ตนเองแล้ว ดังนั้นด.ช. ซี จึงกระทำาความผิดฐานลักทรัพย์คือรถจักรยาน
ของ เอ จะต้องรับผิดตามมาตรา 334 ประกอบมาตรา 59 แต่เนื่องจากด.ช. ซี มีอายุ 6 ปี ยังไม่เกิน 7 ปี จึงไม่ต้องรับโทษ ตาม
มาตรา 73
หมายเหตุ
คำาว่าไม่ต้องรับโทษ หมายความว่า ได้กระทำาความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าต้องระวางโทษ นั่นคือมีความผิด แต่ได้รับ
การยกเว้น ไม่ต้องรับโทษ ไม่เหมือนคำาว่า ไม่มีความผิด
ตัวบท
ปอ. มาตรา 210 ผูใ้ ดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำาความผิด อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความ
ผิดนั้นมี กำาหนดโทษจำาคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทำาความผิดฐาน เป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษจำาคุก........
ปอ. มาตรา 217 ผูใ้ ดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำาคุก ตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึง
หนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ปอ. มาตรา 219 ผูใ้ ดตระเตรียมเพื่อกระทำาความผิดดังกล่าวใน มาตรา 217 หรือ มาตรา 218 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับ
พยายามกระทำา ความผิดนั้น ๆ
วินิจฉัยปรับบท
นายเขียวกับนายขาวและพวกอีก 4 คนสมคบกันไปกระทำาความผิดวางเพลิง นั้นเป็นไปตามบทบัญญัติไว้ในภาค 2 ทั้งหมดจึง
มีความผิดฐานเป็นซ่องโจร
นายเขียวแวะปั้มเพื่อซื้อนำ้ามันไปเป็นเชื้อเพลิง จึงเท่ากับเป็นการตระเตรียมเพื่อการวางเพลิงนายเขียวจึงมีความผิดตาม ม.219
เป็นขั้นพยายามกระทำาความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์
สรุป
นายเขียว มีความผิดฐานเป็นซ่องโจร และพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์
นายขาวและพวกอีก 4 คนมีความผิดฐานเป็นซ่องโจร
2. นายเด่นชัยเป็นทนายความของนายสยม นายเด่นชัยรู้ข้องมูลเกี่ยวกับมีบัญชีเงินฝากธนาคารของนายสยมเป็นอย่างดี
นายเด่นชัยได้นำาเรื่องนี้ไปบอกให้ทนายความของนายสนองได้รู้ ซึ่งนายสนองกำาลังมีคดีความอยู่กับนายสยมอยู่ ต่อมานาย
สนองได้ฟ้องร้องขออายัดบัญชีเงินฝากดังกล่าวของนายสยม ถามว่านายเด่นชัยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ฐานอะไรเพราะอะไร
ตัวบท
มาตรา 323 ผู้ใดล่วงรู้หรือได้มาซึ่งความลับของผู้อื่น โดยเหตุ ที่เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชีพเป็นแพทย์
เภสัชกร คนจำาหน่ายยา นางผดุงครรภ์ ผู้พยาบาล นักบวช หมอความ ทนายความ หรือผู้สอบบัญชีหรือโดยเหตุที่เป็นผู้ช่วย
ในการประกอบ อาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับนั้นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษ.......
วินิจฉัยปรับบท
นายเด่นชัยเป็นทนายความของนายสยม ซึ่งมีคดีความอยุ่กับนายสนอง การที่นายเด่นชัยได้ลว่ งรู้ข้อมูลบัญชีเงินฝากของนาย
เด่นชัย จากการทำางานในอาชีพทนายความ และได้นำาความลับนั้นไปเปิดเผยต่อทนายความของนายสนอง ซึ่งสร้างความเสีย
หายให้กับนายสยม ฉนั้นนายเด่นชัยจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้ประกอบอาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับอันทำาให้
บุคคลอื่นเสียหายจึงมีความผิดตาม ม. 323
สรุป
นายเด่นชัยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้ประกอบอาชีพนั้น แล้วเปิดเผยความลับอันทำาให้บุคคลอื่นเสียหาย
ตัวบท
ปอ. มาตรา 352 ผูใ้ ดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน
หรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำาความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ จำาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท
หรือทั้งจำาทั้งปรับ
วินิจฉัยปรับบท
การที่นายบีมเช่าบ้านของนายแดนนั้น และบ้านนั้นมีทรัพย์สินอยุ่เป็นจำานวนมาก ถือได้วา่ นายบีมได้ครอบครองทรัพย์ของผุ้อื่น
ที่อยู่ในบ้านเช่านั้นด้วยเช่นกัน การที่นายบีมนำาเตาไฟฟ้าที่อยุ่ในบ้านนั้นไปขายและนำาเงินมาจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านจีงถือได้วา่
เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ที่ตนครอบครองไปโดยทุจริต จึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์
สรุป
นายบีมมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของนายแดน ตามมาตรา 352 เพราะได้เบียดบังเอาทรัพย์ที่ตนครอบครองไปโดยทุจริต
ข้อสอบกฎหมายอาญา 1
1. นายวารินขุดบ่อเลี้ยงปลาตามทฤษฎีเศรษฐกิจแบบพอเพียงต่อมานายวารินจับปลาโดยต่อสายไฟลงไปในนำ้าเพื่อให้กระแส
ไฟฟ้าไปช๊อตปลา แต่ในขณะเดียวกันเด็ญหญิงวารีซึ่งเป็นบุตรสาวกำาลังเล่นนำ้าอยู่ใต้สะพาน ซึ่งนายวารินไม่ทันเห็นจึงทำาการ
ปล่อยกระแสไฟฟ้าไปช๊อตปลาเป็นเหตุให้เด็กหญิงวารีถึงแต่ความตาย ถามว่าการกระทำาของนายวารินผิดกฎหมายหรือไม่
สถานใด
ข้อสอบกฎหมายอาญา 1
1. เสี่ยโต้งชื้อรยน์มือสองให้ต้อยนักร้องคาเฟ่ที่ตนติดพันอยู่และใด้เช่าบ้านให้ต้อยอยู่ด้วย วันหนึ่งต้อยกำาลังเช็ดรถที่จอดนอกรั้ว
บ้านเพื่อนของต้อยโทรศัพท์มาบอกว่าเสี่ยโต้งไปติดพันนักร้องคนใหม่ต้อยโกรธมากจึงเอานำ้ามันราดรถยนต์และจุดไฟเผารถคัน
ดังกล่าวเพื่อประชดเสี่ยโต้งบังเอิญขณะนั้นมีลมพัดแรงและเปลวไฟกำาลังลุกลามใกล้ถึงตัวบ้านแต่ฝนได้ตกลงมาก่อนทำาให้ไฟ
ดับก่อนถึงตัวบ้าน ดังนี้ต้อยต้องรับผิดตาม ประมวลกฏหมายอาญาฐานใดบ้างหรือไม่เพราะเหตุใด
หลักกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 217 ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำาคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่ง
หมื่นสี่พันบาท
มาตรา 220 ผู้ใดกระทำาให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใด ๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่น
ต้องระวางโทษจำาคุกไม่เกินเจ็ดปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ถ้าการกระทำาความผิดดังกล่าวในวรรคแรก เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 218 ผู้กระทำาต้องระวาง
โทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 218
ปรับข้อเท็จจริง
จากกรณีปัญหา เสี่ยโต้งชื้อรถยนต์มือสองให้ต้อยนักร้องคาเฟ่ที่ตนติดพันอยู่และได้เช่าบ้านให้ต้อยอยู่ด้วย วันหนึ่งต้อยกำาลัง
เช็ดรถที่จอดนอกรั้วบ้าน เพื่อนของต้อยโทรศัพท์มาบอกว่าเสี่ยโต้งไปติดพันนักร้องคนใหม่ ต้อยโกรธมากจึงเอานำ้ามันราด
รถยนต์และจุดไฟเผารถคันดังกล่าวเพื่อประชดเสี่ยโต้ง
การเผารถยนต์ของต้อยเป็นการเผาทรัพย์สินของตนเอง มิใช่เผาทรัพย์สินของผู้อื่น ต้อยจึงไม่มีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์
ของผู้อื่น แต่บังเอิญขณะนั้นมีลมพัดแรงและเปลวไฟกำาลังลุกลามใกล้ถึงตัวบ้านและบ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านที่เสี่ยโต้งได้เช่า
ให้ต้อยอยู่ บ้านจึงเป็นทรัพย์ของผู้อื่น การที่ต้อยจุดไฟเผารถยนต์ของตนเองแต่ไฟได้ลุกไหม้จนใกล้จะถึงตัวบ้านนั้น เข้าข่าย
กระทำาความผิดตามหลักกฎหมายที่ว่า ผู้ใดกระทำาให้เกิดเพลิงไหม้แก่วัตถุใดๆ แม้เป็นของตนเอง จนน่าจะเป็นอันตรายแก่
บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ แม้ฝนจะได้ตกลงมาก่อนทำาให้ไฟดับก่อนถึงตัวบ้าน ก็ตาม
ต้อยจึงมีความผิดฐาน กระทำาให้เกิดเพลิงไหม้ จนน่าจะเป็นอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่นต้องระวางโทษตามกฎหมายกำาหนด
สรุป
ต้อยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานกระทำาให้เกิดเพลิงไหม้ จนน่าจะเป็นอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น ตามหลัก
กฎหมายที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
2. นางบัวและนางสาวน้อยบุครสาวทำางานก่อสร้างโดยพักอาศัยในบ้านพักคนงานบริ เวณที่ก่อสร้างนางบัวทราบว่านายหนุ่ม
คนงานที่ทำางานก่อสรางอยู่ด้วยกันชอบแอบมองนางสาวน้อย วันหนึ่งนางบัวเห็นนายหนุ่มยืนอยู่คนเดียวในบริเวรที่ก่อสร้าง
นางบัวจึงเดินเข้าไปใกล้นายหนุ่มและใช้มีดปลายแหลมแทงที่ตาของนายหนุ่ม โดยประสงค์ให้นายหนุ่มตาบอดและเสียโสม
อย่างติดตัว แต่งนางบัวแทงไม่ถูกเพราะนายหนุ่มหลบทัน ดังนั้นนายหนุ่มต้องรับผิดตามประมวลกฏหมายอาญาฐานใดบ้าง
หรือไม่
หลักกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำาโดยเจตนา..............
มาตรา 80 ผู้ใดลงมือกระทำาความผิดแต่กระทำาไปไม่ตลอด หรือกระทำาไปตลอดแล้วแต่การกระทำานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายาม
กระทำาความผิด
ผูใ้ ดพยายามกระทำาความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนั้น
มาตรา 295 ผู้ใดทำาร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำาความผิดฐานทำาร้ายร่างกาย
ต้องระวางโทษจำาคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำาทั้งปรับ
ปรับข้อเท็จจริง
ตามกรณีปัญหา นางบัวและนางสาวน้อยบุตรสาวทำางานก่อสร้างโดยพักอาศัยในบ้านพักคนงานบริเวณที่ก่อสร้างนางบัวทราบ
ว่านายหนุ่มคนงานที่ทำางานก่อสรางอยู่ด้วยกันชอบแอบมองนางสาวน้อย วันหนึ่งนางบัวเห็นนายหนุ่มยืนอยู่คนเดียวในบริเวณ
ที่ก่อสร้าง นางบัวจึงเดินเข้าไปใกล้นายหนุ่มและใช้มีดปลายแหลมแทงที่ตาของนายหนุ่ม โดยประสงค์ให้นายหนุ่มตาบอดและ
เสียโฉมอย่างติดตัว แต่นางบัวแทงไม่ถูกเพราะนายหนุ่มหลบทัน การกระทำาของนางบัว ดังกล่าวเป็นการเจตนาทำาร้ายร่างกาย
ผูอ้ ื่น(นายหนุ่ม) และนางบัวได้ลงมือกระทำาความผิดไปโดยตลอดแล้ว คือได้ใช้มีดปลายแหลมแทงไปที่ตาของนายหนุ่มแล้ว แต่
นายหนุ่มหลบทัน การกระทำาการกระทำาความผิดของนางบัวจึงไม่บรรลุผล การกระทำาของนางบัวจึงเป็นการกระทำาความผิด
ฐานพยายามทำาร้ายร่างกายผู้อื่น ต้องระวางโทษ ตามที่กฎหมายกำาหนด
สรุป
นางบัว ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานพยายามทำาร้ายร่างกายผู้อื่น
3. นายเข้าไปในร้านขายของของนายสน เพื่อชื้อของเชื่อแต่นายสนไม่ยอมขายให้เพราะนายมลเคยชื้อของเชื่อไปแล้วแต่ยังไม่
ได้ให้เงิน นายมลจึงตรงเข้าไปหยิบของที่ตนต้องการจะชื้อเอง แล้วรีบเดินจะออกไปจากร้านโดยไม่ได้จ่ายเงิน นายสองชึ่งเป็น
บุตรชายของนายสน เข้าขัดขว้างนายมลไม่ให้ออกไปจากร้านนายมลจึงเอาขวดสุรานั้นจะตีศีรษะนายสองแต่ยังไม่ทันได้ตี นาย
สองกลัวจึงถอยออก แล้วนายมลจะเอาของนั้นออกไปจากร้าน พอดีตำารวจเดินเข้าประตูร้านมาจึงเจอกับนายมล ของที่นายมล
ถือจึงตกลงพื้น นายมลกลัวจึงวิ่งหนีไปดังนี้ นายมลต้องรับผิดตามประมวลกฏหมายอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุ
หลักกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำาความผิดฐานลักทรัพย์ ต้อง
ระวางโทษจำาคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
มาตรา 336 ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำาความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำาคุกไม่เกินห้าปี และ
ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจผู้กระทำาต้องระวางโทษจำาคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี และปรับ
ตั้งแต่สี่พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
ปรับข้อเท็จจริง
ตามปัญหา นายมล เข้าไปในร้านขายของของของนายสน เพื่อชื้อของเชื่อแต่นายสนไม่ยอมขายให้ เพราะนายมลเคยชื้อของ
เชื่อไปแล้วแต่ยังไม่ได้ให้เงิน นายมลจึงตรงเข้าไปหยิบของที่ตนต้องการจะชื้อเอง แล้วรีบเดินจะออกไปจากร้านโดยไม่ได้จ่าย
เงิน การกระทำาดังกล่าวของนายมล เป็นการกระทำาผิด กฎหมายอาญาในหมวดของความผิดต่อทรัพย์คือนายมลเอาทรัพย์ของ
นายสนไปโดยไม่จ่ายเงินเป็นการเอาไปโดยทุจริต มีความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว และการลักทรัพย์ของนายมลเป็นการฉกฉวย
เอาไปซึ่งหน้าของนายสน ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ นายมลจึงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ในขณะที่นายมลกำาลังจะออกจากร้านไป
นั้นนายสองซึ่งเป็นบุตรชายของนายสน เข้าขัดขว้างนายมลไม่ให้ออกไปจากร้านนายมลจึงเอาขวดสุรานั้นจะตีศีรษะนายสอง
แต่ยังไม่ทันได้ตี นายสองกลัวจึงถอยออก การกระทำาดังกล่าวของนายมลยังมิใช่เป็นความผิดจากการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้
อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งต้องรับโทษเพิ่ม เมื่อนายสองถอยไปแล้วนายมลจะเอาของนั้นออกไปจากร้าน พอดี
ตำารวจเดินเข้าประตูร้านมาจึงเจอกับนายมล ของที่นายมลถือจึงตกลงพื้น นายมลกลัวจึงวิ่งหนีไป แม้นายมลจะทำาของตกลง
พื้น แล้ววิ่งหนีไปโดยไม่ได้นำาของไปด้วย ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้ การกระทำาของ นายมลพ้นความผิด การกระทำาความผิดของนาย
มลเป็นความผิดสำาเร็จแล้ว นายมลยังคงมีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
สรุป
นายมล ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานวิ่งราวทรัพย์ ตามหลักกฎหมายดังกล่าวแล้วข้างต้น
กฎหมายวิธีสบัญญัติ
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 1
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 2
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 3
หลักกฎหมาย
เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีหลักกฎหมายว่า
มาตรา 84 ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใด ๆ เพื่อสนับสนุนคำาฟ้องหรือคำาให้การของตน ให้หน้าที่
นำาสืบข้อเท็จจริงนั้นตกแก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง
วินิจฉัย
การที่โจทก์ฟ้องจำาเลยที่ 1 ได้กระทำาโดยประมาทเลินเล่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และฟ้องจำาเลยที่ 2 เป็นผู้คำ้าประกัน
จำาเลยที่ 1 ซึ่งจำาเลยที่ 1 ได้ให้การยอมรับ ดังนั้นจำาเลยที่ 1 ไม่มีภาระการพิสูจน์ แต่จำาเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
การที่จำาเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ เมื่อศาลกำาหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำาเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อทำาให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
หรือไม่ เป็นการกำาหนดประเด็นข้อพิพาทตามฟ้องของโจทก์ ดังนั้น หน้าที่นำาสืบข้อเท็จจริงย่อมตกแก่โจทก์ ซึ่งเป็นผู้กล่าว
อ้างว่าจำาเลยที่ 1 ได้กระทำาโดยประมาทเลินเล่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
สรุป
โจทก์มีภาระการพิสูจน์ เพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างว่าจำาเลยที่ 1 ได้กระทำาโดยประมาเลินเล่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
หลักกฎหมาย
เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีหลักกฎหมายว่า
มาตรา 4 ตรี คำาฟ้องอื่นนอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 ทวิ ซึ่งจำาเลยมิได้มีภูมิลำาเนาในราชอาณาจักร และมูลคดีมิได้เกิดขึ้น
ในราชอาณาจักร ถ้าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือภูมิลำาเนาในราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลแพ่ง หรือต่อศาล
ที่โจทก์มีภูมิลำาเนาอยู่ในเขตศาล
วินิจฉัย
การที่นายดำาและนายแดงพิพาทกันในเรื่องอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็ไม่สามารถนำามาตรา 4 ทวิ มาใช้ได้ เนื่องจากสังหาริมทรัพย์
นั้นอยู่ในประเทศลาว และนายแดง ( จำาเลย ) มีภูมลิ ำาเนาอยู่ในประเทศลาว จึงต้องนำามาตรา 4 ตรี มาใช้ เนื่องจากนายดำา
( โจทก์ ) มีสัญชาติไทย แม้มูลคดีจะเกิดในประเทศลาวก็ตาม นายดำาจึงสามารถฟ้องนายแดงต่อศาลแพ่งได้ ตามมาตรา 4
ตรี นี้ แต่ไม่สามารถฟ้องต่อศาลที่นายดำา ( โจทก์ ) มีภมู ิลำาเนาอยู่ในเขตศาลได้ เนื่องจากนายดำามีภูมิลำาเนาอยู่ในประเทศลาว
สรุป
นายดำาสามารถขอให้ศาลไทยบังคับให้นายแดงโอนบ้านและที่ดินให้แก่ตนได้ โดยยื่นคำาฟ้องต่อศาลแพ่ง
3. นายเอกฟ้องนายโทขอแบ่งทรัพย์มรดกตามเอกสารฉบับหนึ่งซึ่งนายเอกอ้างว่าเป็นพินัยกรรม ศาลพิพากษายกฟ้องว่ามิใช่
พินัยกรรม คดีถึงที่สุด ต่อมานายเอกฟ้องนายโทขอแบ่งทรัพย์ โดยอ้างเอกสารเดียวกัน ซึ่งนายเอกอ้างในคดีหลังว่าเอกสารดัง
กล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอม ความของบุคคลอื่นซึ่งยกทรัพย์ให้แก่นายเอก คำาฟ้องของนายเอกในคดีหลังเป็นฟ้องซำ้า
หรือไม่ อย่างไร
หลักกฎหมาย
เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีหลักกฎหมายว่า
มาตรา 148 คดีที่ได้มีคำาพิพากษาหรือคำาสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัย
โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เว้นในกรณีต่อไปนี้
1 ) …..
2 ) .….
3 ) …..
วินิจฉัย
การที่นายเอกฟ้องนายโทในคดีแรกนั้น ประเด็นที่พิพาท คือ พินัยกรรม โดยอาศัยเหตุ คืออ้างเอกสาร ซึ่งศาลก็ได้วินิจฉัยไป
แล้วว่ามิใช่พินัยกรรม ต่อมานายเอกฟ้องนายโทซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันอีก แต่ประเด็นที่พิพาทกันในคดีหลังนั้น คือ สัญญา
ประนีประนอมยอมความ แม้วา่ จะอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีแรก คือ อ้างเอกสารฉบับเดิม ก็ไม่ถือว่าเป็นการฟ้องซำ้า
ตามมาตรา 148 เพราะแม้จะเป็นคู่ความเดียวกัน และอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน แต่ประเด็นที่พิพาทนั้น ไม่ใช่ประเด็นอย่าง
เดียวกัน ประเด็นแรกเป็นเรื่องพินัยกรรม แต่ประเด็นหลังเป็นเรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลยังไม่ได้วินิจฉัย
ประเด็นที่ว่าเอกสารนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
สรุป
คำาฟ้องของนายเอกในคดีหลังไม่เป็นฟ้องซำ้า เพราะประเด็นในคดีแรกกับคดีหลัง ไม่ใช่ประเด็นเดียวกัน เนื่องจากศาลยังไม่ได้
วินิจฉัยประเด็นที่วา่ เอกสารนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
หลักกฎหมาย
เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีหลักกฎหมายว่า
มาตรา 174 ในกรณีต่อไปนี้ให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง คือ
1) ....
2) โจทก์เพิกเฉยไม่ดำาเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำาหนดไว้เพื่อการนั้น โดยได้ส่งคำาสั่งให้แก่โจทก์โดย
ชอบแล้ว
มาตรา 177 วรรค 3 จำาเลยจะฟ้องแย้งมาในคำาให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่
เกี่ยวกับคำาฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำาเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก
วินิจฉัย
การที่โจทก์ฟ้องจำาเลยเรื่องเงินกู้ กับการที่จำาเลยฟ้องแย้งมาในคำาให้การว่าโจทก์เป็นหนี้ค่าจ้างว่าความและค่าเดินทางแก่
จำาเลย ฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำาเลยเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันดังนั้น เมื่อฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับคำาฟ้องเดิม ศาลต้องสั่งให้
จำาเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก ตามมาตรา 177 วรรค 3
แต่เมื่อศาลรับฟ้องแย้งของจำาเลย จำาเลยจึงเป็นโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งนั้น ( นั่นคือ เป็นโจทก์ในคดีเรียกค่าจ้างว่า
ความและค่าเดินทาง ) การที่ศาลสั่งให้จำาเลยวางเงินค่าธรรมเนียมต่อศาลภายใน 7 วัน แล้วจำาเลยไม่นำาเงินมาชำาระภาย
กำาหนดเวลาดังกล่าว ถือว่าโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งเพิกเฉยไม่ดำาเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำาหนด ซึ่งเป็นการทิ้งฟ้องตามมาตรา
174 ( 2 ) ศาลสามารถจำาหน่ายคดีได้ตามมาตรา 132 ( 1 )
สรุป
คำาสั่งรับฟ้องแย้งของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมนั้น ศาลต้องสั่งให้จำาเลยฟ้องเป็นคดีต่าง
หาก คำาสั่งจำาหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งของศาลชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งไม่ดำาเนินคดีภายในเวลาที่ศาล
กำาหนด ถือว่าโจทก์ในส่วนฟ้องแย้งทิ้งฟ้องแย้ง ศาลสามารถจำาหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้งได้
หลักกฎหมาย
เนื่องจากพระราชบัญญัติล้มละลายมีหลักกฎหมายว่า
มาตรา 109 ทรัพย์สินดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลาย อันแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้
1 ) …..
2 ) …..
3 ) สิ่งของซึ่งอยู่ในความครอบครอง หรืออำานาจสั่งการ หรือสั่งจำาหน่ายของลูกหนี้ ในทางการค้าหรือธุรกิจของ
ลูกหนี้ ด้วยความยินยอมของเจ้าของอันแท้จริง โดยพฤติการณ์ซึ่งทำาให้เห็นว่าลูกหนี้เป็นเจ้าของในขณะที่มี
การของให้ลูกหนี้นั้นล้มละลาย
มาตรา 92 บุคคลใดได้รับความเสียหายเพราะสิ่งของตนถูกยึดไปตามมาตรา 109 ( 3 ) มีสิทธิขอรับชำาระหนี้สำาหรับราคาสิ่ง
ของได้ ภายในกำาหนดเวลาตามมาตรา 91 แต่ให้นับจากวันที่ใช้สิทธิขอรับชำาระหนี้ได้
มาตรา 91 เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำาระหนี้ในคดีล้มละลาย ต้องยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำาหนด
เวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
วินิจฉัย
การที่นายเอกนำาเครื่องคอมพิวเตอร์มาฝากลูกหนี้ในคดีล้มละลายเพื่อขาย โดยตั้งโชว์อยู่ในร้ายขายเครื่องคอมพิวเตอร์ของลูก
หนี้นั้น ถือว่าเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถยึดเพื่อจำาหน่ายแล้วแบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีล้ม
ละลายได้ เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของนายเอกนั้น อยู่ในความครอบของลูกหนี้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ใน
อำานาจการสั่งจำาหน่ายของลูกหนี้ ซึ่งนายเอกยินยอมให้จำาหน่าย ตามมาตรา 109
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ของนายเอกไป นายเอกจึงเป็นผู้เสียหายที่ถูกยึดสิ่งของไป
นายเอกจึงมีสิทธิขอรับชำาระหนีส้ ำาหรับราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ตามมาตรา 92 โดยยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ต่อเจ้าพนักงาน
พิทักษ์ทรัพย์ภายใน 2 เดือน นับจากวันที่ถูกยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ไป ตามมาตรา 91
สรุป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ของนายเอกได้ เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ของนายเอกอยู่ในความครอบ
ของลูกหนี้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในอำานาจการสั่งจำาหน่ายของลูกหนี้ ซึ่งนายเอกก็ยินยอมให้ลูกหนี้จำาหน่ายได้
นายเอกควรยื่นคำาขอรับชำาระหนี้จากกองทรัพย์สินในคดีล้มละลายของลูกหนี้ โดยยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 2
เดือน นับแต่วันที่ถูกยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ไป
หลักกฎหมาย
เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมีหลักกฎหมายว่า
มาตรา 271 ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี ( ลูกหนี้ตามคำาพิพากษา ) มิได้ปฏิบัติตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งศาลทั้ง
หมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ ( เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษา ) ชอบทีจ่ ะร้องขอให้บังคับคดี
ตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้น ได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำาพิพากษาหรือคำาสั่ง โดยอาศัยคำาสั่งและคำา
บังคับที่ออกตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้น
วินิจฉัย
การที่ศาลมีคำาพิพากษาให้โจทก์นำาเงินมาชำาระค่าที่ดินแก่จำาเลยจำานวน 700,000 บาท ภายใน 1 ปี และให้จำาเลยโอนที่ดินให้
แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับชำาระเงินนั้น คำาพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความ ซึ่งคู่ความมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำาพิพากษา
แม้อีก 9 ปีต่อมา โจทก์จะนำาเงินจำานวน 700,000 บาท มาชำาระแก่จำาเลย จำาเลยก็ต้องโอนที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำาพิพากษา
เนื่องจากคู่ความสามารถร้องขอให้บังคับคดีตามคำาพิพากษาได้ 10 ปี ตามมาตรา 271
สรุป
จำาเลยต้องรับชำาระเงินจำานวน 700,000 บาท จากโจทก์ และต้องจดทะเบียนโอนที่ดินที่พิพาทให้แก่โจทก์ เพราะคำาพิพากษา
ผูกพันคู่ความ คู่ความสามารถร้องขอให้บังคับคดีตามคำาพิพากษาได้ภายใน 10 ปี
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 3
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 1
3. นายผันเป็นโจทก์ฟ้องนายผิวฐานทำาร้ายร่างกายถูกตีที่ศีรษะ ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีและพิพากษาให้นายผิวมีความผิดฐาน
ทำาร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ นายผันไม่พอใจคำาพิพากษาจึงอุทธรณ์ให้
ศาลลงโทษนายผิว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ดังนี้ ศาลอุทธรณ์จะเรียกสำานวนและสืบพยานใหม่ได้หรือไม่
เพราะเหตุใด
กฎหมายวิธีสบัญญัติ 3
เฉลย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติว่า เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำาเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้ว และศาล
เชื่อว่าเป็นจำาเลยจริงศาลต้องอ่านและอธิบายฟ้องให้จำาเลยฟัง และถามจำาเลยว่าได้กระทำาผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้ว่า
อย่างไร คำาให้การของจำาเลยศาลต้องจดไว้ ถ้าจำาเลยไม่ยอมให้การ ศาลต้องจดรายงานไว้และดำาเนินการพิจารณาต่อไป (
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคสอง)
ถ้าจำาเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จะต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ว่าจำาเลยได้กระทำาผิด จำาเลยอาจให้การปฏิเสธลอยๆ เพียงว่า จำาเลย
ได้ทราบฟ้องแล้วขอให้การปฏิเสธโดยไม่ได้ตั้งประเด็นข้อต่อสู้ในคำาให้การก็ได้ หรือจะปฏิเสธโดยมีข้อต่อสู้อย่างไรก็ได้
จะเห็นได้ว่า คดีที่จำาเลยให้การปฏิเสธ ศาลต้องจดคำาให้การของจำาเลยไว้เสมอ แต่ก็ไม่ห้ามที่จำาเลยจะยื่นคำาให้การปฏิเสธของ
ตนเองเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาล ซึ่งในกรณีนี้ศาลต้องจดไว้ในรายงานกระบวนการพิจารณาของศาลรวมไว้ในสำานวน
ข้อเท็จจริงตามปัญหาเมื่อศาลสอบถามคำาให้การของนายวิชัยจำาเลย นายวิชัยจำาเลยย่อมให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำาผิดตาม
ฟ้องโดยไม่ตั้งประเด็นต่อสู้ได้ เพราะโดยปกติจำาเลยมักจะปฏิเสธลอยๆ โดยไม่ตั้งประเด็นต่อสู้ ซึ่งโดยหลักทั่วไปคำาให้การของ
จำาเลยในคดีอาญาไม่ต้องตั้งประเด็นเหมือนในคดีแพ่ง แม้นายวิชัยจำาเลยจะให้การปฏิเสธไว้ลอยๆ และมิได้ซักค้านพยานโจทก์
ในเรื่องป้องกัน ตัวนายวิชัยจำาเลยก็สามารถนำาสืบในเรื่องป้องกันตัวได้ ทั้งนี้เพราะกระบวนการพิจารณาความในคดีอาญานั้น
ต่างกับคดีแพ่ง ในคดีอาญาจำาเลยไม่ให้การอย่างใดเลยก็ไม่เป็นไร และไม่ว่าจำาเลยจะให้การต่อสู้อย่างไรหรือไม่ให้การเลยก็
เป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ที่จะต้องนำาพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์การกระทำาความผิดของจำาเลยตามฟ้องก่อนเสมอไป และเมื่อสืบ
พยานโจทก์แล้ว จำาเลยก็มีสิทธินำาพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 174) ดังนั้น นายวิชัยจำาเลยสามารถนำาสืบพยานจำาเลยว่าตนได้กระทำาไปโดยป้องกันตัวได้ (ฎีกาที่ 862/2503)
(สอบไล่ ภาค 2/2528)
นาย ก. ยื่นฟ้องในฐานะเป็นบิดาของนาย ข. ผูเ้ ยาว์ กล่าวหาว่า นาย ค. ขับรถโดยประมาทชนรถนาย ข. ทำาให้นาย ข.บาดเจ็บ
สาหัส เป็นความผิดฐานกระทำาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญาฐานหนึ่ง กับฝ่าฝืน
พระราชบัญญัติการจราจรทางบกอีกฐานหนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่า นาย ข.ยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ในโรงพยาบาล และอุบัติเหตุ
ครั้งนี้เกิดขึ้นจากความประมาทของ นาย ข. และนาย ค. ทั้งสองฝ่าย ส่วนนาย ก. เป็นบิดาของนาย ข. จริง แต่มิได้จดทะเบียน
สมรสกับมารดาของนาย ข. ในขณะยื่นฟ้อง เพิ่งมาจดทะเบียนสมรสกับมารดาของนาย ข. ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ ดังนี้
ถ้าการกระทำาของนาย ค. เป็นความผิดทั้งสองฐาน จงวินิจฉัยว่า นาย ก. มีอำานาจฟ้องคดีนี้หรือไม่
เฉลย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้วางหลักเกี่ยวกับผู้เสียหายไว้ว่า “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความ
เสียหายเนื่องจากการกระทำาผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำานาจจัดการแทนได้ดังบัญญัติไว้ในกฎหมาย ซึ่งได้แก่
1. ผูแ้ ทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำาต่อผู้เยาว์ หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล
2. ผูบ้ ุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำาร้ายถึงตาย หรือบาดเจ็บไม่สามารถ
จัดการเองได้
ผูซ้ ึ่งมีอำานาจจัดการแทนผู้เสียหายดังกล่าวมีอำานาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
กรณีตามปัญหาสำาหรับข้อหากระทำาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายสาหัส มูลกรณีเข้าเกณฑ์ที่นาย ก. ใน
ฐานะบิดาตามความเป็นจริงจะจัดการยื่นฟ้องนาย ข. ได้ ตามนัยหลักกฎหมายดังกล่าว (มาตรา 5 (2) ) เพราะคำาว่า
“บุพการี” ซึ่งมีอำานาจจัดการแทนผู้เสียหายในกรณีนี้หมายถึงบุพการีตามความเป็นจริง ไม่จำาเป็นต้องเป็นบุพการีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงได้ความว่า นาย ข. เองมีส่วนประมาทร่วมอยู่ด้วย ถือว่า นาย ข. มิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในการกระทำา
ผิดของนาย ค. นาย ก. บิดาของนาย ข. ย่อมไม่อาจจัดการยื่นฟ้องแทนได้
ส่วนข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจขรทางบกกำาหนดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือของ
เจ้าพนักงานในการ...**คุมระการจราจรให้เป็นไปโดยเรียบร้อยเพื่อสวัสดิการของสังคมโดยส่วนรวม มิได้มุ่งหมายจะคุ้มครอง
เอกชนคนใดคนหนึ่งโดนเฉพาะอย่างความผิดฐานการะทำาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมาย
อาญา ดังรั้น นาย ข. จึงมิใช่ผู้ที่จะอ้างความคุ้มครองตามกฎหมาย และไม่ถือว่าเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ เมื่อนาย ข.
มิใช่ผู้เสียหาย นาย ก. จึงไม่อาจจัดการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องแทน นาย ข. ในข้อหานี้ด้วย
อนึ่ง เมื่อนาย ข. มิใช่ผู้เสียหายแล้ว กรณีนี้ย่อมไม่จำาเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นตามกฎหมายว่าการจดทะเบียนสมรสของนาย ก.
จะมีผลย้อนหลังให้นาย ก. มีฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของ นาย ข. มาตั้งแต่ยื่นฟ้องหรือไม่ (มาตรา 5 (1) และประเด็น
ตามกฎหมายว่ามูลกรณีเข้าเกณฑ์ที่จะจัดการฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบกแทนนาย ข. ในฐานะผู้บุพการี
(มาตรา 5 (2) )ได้หรือไม่แต่ประการใด
เฉลย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วางหลักไว้ว่าในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือ
เพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำาคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับหรือทั้งจำาทั้งปรับ แต่โทษจำาคุกไม่เกิน 5 ปี ห้ามมิให้คู่ความ
อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
กรณีตามปัญหาศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์จำาคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดฐาน
ชิงทรัพย์เช่นเดียวกัน เพียงแต่แก้ให้ลงโทษจำาคุก 4 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงจำาคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้
อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่จำาเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เป็นพยานบอกเล่าไม่อาจรับฟังลงโทษจำาเลยได้นั้น เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายจึงไม่
ต้องห้ามฎีกาตามกฎหมาย ฎีกาของจำาเลยจึงไม่ต้องห้าม
เฉลย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ วางหลักไว้ว่า “ห้ามมิให้อุทธรณ์คำาพิพากษาศาลชั้นต้นใน
ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำาหนดไว้ให้จำาคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำาทั้งปรับ เว้นแต่
(1) จำาเลยต้องคำาพิพากษาให้ลงโทษจำาคุกหรือให้ลงโทษกักขังแทนโทษจำาคุก
(2) จำาเลยต้องคำาพิพากษาให้ลงโทษจำาคุก แต่ศาลรอการลงโทษไว้
(3) ศาลพิพากษาว่า จำาเลยมีความผิดแต่รอการลงโทษไว้ หรือ
(4) จำาเลยต้องคำาพิพากษาให้ลงโทษปรับเกินกว่าห้าร้อยบาท
กรณีตามปัญหา กระทงที่จำาเลยถูกฟ้องว่ากระทำาความผิดฐานทำาร้ายร่างกายนั้นมีอัตราโทษจำาคุกเพียงสองปีหรือปรับไม่เกิน
4,000 บาท อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำาหนดไว้ข้างต้น การที่ศาลพิพากษาว่าจำาเลยมีความผิดแต่ให้ส่งตัวไปฝึกอบรมที่สถาน
พินิจและคุ้มครองเด็กกลาง ไม่เป็นการพิพากษาลงโทษจำาคุกหรือกักขังหรือรอการกำาหนดโทษแต่อย่างใด จึงต้องห้ามมิให้
อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
การที่จำาเลยอุทธรณ์ว่าจำาเลยไม่ได้กระทำาความผิดฐานทำาร้ายร่างกายและฐานลักทรัพย์ แต่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานไม่
ถูกต้องนั้นเป็นการอุทธรณ์เกี่ยวกับดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์
ของจำาเลยในความผิดฐานทำาร้ายร่างกายจึงต้องห้ามตามกฎหมาย
ความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนนั้นมีอัตราโทษจำาคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปีซึ่งมีอัตราโทษเกินกว่าที่กฎหมายกำาหนดไว้ข้าง
ต้นจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จำาเลยก็มีสิทธิอุทธรณ์ในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนได้
เฉลย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 วางหลักไว้ว่า คดีลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก
ฉ้อโกง ยักยอกหรือรับของโจร ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำาผิดคืน
เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย
จากหลักกฎหมายดังกล่าว อัยการจึงมีอำานาจเรียกร้องทรัพย์สินคืนหรือเรียกเอาราคาทรัพย์สินตามประเภทคดีรวม 9 ประเภท
และมีอำานาจจำากัดเฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่ต้องสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำาผิดคืนเท่านั้น
การเรียกร้องอย่างอื่น เช่น ค่าเสียหายในการละเมิดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปเนื่องจากการทำาผิด รวมทั้งการเรียกร้องประการอื่น
นอกจากที่เรียกคืนทรัพย์หรือเรียกให้ชดใช้ราคาทรัพย์ผู้เสียหายจะต้องดำาเนินการเอง
ตามปัญหา คำาสั่งที่สั่งให้จำาเลยใช้คืนเงินรางวัล 5,000 บาท นั้นชอบแล้ว เพราะว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลฉบับที่ถูกรางวัลย่อมมี
มูลค่าเท่ากับรางวัลที่ได้รับ เมื่ออัยการฟ้องคดีอาญาฐานลักทรัพย์จึงมีอำานาจเรียกให้ ก. ชดใช้คืนเงินรางวัลแทน ข. ได้ ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43
สำาหรับค่าใช้จ่ายที่ผู้เสียหายต้องเสียไปในการดำาเนินคดีคำาสั่งศาลที่สั่งให้ยกคำาขอในส่วนนี้ชอบแล้ว เพราะอำานาจของอัยการ
คามมาตรานี้จำากัดเฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำาผิดนั้น และ
อัยการได้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย ดังนั้น อัยการจึงไม่มอี ำานาจขอให้จำาเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ ข. ต้องเสียไป
ในการดำาเนินคดีให้แก่ ข.
สรุป คำาสั่งศาลที่สั่งให้จำาเลยใช้คืนเงินรางวัล และยกคำาขอของอัยการที่ให้จำาเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ ข. ต้องเสียไปในการ
ดำาเนินคดีนั้น ชอบแล้ว
เฉลย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 วางหลักไว้ว่า คดีอาญาที่ได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำามาฟ้องอีกหา
ได้ไม่ เว้นแต่จะเข้าอยู่ในข้อยกเว้นดังต่อไปนี้
ฯลฯ
(3) ถ้าผู้เสียหายไดยื่นฟ้องคดีอาญาๆว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นเสีย การถอนฟ้องนี้ไม่ตัดสิทธิพนักงานอัยการที่จะฟ้องคดีนั้นใหม่
เว้นแต่คดีตามความผิดต่อส่วนตัว
จากหลักกฎหมายดังกล่าว ในกรณีที่ผู้เสียหายได้ถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวซึ่งตนได้เป็นโจทก์ฟ้องไปแล้ว พนักงาน
อัยการย่อมไม่มสี ิทธิฟ้องคดีนั้นใหม่เพราะถือว่าคดีอาญาได้ระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
39 (2) และการถอนฟ้องนี้ย่อมมีผลไปถึงศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาด้วย
ตามปัญหา ความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดต่อส่วนตัวซึ่งยอมความกันได้ เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องในระหว่างที่คดีอยู่ใน
ชั้นศาลฎีกาโดยจำาเลยไม่ได้คัดค้าน และศาลฎีกาอนุญาตให้ให้โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธิในการนำาคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) คำาพิพากษาของศาลอุทธรณ์แม้จะพิพากษาลงโทษจำาเลยไว้ก็
ย่อมระงับไปในตัวไม่มีผลบังคับต่อไป ศาลฎีกาจึงไม่จำาเป็นต้องมีคำาพิพากษาให้ยกคำาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษา
ลงโทษจำาคุกจำาเลยแต่อย่างใด
สรุป คำาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่มีผลบังคับแก่จำาเลย เพราะโจทก์ถอนฟ้องคดีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิด
ต่อส่วนตัว คดีอาญาระงับไปแล้วคำาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ย่อมระงับไปในตัว
เฉลย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้วางหลักเกี่ยวกับผู้เสียหายไว้ว่า “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความ
เสียหายเนื่องจากการกระทำาผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำานาจจัดการแทนได้ ดังได้บัญญัติไว้ในกฎหมาย ซึ่งได้แก่
1. ผูแ้ ทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำาต่อผู้เยาว์ หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล
2. ผูบ้ ุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำาร้ายถึงตาย หรือบาดเจ็บไม่สามารถ
จัดการเองได้
ผูซ้ ึ่งมีอำานาจจัดการแทนผู้เสียหายดังกล่าวมีอำานาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
สำาหรับกรณีตามปัญหา ขอแยกพิจารณาเป็นสองประเด็น
สำาหรับปัญหาผู้เยาว์ นาย ก. เป็นผู้เสียหายเนื่องจากนาย ค. พรากนางสาว ข. ไปเสียจากความดูแลของตน มิใช่กรณีที่นางสาว
ข. เป็นผู้เสียหายและนาย ก. จัดการยื่นฟ้องแทนในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม (มาตรา 5(1) ) หรือ ในฐานะเป็นผู้บุพการี
(มาตรา 5(2) ) นาย ก. จึงย่อมมีอำานาจเป็นโจทก์ฟ้องนาย ค. ในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ได้
ส่วนข้อหาทำาร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ถึงแม้โดยนิตินัย นาย ก. จะไม่มีความสัมพันธ์ฉันบิดาและ
บุตรกับนางสาว ข. ก็ตาม แต่นาย ก. ก็เป็นบิดาที่แท้จริงของนางสาว ข. ผูเ้ สียหายซึ่งถูกทำาร้ายถึงแก่ความตาย จึงถือเป็นผู้
บุพการีตามนัยหลักกฎหมายดังกล่าวที่จะจัดการยื่นฟฟ้องคดีแทนนางสาว ข. ได้ (มาตรา 5(2) ) นาย ก. จึงมีอำานาจเป็นโจทก์
ฟ้องนาย ค. ฐานทำาร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้เช่นเดียวกัน
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 2
โจทก์ฟ้องให้บังคับชำาระหนี้ตามสัญญาและขอให้ยึดทรัพย์จำาเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำาสั่งตาม
คำาขอ ต่อมาศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องและสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์นั้นด้วย โจทก์อุทธรณ์และร้องขอต่อศาลอุทธรณ์ให้สั่งยึด
ทรัพย์จำาเลยชั่วคราว ในระหว่างอุทธรณ์ก่อนมีคำาพิพากษาศาลอุทธรณ์มีคำาสัง่ ให้ ยึดทรัพย์นั้นต่อไป จำาเลยจึงยื่นฎีกาขอให้
ถอนการยึดทรัพย์นั้น โจทก์ค้านอ้างว่าจำาเลยไม่มีสิทธิฎีกา เนื่องจากกฎหมายกำาหนดให้จำาเลยยื่นคำาขอต่อศาลให้ถอนหมาย
ยึดชั่วคราวเท่านั้น คำาค้านของโจทก์ฟังขึ้นหรือไม่
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 3
นายสมปอง ยื่นฟ้องนายสมชายข้อหาหมิ่นประมาท สาเหตุเนื่องมาจากนายสมชายกล่าวคำาหมิ่นประมาท นายสมปอง ระ
หว่างศาลพิจรณาคดี นายสมปองเป็นลมตาย และนายสมปองมีญาติอยู่เพียง ๒ คนคือ นายหนึ่ง ซึ่งเป็นปู่ และนายสองซึ่งเป็น
ลูกชาย มีอายุ ๑๖ ปี
ทั้งนายหนึ่งและนายสองต่างยื่นคำาร้องต่อศาล ขอดำาเนินคดี นายสมชายข้อหาหมิ่นประมาทแทนนายสมปองต่อไป
ดังนี้ ศาลจะอนุญาตตามคำาร้อง ของนายหนึ่งและนายสองหรือไม่ เพราะเหตุใด
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 1
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 2
1. โจทก์ฟ้องหย่าอ้างเหตุหย่าตามกฎหมาย จำาเลยให้การไม่มีเหตุหย่าพร้อมฟ้องแย้งขอให้แบ่งท่ดินสินสมรสให้จำาเลยครึ่งหนึ่ง
ศาลสั่งรับฟ้องและฟ้องแย้ง โจทก์ให้การว่าฟ้องแย้งไม่ชอบ ขอให้ศาลสั่งยกฟ้องแย้ง คำาสั่งรับฟ้องและฟ้องแย้งของศาลชอบ
หรือไม่ ( ตอบ ม. 173 )
3. ด และ ล กู้เงิน ข 5,000,000 โดย ก คำ้าประกัน ทำาธุรกิจขาดทุน ข เรียกชำาระหนี้ ด จ่าย 2,500,000 ก จ่าย 1,000,000 ส่วน
ล ไม่มีเงินชำาระ ข ฟ้อง ล ล้มละลาย หลังพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ด ก ข ต่างขอรับชำาระหนี้คนละ 5,000,000 จงวินิจฉัยว่า แต่ละ
คนรับชำาระหนี้ได้คนละเท่าไหร่ (ตอบ ม.9 ม 101)
3. นายผันเป็นโจทก์ฟ้องนายผิวฐานทำาร้ายร่างกายถูกตีที่ศีรษะ ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีและพิพากษาให้นายผิวมีความผิดฐาน
ทำาร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ นายผันไม่พอใจคำาพิพากษาจึงอุทธรณ์ให้
ศาลลงโทษนายผิว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ดังนี้ ศาลอุทธรณ์จะเรียกสำานวนและสืบพยานใหม่ได้หรือไม่
เพราะเหตุใด
ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 3
หลักกฎหมาย ป.วิอาญาม.๕(๑),ม. ๒๙
เมื่อผู้เสียหายยื่นฟ้องแล้วตายลง ป.วิอาญา ม. ๒๙ กำาหนดให้ ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา ของผู้เสียหายที่แท้จริง
สามารถยื่นคำาร้องต่อศาลขอเข้ามาดำาเนินคดีแทนผู้ตายต่อไปก็ได้
กรณีตามปัญหา เมื่อนายสมปอง ยื่นฟ้อง นายสมชายแล้วเป็นลมตายลง ถึงแม้ข้อหาที่ฟ้องจะเป็นข้อหาหมิ่นประมาท ก็เป็น
กรณีตาม ป.วิอาญา ม. ๒๙
ดังนั้น นายหนึ่งซึ่งเป็นปู่ ของนายสมปอง ถือว่าเป็นผู้บุพการี ของนายสมปอง จึงมีสิทธิเข้าดำาเนินคดีนายสมชาย ในข้อหา
หมิ่นประมาทแทนนายสมปองต่อไปได้
ส่วนนายสองนั้นแม้จะเป็นลูกชาย ของนายสมปอง ซึ่งถือว่าเป็นผู้สืบสันดาน แต่เนื่องจากนายสอง มีอายุ ๑๖ ปี ยังอยู่ในฐานะ
ผูเ้ ยาว์ ซึ่งกฎหมายกำาหนดให้
ผูแ้ ทนโดยชอบธรรมเป็นผู้จัดการแทน ในกรณีความผิดอาญาได้กระทำาต่อผู้เยาว์ ตามป.วิอาญา ม. ๕(๑) ผู้เยาว์จึงไม่อาจฟ้อง
คดีอาญา และไม่สามารถเข้ารับมรดกความทางอาญาด้วย
ดังนั้น ศาลจึงต้องสั่งอนุญาต ตามคำาร้องของนายหนึ่ง และ ยกคำาร้องของนายสอง ตามหลักกฎหมายดังกล่าว และได้ปรับ
วินิจฉัยแล้วข้างต้น
1. ก. กับ ข. เป็นลูกหนี้ร่วม ค. จำานวน 600000 บาท ข.ได้ใช้หนี้ให้ ค.ไปแล้วบางส่วนเป็นจำานวนเงิน 500000 บาท ต่อมา ก.ถูก
เจ้าหนี้รายอื่นฟ้องล้มละลาย ค.ขอชำาระหนี้ส่วนที่เหลือ 100000 บาท ถามว่า ข. จะขอชำาระหนี้ได้เท่าไร และถ้า ค.ไม่ขอชำาระ
หนี้ ข.จะขอชำาระหนี้ได้เท่าไร