Professional Documents
Culture Documents
41451 กฎหมายระหว่างประเทศ
International Law
ข้อสอบกฎหมายระหว่างประเทศปรนัย 60
อัตนัย 3 หน่วยเน้น 1, 3-7, 10, 12-15
หน่วยที ่ 1 ความรู้ทัว
่ ไปเกีย
่ วกับระหว่างประเทศ
2. ในดูานเนือ
้ หาและร้ปแบบระหว่างประเทศมีเนื้อหาซับซูอน
และหลากหลายมากในปั จจุบันเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ซึง่ เกิดขึน
้
ก่อนจากหลักเกณฑ์ในร้ปประเพณีระหว่างประเทศและไดูรับการ
พัฒนาเสริมขึน
้ ดูวยกฎเกณฑ์ในร้ปของสนธิสัญญา
3. กฎหมายระหว่างประเทศในยุคใหม่มีวิวัฒนาการอย่างมาก
จากคริสต์ศตวรรษที ่ 16 ซึง่ เริม
่ เกิดรัฐชาติขึ้นในสังคมระหว่าง
ประเทศ และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วตัง้ แต่สิน
้ สงครามโลกครัง้ ที ่
1 พรูอมกับการเกิดขึ้นของบุคคลระหว่างประเทศใหม่ ซึ่งไดู แก่
องค์การระหว่างประเทศ
1.1 ความหมายและลักษณะของระหว่างประเทศ
ระหว่างประเทศมีลักษณะทีแ
่ ตกต่างจากภายในของรัฐ เนื่องจาก
โครงสรูางของสังคมและพืน
้ ฐานทางกฎหมายของทัง้ สองแบบแตก
ต่างกัน
3. การยืนยันว่าระหว่างประเทศ เป็ น อาจกระทำาไดูโดยอาศัย
1.1.1 ความหมายของระหว่างประเทศ
ความหมายของระหว่างประเทศว่ามีความหมายอย่างไร
ระหว่างประเทศหมายถึงและขูอบังคับทัง้ ปวงของสังคม
ระหว่างประเทศทีก
่ ำากับและควบคุมพฤติกรรมของบุคคลระหว่าง
ประเทศใหูอย่้ร่วมกันโดยสันติสุข
3
1.1.2 ลักษณะของระหว่างประเทศ
อธิบายลักษณะของระหว่างประเทศ
ระหว่ า งประเทศเป็ นกฎเกณฑ์ ท างที ม
่ ี ส ภาพบั ง คบ เช่ น
เดี ย วกั บ ภายใน แต่ แ ตกต่ า งจากกฎหมายภายในตรงที ส
่ ภาพ
บั ง คั บ อาจมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพนู อ ยกว่ า เนื่อ งจากความแตกต่ า งของ
โครงสรู า งของสั ง คมและพื้น ฐานทางที ต
่ ู อ งอาศั ย ความยิ น ยอม
ของรัฐผู้อย่้ใตูบังคับของกฎหมายเป็ นปั จจัยหลัก
1.2 วิวัฒนาการของระหว่างประเทศ
1. กฎหมายระหว่างประเทศเริม
่ เกิดขึ้นจากกฎเกณฑ์ทีไ่ ม่เป็ น
ลายลักษณ์อักษร ในร้ปของจารีตประเพณีระหว่างประเทศซึ่งมี
ขูอ จำา กั ดในเรื่องที ต
่ ูอ งใชูเวลายาวนานในการก่ อตั วขึ้น และถ้ ก
เสริ มดู วยกฎเกณฑ์ ที เ่ ป็ นลายลั ก ษณ์ อัก ษรโดยเฉพาะในร้ ป ของ
สนธิสัญญา
2. เนือ
้ หาสาระของกฎหมายระหว่างประเทศ มีวิวัฒนาการไป
มากจากกฎเกณฑ์ ที เ่ ดิ ม มุ่ ง เนู น ความสั ม พั น ธ์ เ ฉพาะระหว่ า งรั ฐ
โดยพัฒนาไปในทิศทางทีค
่ รอบคลุมเรื่องต่างๆ รวมถึงทีเ่ กีย
่ วกับ
เอกชนดูวย
3. จากศตวรรษที ่ 16 ซึ่ ง เริ ่ม เกิ ด มี “รั ฐ ชาติ ” ขึ้ น จนถึ ง สิ น
้
สงครามโลกครั ง้ ที ่ 1 กฎหมายระหว่ า งประเทศเป็ นกฎเกณฑ์ ที ่
เนูนใชูปกครองความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
4. จากสิ ้น สงค รามโ ลกครั ้ ง ที ่ 1 จนถึ ง ปั จ จุ บั น กฎห มาย
ระหว่างประเทศ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความหลาก
หลายและซับซูอนขึน
้ กว่าในอดีต
1.2.1 วิวัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศในดูานร้ป
แบบและเนือ
้ หา
วิวัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศในดูานร้ปแบบ
และเนือ
้ หาว่า มีความเป็ นมาอย่างไร
กฎหมายระหว่ างประเทศเริ ม
่ เกิ ด ขึ้น ก่ อ นในร้ ป ของจารี ต
ประเพณี และมี พั ฒ นาการมาเสริ ม ดู ว ยกฎเกณฑ์ ม าเป็ นลาย
ลั ก ษ ณ์ อั ก ษ ร ก ล่ า ว คื อ สนธิ สั ญญา ส่ ว น ใ น ดู า นเ นื้ อ ห าก็
วิวัฒนาการมาจากกฎเกณฑ์ทีใ่ ชูเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
เช่น กฎหมายภาคสงคราม มาครอบคลุมดูานอื่นๆ รวมทัง้ ทีใ่ ชู
สิทธิประโยชน์ต่อปั จเจกชนดูวย เช่น สิทธิมนุษยชน
1.2.2 วิวัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศในเชิง
ประวัติศาสตร์
ประวั ติ ศ าสตร์ ข องกฎหมายระหว่ า งประเทศยุ ค ใหม่ มี
ความหมายอย่างไร
กฎหมายระหว่ า งประเทศยุ ค ใหม่ เ ริ ม
่ ขึ้น เมื่ อ มี ก ารจั ด ตั ้ง
้ ในสังคมระหว่างประเทศราวคริสต์ศตวรรษที ่ 16 แต่
รัฐบาลขึน
เป็ นกฎเกณฑ์ทีจ
่ ำากัดอย่้สำาหรับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเป็ นส่วน
ใหญ่ หลังสงครามโลกครัง้ ที ่ 1 เมื่อมีการจัดตัง้ สันนิบาตชาติขึน
้
กฎหมายระหว่างประเทศก็มี วิวั ฒนาการอย่า งรวดเร็ว พรูอมกับ
การยอมรับบุคคลระหว่างประเทศประเภทใหม่ทีม
่ ิใช่รัฐซึ่งไดูแก่
5
1.3 บ่อเกิดของระหว่างประเทศ
่ ิไดูถ้กระบุไวูในมาตรา 38 ของ
ระหว่างประเทศ แต่เป็ นบ่อเกิดทีม
ธรรมน้ญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
1.3.1 บ่อเกิดหลักของกฎหมายระหว่างประเทศ
ระบุบ่อเกิดหลักของกฎหมายระหว่างประเทศตามที ่
บัญญัติไวูในมาตรา 38 ของธรรมน้ญศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศมีอะไรบูาง
ตามมาตรา 38 ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ บ่อเกิด
หลั ก ของกฎหมายระหว่ า งประเทศซึ่ ง ศาลยุ ติ ธ รรมระหว่ า ง
ประเทศตูองใชูในการพิพากษาตัดสินคดี คือสนธิสัญญา จารีต
ประเพณีระหว่างประเทศ และหลักกฎหมายทัว
่ ไป
6
องค์ประกอบของจารีตประเพณีระหว่างประเทศมีอะไรบูาง
จารีตประเพณีระหว่างประเทศจะเกิดขึน
้ ไดูตูองอาศัยองค์
ประกอบ 2 ประการ ทางปฏิบัติของรัฐทีม
่ ีลักษณะซำา
้ ๆ กันแพร่
หลาย และภายในช่วงระยะเวลาหนึง่ ในฐานะองค์ประกอบทาง
วัตถุ และความเชือ
่ มัน
่ ว่าจะตูองกระทำาเพราะเป็ นกฎหมาย ใน
ฐานะองค์ประกอบทางจิตใจ
1.3.2 บ่อเกิดลำาดับรองของกฎหมายระหว่างประเทศ
และบ่อเกิดทีม
่ ิไดูบัญญัติไวูในธรรมน้ญศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศ
บ่อเกิดลำาดับรองของกฎหมายระหว่างประเทศมีอะไรบูาง
และมีบทบาทอย่างไร
บ่ อ เกิ ด ลำา ดั บ รองของกฎหมายระหว่ า งประเทศตามที ่
บั ญ ญั ติ ไ วู ใ นมาตรา 38 ของธรรมน้ ญ ศาลยุ ติ ธ รรมระหว่ า ง
ประเทศมี 2 ประการ กล่าวคือ แนวคำาพิพากษาระหว่างประเทศ
และทฤษฎีของผู้เชีย
่ วชาญทางกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งแมู
จะมิไดูเป็ นบ่อเกิดของกฎหมายโดยตรง แต่ก็มีบทบาทอย่างมาก
ในการระบุ อ ธิ บ ายรวมทั ้ง ยื น ยั น เนื้ อ หาของกฎหมายระหว่ า ง
ประเทศ
การประเมินผลหน่วยที ่ 1
1. ในปั จจุ บั น กฎหมายระหว่ า งประเทศใชู บั ง คั บ ต่ อ ความสั ม พั น ธ์
ระหว่างบุคคลระหว่างประเทศต่างๆ
2. ความแตกต่ า งที ่สำา คั ญ ระหว่ า งกฎหมายระหว่ า งประเทศและ
กฎหมายภายในคื อ (ก) สภาพบั ง คั บ ของกฎหมายระหว่ า งประเทศมี
7
หน่วยที ่ 2 บุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศ
1. รัฐเป็ นบุคคลดัง
้ เดิมหรือเป็ นบุคคลหลักในกฎหมายระหว่าง
ประเทศรัฐ เกิ ดขึ้นโดยองค์ประกอบ ทางขูอเท็จ จริง มีสิท ธิ แ ละ
หนูา ทีท
่ ีส
่ มบ้ร ณ์ตามกฎหมายระหว่ า งประเทศ และมี ค วามเท่ า
เทียมกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
2. องค์ ก ารระหว่ า งประเทศเป็ นบุ ค คลลำา ดั บ รองในกฎหมาย
ระหว่ า งประเทศเกิ ด ขึ้ น โดยความตกลงระหว่ า งรั ฐ มี ค วาม
สามารถตามกฎหมายระหว่ า งประเทศที จ
่ ำา กั ด ภายในขอบเขต
ของความตกลงก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศนัน
้ ๆ
3. โดยทัว
่ ไปแลูว ปั จเจกชนไม่มีสิทธิ ความรับผิดชอบ และใชู
สิ ท ธิ ใ นทางระหว่ า งประเทศไดู โ ดยตรงตามกฎหมายระหว่ า ง
ประเทศ ยกเวูนในบางกรณีทีม
่ ีขอบเขตทีจ
่ ำากัดอย่างมาก
4. บรรษัทขูามชาติไม่ไดูรับการยอมรับว่ามีสภาพเป็ นบุคคลใน
กฎหมายระหว่ า งประเทศ แต่ มี ส ถานะเป็ นเพี ย งบุ ค คลตาม
กฎหมายภายในเท่านัน
้
2.1 รัฐ
1. รั ฐ มี อ งค์ ป ระกอบหลั ก 3 ประการ คื อ ดิ น แดน ประชากร
และรัฐบาล คำาจำากัดความของรัฐเป็ นแนวความคิดทางรัฐศาสตร์
10
(equity) มาปรับใชูเพือ
่ แบ่งความรับผิดชอบ
2.1.1 กำาเนิดของรัฐ
อธิบายการเกิดและองค์ประกอบของรัฐ
รัฐเกิดขึ้นจากการรวมตัวอย่างเป็ นจริงขององค์ประกอบ 4
ประการ คือ ดินแดน ประชากร รัฐบาล เอกราชอธิปไตยและ
ความสามารถทีจ
่ ะเขูาไปดำาเนิน สัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ
อธิบายเงือ
่ นไขของการใหูความคูุมครองทางการท้ตของรัฐ
รัฐอาจใหูความคูุมครองทางการท้ตต่อคนชาติของตนไดูเมือ
่
11
(1) คดีถึงทีส
่ ุดในศาลของรัฐผู้รับแลูว
(2) ก ารก ร ะทำา ข อ งรั ฐผู้ รั บ ทำา ใ หู เ กิ ด ผ ลเ สี ย ห า ยท าง
กระบวนการยุติธรรม
(3) ความผิดนัน
้ จะตูองปราศจากเจตนามิชอบ
(4) รั ฐ ผู้ ใ หู ค วามคูุ ม ครองเป็ นผู้ ใ ชู ดุ ล ยพิ นิ จ พิ จ ารณาว่ า
สมควรทีจ
่ ะใหูความคูุมครองทางการท้ตหรือไม่
(5) เป็ นการใหู ค วามคูุ ม ครองแก่ ค นชาติ ข องตนหรื อ แก่ ค น
ชาติ อื่ น ที ม
่ ี ค วามตกลงกำา หนดใหู รั ฐ นั ้น เป็ นผู้ ใ หู ค วามคูุ ม ครอง
แทนไดู
2.1.2 การรับรองรัฐ
การรั บ รองรั ฐ ทำา ไดู โ ดยวิ ธี ใ ด และมี ผ ลทางปฏิ บั ติ ร ะหว่ า ง
ประเทศอย่างไร
การรั บ รองรั ฐ ทำา ไดู ส องวิ ธี คื อ การรั บ รองโดยนิ ติ นั ย และ
การรั บ รองโดยพฤติ นั ย การรั บ รองรั ฐ ทำา ใหู นิ ติ ฐ านะของรั ฐ ที ่
ไดูการรับรองมัน
่ คงขึ้น สามารถทำา ความตกลงระหว่างประเทศ
กับรัฐอืน
่ ๆ ไดูอย่างสมบ้รณ์ และมีสิทธิหนูาทีท
่ ีจ
่ ะตูองปฏิบัติตาม
พันธกรณีของตน และสามารถเรียกรูองใหูรัฐอื่นๆ เคารพสิ ทธิ
ของตนดูวย
รัฐมีหนูาทีต
่ ูองใหูการรับรองรัฐใหม่หรือไม่ เพราะเหตุใด
รัฐไม่มีหนูาทีจ
่ ะตูองใหูการรับรองรัฐใหม่ เพราะการตัดสิน
ใจใหู ก ารรั บ รองรั ฐ เป็ นดุ ล ยพิ นิ จ ของรั ฐ ผู้ ใ หู ก ารรั บ รองแต่ ฝ่ าย
เดียว
12
2.1.3 สิทธิและหนูาทีข
่ องรัฐ
สิทธิในเอกราชทีส
่ ำาคัญของรัฐมีอะไรบูาง
สิทธิในเกราชทีส
่ ำาคัญของรัฐ ไดูแก่สิทธิในการแสดงออกซึง่
เอกราชภายในดินแดนของรัฐซึง่ ไดูแก่ การออกกฎหมายเท่าทีไ่ ม่
ขั ด ต่ อ กฎหมายระหว่ า งประเทศ และสิ ท ธิ ใ นการแสดงออกซึ่ง
เอกราชในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การทำาความตกลง
ระหว่างประเทศเป็ นตูน
2.1.4 การสืบสิทธิของรัฐ
อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยกฎหมายสนธิสัญญามีอิทธิพล
และความสั ม พั น ธ์ กั บ หลั ก การทั่ว ไปของการสื บ สิ ท ธิ ข องรั ฐ ต่ อ
สนธิสัญญาอย่างไร
การสื บ สิ ท ธิ ข องรั ฐ ต่ อ สนธิ สั ญ ญา เป็ นผลงานของคณะ
กรรมาธิ ก ารกฎหมายของสหประชาชาติ ที ่สื บ เนื่ อ งมาจาก
อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยกฎหมายสนธิสัญญา แนวความคิด
หรืออิทธิพลของอนุสัญญาฉบับนีเ้ หนือหลักการของการสืบสิทธิ
ของรั ฐ ต่ อ สนธิ สั ญ ญาไดู แ ก่ หลั ก การที ค
่ ูุ ม ครองความประสงค์
13
ของรั ฐ ที ส
่ าม เช่ น การทำา ความตกลงระหว่ า งรั ฐ แม่ กั บ รั ฐ ผู้ สื บ
สิทธิจะไม่มีผลผ้กมัดรัฐทีส
่ าม นอกจากรัฐนัน
้ จะใหูความยินยอม
และหลั ก การว่ า ดู ว ยการคงสภาพเดิ ม ของเสู น เขตแดนระหว่ า ง
ประเทศเป็ นตูน
2.2 องค์การระหว่างประเทศ
1. สภาพบุ ค คลตามกฎหมายระหว่ า งประเทศขององค์ ก าร
2.2.1 สภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศขององค์การ
ระหว่างประเทศ
ในการพิจารณาสภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ขององค์การระหว่างประเทศมีแนวทางพิจารณาอย่างไร
กรณีที ต
่ ราสารก่อตั ง้ องค์ ก ารระหว่ า งประเทศ มิไ ดู ร ะบุ ถึ ง
สภาพบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขององค์การระหว่าง
ประเทศไวูอย่างชัดแจูง ก็อาจพิจารณาสภาพบุคคลตามกฎหมาย
ระหว่างประเทศขององค์การระหว่างประเทศโดยอาศัยแนวทาง
ดังต่อไปนี ้
(1) องค์การระหว่างประเทศนั น
้ เกิดขึ้นโดยความตกลง
ระหว่างรัฐเพือ
่ ก่อตัง้ เป็ นสมาคมของรัฐอย่างถาวร
(2) มี โ ครงสรู า งประกอบดู ว ยองค์ ก รย่ อ ยต่ า งๆ ที จ
่ ะ
ดำาเนินภารกิจขององค์การระหว่างประเทศ
(3) มีวัตถุประสงค์ขององค์การระหว่างประเทศแยกต่าง
หากจากบรรดารัฐสมาชิก
15
(4) มีสิทธิหนูาทีแ
่ ละสามารถใชูสิทธิและปฏิบัติหนูาทีไ่ ดู
ในทางระหว่างประเทศ
2.2.3 ความรับผิดขององค์การระหว่างประเทศตามกฎหมาย
ระหว่างประเทศ
องค์การระหว่างประเทศมีความรับผิดตามกฎหมายระหว่าง
ประเทศหรือไม่
ในการปฏิบัติภารกิจขององค์ก ารระหว่า งประเทศตามทีไ่ ดู
รั บ มอบ หมายจากรั ฐ สม าชิ ก ใ นบ าง กร ณี อ าจ มี ก าร ฝ่ าฝื น
พันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ
16
2.3 ปั จเจกชนและบริษัทขูามชาติ
1. ตามแนวความคิ ดนั บตั ง
้ แต่เ ดิม ปั จเจกชนเป็ นเพี ยงวัต ถุใ น
กฎหมายระหว่างประเทศ (Objects of International Law) อย่างไร
ก็ตามนับตัง้ แต่ตูนศตวรรษที ่ 20 ปั จเจกชนทีไ่ ดูรับการยอมรับใหู
สามารถมี สิ ท ธิ ใ ชู สิ ท ธิ เ รี ย กรู อ งในทางระหว่ า งประเทศและมี
ความรับผิดโดยตรง ตามกฎหมายระหว่างประเทศบางประการ
แต่มีขอบเขตทีจ
่ ำากัดอย่างมาก
2. มี ห ลั ก ฐานที แ
่ สดงถึ ง การยอมรั บ ว่ า ปั จเจกชนตู อ งรั บ ผิ ด
โดยตรงในการกระทำาบางอย่างทีเ่ ป็ นการละเมิดกฎหมายระหว่าง
ประเทศ
3. บรรษัทขูามชาติแมูจะมีบทบาทในสังคมระหว่างประเทศ คง
มีสถานะเป็ นเพียงบุคคลตามกฎหมายภายในเท่านัน
้
2.3.2 สถานะของบริษัทขูามชาติตามกฎหมายระหว่าง
ประเทศ
บรรษัทขูามชาติมีสถานะเป็ นบุคคลในกฎหมายระหว่าง
ประเทศหรือไม่
บรรษั ทขู ามชาติ แ มู จ ะมี ส่ ว นร่ ว มในสั ง คมระหว่ า งประเทศ
แต่รัฐต่างๆก็ยังไม่ใหูการยอมรับว่าเป็ นบุคคลในกฎหมายระหว่าง
ประเทศ และไม่สามารถใชูสิทธิเรียกรูองในทางระหว่างประเทศ
ไดูโดยตรง แต่ยังคงตูองอาศัยความคูุมครองทางการท้ตจากรัฐ
ซึง่ บรรษัทขูามชาตินัน
้ ถือสัญชาติ
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 2
1. องค์ประกอบสำาคัญของรัฐในกฎหมายระหว่างประเทศไดูแก่ รัฐบาล
การใชู อำา นาจปกครองประชาชนอย่ า งแทู จ ริ ง ดิ น แดน และเอกราช
อธิปไตย
2. รัฐมีนิติฐานะเป็ นนิติบุคคลระหว่างประเทศเมื่อ เกิดขึน
้ มาพรูอมกับ
เมื่อรัฐนัน
้ มีองค์ประกอบทีส
่ ำา คัญครบถูวนตามหลักของกฎหมายระหว่าง
ประเทศ
3. การรับรองรัฐตามหลักของกฎหมายระหว่างประเทศคือ การกระทำา
เช่น รัฐอืน
่ ๆ ใหูการรับรองอย่างเป็ นลายลักษณ์อักษรหรือโดยพฤตินัย
18
4. เมื่อรัฐไดูรับการรับรองจะเกิดผลตามกฎหมายระหว่า งประเทศคือ
รั ฐ นั ้ น มี ค วามสามารถที ่จ ะดำา เนิ น การเกี ่ย วกั บ ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง
ประเทศไดูอย่างสมบ้รณ์
5. ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยการสืบสิทธิของรัฐต่อสนธิสัญญา
เมื่อดินแดนทีเ่ คยเป็ นอาณานิค มไดูเป็ นเอกราชและเป็ นรั ฐที เ่ กิ ด ใหม่ รัฐ
ใหม่ ไ ม่ จำา เป็ นที จ
่ ะตู อ งสื บ สิ ท ธิ สนธิ สัญ ญาที ร
่ ั ฐ แม่ ไ ดู ทำา ไวู เพราะรั ฐ ไม่
อาจถ้กผ้กพันไดูจากสนธิสัญญาทีต
่ นเองไม่ไดูใหูความยินยอม
6. ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยการสืบสิทธิของรัฐต่อสนธิสัญญา
เมือ
่ รัฐผู้สืบสิทธิเห็นว่าสนธิสัญญากำาหนดเสูนเขตแดนซึ่งรัฐแม่เป็ นผู้ทำาไวู
ไม่ ใ หู ค วามเป็ นธรรมแก่ ต น รั ฐ ผู้ สื บ สิ ท ธิ จ ะตู อ งดำา เนิ น การ สื บ สิ ท ธิ
เขตแดนทีม
่ ีผลสืบเนื่องมาจากการทำา สนธิสัญญากำา หนดเสูนเขตแดนนัน
้
ของรัฐแม่แลูวจึงขอเจรจากับรัฐเพือ
่ นบูานภายหลัง
7. องค์การระหว่างประเทศมีความหมายอย่างแคบคือ องค์การระหว่าง
ประเทศระดับรัฐบาลซึง่ เป็ นนิติบุคคลระหว่างประเทศตัง้ ขึน
้ โดยรัฐ เพือ
่ ใหู
ดำาเนินงานตามวัตถุประสงค์ทีธ
่ รรมน้ญก่อตัง้ องค์การไดูกำาหนดไวู
8. การใชูอำานาจหนูาทีข
่ ององค์การระหว่างประเทศโดยทัว
่ ไปจะตูองอย่้
ภายในกรอบ ของบทบั ญ ญั ติ ข องรั ฐ ธรรมน้ ญ ก่ อ ตั ้ ง องค์ ก ารระหว่ า ง
ประเทศนั ้น และภายในขอบเขตที เ่ ป็ นประโยชน์ ต่ อ การดำา เนิ น งานของ
องค์การระหว่างประเทศนัน
้
9. รัฐเป็ นบุคคลระหว่างประเทศทีม
่ ีสิทธิและหนูา ทีท
่ ีส
่ มบ้รณ์ทีส
่ ุดตาม
กฎหมายระหว่ า งประเทศ องค์ ก ารระหว่ า งประเทศเป็ นบุ ค คลระหว่ า ง
ประเทศอั น ดั บ รอง ซึ่ง รั ฐ สรู า งขึ้น เพื่อ ร่ ว มดำา เนิ น กิ จ การในสาขาต่ า งๆ
ตามทีไ่ ดูกำาหนดไวูล่วงหนูา
10. รัฐมีองค์ประกอบสำาคัญในกฎหมายระหว่างประเทศคือ มี
รัฐบาลซึ่งใชูอำา นาจอย่างแทูจริงเหนือประชาชนและดินแดนซึ่งมีเอกราช
และอธิปไตย
19
หน่วยที ่ 3 เขตแดนและเขตอำานาจรัฐ
แต่ ล ะรั ฐ ที ม
่ ี อำา นาจอธิ ป ไตยเหนื อ ดิ น แดน บุ ค คลและกิ จ การ
ภายในรัฐนัน
้ และแยกจากดินแดนของรัฐอื่นๆ ในประชาคมโลก
ดั ง นั ้น การมี เ ขตแดนที แ
่ น่ น อนจึ ง เป็ นองค์ ป ระกอบที ส
่ ำา คั ญ ของ
การเป็ นรัฐ และเป็ นขอบเขตดินแดนทีร
่ ัฐสามารถใชูอำานาจส้งสุด
แห่ ง อธิ ป ไตยแห่ ง ตนโดยไม่ มี รั ฐ ใดสามารถเขู า มากู า วล่ ว งหรื อ
แทรกแซงไดู
2. เขตแดนของรัฐประกอบดูวยส่วนต่างๆไดูแก่พื้นดิน พืน
้ นำ้า
แม่ นำ้ า ลำา คลอง อั น เป็ นน่ า นนำ้ า ภายใน รวมทั ้ง แม่ นำ้ า ระหว่ า ง
ประเทศในส่วนทีผ
่ ่านดินแดนรัฐนั น
้ ๆ อ่าว และทะเลอาณาเขต
อากาศเหนือพืน
้ ดินและพื้นนำ้าตลอดจนลึกลงไปใตูผิวดินถึงแก่น
โลก นอกจากนัน
้ บางประเทศยั งมี ลัก ษณะทางภ้มิ ศ าสตร์ ทีแ
่ ตก
21
แต่ทัง้ นีต
้ ูองอย่้ภายในขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศดูวย
กล่าวคือ รัฐสามารถใชูเขตอำานาจของตนเหนือบุคคล ทรัพย์สิน
หรือ เหตุก ารณ์ ต่างๆ ตามกฎหมายภายใน โดยมี ก ารเชื่อ มโยง
บางประการ ซึง่ กฎหมายระหว่างประเทศรับรอง
8. เ ข ต อำา นา จ ข อ ง รั ฐ มี ม้ ลฐ าน ม า จ า ก ห ลั ก ก า ร สำา คั ญ 5
3.1 เขตแดนของรัฐ
1. เขตแดนเป็ นเครื่องกำา หนดขอบเขตของดินแดนทีอ
่ ย่้ภายใตู
อำานาจอธิปไตยของรัฐ กำาหนดขอบเขตแห่งการมีสิทธิและหนูาที ่
ระหว่ างประเทศของรั ฐ ในความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศ และ
แบ่งแยกอำานาจของรัฐออกจากกันโดยเด็ดขาด เวูนแต่กรณีทีร
่ ัฐ
ต่ า งๆ ไดู แ สดงเจตจำา นงในการใหู ค วามร่ ว มมื อ ระหว่ า งกั น ใน
กรอบของความร่วมมือทีไ่ ดูตกลงระหว่างกันไวู เขตแดนจึงเป็ น
23
ทัง้ เครือ
่ งชีแ
้ สดงและจำากัดขอบเขตการใชูอำานาจอธิปไตยของรัฐ
ในประชาคมระหว่างประเทศ
2. องค์ประกอบของดินแดนของรัฐ คือพืน
้ ดิน ใตูดอน น่านนำ้า
ภายใน ทะเลอาณาเขต และน่ า นฟู าเหนื อ ดิ น แดน น่ า นนำ้ า
ภายในและทะเลอาณาเขต
3. แม่ นำ้ า ลำา คลอง ทะเลสาบ อ่ า วและช่ อ งแคบ ก็ เ ป็ นองค์
ประกอบของเขตแดนของรัฐซึง่ อาจมีลักษณะเป็ นเขตแดนภายใน
ของรัฐ หรือเป็ นเจตแดนระหว่างประเทศไดู
4. รัฐทีม
่ ีลักษณะเป็ นหม่้เกาะ ไดูแก่ รัฐทีม
่ ีดินแดนประกอบไป
ดูวยเกาะหลายเกาะ การกำาหนดขอบเขตของเขตแดนของรัฐนัน
้
จึ ง แตกต่ า งจากการกำา หนดขอบเขตของเขตแดนของรั ฐ ทั่ว ไป
รวมทั ้ง การกำา หนดน่ า นนำ้ า และทะเลอาณาเขตของเกาะดู ว ย
รัฐชายฝั ่ งทีม
่ ีลักษณะพิเศษทางภ้มิ ศาสตร์ก็จะไดูรับการกำา หนด
เขตแดนทีแ
่ ตกต่างจากหลักเกณฑ์ทัว
่ ไปดูวยเช่นกัน
5. การกำา หนดเสู น เขตแดนของรั ฐ มี ทั ้ง ทางบก ทางนำ้ า และ
ทางอากาศ โดยมั ก จะอาศั ย อุ ป สรรคทางภ้ มิ ศ าสตร์ เ ป็ นแนว
เขตแดน ไดูแก่สันเขา สันปั นนำา
้ แม่นำา
้ ลำานำา
้ ทะเลสาบ ซึง่ แบ่ง
แยกดินแดนของรัฐตามธรรมชาติ ส่วนการกำา หนดเสูนเขตแดน
ทางอากาศมั ก จะเป็ นน่ า นฟู าเหนื อ ขอบเขตอั น เป็ นเสู น เขตแดน
ทางพื้น ดิ น และทะเลอาณาเขต กล่ า วคื อ น่ า นฟู าเหนื อ พื้น ดิ น
น่านนำา
้ ภายใน และทะเลอาณาเขต
6. ขั ้น ตอนและวิ ธี ก ารกำา หนดเสู น เขตแดนกระทำา โดยคณะ
กรรมการปู องกั นเขตแดน คณะกรรมการกำา หนดจุ ดพิ กัด และ
24
เขตแดนมีความสำาคัญอย่างไร
ก ารมี เ ข ตแ ดนที ่แ น่ น อนขอ งรั ฐ มี ค วามสำา คั ญอ ย่ าง ยิ ่ ง
เนื่องจากเป็ นองค์ประกอบอันบ่งชีถ
้ ึงการมีสภาพการเป็ นรัฐ ไม่
ว่ ารัฐ นัน
้ จะมีเ ขตแดนขนาดเล็ก หรื อใหญ่ก็ ตาม เสู นเขตแดนจึ ง
เป็ นสิ ่ง ที ่กำา หนดขอบเขตแห่ ง การมี สิ ท ธิ แ ละหนู า ที ่ร ะหว่ า ง
ประเทศของรั ฐ ในความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งประเทศ กฎหมาย
ระหว่ า งประเทศไดู รั บ รองถึ ง อำา นาจอธิ ป ไตยภายในกรอบแห่ ง
เขตแดนของรัฐนัน
้ ๆ ดังนัน
้ ไม่ว่าบุคคลใดๆ ทรัพย์สิง่ ของวัตถุสิง่
ใดเมือ
่ เขูาไป หรืออย่้ภายในเขตแดนของรัฐใดย่อมตูองอย่้ภายใตู
อำานาจอธิปไตยของรัฐนัน
้ ตลอดจนเคารพต่อกฎหมายของรัฐนัน
้
25
อธิบายหลักกฎหมายว่าดูวยการแบ่งแยกอำานาจอธิปไตย
แห่งดินแดน
ดิ น แดนหนึ่ ง หรื อ ดดิ น แดนเดี ย วกั น ย่ อ มมี อำา นาจอธิ ป ไตย
เพี ย งหนึ่ง เดี ย ว เหนื อ ดิ น แดนนั ้น เนื่อ งจากเขตแดนทำา ใหู มี ก าร
แบ่ งแยกอำา นาจของรั ฐ ออกจากกั น เด็ ด ขาด และรั ฐ มี อำา นาจใน
การใชูอธิปไตยแห่งตนโดยสมบ้รณ์เวูนแต่กรณีทีร
่ ัฐต่างๆไดูแสดง
ความจำา นงในการใหูความร่วมมือระหว่างกันในกรอบของความ
ร่วมมือทีไ่ ดูตกลงระหว่างกั นไวูหรือการยอมรั บใหูสิทธิ พิเ ศษซึ่ง
กั น และกั น บ าง ปร ะก ารแก่ รั ฐที ่ เ ป็ นค่้ ภาคี ค ว าม ตก ลง นั ้ น ๆ
นอกจากนัน
้ อาจจะปรากฏว่ามีการแบ่งแยกอำานาจอธิปไตยเหนือ
ดิ นแดนนัน
้ หรื อมี รัฐ มากกว่ า รั ฐ หนึ่ง ใชู อำา นาจอธิ ป ไตยเหนื อ ดิ น
แดนนั น
้ ๆ แลู วแต่ ก รณี ไม่ว่ า เป็ นการชั่ว คราวหรื อ ถาวร ไม่ ว่ า
โดยผลของความตกลงระหว่างกันในลักษณะทวิภาคี หรือโดยผล
ของสนธิสัญญาพหุ ภาคี หรือโดยผลของมติส หประชาชาติห รือ
องค์ ก ารระหว่ า งประเทศอื่ น ใด เช่ น การใหู เ ช่ า ดิ น แดน การ
ปกครองร่ ว มกั น ตามหลั ก คอนโดมี เ นี ย ม ดิ น แดนภายใตู ภ าวะ
ทรัสตี เป็ นตูน
3.1.2 องค์ประกอบของดินแดนของรัฐ
อธิ บ ายความแตกต่ า งที ่สำา คั ญ ของ Innocent Passage กั บ
Transit Passage ของเรือหรืออากาศยานทีเ่ ดินเรือหรือบินผ่านช่อ
แคบ
26
ความแตกต่างทีส
่ ำาคัญของการเดินเรือ หรือการบินผ่านโดย
สุ จ ริ ต กั บ สิ ท ธิ ก ารบิ น ผ่ า นชั่ว คราวของเรื อ หรื อ อากาศยานที ่
เดินเรือ หรือบินผ่านช่องแคบจำาแนกไดูดังต่อไปนี ้
3.1.3 การกำาหนดเสูนเขตแดนของรัฐและขัน
้ ตอนการปั กปั น
เขตแดน
อธิบายวิธีการกำาหนดเสูนเขตแดนทางบก ทางนำ้า และทาง
อากาศ และการตกลงกำาหนดอุปสรรคทางธรรมชาติใหูเป็ นเสูน
เขตแดนของรัฐ
ลั ก ษณะการกำา หนดเสู น เขตแดนของรั ฐ มี ส องลั ก ษณะ
ลักษณะแรกคือการกำาหนดเสูนเขตแดนของรัฐทีก
่ ำาหนดในแผนที ่
โดยอาศัยการกำา หนดจุดพิกัดทางภ้มิศาสตร์ แลูวกำา หนดลงบน
แผนที ่ เป็ นการกำาหนดจุดเพือ
่ การลากเสูนสมมติทีล
่ ากขึน
้ มาเพือ
่
กำา หนดเสู น ของรั ฐ บนผื น โลก เพื่อ แบ่ ง แยกดิ น แดนของรั ฐ หนึ่ง
ออกจากดินแดนของรัฐอีกรัฐหนึง่ ใหูเห็นชัดเจนลงบนแผนที ่ อีก
ลั ก ษณะหนึ่ ง คื อ การกำา หนดเขตแดนตามธรรมชาติ (Natural
Boundaries) กล่าวคือเป็ นการกำา หนดเขตแดนโดยอาศัยอุปสรรค
ทางธรรมชาติเช่น แม่นำ้า ทะเล ภ้เขา ทะเลสาบ และยังจำา เป็ น
จะตูองกำาหนดเสูนเขตแดนทีช
่ ัดเจนแน่นอนลงไปบนพืน
้ ทีจ
่ ริงแห่ง
ดินแดนนัน
้ ๆ มีการกำาหนดหลักเขต มีการปั กหลักเขตลงบนพืน
้
ดิ น เพื่อ กำา หนดเขตแดนที แ
่ ทู จ ริ ง และการกระทำา ดั ง กล่ า วย่ อ ม
ตูองอาศัยคณะกรรมการร่วมหลายฝ่ ายเป็ นผู้ดำา เนินการ ซึง่ เริม
่
28
ทางนำา
้ มักจะอาศัย แม่นำา
้ ลำานำ้า ทะเลสาบ ซึง่ แบ่งแยกเขตแดน
ของรั ฐ ตามธรรมชาติ การกำา หนดเสู น เขตแดนอาจจะอาศั ย ฝั ่ ง
ของรัฐใดรัฐหนึง่ เป็ นเขตแดน หรือใหูฝั่งของแต่ละรัฐเป็ นเขตแดน
หรื อ ใหู ใ ชู จุ ด กึ่ง กลางลำา นำ้า เป็ นเขตแดน หรื อ อาจกำา หนดใหู ใ ชู
29
ร่องนำา
้ ลึกเป็ นเสูนแบ่งเขตแดน แลูวแต่กรณี ซึง่ เป็ นไปตามความ
ตกลง หรือตามคำาพิพากษาของศาลระหว่างประเทศ
(3) การกำาหนดเสูนเขตแดนทางอากาศ การกำาหนด
เสู น เขตแดนทางอากาศมั ก จะเป็ นไปตามขอบเขตอั น เป็ นเสู น
เขตแดนทางพืน
้ ดิน และทะเลอาณาเขต กล่าวคือน่านฟูาเหนือ
พื้น ดิ น น่ า นนำ้ า ภายในและทะเลอาณาเขต และย่ อ มมี อำา นาจ
อธิปไตยในน่านฟูาเหนือดินแดนของรัฐ แต่ตูองเคารพหลักการ
บินผ่านของอากาศยานของรัฐอืน
่ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ
แม่นยำาของตำาแหน่ง เช่นในการกำาหนดจุดพิกัดทางภ้มิศาสตร์จะ
ตูองมอบใหูคณะกรรมการไปดำาเนินการจัดทำาระบนเสูนเขตแดน
ใหูถ้กตูองตามภ้มิศาสตร์ ภ้มิประเทศ และสภาพในทูองถิน
่
บทบาทและอำานาจหนูาทีข
่ องคณะกรรมการทัง้ สามมีดังต่อ
ไปนีค
้ ือ
(1) ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ปั ก ปั น เ ข ต แ ด น เ ป็ น ห น่ ว ย ง า น ผ ส ม
ประกอบดู ว ยผู้ เ ชี ย
่ วชาญทางกฎหมายและคณะกรรมการทำา
แผนที ่ ซึง่ รัฐบาลทัง้ สองฝ่ ายเป็ นผู้แต่งตัง้ ขึน
้ คณะกรรมการร่วม
นีม
้ ีหนูาทีส
่ ำารวจและดำาเนินการปั กปั นเสูนเขตแดนลงบนพืน
้ ทีจ
่ ริง
โดยอาศั ย การเดิ น สำา รวจเพื่ อ ตรวจสอบความถ้ ก ตู อ งแลู ว ทำา
เครื่ อ งหมาย หรื อ ปั กหลั ก เขตชั่ว คราว เพื่ อ ใหู ค ณะกรรมการ
ปั กปั นเสูนเขตแดนจะตูองยึดถือหลั กบทบั ญญั ติข องความตกลง
กำาหนดเสูนเขตแดน หรือคำาพิพากษาของศาลเป็ นพืน
้ ฐานในการ
ดำา เนินงานของตน และในความเป็ นจริง คณะกรรมการอาจจะ
ตูองปรับเสูนเขตแดนใหูเป็ นไปตามสภาพภ้ มิศ าสตร์ ทีแ
่ ทูจ ริง ใน
ทุ ก กรณี และคำา นึ ง ถึ ง สภาพความเป็ นจริ ง แห่ ง บ้ ร ณภาพของ
ชุมชน แหล่งกสิกรรม หรือความเป็ นอย่้ในพืน
้ ทีจ
่ ริง สภาพทาง
สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา
(2) คณะกรรมการกำา หนดจุ ด พิ กั ด มี หนู าที ่ รั บ
ขูอม้ลจากคณะกรรมการปั กปั นเสูนเขตแดน เพือ
่ กำาหนดจุดพิกัด
ลงบนแผนทีใ่ หูแน่นอน
(3) คณะกรรมการปั กปั นหลักเขต มีหนูาทีท
่ ำา หลัก
เขตถาวรลงบนพื้ น ดิ น จั ด ทำา บั น ทึ ก รายละเอี ย ดเกี ย
่ วกั บ เสู น
31
3.1.4 การไดูมาและการส้ญเสียดินแดนของรัฐ
อธิบายองค์ประกอบทีส
่ ำา คัญของการไดูดินแดนมาโดยการ
ครอบครอง Occupation
การครอบครอง (Occupation) นัน
้ หมายถึงการกระทำาของรัฐ
ใดรัฐหนึง่ ในการเขูายึดครองเอาดินแดนใดดินแดนหนึง่ โดยจงใจ
ทีจ
่ ะไดูมาซึ่งอำา นาจอธิปไตยเหนือดินแดนนัน
้ ๆ ในลักษณะทีด
่ ิน
แดนนัน
้ ในขณะนัน
้ ไม่ไดูอย่้ในอธิปไตยแห่งรัฐใดเลย โดยลักษณะ
นี ก
้ ารครอบครองจึ ง เป็ นร้ ป แบบดั ้ง เดิ ม ของการไดู ม าซึ่ง อำา นาจ
อธิปไตย (An original mode of acquisition of sovereignty ) และไม่
ถือว่าเป็ นการไดูมาซึง่ อำานาจอธิปไตยจากรัฐอืน
่ การครอบครอง
สามารถกระทำา ไดู แ ต่ โ ดยรั ฐ และเพื่ อ รั ฐ เท่ า นั ้ น และจะตู อ ง
เป็ นการกระทำา ของรั ฐ หรื อ กระทำา ในการปฏิ บั ติ ก ารของรั ฐ
เท่ า นั ้น หรื อ รั ฐ ตู อ งเขู า รั บ เอาการปฏิ บั ติ ก ารนั ้น ๆว่ า เป็ นการ
ก ร ะ ทำา โ ด ย รั ฐ (it must be acknowledged by a state after its
performance)
ดิ น แดนที จ
่ ะถ้ ก ครอบครองไดู ไดู แ ก่ ดิ น แดนซึ่ง ยั ง ไม่ เ ป็ น
ของรัฐใด ทีเ่ รียกว่าดินแดนทีไ่ ม่มีใครเป็ นเจูาของ (Terra Nullius)
หรือ สิง่ ทีไ่ ม่มีใครเป็ นเจู าของ (Res nullius) ไม่ว่าจะมีประชากร
อย่้ อ าศั ย หรื อ ไม่ ก็ ต าม และหากเป็ นประชาคมแลู ว ก็ ไ ม่ ตู อ งมี
ลักษณะเป็ นรัฐ
32
องค์ประกอบของการครอบครองมีสามประการคือ 1. ไดูมี
การครอบครองอย่ างแทู จริ ง เหนื อ ดิ น แดน 2. ไดูมีก ารสถาปนา
้ ๆ 3. ไดูกระทำา ในนามของ
ระบอบการปกครองเหนือดินแดนนัน
ประเทศทีไ่ ดูมาซึง่ การครอบครองดินแดนนัน
้ ซึง่ ตูองเป็ นไปอย่าง
แทู จ ริ ง (Real Occupation) หากภายในระยะเวลาหนึ่ง รั ฐ ที ค
่ รอบ
ครองไม่ ส ามารถสถาปนาระบอบการปกครอง หรื อ ใชู อำา นาจ
อธิ ป ไตยเหนื อ ดิ น แดนนั ้น ไดู ก็ เ รี ย กว่ า ไม่ มี ก ารครอบครองที ม
่ ี
ประสิ ท ธิ ผ ล หรื อ ไม่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพในการครอบครอง (No
effective Occupation) รัฐนัน
้ ย่อมไม่ไดูไปซึง่ ดินแดน
3.2 เขตอำานาจรัฐ
1. เขตอำา นาจรัฐ หมายถึง อำา นาจตามกฎหมายของรัฐเหนือ
ผู้ กระทำา และผู้ ไดู รับ ผลเสี ยหายจากการกระทำา มิ ใช่ คนสัญ ชาติ
ของรัฐนัน
้ ก็ตาม
3.2.1 แนวคิดทัว
่ ไปเกีย
่ วกับเขตอำานาจรัฐ
อธิบายความหมายของเขตอำานาจรัฐ
เขตอำา นาจรัฐ หมายถึง อำา นาจตามกฎหมายของรัฐเหนือ
บุ ค คล ทรั พ ย์ สิ น หรื อ เหตุ ก ารณ์ ต่ า งๆซึ่ ง หากพิ จ ารณาเขต
อำา นาจรั ฐ ในฐานะที เ่ ป็ นส่ ว นสำา คั ญ ของแนวคิ ด ว่ า ดู ว ยอธิ ป ไตย
แ ลู ว อ า จ แ บ่ ง เ ข ต อำา น า จ รั ฐ อ อ ก เ ป็ น เ ข ต อำา น า จ ใ น ท า ง
นิ ติ บั ญ ญั ติ เขตอำา นาจในทางศาล และเขตอำา นาจในทาง
บังคับการตามกฎหมายในทางบริหาร
แต่หากคำานึงถึงประโยชน์ในการทำาความเขูาใจขอบเขตของ
เขตอำานาจรัฐ อาจจำาแนกเขตอำานาจของรัฐออกตามเนือ
้ หาของ
อำานาจ (Substance of power) ดังนี ้
1) เขตอำานาจในการสรูางหรือบัญญัติกฎหมาย ซึง่ โดยปกติ
แลูวใชูอำานาจโดยฝ่ ายนิติบัญญัติ
2) เขตอำานาจในการบังคับใชูกฎหมายหรือบังคับการใหูเป็ น
ไปตามกฎหมาย ซึ่ง ใชู อำา นาจโดยฝ่ ายตุ ล าการ และโดยฝ่ าย
บริหาร
ม้ลฐานของเขตอำานาจรัฐมีอะไรบูาง
ม้ ล ฐานของเขตอำา นาจเนื่ อ งมาจากหลั ก การสำา คั ญ 5
ประการ ไดูแก่
1) หลักดินแดน
37
2) หลักสัญชาติ
3) หลักสากล
4) หลักปู องกัน
5) หลักผู้ถก
้ กระทำา
3.2.2 เขตอำานาจรัฐตามหลักดินแดน
เขตอำานาจรัฐตามหลักดินแดน มีสาระสำาคัญอย่างไร
สาระสำา คั ญ ของเขตอำา นาจรั ฐ ตามหลั ก ดิ น แดนก็ คื อ รั ฐ มี
เขตอำา นาจเหนือบุคคล ทรัพย์สิน หรือเหตุการณ์ต่างๆ ภายใน
ดินแดนของรัฐ โดยไม่จำาตูองคำานึงว่า บุคคลนัน
้ มีสัญชาติของรัฐ
ใด หรือทรัพย์สินนัน
้ เป็ นของบุคคลสัญชาติใด
3.2.3 เขตอำานาจรัฐตามหลักสัญชาติ
อธิบายสาระสำาคัญของเขตอำานาจรัฐตามหลักสัญชาติ
ตามหลัก สัญชาติ ถือว่ าสั ญชาติ เ ป็ นสิง่ เชื่อมโยงที ท
่ ำา ใหู รัฐ
สามารถใชู เ ขตอำา นาจของตนเหนื อ บุ ค คลซึ่ง ถื อ สั ญ ชาติ ข องรั ฐ
ตลอดจนทรัพย์สินทีม
่ ีสัญชาติของรัฐ โดยไม่ตูองคำา นึงว่าบุคคล
หรือทรัพย์สินนัน
้ จะอย่้ทีใ่ ด
3.2.4 เขตอำานาจรัฐตามหลักผู้ถ้กกระทำา
อธิ บ ายหลั ก Passive Personality มี ค วามคลู า ยคลึ ง และแตก
ต่างกับหลักสัญชาติอย่างไร
ห ลั ก สั ญ ช า ติ แ ล ะ ห ลั ก Passive Personality ต่ า ง ก็ อ า ศั ย
สัญชาติของบุคคลเป็ นตัวเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและรัฐผู้ใชูเขต
อำา นาจ แต่ก็มีขูอแตกต่างกันคือ ตามหลักสัญชาติ รัฐสามารถ
38
3.2.6 เขตอำานาจรัฐตามหลักสากล
หลักเขตอำานาจสากลมีสาระสำาคัญอย่างไร
ตามหลักเขตอำานาจสากล รัฐใดๆ ก็ตามย่อมมีเขตอำา นาจ
เหนืออาชญากรรมทีก
่ ระทบต่ อประชาคม ระหว่า งประเทศโดย
ส่ ว นรวม โดยไม่ คำา นึ ง ว่ า อาชญากรรมนั ้น จะเกิ ด ขึ้น ในดิ น แดน
ของรัฐใด และผู้กระทำาหรือผู้ไดูรับผลเสียหายจากการกระทำาจะ
เป็ นคนสัญชาติของรัฐใด ดังนัน
้ เขตอำานาจสากลจึงมีความเชือ
่ ม
39
โยงอย่้กับลักษณะของการกระทำาความผิดหรืออาชญากรรมเป็ น
สำาคัญ
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 3
1. ทฤษฎี ก ารปกครองแบบคอนโดมี เ นี ย มมี ค วามหมายคื อ รั ฐ สองรั ฐ
หรือกว่านัน
้ ขึน
้ ไปใชูอำานาจอธิปไตยร่วมกันเหนือเขตแดนใดเขตแดนหนึง่
2. ทะเลสาบระหว่างประเทศไดูแก่ ทะเลสาบคอนสแตนซ์ ทะเลสาบเจนี
วา ทะเลสาบฮ้รอน และทะเลสาบออนตาริโอ แต่ ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์
ไม่ใช่ ทะเลสาบระหว่างประเทศ
3. ประเทศที ม
่ ี ลั ก ษณะเป็ นหม่้ เ กาะนั ้น จะมี วิ ธี กำา หนดเสู น ฐาน เพื่อ จะ
กำา หนดเขตน่านนำ้าภายในคือ จะกำา หนดเสูนฐานโดยการลากเสูนฐานตรง
(Straight Baselines) เชือ
่ มจุดซึง่ อย่้นอกสุดของเกาะทีอ
่ ย่้นอกสุดของหม่้เกาะ
นัน
้ เป็ นเสูนฐานตรงทีล
่ ูอมรอบหม่้เกาะ และทำา ใหูเกิดน่านนำ้าภายในเสูน
ฐานตรงทีถ
่ ้กลูอมรอบนัน
้ ส่วนพืน
้ นำา
้ ดังกล่าวเป็ นน่านนำา
้ ภายในหม่้เกาะ
4. องค์ประกอบของการครอบครองดินแดน (Occupation) คือ (ก) เป็ น
ดินแดนทีไ่ ม่มีเจูาของ (ข) มีการครอบครองดินแดนอย่างแทูจริง (ค) มีการ
่ รอบครอง (ค) ไดู มี ก ารสถาปนาการ
ใชู อำา นาจอธิ ป ไตยเหนื อ ดิ น แดนที ค
ปกครองเหนื อ ดิ น แดนนัน
้ โดยรั ฐ แต่ที ่ ไม่ ใ ช่ องค์ ประกอบของการครอบ
ครองดินแดนไดูแก่ เป็ นดินแดนทีไ่ ม่มีใครเคยครอบครองมาก่อนเลยโดย
เด็ดขาด
5. การส้ ญ เสี ย ดิ น แดนโดยการที ร
่ ั ฐ ละทิ ง้ ดิ น แดนของตนโดยสิ น
้ เชิ ง
(Deleliction) ทำาใหูรัฐอืน ้ โดยวิธี Occupation
่ อาจจะไดูดินแดนนัน
6. นักกฎหมายระว่างประเทศอาศัยเนือ
้ หาของอำา นาจเป็ นเกณฑ์ในการ
จำา แนกเขตอำา นาจรั ฐ ออกเป็ น 2 ประเภท คื อ เขตอำา นาจในการสรู า ง
กฎหมาย และเขตอำานาจในการบังคับการใหูเป็ นไปตามกฎหมาย
40
หน่วยที ่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศ
กับกฎหมายภายใน
1. ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมาย
สัมพันธ์อันแบ่งออกไดูเป็ นหลายประเภทตามแต่ละที ม
่ าหรื อบ่ อ
เกิดของกฎเกณฑ์ของกฎหมายทีเ่ กีย
่ วขูอง และตามลักษณะของ
ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายทัง้ สองระดับ
2. สภาพปั ญหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่าง
ประเทศกับกฎหมายภายใน อย่้ทีว
่ ่าฝ่ ายตุลาการผู้มีหนูาทีป
่ รับใชู
กฎหมายระหว่ า งประเทศซึ่ง ค่้ ค วามยกอู า งขึ้น มิ ไ ดู มี ส่ ว นร่ ว ม
โดยตรงในการสรูางกฎหมายเหล่านัน
้ จึงทำา ใหูเกิดความยุ่งยาก
ในทางปฏิ บั ติ ซึ่ ง มี ส าเหตุ ม าจากการที ก
่ ฎเกณฑ์ ใ นกฎหมาย
ระหว่ า งประเทศ ประเทศมี วิ วั ฒ นาการในทิ ศ ทางที ่ใ หู สิ ท ธิ
ประโยชน์ กั บ บุ ค คลตามกฎหมายภายในของรั ฐ มากยิ ง่ ขึ้น โดย
มิไดูจำา กัดอย่้เพียงสำา หรับรัฐอีก ต่อไปดั งเช่น ในอดี ต นอกจากนี ้
ความแตกต่ า งในระบบกฎหมายของแต่ ล ะรั ฐ ในเรื่ อ งท่ า ที แ ละ
ความเป็ นอิสระของฝ่ ายตุ ล าการจากการครอบงำา ของฝ่ ายอื่นๆ
ก็เป็ นสาเหตุหลักอีกประการหนึง่
3. ปั ญหาในความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับ
หลายทางชีวภาพทำาใหูต่อไปการทำาสนธิสัญญาทัง้ ปวงตูองไดูรับ
ความเห็นชอบจากฝ่ ายนิติบัญญัติเสียก่อน
5. ในทางปฏิบัติของศาลไทย สำาหรับกฎเกณฑ์ของสนธิสัญญา
โดยทัว
่ ไปจะปรับใชูเมือ
่ แปรร้ปเขูามาเป็ นกฎหมายภายใน เวูนแต่
ในกรณีความจำาเป็ นของรัฐและเมือ
่ กฎเกณฑ์ทีเ่ กีย
่ วขูองอาจใชูไดู
โดยไม่ จำา เป็ นตู อ งมี ก ฎหมายรองรั บ ในกรณี ข องกฎเกณฑ์ ที ไ่ ม่
เป็ นลายลักษณ์อักษร ศาลมีดุลพินิจโดยอาจนำามาปรับใชูโดยตรง
ไดู เ มื่ อ เป็ นกฎเกณฑ์ ที ่มุ่ ง ใชู ต่ อ รั ฐ และไม่ ตู อ งอาศั ย กฎหมาย
รองรับ
4.1.1 ความสัมพันธ์ในทางทฤษฎีและลักษณะของความ
สัมพันธ์
ทฤษฎีเอกนิยมมีแนวคิดอย่างไร
ในแนวทางของทฤษฎีเอกนิยม ถือว่ากฎหมายในสังคมโลก
มี อ ย่้ เ พี ย งระบบเดี ย ว ดั ง นั ้ น กฎหมายระหว่ า งประเทศและ
กฎหมายภายในเป็ นกฎหมายทีอ
่ ย่้ใ นระบบเดียวกัน จึงสามารถ
นำา กฎหมายระหว่ า งประเทศเขู า มาปรั บ ใชู ใ นระบบกฎหมาย
ภายในไดู โ ดยตรง และความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งกฎหมายสอง
ประเภทนีเ้ ป็ นความสัมพันธ์ในลักษณะลำา ดับศักดิ ์ แนวความคิด
และทฤษฎีของสำา นักนีย
้ ังแบ่งออกเป็ นสองสาขา คือ สาขาหนึ่ง
ถื อ ว่ า กฎหมายระหว่ า งประเทศมี ลำา ดั บ ศั ก ดิ ท
์ ีส
่ ้ ง กว่ า กฎหมาย
ภายใน แต่ อี ก สาขาหนึ่ ง ถื อ ว่ า กฎหมายภายในมี ลำา ดั บ ศั ก ดิ ท
์ ี่
เหนือกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ ทัง้ นีท
้ ัง้ สองแนวความคิดนีม
้ ี
ความแตกต่างกันเพียงในแง่ของการมองปั ญหาเท่านัน
้ จะมองใน
ระดับระหว่างประเทศหรือในระดับประเทศ
45
ทฤษฎีทวินิยมมีแนวคิดอย่างไร
ทฤษฎีทวินิยม ถือว่ากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมาย
ภายในเป็ นกฎหมายคนละระบบกั น เพราะมี ที ม
่ าและอย่้ บ นพื้น
ฐานทีแ
่ ตกต่างกั น ดังนั น
้ โดยหลั กการแลู วการที จ
่ ะนำา กฎหมาย
ระหว่ า งประเทศมาปรั บ ใชู ใ นระบบกฎหมายภายในกฎหมาย
ระหว่างประเทศนัน
้ จำาเป็ นทีจ
่ ะตูองผ่านกระบวน การรับเอาเสีย
ก่ อ นซึ่ง กระทำา ไดู โ ดยการแปรร้ ป กฎหมายระหว่ า งประเทศ ใหู
เป็ นกฎหมายภายในเสีย ก่อนหรือโดยการออกกฎหมายอนุวัตร
การ เมื่อยังไม่มีกฎหมายรองรับ หรืออาจทำาโดยการประกาศใชู
ก็ไดู
ลั ก ษ ณ ะ ต่ า ง ๆ ข อ ง ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ กั บ
กฎหมายภายในเป็ นอย่างไร
46
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศ กับ
กฎหมายภายในอาจแตกต่ า งกั น ออกไปตามแต่ ล ะที ม
่ าหรื อ บ่ อ
เกิ ด ของกฎเกณฑ์ ที เ่ กี ย
่ วขู อ งกล่ า วคื อ ในกรณี ข องกฎเกณฑ์ ที ่
เป็ นลายลั ก ษณ์ อั ก ษรเช่ น สนธิ สั ญ ญาอาจมี ขู อ กำา หนดตาม
กฎหมายภายในใหู มี ก ารดำา เนิ น การตามกระบวน การรั บ เอา
กฎหมายระหว่ า งประเทศเขู า มาใชู ใ นประเทศ แต่ ถู า เป็ นกฎ
เกณฑ์ ที ไ่ ม่ เ ป็ นลายลั ก ษณ์ อั ก ษรอาจนำา มาใชู ไ ดู โ ดยตรงในบาง
กรณี
ส่ ว นความสั ม พั น ธ์ ต ามลั ก ษณะของความเกี ย
่ วพั น ระหว่ า ง
กฎหมายระหว่ างประเทศ กับกฎหมายภายใน อาจแบ่งออกไดู
เป็ น การรับเอา การขัดกัน การยูอนส่ง และการเสริมกัน
4.1.2 สภาพปั ญหาในทางปฏิบัติและสาเหตุ
สภาพปั ญหาที เ่ กิ ด ขึ้น ในทางปฏิ บั ติ สำา หรั บ ความสั ม พั น ธ์
ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายใน และสาเหตุ
ของปั ญหาเป็ นอย่างไร
การที ฝ
่ ่ ายตุ ล าการหรื อ ศาลมิ ไ ดู มี ส่ ว นร่ ว มโดยตรงในการ
สรูางกฎเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศแต่มีหนูาทีต
่ ูองปรับ
ใชู ก ฎเกณฑ์ เ หล่ า นี ้ ทำา ใหู เ กิ ด ปั ญหายุ่ ง ยากในทางปฏิ บั ติ อั น มี
สาเหตุหลักมาจากการทีก
่ ฎเกณฑ์บางเรื่องของกฎหมายระหว่าง
ประเทศ ในปั จจุบันใหูสิทธิแก่บุคคลในกฎหมายภายใน สามารถ
ยกขึน
้ อูางไดูในศาลภายในซึ่งอาจมีท่าทีแตกต่างกันออกไปตาม
แต่ ล ะรั ฐ ขึ้นอย่้ กั บ ความเป็ นอิ ส ระของศาลและระบบกฎหมาย
ของแต่ละรัฐ
47
4.2 ปั ญหาในทางปฏิ บั ติ เ กี ย
่ วกั บ ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง
กฎหมาย ระหว่างประเทศกับกฎหมายภายใน
1. สำา หรั บ การรั บ กฎหมายระหว่ า งประเทศมาใชู ใ นประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศมิไดูกำาหนดวิธีการใหูรัฐนำาไปปฏิบัติ จึง
ทำาใหูเกิดทางปฏิบัติทีแ
่ ตกต่างหลากหลายออกไป ทัง้ นีโ้ ดยทัว
่ ไป
แ ลู ว ใ นกร ณี ข อง ก ฎเก ณฑ์ ที ่ ไ ม่ เ ป็ นล าย ลั ก ษ ณ์ อั ก ษ ร ห าก
รั ฐ ธรรมน้ ญ ของรั ฐ มิ ไ ดู กำา หนดวิ ธี ก ารไวู ก็ ตู อ งขึ้น อย่้ กั บ การใชู
ดุ ล ยพิ นิ จ ภายใน แต่ สำา หรั บ กฎเกณฑ์ ข องสนธิ สั ญ ญามั ก มี ขู อ
กำา หนดใหู มีก ารแปรร้ป เป็ นกฎหมายภายในเสีย ก่อ น หรือพิ มพ์
เผยแพร่แลูวถือว่ามีผลใชูไดูเลยก็ไดู
2. ใ นส่ ว นที ่เ กี ่ย วกั บ ปั ญหาการขั ด กั น ร ะห ว่ างก ฎ ห ม าย
ระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในโดยทัว
่ ไปแลูว แต่ละรัฐจะมี
ระบบการแกูไขปั ญหาแตกต่างกันออกไปขึน
้ อย่้กับว่าเป็ นการขัด
กันระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในประเภท
ใด เช่น กฎหมายรัฐธรรมน้ญ หรือกฎหมายธรรมดา ในกรณีที ่
ปราศจากการวางขู อ กำา หนดไวู ศาลภายในก็ จ ะมี ดุ ล ยพิ นิ จ ใน
การแกูไขปั ญหาซึง่ อาจมีขูอยุติแตกต่างกันออกไปตามแต่ละรัฐ
4.2.1 ปั ญหาในดูานร้ปแบบหรือวิธีการทีน
่ ่าจะนำากฎหมาย
ระหว่างประเทศมาปรับใชูในระบบกฎหมายภายใน
แนวทางการรั บ รองกฎหมายระหว่ า งประเทศมาใชู ใ น
ประเทศเป็ นอย่างไร
วิธีก ารรั บกฎหมายระหว่ า งประเทศมาใชู ใ นประเทศขึ้น อย่้
กั บ กฎเกณฑ์ ต ามรั ฐ ธรรมน้ ญ ของแต่ ล ะประเทศ แต่ ใ นกรณี ที ่
48
รัฐธรรมน้ญมิไดูบัญญัติหลักการในเรือ
่ งนีไ้ วู หากเป็ นกฎหมายที ่
ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษรก็ตูองขึน
้ อย่้กับดุลยพินิจของศาลภายใน
ซึ่ง ตู อ งพิ จ ารณาเป็ นรายกรณี ต ามแต่ รั ฐ ถู า เป็ นกฎเกณฑ์ ข อง
สนธิ สั ญ ญาก็ แ ลู ว แต่ ว่ า รั ฐ นั ้น เลื อ กที จ
่ ะรั บ ระบบการแปรร้ ป ใหู
เป็ น กฎหมายภายในเสียก่อน หรือกำาหนดใหูมีการพิมพ์เผยแพร่
เพือ
่ ใหูมีผลใชูบังคับไดูเลย
4.2.2 ปั ญหาการขัดกันระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับ
กฎหมายภายใน
แนวทางในการแกู ไ ขปั ญหาการขั ด กั น ระหว่ า งกฎหมาย
ระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในเป็ นอย่างไร
แนวทางในการแกูไขปั ญหาแตกต่างกันออกไปตามแต่ละรัฐ
ทั ้ง นี ข
้ ึ้ น อย่้ กั บ กฎหมายรั ฐ ธรรมน้ ญ ของรั ฐ ที เ่ กี ย
่ วขู อ งว่ า มี ขู อ
กำา หนดในเรื่ อ งนี ว
้ ่ า อย่ า งไร แต่ ใ นกรณี ที ไ่ ม่ มี ขู อ กำา หนดของ
กฎหมายภายในเรื่ อ ง ศาลภายในจะมี ดุ ล ยพิ นิ จ ในการแกู ไ ข
ปั ญหาซึง่ อาจมีขูอยุติซึ่งแตกต่างกันออกไป ขึน
้ อย่้กับจุดยืนและ
ความเป็ นอิสระขององค์กรฝ่ ายตุลาการของรัฐทีเ่ กีย
่ วขูอง
4.3 ทางปฏิบัติของไทยในการนำากฎหมายระหว่างประเทศมา
ปรับใช้ในประเทศ
1. รั ฐ ธรรมน้ ญ ฉบั บ ปั จจุ บั น ของไทยกำา หนดใหู ก ารทำา สนธิ
สัญญาเป็ นอำา นาจของของฝ่ ายบริหารซึ่งดำา เนินการในนามพระ
ปรมาภิไ ธยของพระมหากษัต ริย์ แต่ใ หูส นธิ สัญ ญาบางประเภท
ตูองไดูรับความเห็นชอบจากฝ่ ายนิติบัญญัติเสียก่อน
49
2. เงื่อนไขเกีย
่ วกับความเห็นชอบของฝ่ ายนิติบัญญัติทำา ใหูเกิด
ปั ญหาว่ า เอกสารใดมี นิ ติ ฐ านะเป็ นสนธิ สั ญ ญาตู อ งไดู รั บ ความ
เห็นชอบจากฝ่ ายนิติบัญญัติ ดังเช่น ในกรณีตามคำา วินิจฉัยของ
ศาลรัฐธรรมน้ญเกีย
่ วกับหนังสือแสดงเจตจำา นง นอกจากนีย
้ ังมี
ปั ญหาสืบเนื่องจากการใหูความหมายอย่างกวูางกับคำา ว่า “เขต
อำานาจแห่งรัฐ” ในกรณีคำาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมน้ญเกีย
่ วกับ
อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ ซึง่ ยังผลใหูการทำา สนธิ
สั ญ ญาทุ ก ฉบั บ ตู อ งผ่ า นความเห็ น ชอบจากฝ่ ายนิ ติ บั ญ ญั ติ เ สี ย
ก่อน
3. ในกรณี ที เ่ ป็ นกฎหมายระหว่ า งประเทศอย่้ ใ นร้ ป ของสนธิ
จะนำา สนธิสัญญามาใชูบังคับโดยตรงโดยยังไม่มีกฎหมายรองรับ
หรื อ กฎหมายอนุ วั ต รการ เมื่ อ มี ค วามจำา เป็ นของรั ฐ (raison
d’Etat) ทีจ
่ ะตูองปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญานัน
้ ๆ หรือเมือ
่
ลัก ษณะของขูอตกลงในสนธิสัญ ญานั น
้ ๆ ไม่มี ความจำา เป็ นที จ
่ ะ
ตูองมีกฎหมายรองรับหรือกฎหมายอนุวัตรการ
5. ในส่วนทีเ่ กีย
่ วกับหลักกฎหมายทัว
่ ไป กฎหมายปล่อยใหูอย่้
ในดุลยพินิจของรัฐทีจ
่ ะพิจารณานำามาใชูตามร้ปแบบหรือวิธีการ
50
อ ธิ บ า ย ห ลั ก ก า ร ข อ ง รั ฐ ธ ร ร ม น้ ญ ฉ บั บ ปั จ จุ บั น ข อ ง
ประเทศไทย ในเรือ
่ งการทำาสนธิสัญญาและการนำากฎหมายสนธิ
สัญญามาใชูในประเทศว่าเป็ นอย่างไร และปั ญหากฎหมายทีเ่ กิด
ขึน
้ จากการใชูบทบัญญัติทีเ่ กีย
่ วขูองเป็ นอย่างไรบูาง
มาตรา 24 ของรัฐธรรมน้ญฉบับปี 2540 กำาหนดใหูการทำา
สนธิสัญญาเป็ นอำานาจของฝ่ ายบริหาร ซึง่ กระทำาการในนามพระ
ปรมาภิ ไ ธยของพระมหากษั ต ริ ย์ อย่ า งไรก็ ต าม การทำา สนธิ
สัญญา 3 ประเภท ตูองไดูรับความเห็นชอบจากฝ่ ายนิติบัญ ญัติ
เสียก่อน กล่าวคือ สนธิสัญญาทีม
่ ีบทเปลีย
่ นแปลงอาณาเขตของ
ราชอาณาจั ก รไทย สนธิ สั ญ ญาที ต
่ ู อ งออกพระราชบั ญ ญั ติ เ พื่อ
ใหู ก ารเป็ นไปตามสนธิ สั ญ ญา และสนธิ สั ญ ญาที ม
่ ี ผ ลเป็ นการ
เปลีย
่ นแปลงเขตอำานาจของรัฐ
อย่างไรก็ตาม การตีความในคำาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมน้ญ
ในกรณีเกีย
่ วกับอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพเมือ
่ ปลาย
พ.ศ. 2543 ซึง่ ใหูความหมายอย่างกวูางกับคำา ว่า เขตอำา นาจแห่ง
รัฐ ใหูหมายถึงขอบเขตหรือสารัตถะของอำา นาจรัฐ อันจะทำา ใหู
เกิ ด ความยุ่ ง ยากขึ้น ในทางปฏิ บั ติใ นอนาคต เนื่อ งจากจะทำา ใหู
การทำา สนธิ สั ญญาทั ง้ ปวง ซึ่ง ในทุ ก กรณี มี ผ ลเปลี ย
่ นแปลงหรื อ
จำากัดอำานาจรัฐ ตูองผ่านความเห็นชอบจากฝ่ ายนิติบัญญัติอย่าง
ไม่มีขอ
ู ยกเวูน
4.3.2 ทางปฏิบัติของศาลไทยเกีย
่ วกับการปรับใชูกฎหมาย
ระหว่างประเทศ
52
แนวทางปฏิบัติของศาลไทยในการปรับใชูกฎหมายระหว่าง
ประเทศในประเทศไทยเป็ นอย่างไร
ในส่ ว นที ่เ กี ่ย วขู อ งกั บ การพิ ส้ จ น์ ก ารมี อ ย่้ ข องกฎหมาย
ระหว่ า งประเทศ ศาลจะพิ จ ารณาประกอบกั บ ความเห็ น ของผู้
เชี ย
่ วชาญซึ่ง มี บ ทบาทสำา คั ญ ในการแนะนำา และกำา หนดทิ ศ ทาง
ของคำาตัดสิน
สำา ห รั บ ท า ง ป ฏิ บั ติ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ใ น เ รื่ อ ง นี ้ ต า ม
รัฐธรรมน้ญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 โดยหลักการแลูว
ในกรณีทีเ่ ป็ นกฎหมายระหว่างประเทศทีอ
่ ย่้ในร้ปของสนธิสัญญา
ระบบกฎหมายไทยจะเป็ นไปในทิศทางเดียวกับแนวคิดและทฤษฎี
ของ “สำานักทวินิยม” กล่าวคือถูายังไม่มีกฎหมายรองรับการนำา
เอากฎหมายระหว่ า งประเทศมาปรั บ ใชู ใ นประเทศไทย จะตู อ ง
ผ่ า นกระบวนการรั บ เอาเสี ย ก่ อ น ซึ่ง อาจจะกระทำา ไดู โ ดยการ
ออกกฎหมายอนุ วั ต รการ โดยการแปรร้ ป ใหู เ ป็ นกฎหมายใน
ประเทศ หรื อ แกู ไ ขกฎหมายที ม
่ ี อ ย่้ ใ หู ค รอบคลุ ม ถึ ง ขู อ ตกลง
ทั ้ง หมดในสนธิ สั ญ ญานั ้น ก็ ไ ดู โดยทางปฏิ บั ติ จ ริ ง ในบางกรณี
องค์กรของรัฐฝ่ ายตุลาการหรือฝ่ ายบริหารอาจจะนำา มาใชูบังคับ
โดยตรง โดยยังไม่มีกฎหมายรองรั บหรือ มีกฎหมายอนุ วัต รการ
เมื่ อ มี ค วามจำา เป็ นของรั ฐ (raison d’Etat) ที ่จ ะตู อ งปฏิ บั ติ ต าม
พั น ธกรณี ใ นสนธิ สั ญญานั น
้ ๆ หรือ เมื่อ ลั กษณะของขู อ ตกลงใน
สนธิ สั ญ ญากำา หนดและปั กปั นเขตแดน สนธิ สั ญ ญาการบิ น
พลเรื อ น หรื อ สนธิ สั ญ ญาที ่ใ หู สิ ท ธิ แ ก่ รั ฐ เช่ น ในเรื่ อ งการ
กำาหนดอาณาเขตทางทะเลเป็ นตูน
53
บทบัญญัติทีจ
่ ะทำา ใหูตีความไดูว่า จะนำา มาปรับใชูในประเทศไดู
อย่ า งไร และปล่ อยใหู อ ย่้ ใ นดุ ล ยพิ นิ จ ของรั ฐ ที จ
่ ะนำา มาปรั บ ใชู ต าม
ความเหมาะสมเป็ นแต่ละกรณีไป เช่นเดียวกันกับกรณีของหลัก
กฎหมายทัว
่ ไป จึงตูองถือว่าโดยหลักการแลูวระบบกฎหมายไทย
ในเรื่องนี ้ ถือปฏิบัติตามแนวความคิดและทฤษฎีของ “สำานักเอก
นิยม” กล่าวคือสามารถนำา เอากฎหมายระหว่า งประเทศชนิด นี ้
มาปรั บ ใชู ใ นระบบกฎหมายไทยไดู โ ดยตรง เวู น แต่ ใ นกรณี ที ่
ลั ก ษณะขอ งหลั ก ก ฎห มายนั ้ น เ อง ทำา ใหู จำา เป็ นจ ะตู อ ง ออ ก
กฎหมายอนุวัติการดูวย เช่น เมือ
่ เป็ นกฎหมายทีใ่ หูรัฐมีสิทธิทีจ
่ ะ
ใชูเขตอำา นาจในอาณาบริ เวณต่ า งๆ ทางภ้มิ ศาสตร์ไ ดู เช่ น ใน
หู ว งอากาศเหนื อ ดิ น แดนของรั ฐ หรื อ ในอาณาเขตทางทะเล
เป็ นตู น ซึ่ ง ใ นก ร ณี เช่ นนั ้ น รั ฐจ ะ ตู อ ง อ อ ก ก ฎ ห ม า ยอ าก าศ
กฎหมายการเดินเรือ หรือกฎหมายทะเลของรัฐดูวย จึงจะใชูเขต
อำา นาจทีร
่ ั ฐมี สิทธิที จ
่ ะใชู ต ามกฎหมายระหว่ า งประเทศไดู และ
โดยทีส
่ าเหตุหลักทีท
่ ำาใหูไม่ตูองออกกฎหมายอนุวัติการ ก็เพราะ
โดยธรรมชาติ และลักษณะของกฎหมายจารีตประเพณี การทีจ
่ ะ
ออกกฎหมายอนุวัติการเป็ นสิง่ ทีท
่ ำา ไดูยากเพราะเป็ นกฎหมายที ่
ไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร จึงขาดความแน่นอนในดูานขอบเขตและ
สารัตถะ ดังนัน
้ เมื่อกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศนัน
้
ไดูถ้กประมวลขึน
้ มาเป็ นลายลักษณ์อักษรแลูวขูอขัดขูองนัน
้ ย่อม
หมดไป นานาชาติ ซึ่ ง รวมทั ้ง ประเทศไทยดู ว ยจึ ง มั ก นิ ย มออก
กฎหมายอนุวัตรการ ถูายังไม่มีกฎหมายรองรับ เวูนแต่ว่าเมื่อมี
ความจำา เป็ นในความสัมพั นธ์ระหว่างประเทศทีร
่ ัฐตูองถือปฏิบัติ
55
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 4
1. การตีความ มิใช่ ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศกับ
่ วขูอง ส่วน การรับเอา การ
กฎหมายภายในตามลักษณะ ของความเกีย
ขั ดกั น การยู อนส่ง และการเสริ ม กั น และกั น เป็ นความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง
กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายใน
2. สาเหตุ ข องปั ญหาในทางปฏิ บั ติ เ กี ่ย วกั บ ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง
กฎหมายระหว่างประเทศกับกฎหมายภายในไดู แก่ (ก) วิวัฒ นาการของ
กฎหมายระหว่างประเทศ (ข) ทางปฏิบัติของฝ่ ายตุลาการทีแ
่ ตกต่างกันใน
แต่ละประเทศ
3. วิธีการนำากฎหมายระหว่างประเทศในร้ปของสนธิสัญญามาปรับใชูใน
กฎหมายภายในไดู แ ก่ (ก) การผ่ า นกระบวนการพิ เ ศษเพื่อ รั บ เขู า มาใน
ระบบกฎหมายภายใน (ข) การประกาศและเผยแพร่ในเอกสารทางการ
4. การแกูไขในทางปฏิบัติสำาหรับรัฐต่างๆเมือ
่ มีปัญหาการขัดกันระหว่าง
กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในไดูแก่ (ก) กฎหมายภายใน
้ ภายหลังไม่มีผลใหูกฎหมายระหว่างประเทศไรูผล (ข) กฎหมาย
ทีเ่ กิดขึน
ภายในที เ่ กิ ด ขึ้น ภายหลั ง มี ผ ลใหู ตู อ งระงั บ ใชู ก ฎหมายระหว่ า งประเทศ
เป็ นการชั่ ว คราว (ค) กฎหมายภายในที เ่ กิ ด ขึ้ น ภายหลั ง ขั ด ขวางมิ ใ หู
กฎหมายระหว่างประเทศมีผลภายในประเทศ (ง) ศาลภายในจะใชูดุลพินิจ
ในการวินิจฉัย
56
หน่วยที ่ 5 สนธิสัญญา
5.1 วิวัฒนาการของกฎหมายสนธิสัญญา
1. กฎหมายสนธิ สั ญ ญาวิ วั ฒ นาการมาจากจารี ต ประเพณี
ระหว่างประเทศ ซึง่ เป็ นแนวทางในการปฏิบัติของรัฐเกีย
่ วกับการ
ทำา สนธิ สั ญ ญา ความตกลง ระหว่ า งกั น มาชู า นาน ต่ อ มาคณะ
กรรมาธิ ก ารกฎหมายระหว่ า งประเทศซึ่ง ตั ้ง ขึ้น มาโดยองค์ ก าร
สหประชาชาติไดูจัดทำาประมวล กฎ ระเบียบ ทางปฏิบัติเหล่านี ้
ขึ้น เป็ นอนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนา ค.ศ. 1969 โดยกำา หนดแนวทาง
ปฏิ บั ติใ นการทำา สนธิ สั ญ ญาระหว่ า งรั ฐ เท่ า นั ้น ต่ อ มาในปี ค.ศ.
1986 จึ ง ไดู มี ก ารจั ด ทำา อนุ สั ญ ญาอี ก ฉบั บ หนึ่ ง ซึ่ ง กำา หนดหลั ก
เกณฑ์ ใ นการทำา สนธิ สั ญ ญาระหว่ า งรั ฐ กั บ องค์ ก ารระหว่ า ง
ประเทศ หรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศดูวยกัน
2. อนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนา ค.ศ. 1969 ใชู บั ง คั บ เฉพาะกั บ สนธิ
สัญญาทีก
่ ระทำา ระหว่างรัฐอย่างไรก็ตามจารีตประเพณีร ะหว่า ง
ประเทศยังคงใชูไดูกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศในส่วนทีไ่ ม่ไดู
บัญญัติไวูในอนุสัญญาดังกล่าว
3. คำา นิยมของสนธิสัญญา ตามมาตรา 2(1)(a) อนุสัญญากรุง
5.1.1 วิวัฒนาการและหลักการเกีย
่ วกับกฎหมายสนธิสัญญา
จงอธิบายหลักกฎหมายทีส
่ ำาคัญเกีย
่ วกับสนธิสัญญา
หลั ก กฎหมายที ส
่ ำา คั ญ เกี ย
่ วกั บ สนธิ สั ญ ญา เป็ นกฎหมาย
จารี ต ประเพณี ร ะหว่ า งประเทศ และแนวทางปฏิ บั ติ ข องรั ฐ ที ่
ปฏิบัติกันมาชูานาน จนเป็ นทีย
่ อมรับ และต่อมาไดูมีการประมวล
กฎหมายลายลักษณ์อักษร คืออนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969
ขณะทีจ
่ ารีตประเพณีอืน
่ ๆ ทีม
่ ิไดูระบุไวูในอนุสัญญาดังกล่าวก็ยัง
มีผลบังคับอย่้เช่นกันทัง้ นีต
้ ามกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการ
ทีส
่ ำาคัญอันเป็ นพืน
้ ฐานของกฎหมายสนธิสัญญาคือ หลักอำานาจ
อธิปไตย (Sovereignty) ทีเ่ ท่าเทียมกันของรัฐทัง้ ปวง หลักการกระ
ทำา โดยสุ จ ริ ต (Good Faith) และการแสดงเจตจำา นงโดยสมั ค รใจ
(Free consent) ต ล อ ด จ น ห ลั ก สั ญ ญ า ย่ อ ม ผ้ ก พั น (Pacta sunt
servanda) เป็ นหัว ใจที ส
่ ำา คัญ ยิง่ ของหลักการทำา สนธิสัญญา และ
เป็ นหลักการพืน
้ ฐานในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดูวย
60
5.1.2 ขอบเขตของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยกฎหมาย
สนธิสัญญา ค.ศ. 1969
อธิบายขอบเขตการบังคับใชูของอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.
1969
ขอบเขตของอนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนาว่ า ดู ว ยกฎหมายสนธิ
สัญญา ค.ศ. 1969 ไดูกำาหนดและวางหลักเกณฑ์เป็ นกฎหมายใชู
สำาหรับการจัดทำา และขัน
้ ตอนต่างๆ ในการทำาสนธิสัญญา รวม
ทั ้ง การมี ผ ลบั ง คั บ การสิ น
้ ผลบั ง คั บ หรื อ การสิ น
้ สุ ด ของสนธิ
สัญญา อย่างไรก็ตามอนุสัญญาฉบับดังกล่าวไมูไดูครอบคลุมถึง
หรือปรับ ใชูกับ สนธิสั ญญาทุก ฉบั บ แต่ จำา กัด เพี ยงสนธิสัญญาที ่
กระทำาระหว่างรัฐเท่านัน
้ อนุสัญญากรุงเวียนนามิไดูใชูบังคับกับ
สนธิสัญญาทีท
่ ำาระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ หรือสนธิ
สั ญ ญาที ่ทำา ระหว่ า งองค์ ก ารระหว่ า งประเทศดู ว ยกั น และ
อนุ สั ญญากรุ ง เวี ย นนา ค.ศ. 1969 ก็ ไ ม่ ไ ดู กู า วล่ ว งไปกำา หนดใน
ส่วนเนือ
้ หาสาระของตัวสนธิสัญญาทีร
่ ัฐกระทำาระหว่างกัน คงใหู
เป็ นไปตามแต่เ จตจำา นงของภาคี สนธิสัญ ญาจะตกลงกัน สำา หรั บ
ตั ว อนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนาดั ง กล่ า วก็ มิ ไ ดู เ ป็ นการประมวลและ
ประกาศหลักกฎหมายระหว่างประเทศทัง้ หมดทัง้ ปวง ทีว
่ ่าดูวย
ก า ร ทำา ส น ธิ สั ญ ญ า จ า รี ต ป ร ะ เ พ ณี ใ ด ที ่ มิ ไ ดู บั ญ ญั ติ ไ วู ใ น
อนุสัญญาดังกล่าวก็ยังคงใชูบังคับอย่้ เช่น สนธิสัญญาทีท
่ ำา ดูวย
วาจาเป็ นตูน
5.1.3 คำานิยามของสนธิสัญญา
61
อธิบายว่าอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยกฎหมายสนธิสัญญา
ค.ศ. 1969 ไดูบัญญัติเกีย
่ วกับบทนิยามของสนธิสัญญาไวูอย่างไร
อนุสั ญญากรุง เวียนนาไดู ใ หู บ ทนิ ย ามของสนธิ สัญ ญาไวู ใ น
มาตรา 2(1)(a) ความว่าสนธิสัญญาหมายถึงความตกลงระหว่าง
ประเทศทีก
่ ระทำาขึน
้ ระหว่างรัฐเป็ นลายลักษณ์อักษร และอย่้ภาย
ใตู บั ง คั บ กฎหมายระหว่ า งประเทศ ไม่ ว่ า จะกระทำา ขึ้ น เป็ น
ตราสารฉบับเดียว หรือสองฉบับ หรือหลายฉบับทีม
่ ีความเกีย
่ ว
เนื่อ งสั ม พั นธ์ กั น และไม่ ว่ า จะมี ชื่อ เฉพาะเรี ย กว่ า อย่ า งไรก็ ต าม
ดั ง นั ้น จึ ง เห็ น ไดู ว่ า อนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนาว่ า ดู ว ยกฎหมายสนธิ
สั ญ ญา ค.ศ. 1969 จำา กั ด คำา นิ ย าม สนธิ สั ญ ญา เฉพาะสนธิ
สัญญาทีก
่ ระทำาระหว่างรัฐเท่านัน
้ ไม่ไดูหมายรวมถึงสนธิสัญญาที ่
กระทำาโดยรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างองค์การ
ระหว่ า งประเทศดู ว ยกั น หรื อ ระหว่ า งองคาพยพอื่ น ๆ และไม่
ครอบคลุมถึงความตกลงทีม
่ ิไดูกระทำาเป็ นลายลักษณ์อก
ั ษร
5.1.4 ประเภทของสนธิสัญญา
อธิบายการจำาแนกประเภทของสนธิสัญญา ว่ามีหลักเกณฑ์
ในการพิจารณาจำาแนกอย่างไร
การจำา แนกประเภทของสนธิ สัญ ญามั ก จะจำา แนกไดู ห ลาย
ประเภท และอาจจะพิ จ ารณาไดู ห ลายลั ก ษณะ กล่ า วคื อ การ
จำา แนกโดยจำา นวนผู้ เ ขู า ร่ ว มเป็ นภาคี ข องสนธิ สั ญ ญาที เ่ รี ย กว่ า
เป็ น “Law Making Treat” ซึ่ ง หมายถึ ง สนธิ สั ญ ญาที เ่ ป็ นบ่ อ เกิ ด
ของกฎหมาย อันทีจ
่ ริงสนธิสัญญาทุกฉบับทีก
่ ระทำา ขึน
้ โดยชอบ
ตามกฎหมายก็ ถื อ ว่ า เป็ น “Source of Law” ทั ้ ง สิ ้น แต่ สนธิ
62
5.2 การทำาสนธิสัญญา
1. การเจรจาเป็ นขัน
้ ตอนเบือ
้ งตูนในการทำาสนธิสัญญา ซึง่ ภาคี
สนธิ สั ญ ญาโดยตั ว แทนผู้ มี อำา นาจหนู า ที ใ่ นการเจรจาในฐานะ
ตั ว แทนรั ฐ จะปรึ กษาหารื อ แลกเปลี ย
่ นความคิ ด เห็ น เจรจาต่ อ
รอง กำา หนดเงื่อ นไขความตกลงต่ า งๆ ระหว่ า งกั น แลู ว จั ด ทำา
เป็ นร่างสนธิสัญญาเพือ
่ การรับรองต่อไป
2. การรับรองเบือ
้ งตูน หรือทีเ่ รียกว่าการรับรองชัว
่ คราว เป็ น
ขัน
้ ตอนตรวจสอบร่างสนธิสัญญาว่าเป็ นไปตามทีเ่ จรจาตกลงกัน
เป็ นทีแ
่ น่นอนแลูว และยืนยันความถ้กตูองของสนธิสัญญา และ
แสดงความเห็นชอบของรัฐผู้เจรจาในสนธิสัญญานัน
้ ๆ ว่าพรูอม
ทีจ
่ ะใหูรั ฐดำา เนิ นการรับ รองขัน
้ สุด ทูา ย ส่ วนการยืน ยัน ในความ
ถ้ ก ตู อ งแทู จ ริ ง ของขู อ บทของสนธิ สั ญ ญา เพื่ อ ที ร
่ ั ฐ ภาคี จ ะไดู
ยึดถือ ตามขู อบทสนธิ สัญ ญาที ไ่ ดู รับ การยื นยั นว่ าถ้ กตู องแทู จริง
และแน่นอนนัน
้
63
5.2.1 การเจรจาและผู้มีอำานาจในการทำาสนธิสัญญาผ้กพัน
รัฐ
อธิบายว่าบุคคลผู้มีอำา นาจในการทำา สนธิสัญญาแทนรัฐคือ
ใครบู าง และจะตู อ งดำา เนิ น การอย่ า งไร ตามกฎหมายระหว่ า ง
ประเทศ
การทำา สนธิ สั ญ ญานั ้ น ย่ อ มกระทำา ไดู โ ดยบุ ค คลภายใตู
กฎหมายระหว่ า งประเทศเท่ า นั ้น (Subject of International Law)
ไดู แ ก่ รั ฐ และองค์ ก ารระหว่ า งประเทศ เมื่ อ สนธิ สั ญ ญาย่ อ ม
กระทำา ไดูแ ต่โ ดยบุ ค คลในกฎหมายระหว่ า งประเทศคื อ รั ฐ หรื อ
องค์การระหว่างประเทศดังกล่าว ซึง่ เป็ นนิติบุคคล ก็ย่อมจะตูอง
มี ผู้ แ ทนนิ ติ บุ ค ค ล หรื อ ตั ว แ ท นที ่ มี อำา น าจ ก ร ะทำา ก าร แ ท น
นิ ติ บุ ค คล หากในกรณี ข องรั ฐ ก็ ไ ดู แ ก่ ป ระมุ ข ของรั ฐ หั ว หนู า
รั ฐ บาลหรื อ รั ฐ มนตรี เ ป็ นตู น ซึ่ ง จะเป็ นตั ว แทนในการเจรจา
64
5.2.2 การรับรองและยืนยันความถ้กตูองของขูอบทในสนธิ
สัญญา
อธิบายความแตกต่างของการรับรอง (Adoption) ขูอบทของ
สนธิ สั ญ ญา กั บ การยื น ยั น ความถ้ ก ตู อ งแทู จ ริ ง (Authentication)
ของขูอบทของสนธิสัญญา
การรั บ รอง (Adoption) ขู อ บทของสนธิ สั ญ ญาที ไ่ ดู ร่ ว มกั น
เจรจาตกลงกั น โดยรั ฐ ภาคี ข องสนธิ สั ญ ญาเป็ นการยื น ยั น ว่ า
ขูอความเงื่อนไข ถูอยคำา ทีบ
่ รรจุอย่้ในสนธิสัญญาเป็ นไปตามที ่
ไดูเจรจากันไวูทุกประการ และรัฐภาคีเห็นชอบตามทีไ่ ดูบัญญัติ
ไวู เป็ นขูอ บทนัน
้ ๆ แลูว ทัง้ นีเ้ พื่อ ปู องกั น การขั ดแยู ง หรือ การโตู
แยู ง ในภายหลั ง ที ว
่ ่ า เจรจากั น ไปนั ้น ไม่ ไ ดู เ ขี ย นไวู เ ช่ น นั ้น ถื อ ว่ า
เป็ นการรับรองร่างสนธิสัญญาว่าเป็ นไปตามทีต
่ กลงกัน
ส่วนการยืนยันความถ้กตูองแทูจริง (Authentication) ของขูอ
บทสนธิสัญญานัน
้ ขูอบทของสนธิสัญญาทีไ่ ดูรับการรับรองแลูว
ย่อมตูองมาส่้การยอมรับหรือยืนยันในความถ้กตูองแทูจริงของตัว
้ ๆ ว่าถูอยคำามีความถ้กตูอง (Authentic)
ขูอบทของสนธิสัญญานัน
แน่นอน (Definitive) ชัดเจน เป็ นขูอบททีแ
่ สดงถึงเจตนารมณ์ของ
สนธิ สัญ ญาฉบั บ นั ้นๆและรั ฐ ภาคี ทั ง้ ปวงที เ่ ขู า ร่ ว มเจรจาเมื่อ ไดู
รับรอง และยืนยันความถ้กตูองแทูจริงของขูอบทสนธิสัญญาแลูว
ย่อมผ้กพันตนปฏิบัติตามสนธิสัญญาฉบับทีเ่ ป็ น authentic หรือที ่
เป็ นฉบั บ ถ้ ก ตู อ งแทู จ ริ ง นั ้น ๆ โดยจะมี อี ก ขั ้น ตอนหนึ่ ง คื อ การ
แสดงเจตนารมณ์ผ้กพันตามสนธิสัญญา
5.2.3 การใหูความยินยอมผ้กพันตามผลของสนธิสัญญา
66
5.2.4 กระบวนการภายหลังการทำาสนธิสัญญา
อธิ บ ายว่ า หลั ง จากการทำา สนธิ สั ญ ญาแลู ว มี ขั ้น ตอนอื่น ที ่
สำาคัญอะไรบูาง
67
เมื่อรั ฐภาคี ไดู ทำา สนธิสัญ ญาเรี ยบรูอ ยแลู ว กล่ า วคื อ มี ก าร
ลงนาม หรือไดู มีก ารลงนามโดยมี การใหูสัตยาบั น การยอมรั บ
การใหูความเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติแลูว และสนธิสัญญามีผล
บั ง คั บ ตามกระบวนการที ก
่ ำา หนดแลู ว จะมี ก ารแต่ ง ตั ้ง รั ฐ ผู้ ทำา
หนู า ที เ่ ก็ บ รั ก ษา ด้ แ ล สนธิ สั ญ ญา ที เ่ รี ย กว่ า Depositary ซึ่ง ผู้
รั ก ษาสนธิ สั ญ ญานี ้ จะตู อ งดำา เนิ น การจั ด ส่ ง สนธิ สั ญ ญาไปยั ง
สำา นั ก เลขาธิ ก ารสหประชาชาติ เพื่ อ การจดทะเบี ย น และจั ด
พิ ม พ์ เผยแพร่ สนธิ สั ญญานั ้น ต่ อ ไป กล่ า วโดยสรุ ป คื อ ขั น
้ ตอน
หลังจากการทำา สนธิสัญญาแลูวประกอบดูวย การแต่งตัง้ ผู้ด้แล
รั ก ษาสนธิ สั ญ ญา การจดทะเบี ย นสนธิ สั ญ ญา การจั ด เก็ บ
บันทึก และการจัดตีพิมพ์เผยแพร่สนธิสัญญา
5.3 ความสมบูรณ์และผลของสนธิสัญญา
1. สนธิสัญญาทุกฉบับทีม
่ ีผลบังคับใชูแลูว ย่อมผ้กพันภาคีของ
สนธิสัญญานัน
้ ๆ และภาคีทัง้ ปวงตูองปฏิบัติตามสนธิสัญญานัน
้ ๆ
โดยสุจริต และบทบัญญัติของสนธิสัญญาย่อมมีผลบังคับทีเ่ หนือ
กว่ากฎเกณฑ์ใดๆ ทีไ่ ม่เป็ นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และ
จารีตประเพณีระหว่างประเทศ
2. การตั ง
้ ขู อ สงวนในสนธิ สั ญ ญาเป็ นถู อ ยแถลงฝ่ ายเดี ย ว ซึ่ง
กระทำาโดยรัฐภาคีใดรัฐหนึ่งซึ่งกระทำา ในขณะทีม
่ ีการลงนาม ใหู
สัตยาบน ใหูการยอมรับ ใหูความเห็นชอบ หรือทำา ภาคยานุวัติ
ในสนธิ สั ญ ญาเพื่ อ ที จ
่ ะแกู ไ ขเปลี ย
่ นแปลงผลทางกฎหมายบาง
ประการของสนธิ สั ญ ญา หรื อ เพื่ อ ไม่ ตู อ งถ้ ก ผ้ ก พั น ในขู อ บทใด
ของสนธิสัญญา ทีจ
่ ะมีต่อรัฐทีต
่ ัง้ ขูอสงวนนัน
้ อันเป็ นเงื่อนไขใน
68
การทีจ
่ ะเขูาเป็ นภาคีของสนธิสัญญา และผ้กพันโดยสนธิสัญญา
นัน
้
่ เติม (Amendment) หมายถึงการแกูไขเพิม
3. การแกูไขเพิม ่ เติม
บทบัญญัติแห่งสนธิสัญญาอย่างเป็ นทางการเพือ
่ ใหูมีผลบังคับต่อ
รั ฐ ภาคี แ ห่ ง สนธิ สั ญ ญานั ้น ทุ ก รั ฐ และกระทำา ไดู โ ดยอาศั ย หลั ก
เกณฑ์เดียวกันกับการทำาสนธิสัญญาและการมีผลบังคับของสนธิ
สัญญา เวูนแต่สนธิสัญญานัน
้ จะกำาหนดไวูเป็ นอย่างอืน
่ ส่วนการ
่ นแปลงสนธิ สั ญ ญา (Modification) นั ้ น เป็ นการเปิ ด
แกู ไ ขเปลี ย
โอกาสใหูรัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาบางรัฐทีจ
่ ะทำา ความตกลงใหูใน
ระหว่างกันเอง เพือ
่ แกูไขเปลีย
่ นแปลงบทบัญญัติแห่งสนธิสัญญา
ใหูมีผลบังคับเป็ นการเฉพาะในระหว่างกันเองไดู และจะกระทำา
ไดูต่อเมื่อสนธิสัญญานั น
้ เปิ ดโอกาสใหูกระทำา ไดู และไม่หูา มใน
การแกูไขเปลีย
่ นแปลงเช่นว่านัน
้ โดยจะตูองไม่กระทบกระเทือน
ต่อการใชูสิทธิของภาคีอืน
่ ภายใตูสนธิสัญญานัน
้ ๆ
4. การตี ความสนธิสั ญญานั น
้ ใหูตีความดูว ยดู วยความสุจ ริต
(Good Faith) เป็ นไปตามความหมายปกติธรรมดาแห่งถูอยคำาของ
สนธิ สั ญ ญาในบริ บ ทของสนธิ สั ญ ญาโดยคำา นึ ง ถึ ง วั ต ถุ ป ระสงค์
และความมุ่งหมายของสนธิสัญญานัน
้ ดูวย
5. สนธิ สั ญ ญาที ก
่ ระทำา ขึ้ น ย่ อ มไม่ ก่ อ ใหู เ กิ ด ผลความผ้ ก พั น
หรือก่อสิทธิใดๆ ต่อรัฐทีส
่ าม โดยปราศจากความยินยอมของรัฐ
ทีส
่ ามนัน
้ ดังนัน
้ ความผ้กพันต่อ หรือสิทธิทีจ
่ ะใหูแก่รัฐทีส
่ ามจะ
บังเกิดขึน
้ ไดูต่อเมื่อสนธิสัญญานัน
้ มีบทบัญญัติกำา หนดไวูเช่นนัน
้
โดยภาคีของสนธิสัญญาประสงค์ใหูมีผลเช่นว่านัน
้ และรัฐทีส
่ าม
69
5.3.1 ผลบังคับของสนธิสัญญา
อธิ บ ายผลบั ง คั บ ของสนธิ สั ญ ญาต่ อ ค่้ ภ าคี ต ามกฎหมาย
ระหว่างประเทศ
ผลบั ง คั บ ของสนธิ สั ญ ญาต่ อ ค่้ ภ าคี ต ามกฎหมายระหว่ า ง
ประเทศนัน
้ มีหลักการว่าสนธิสัญญาทุกฉบับทีม
่ ีผลบังคับใชูแลูว
ย่อมผ้กพันภาคีของสนธิสัญญานัน
้ ๆ และภาคีทัง้ ปวงตูองปฏิบัติ
ตามสนธิ สั ญ ญานั ้น ๆ โดยสุ จ ริ ต “Good Faith” รั ฐ นั ้น ย่ อ มตู อ ง
ผ้ ก พั น ตามที ไ่ ดู ต กลงกั น ตามหลั ก การพื้น ฐานของหลั ก “Pacta
Sunt Servanda” นอกจากนั ้ น การมี ผ ลบั ง คั บ ในตั ว เองของสนธิ
สัญญาตามกฎหมายจารีตประเพณี ตามหลักทีว
่ ่า “สัญญาย่อม
ผ้ ก พั น รั ฐ ผู้ ก ระทำา ” ทำา ใหู สั ญ ญามี ผ ลบั ง คั บ ความผ้ ก พั น ตาม
สนธิ สั ญ ญาต่ อ รั ฐ ดั ง นี ้ เป็ นความผ้ ก พั น ที ่มี อ ย่้ เ หนื อ ดิ น แดน
ทั ้ง หมดของรั ฐ และสนธิ สั ญ ญาไม่ มี ผ ลยู อ นหลั ง ยิ ง่ กว่ า นั ้น รั ฐ
ภาคีทีต
่ ูองผ้กพันตามสนธิสัญญาจะตูองอนุวัติการตามผลบังคับ
ของสนธิ สั ญ ญาโดยจะกล่ า วอู า งกฎหมายภายในเพื่ อ ไม่ ป ฏิ บั ติ
ตามสนธิ สั ญญาไม่ ไ ดู หากไม่ ป ฏิ บั ติต ามสนธิ สัญ ญาย่ อ มก่ อ ใหู
เกิดความรับผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ และโดยหลักทัว
่ ไป
สนธิสัญญาย่อมผ้กพันเฉพาะต่อรัฐภาคีไม่ผ้กพันต่อรัฐทีส
่ าม เวูน
แต่ ใ นสนธิ สั ญ ญา หรื อ รั ฐ ภาคี จ ะกำา หนดไวู และรั ฐ ที ส
่ ามตู อ ง
ยินยอมทีจ
่ ะผ้กพันตามสนธิสัญญาดูวย
70
เมือ
่ รัฐภาคีอืน
่ ๆ ในความสัมพันธ์กับการตัง้ ขูอสงวน หรือคัดคูาน
ขูอสงวนนัน
้ ไดูรับหนังสือบอกกล่าวเช่นว่านัน
้
5.3.3 การแกูไขเพิม
่ เติมและการแกูไขเปลีย
่ นแปลงสนธิ
สัญญา
อ ธิ บ า ย ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ร ะ ห ว่ า ง ก า ร แ กู ไ ข เ พิ ่ ม เ ติ ม
(Amendment) กั บ ก า ร แ กู ไ ข เ ป ลี ่ ย น แ ป ล ง (Modification) ส น ธิ
สัญญา โดยนัยของอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969
่ เติ ม สนธิ สั ญ ญา (Amendment) หมายถึ ง การ
การแกู ไ ขเพิ ม
แกูไขเพิม
่ เติมบทบัญญัติแห่งสนธิสัญญาอย่างเป็ นทางการเพือ
่ ใหู
มี ผ ลต่ อ ภาคี แ ห่ ง สนธิ สั ญญานั ้ น ทุ กรั ฐ ในขณะที ่ ก ารแกู ไ ข
่ นแปลงสนธิสัญญา (Modification) นัน
เปลีย ้ เป็ นการเปิ ดโอกาสใหู
รัฐภาคีแห่งสนธิสัญญาบางรัฐทีท
่ ำาความตกลงระหว่างกันเองเพื่อ
แกู ไ ขเปลี ่ย นแปลงบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง สนธิ สั ญ ญาใหู มี ผ ลบั ง คั บ
เป็ นการเฉพาะในระหว่างกันเองเพื่อใหูมีการแกูไขเปลี ย
่ นแปลง
นั ้ น ๆ ไดู แ ละไม่ บั ง คั บ ต่ อ รั ฐ ภาคี ทุ ก รั ฐ ทั ้ ง นี พ
้ ิ จ ารณาไดู จ าก
มาตรา 39 40 และ 41 ของอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969
5.3.4 การตีความสนธิสัญญา
อธิบายหลักทัว
่ ไปในการตีความสนธิสัญญา
หลั ก ทั่ ว ไปในการตี ค วามสนธิ สั ญ ญา ตามที บ
่ ั ญ ญั ติ ไ วู ใ น
อนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนา ค.ศ. 1969 ไดู ว างหลั ก เกณฑ์ ใ นการ
ตี ค วามสนธิ สั ญ ญา โดยยึ ด หลั ก การตี ค วามโดยสุ จ ริ ต ตามตั ว
อักษร โดยคำานึงถึงเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญา
72
5.3.5 ผลของสนธิสัญญาต่อรัฐทีส
่ าม
อธิบายผลบังคับของสนธิสัญญาต่อรัฐทีส
่ าม
โดยหลักทัว
่ ไปแลูว สนธิสัญญาผ้กพันและมีผลบังคับเฉพาะ
ต่ อ รั ฐ ค่้ ภาคี เ ท่ านั ้น กล่ า วคือ สนธิ สัญ ญาไม่ ก่ อ ใหู เ กิ ด พั น ธกรณี
หรือสิทธิใดๆ แก่รัฐทีส
่ าม โดยปราศจากความยินยอมของรัฐที ่
สามนั น
้ อย่ า งไรก็ ต ามในบางกรณี ส นธิ สั ญ ญาอาจกำา หนดใหู มี
73
5.4 การสิน
้ สุดของสนธิสัญญาและการสิน
้ ผลบังคับของ
สนธิสัญญาต่อรัฐภาคี
1. ความไม่สมบ้รณ์โดยทัว
่ ไปของสนธิสัญญามีหลายกรณี ซึ่ง
อาจจะเกิ ด จากเรื่ อ งความสามารถในการทำา สนธิ สั ญ ญาของ
ตัวแทนรัฐภาคี ความไม่สมบ้รณ์เกีย
่ วกับการใหูความยินยอมของ
74
มีสิทธิทีจ
่ ะถอนตัวจากสนธิสัญญา บอกเลิกทำา ใหูสนธิสัญญาสิน
้
ความผ้ก พันหรื อทำา ใหูสนธิ สัญ ญาระงั บสิ น
้ ผลบั งคั บ ไป หรือ ยุ ติ
สนธิ สั ญ ญานั ้น เสี ย ไดู ในแต่ ล ะกรณี ย่ อ มมี ผ ลทางกฎหมายที ่
แตกต่างกันไป กล่าวโดยสังเขปคือการทำาใหูสนธิสัญญาสิน
้ ผลไป
กั บ การที ร
่ ั ฐ ภาคี ใ ดบอกเลิ ก สนธิ สั ญ ญา ออกจากการเป็ นภาคี
หรือไม่ผ้กพันตนตามสนธิสัญญา ในกรณีนีส
้ นธิสัญญายังคงมีผล
บังคับ หากแต่รัฐภาคีทีบ
่ อกเลิกเพิกถอน หรือออกจากการเป็ น
ภาคี ย่อมไม่มีผลบังคับผ้กพันตามสนธิสัญญา
3. โดยเหตุทีส
่ นธิสัญญาไดูกระทำา ขึน
้ ภายใตูสถานการณ์ และ
กรณีแวดลูอมอันนำา มาส่้การทำา สนธิสัญญาและเป็ นสาระสำา คัญ
ของการที ส
่ นธิ สั ญ ญาไดู ก ระทำา ขึ้น ดั ง นั ้น หากสถานการณ์ อั น
เ ป็ น ส า ร ะ สำา คั ญ ซึ่ ง เ ป็ น ส า เ ห ตุ ใ หู มี ก า ร ทำา ส น ธิ สั ญ ญ า ไ ดู
เปลี ย
่ นแปลงไป ย่อ มทำา ใหูไ ม่มี ความจำา เป็ นในความผ้ ก พั น ตาม
สนธิ สั ญ ญานั ้น อี ก ต่ อ ไปแลู ว จึ ง เป็ นเหตุ ใ หู มี ก ารยุ ติ ห รื อ สิ น
้ สุ ด
สนธิสัญญาไดูตามหลักการ Rebus sic stantibus
่ ั ด ต่ อ กฎหมายเด็ ด ขาด หรื อ Jus cogens อัน
4. สนธิ สั ญ ญาที ข
อนุญาตใหูมีการยกเวูน หรือเบีย
่ งเบนเป็ นอย่างอื่นไดูนัน
้ ย่อมตก
เป็ นโมฆะ
5. เมื่อภาคีของสนธิสัญญาทวิภาคีสิน
้ สถานภาพทางกฎหมาย
หรือเปลีย
่ นแปลงสถานภาพไป ทำาใหูไม่มีฐานะเป็ นภาคีของสนธิ
สัญญา กล่าวคือไม่มีค่้สัญญาทำาใหูสนธิสัญญานัน
้ สิน
้ สุดลง แต่มี
แนวคิ ด ที ถ
่ ื อ ว่ า สามารถนำา เรื่อ งการสื บ สิ ท ธิ ข องสนธิ สั ญ ญามา
ปรับใชูในกรณีทีเ่ กีย
่ วขูองไดู หรืออาจเป็ นเรือ
่ งสุดวิสัยทีจ
่ ะปฏิบัติ
ตามสนธิ สั ญ ญาไดู หรื อ เป็ นกรณี ส ถานการณ์ เ ปลี ย
่ นแปลงไป
อย่างสำาคัญไดูเช่นกัน หรือถือว่าเป็ นการถอนตัวจากสนธิสัญญา
5.4.1 ความไม่สมบ้รณ์โดยทัว
่ ไป และความบกพร่องในการ
แสดงเจตนาในการทำาสนธิสัญญา
อธิบายว่ากรณีใดบูางทีท
่ ำาใหูสนธิสัญญาเป็ นโมฆะเสียไปทัง้
ฉบับ และกรณีใดบูางทีเ่ ป็ นเพียงเหตุที ่รัฐภาคีกล่าวอูางไดูว่าสนธิ
สัญญา หรือการแสดงเจตนานัน
้ ไม่สมบ้รณ์
กรณีทีส
่ นธิสัญญาตกเป็ นโมฆะเสียไปทัง้ ฉบับตัง้ แต่เริม
่ แรก
(Void ab initio) ไดู แ ก่ ก ารทำา สนธิ สั ญ ญาอั น เกิ ด ขึ้น จากการถ้ ก
คุกคาม ข่มข่้ หรือการใชูกำาลังฝ่ าฝื นกฎบัตรสหประชาชาติ และ
การทำา สนธิ สั ญ ญาที ่ขั ด ต่ อ Jus cogens หรื อ peremptory norm
แห่งกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่ วนกรณี ที ส
่ นธิ สั ญ ญาไม่ ส มบ้ ร ณ์ และสามารถยกขึ้น เป็ น
เหตุ ก ล่ า วอู า งเพื่ อ ไม่ ผ้ ก พั น ตามสนธิ สั ญ ญาไดู แ ก่ ความไม่
สมบ้รณ์ในการใหูความยินยอมของรัฐเพื่อผ้กพันตามสนธิสัญญา
หรือบุคคลทีท
่ ำาการเจรจาทำาสนธิสัญญาไม่มีอำานาจ หรือกระทำา
76
5.4.3 สถานการณ์เปลีย
่ นแปลงไปอย่างสำาคัญ
อ ธิ บ า ย ว่ า ก ร ณี อ ย่ า ง ไ ร จึ ง จ ะ ถื อ ว่ า มี พ ฤ ฒิ ก า ร ณ์ ที ่
่ นแปลงไปอย่างมาก () อันเป็ นเหตุใหูรัฐภาคีกล่าวอูางเป็ น
เปลีย
เหตุผลทีจ
่ ะยกเลิกสนธิสัญญาไดู
รั ฐ ภาคี จ ะกล่ า วอู า งว่ า มี พ ฤฒิ ก ารณ์ เ ปลี ย
่ นแปลงไปอย่ า ง
มากจนเป็ นเหตุใหูอูางขึน
้ เพือ
่ ยกเลิกสนธิสัญญานัน
้ ไดูต่อเมือ
่
(1) การมีอย่้ของพฤฒิการณ์เหล่านัน
้ เป็ นพืน
้ ฐานสำาคัญของ
การใหูความยินยอมของรัฐภาคีเพือ
่ ผ้กพันตามสนธิสัญญา
(2) ผลของการเปลี ่ย นแปลงนั ้ น ก่ อ ใหู เ กิ ด การแปร
เปลี ย
่ นอย่ า งมากของร้ ป แบบ และขอบเขตแห่ ง สารั ต ถะแห่ ง
พันธะกรณีซึง่ รัฐภาคียังคงตูองปฏิบัติต่อไปตามสนธิสัญญา
ใหม่
อธิบายความแตกต่างของการเป็ นโมฆะของสนธิสัญญาตาม
หลั ก เกณฑ์ ข องมาตรา 53 และมาตรา 64 แห่ ง อนุ สั ญ ญากรุ ง
เวียนนาว่าดูวยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969
หลักเกณฑ์ของมาตรา 53 ของอนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ.
1969 ทีท
่ ำาใหูสนธิสัญญาเป็ นโมฆะนัน
้ เนื่องจากสนธิสัญญาทีท
่ ำา
ขึน ้ ไปขัด หรือแยูงกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศทีเ่ ป็ น Jus
้ นัน
cogens ตัง้ แต่ขณะทีท
่ ำาสนธิสัญญาๆ นัน
้ จึงเป็ นโมฆะตัง้ แต่แรกใน
78
5.4.5 ค่้ภาคีของสนธิสัญญาสิน
้ สภาพสถานภาพทาง
กฎหมาย หรือเปลีย
่ นแปลงสถานะ
อธิ บ ายผลทางกฎหมายของสนธิ สั ญ ญา เมื่ อ รั ฐ ภาคี แ ห่ ง
สนธิสัญญานัน
้ ๆ ไดูตัดความสัมพันธ์ทางการท้ตต่อกัน
การตัดความสัมพันธ์ทางการท้ต หรือทางกงสุลระหว่างรัฐ
ภาคีแห่งสนธิสัญญานัน
้ ไม่กระทบกระเทือนผลทางกฎหมายของ
สนธิสัญญา ซึง่ รัฐภาคีดังกล่าวมีผลผ้กพันตามสนธิสัญญา เวูน
แต่ ก ารคงอย่้ แ ห่ ง ความสั ม พั น ธ์ ท างการท้ ต นั ้น เป็ นสาระสำา คั ญ
แห่ ง สนธิ สั ญญา และเป็ นเงื่อ นไขในการปฏิ บั ติต ามสนธิ สั ญ ญา
ดู วยย่อ มทำา ใหูไ ม่อาจคงสนธิ สัญ ญาไวู ไ ดู แต่ ห ากสนธิ สัญ ญามี
ขูอบททีเ่ ป็ นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศรัฐภาคียังจะ
79
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 5
1. Jus Cogens มิ ใ ช่ ห ลั ก เกณฑ์ ใ นการทำา สนธิ สั ญ ญา ส่ ว น Good Faith
,Free Consent ,Pacta Sunc Servanda , Rebus sic stantibus เป็ นหลั ก เกณฑ์ ใ น
การทำาสนธิสัญญา
่ ีอำานาจลงนามในสนธิสัญญาไดูโดยตำา แหน่ง Ex Officio คือ
2. บุคคลทีม
ตัวแทนทีไ่ ดูรับแต่งตัง้ ในการประชุมระหว่างประเทศ รับรองขูอบทในสนธิ
สัญญาในการประชุมนัน
้ ๆ
3. สนธิสัญ ญาทีบ
่ รรลุถึง ขูอ บทที เ่ ป็ นที ย
่ อมรั บ ในความถ้ ก ตู อ งแน่ น อน
Authentic Text แลู ว นั ้น จะแกู ไ ขเปลี ่ย นแปลงเพื่ อ เป็ นเงื่ อ นไขในการใหู
สัตยาบัน ไม่ไดู และตูองไปเจรจากันใหม่
4. รัฐทีต
่ ัง้ ขูอสงวน จะถอนขูอสงวนไดู ในเวลาใดๆ ก็ไดู
5. การตีความตามหลักแห่งความยุติธรรม มิใช่หลักทัว
่ ไปในการตีความ
ตามสนธิสัญญา
6. เหตุทท
ี ่ ำาใหูสนธิสัญญาเป็ นโมฆะคือ มีการข่มข่้รัฐทีท
่ ำาสนธิสัญญา
7. เรื่องของสถานการณ์ทีเ่ ปลีย
่ นแปลงไปอย่า งมากจนทำา ใหูเป็ นเหตุไม่
สามารถปฏิบัติตามสนธิสัญญาไดูคือ การขยายเขตเศรษฐกิจจำาเพาะ
8. ขูอแตกต่างระหว่า งมาตรา 53 และมาตรา 64 แห่งสนธิสัญญากรุง
เวียนนา ค.ศ. 1969 คือการเป็ นโมฆะของสนธิสัญญา
9. ผลของสนธิสัญญาเมื่อรัฐภาคีทำาสงครามระหว่างกัน สนธิสัญญานัน
้
ยังไม่สิน
้ สุดลง
10. เมื่อสหภาพโซเวียตรัสเซียล่มสลาย ทำา ใหูสนธิสัญญาทีท
่ ำา
กับสหรัฐอเมริกาสิน
้ สุดลงดูวยเหตุ รัฐภาคีสิน
้ สภาพทางกฎหมาย
11. ่ ั ฐ บาลไทยว่ า จู า ง UNOCAL สำา รวจและวาง
ความตกลงที ร
ท่อแก๊ส มิใช่สนธิสญ
ั ญา
80
หน่วยที ่ 6 การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศโดยสันติ
วิธี
81
6.1 การระงับข้อพิพาททางการเมือง
1. การระงั บ ขู อ พิ พ าทระหว่ า งประเทศทางการเมื อ ง หรื อ
วิธีขึน
้ อย่้กับว่ามีฝ่ายอืน
่ นอกเหนือ จากรัฐค่้พิพาทเขูามาเกีย
่ วขูอง
ดูวยหรือไม่ กล่าวคือหากเป็ นการระงับโดยรัฐฝ่ ายต่างๆทีพ
่ ิพาท
กันก็คือ การเจรจา แต่ในกรณีทีม
่ ีฝ่ายทีส
่ าม เขูามาช่วยดำา เนิ น
การ ก็มีอีกหลายวิธี อันไดูแก่ การจัดเจรจา การไกล่เกลีย
่ การ
ประนีประนอม และการสืบสวนขูอเท็จจริง
3. องค์การระหว่างประเทศก็มีส่วนร่วมทีส
่ ำาคัญในการระงับขูอ
พิ พ าทระหว่ า งรั ฐ โดยเฉพาะพวกที ่เ ป็ นสมาชิ ก ขององค์ ก าร
ระหว่ า งประเทศ นั ้น โดยองค์ ก ารระหว่ า งประเทศที ม
่ ี ข อบเจต
อำา นาจดูานการเมืองจะมีระบบหรือวิธีการในการระงับขูอพิพาท
ทางการเมืองซึง่ แตกต่างกันออกไปบูางก็ตาม
4. องค์ก ารระหว่างประเทศทีม
่ ี เ ขตอำา นาจดู า นเศรษฐกิ จ หรือ
เทคนิ ค จะมี ร ะบบการระงั บ ขู อ พิ พ าทที แ
่ ตกต่ า งวิ ธี ก ารที ใ่ ชู กั น
82
ทั่ว ไปในแง่ ที ต
่ ู อ งอาศั ย กระบวนการที ม
่ ี ค วามยื ด หยุ่ น เป็ นพิ เ ศษ
สำา หรับขูอ พิพ าททางเศรษฐกิจ และมี วั ต ถุ ป ระสงค์ ห ลั ก ในการ
แกูปัญหา แต่มิใช่เพือ
่ ตัดสินปั ญหา
6.1.1 การระงับขูอพิพาทโดยสันติวิธีทางการเมืองระหว่างรัฐ
ลักษณะร่วมกันของวิธีการต่างๆ ในการระงับขูอพิพาทโดย
สันติวิธีทางการเมืองระหว่างรัฐคืออะไร
ลักษณะร่วมกันของวิธีการต่างๆ ในการระงับขูอพิพาทโดน
สันติวิธีทางการเมืองระหว่างรัฐคือ การปราศจากผลบังคับทาง
กฎหมายสำาหรับรัฐทีเ่ กีย
่ วขูอง กล่าวคือรัฐทีพ
่ ิพาทกันไม่ผ้กพันที ่
จะตูองปฏิบัติตามขูอเสนอต่างๆทีไ่ ดูรับจากการใชูวิธก
ี ารนัน
้ ๆ
6.1.2 การระงับขูอพิพาทโดยองค์กรระหว่างประเทศ
คณะมนตรีความมัน
่ คงแห่งสหประชาชาติซึง่ เป็ นองค์กรทีไ่ ดู
รั บ มอบหมาย ความรั บ ผิ ด ชอบหลั ก ในการระงั บ ขู อ พิ พ าท
ระหว่างรัฐสมาชิก สามารถใชูวิธก
ี ารใดไดูบูางเพือ
่ การนี ้
คณะมนตรีความมัน
่ คงแห่งองค์การสหประชาชาติมีอำา นาจ
ดังนี ้ ประการแรกอำานาจในการเขูามาจัดการระงับขูอพิพาทดูวย
ตนเอง เช่ น ดำา เนิ น การไกล่ เ กลี ย
่ หรื อ สื บ สวนหาขู อ เท็ จ จริ ง
และประการทีส
่ อง ทำาขูอเสนอแนะวิธีการระงับขูอพิพาทใหูรัฐที ่
เกีย
่ วขูองนำาไปใชูเพือ
่ การระงับขูอพิพาทระหว่างกัน
6.2 การระงับข้อพิพาททางการศาล
1. การระงั บ ขู อ พิ พ าททางการศาลแตกต่ า งจากการระงั บ ขู อ
พิพาททางการเมือง ในแง่ทีม
่ ีผลบังคับและผ้กพันรัฐค่้กรณีใหูตูอง
83
6.2.1 การระงับขูอพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ
ลั ก ษณะสำา คั ญ ของการระงั บ ขู อ พิ พ าททางการศาลโดย
อนุญาโตตุลาการคืออะไร
ลั ก ษณะสำา คั ญ ของการระงั บ ขู อ พิ พ าททางการศาลโดย
อนุ ญ าโตตุ ล าการคื อ การที ร
่ ั ฐ ฝ่ ายต่ า งๆ ที พ
่ ิ พ าทกั น มี สิ ท ธิ ใ น
การคัดสรรตุลาการเพือ
่ เขูามาทำาหนูาทีต
่ ัดสินชีข
้ าดปั ญหาพิพาท
ที เ่ กิ ดขึ้น อีก ทัง้ ยังสามารถร่ วมกั นกำา หนดประเด็น ปั ญหาที ต
่ ูอง
พิจารณารวมทัง้ กฎหมาย และกระบวนการพิจารณาสำา หรับคดี
ของตนเองไดู
6.2.2 การระงับขูอพิพาทโดยสารระหว่างประเทศ
84
เ ข ต อำา น า จ ข อ ง ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ใ น ก า ร
พิจารณาขูอพิพาทระหว่างรัฐขึน
้ อย่้กับการยินยอมร่วมกันของรัฐ
ฝ่ ายต่างๆ ทีพ
่ ิพาทกัน แต่การใหูการยินยอมดังกล่าวอาจกระทำา
ไดูหลายลักษณะอย่างไรบูาง
การมอบความยินยอมใหูศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็ น
ผู้ มีเ ขตอำา นาจในการพิจ ารณาพิ พ ากษาขู อขั ด แยู ง ที เ่ กิ ด ขึ้น อาจ
กระทำา ไดูหลายลักษณะกล่าวคือ การทำา ความตกลงเมื่อเกิดขูอ
้ (Compromis) การใหูความยินยอมในสนธิสัญญาต่างๆ
พิพาทขึน
ทีท
่ ำาขึน
้ ล่วงหนูาก่อนทีจ
่ ะเกิดขูอพิพาทขึน
้ และการทีร
่ ัฐซึง่ พิพาท
กัน ต่า งก็ ใหู ความยิ นยอม โดยการยอมรั บเขตอำา นาจศาล ตาม
มาตรา 36 วรรค 2 ของธรรมน้ญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 6
1. การอนุ ญ าโตตุ ล าการ มิ ใ ช่ วิ ธี ก ารระงั บ ขู อ พิ พ าทระหว่ า งประเทศ
ทางการเมือง
2. การกล่าวถึงบทบาทขององค์การสหประชาชาติไดูถ้กตูองไดูแก่ คณะ
มนตรีความมัน
่ คงแห่งสหประชาชาติอาจเป็ นผู้ดำา เนินการระงับขูอพิพาท
ดูวยวิธีการต่างๆทางการเมืองดูวยตนเองหรือเสนอแนะวิธีการใหูรัฐฝ่ ายที ่
พิพาท นำาไปดำาเนินการ
3. ขูอแตกต่างทีส
่ ำา คัญ ระหว่างวิธีการระงับขูอพิพาททางการเมืองและ
ทางการศาลคือ (ก) การระงับขูอพิพาททางการศาลจะมีผลผ้กพันรัฐฝ่ าย
่ ิพาทกัน (ข) การระงับขูอพิพาททางการศาลเกิดจากองค์กรที ่
ต่า งๆ ทีพ
ปฏิบัติหนูาทีอ ่ ิพาทกัน (ค) ผลการตัดสินตูองขึ้น
่ ย่างเป็ นอิสระจากรัฐทีพ
้ ฐานของขูอพิจารณาทางกฎหมาย (ง) กระบวนการวิธีพิจารณา
อย่้บนพืน
ตัดสินตูองประกันสิทธิความเท่าเทียมกันของรัฐทีพ
่ ิพาทกัน
85
หน่วยที ่ 7 กฎหมายระหว่างประเทศเกีย
่ วกับการจำากัด
การใช้กำาลังทหาร
7.1 กฎหมายเกีย
่ วกับการจำากัดสิทธิของรัฐในการใช้กำาลัง
ทหาร (Jus ad bellum)
1. กฎหมายระหว่างประเทศมีวิวัฒนาการไปในทิศทางของการ
จำา กัดสิทธิของรัฐในการใชูกำา ลังทางทหารซึ่งทำา ใหูในปั จจุบันรัฐ
สามารถทำาสงครามไดูโดยชอบดูวยกฎหมายเพียงในกรณียกเวูน
บางกรณีเท่านัน
้
2. องค์ ก ารสหประชาชาติ มี บ ทบาทที ส
่ ำา คั ญ ยิ ง่ ในการธำา รง
รั ก ษาสั น ติ ภ าพ และความมั่น คงระหว่ า งประเทศ แต่ ก็ ป ระสบ
ปั ญหาทางการเมืองทำา ใหูการปฏิบัติหนูาทีใ่ นเรื่องนีต
้ ูองปรับตัว
ไปในลักษณะทีแ
่ ตกต่างออกไปจากทีไ่ ดูกำาหนดไวูในตอนแรกของ
การจัดตัง้ องค์การ
7.1.1 กฎเกณฑ์ทีจ
่ ำากัดสิทธิของรัฐในการใชูกำาลังทางทหาร
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อธิ บ ายหลั ก การในเรื่ อ งการหู า มใชู กำา ลั ง ทหารในความ
สัมพันธ์ระหว่างประเทศ และขูอยกเวูนของหลักการดังกล่าว
หลั ก การหู า มใชู กำา ลั ง ทางทหารในความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า ง
ประเทศ ถื อ ว่ า การใชู กำา ลั ง ทหารที ม
่ ี ร้ ป แบบและความรุ น แรง
ระดับหนึ่งทีก
่ ระทบความสั มพั นธ์ ระหว่ างประเทศ เป็ นสิ ง่ ที ต
่ ูอ ง
้ ี ขู อ ยกเวู น ไวู 3 ประการ กล่ า วคื อ
หู า มและผิ ด กฎหมาย ทั ง้ นี ม
การปู องกั น ตนเอง การเขู า ร่ ว มในการปฏิ บั ติ ก ารขององค์ ก าร
สหประชาชาติและการแทรกแซงดูวยเหตุผลทางมนุษยธรรม
88
7.1.2 การธำารงรักษาสันติภาพและความมัน
่ คงระหว่าง
ประเทศโดยองค์การสหประชาชาติ
องค์ ก ารสหประชาชาติ มี บ ทบาทสำา คั ญ ในการธำา รงรั ก ษา
สันติภาพและความมัน
่ คงระหว่างประเทศอย่างไร
กฎบั ต รสหประชาชาติ ไ ดู จั ด ตั ้ง ระบบความมั่ น คงร่ ว มกั น
เพื่อ ใหูองค์การสหประชาชาติ โ ดยผ่ า นคณะมนตรี ค วามมั่น คงมี
อำา นาจ ในการลงโทษปราบปรามรัฐสมาชิกทีฝ
่ ่ าฝื นกฎเกณฑ์ใน
เรื่องสันติภาพระหว่างประเทศ แต่ใ นทางปฏิ บัติเนื่องจากความ
ขั ด แยู ง ทางการเมื อ งระหว่ า งประเทศมหาอำา นาจที เ่ ป็ นสมาชิ ก
ถาวรของคณะมนตรี ค วามมั่ น คงทำา ใหู ก ลไกที ่บั ญ ญั ติ ขึ้ น ใน
กฎบั ต รไม่ อ าจทำา งานไดู ดั ง นั น
้ องค์ ก ารสหประชาชาติ จึ ง ตู อ ง
ปรับตัวไปในทิศทางของการธำารงรักษาสันติภาพและการจัดการ
สถานการณ์ ขั ด แยู ง โดยมิ ไ ดู ใ ชู ม าตรการที ม
่ ี ลั ก ษณะของการ
ลงโทษแต่อย่างใด
2. กฎเกณฑ์เกีย
่ วกับปฏิบัติการทางทหารระหว่างรัฐค่้สงคราม
ครอบคลุ ม ถึ ง การที ก
่ ำา หนดสิ ท ธิ แ ละหนู า ที ข
่ องรั ฐ ค่้ ส งครามใน
การปฏิบัติต่อพลรบผู้มีส่วนในการสู้รบโดยตรง และในการปฏิบัติ
ต่ อ พลเรื อ นและผู้ ที เ่ ป็ นเหยื่อ หรื อ ประสบภั ย สงคราม ไม่ ว่ า เป็ น
สงครามทางบก ทางเรือ หรือทางอากาศซึง่ อาจมีกฎเกณฑ์เพิม
่
เติมขึน
้ เป็ นพิเศษ
3. กฎเกณฑ์ ที ใ่ ชู สำา หรั บ รั ฐ ค่้ ส งครามกั บ รั ฐ เป็ นกลางมุ่ ง ที จ
่ ะ
กำา หนดสิ ท ธิ และหนู า ที ส
่ ำา หรั บ รั ฐ ที เ่ กี ย
่ วขู อ ง เพื่ อ มิ ใ หู มี ก าร
ละเมิดสิทธิของรัฐเป็ นกลางและในทางกลับกันก็เพื่อปู องกันมิใหู
รัฐเป็ นกลางเขูามาแทรกแซงหรือดำาเนินการในลักษณะทีเ่ ป็ นการ
ฝั กใฝ่ เขูาขูางรัฐค่้สงครามฝ่ ายใด
ประการทีส
่ อง ในแง่ของขอบเขตการบังคับใชูก็มีการขยาย
ใหู กวู างขึ้นทั ง้ ในมิ ติข องเวลาและสถานที โ่ ดยเฉพาะอย่ า งยิ ง่ ใน
สถานการณ์ขัดแยูงภายในประเทศบางกรณี
ประการทีส
่ าม ในแง่ของกลไกในการบังคับใหูมีการปฏิบัติ
ตามกฎหมายเหล่ านี ้ ก็มี ก ารเพิ ม
่ ประสิ ท ธิ ภาพโดยอาศั ย หน่ ว ย
งานต่ างๆ โดยเฉพาะอย่ า งยิ ง่ จากการจั ด ตั ง้ หน่ ว ยงานระหว่ า ง
ประเทศทีม
่ ีลักษณะถาวรหรือ เฉพาะกิจ ทีม
่ ี อำา นาจในการตัด สิน
ลงโทษผู้กระทำาผิด
7.2.2 กฎเกณฑ์เกีย
่ วกับปฏิบัตก
ิ ารทางทหารสำาหรับรัฐค่้
สงคราม
หลักการรากฐานของกฎเกณฑ์เกีย
่ วกับปฏิบัติการทางทหาร
มีอะไรบูาง
หลักการรากฐานของกฎเกณฑ์เกีย
่ วกับปฏิบัติการทางทหาร
อาจแบ่งออกไดูเป็ น 3 กลุ่มกล่าว คือ กฎเกณฑ์กลุ่มแรก เกีย
่ ว
กับกฎเกณฑ์ทีใ่ ชูกับพลรบและการปฏิบัติต่อเปู าหมายทางทหาร
ซึง่ มีวัตถุประสงค์ จะประกันใหูมีการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมใน
ระหว่ า งผู้ มี ส่ ว นร่ ว มโดยตรงในการรบ และใหู มี ก ารใชู ค วาม
ระมัดระวังในการโจมตีเปู าหมาย เพือ
่ จำากัดความเสียหายเฉพาะ
ในของเขตทีส
่ มเหตุผล
กฎเกณฑ์ ก ลุ่ ม ที ส
่ อง เนู น การใหู ค วามคูุ ม ครองพลเรื อ นผู้
มิ ไ ดู มี ส่ ว นร่ ว มในการสู้ ร บรวมถึ ง ผู้ ที ป
่ ระสบภั ย หรื อ เป็ นเหยื่ อ
สงครามทีไ่ ม่อย่้ในสถานะทีจ
่ ะทำาการสู้รบไดูเช่น เชลยศึก หรือผู้
91
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 7
92
9. กฎหมายระหว่างประเทศทีว
่ ่าดูวยกฎเกณฑ์ในการทำา สงครามซึ่งใชู
บังคับต่อปฏิบัติการทางทหารทีเ่ รียกว่า jus in bello ในปั จจุบันมีขอบเขต
และเงื่อนไขในการบั ง คั บ ใชู ใ นกรณี มี การรั บรองสภาวะสงครามจากรั ฐ
ต่างๆ ทีเ่ ป็ นค่้สงคราม
10. กฎเกณฑ์ที ใ่ หู สิท ธิกั บ ประชาชนในการใชู กำา ลั ง เพื่อ ต่ อ สู้ กั บ ฝ่ าย
่ วกับปฏิบัติการทางทหารตาม jus bello
รัฐบาล มิใช่กฎเกณฑ์รากฐานเกีย
หน่วยที ่ 8 ความรับผิดชอบของรัฐ
1. การอย่้รวมกันในประชาคมระหว่างประเทศรัฐอธิปไตยต่าง
มีหนูาที ่ ทีจ
่ ะไม่ล่วงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศก่อความเสีย
หายใหู แ ก่ อี ก รั ฐ หนึ่ ง หากรั ฐ ไดู ก ระทำา ความผิ ด ไม่ ว่ า โดยการ
จงใจหรือประมาทเลินเล่อรัฐจะตูองรับผิดชอบและมีพันธกรณีที ่
จะตูองชดใชูค่าสินไหมทดแทน
2. ปั จจุ บั น มี กิ จ กรรมของรั ฐ มากมายที ่ไ ม่ ขั ด ต่ อ กฎหมาย
8.1 หลักเกณฑ์เกีย
่ วกับระบอบความรับผิดชอบของรัฐใน
แนวดัง
้ เดิม
94
8.1.1 การกระทำาของรัฐภายใตูกฎหมายระหว่างประเทศ
อธิบายลักษณะการกระทำา ของรัฐ ภายใตูก ฎหมายระหว่า ง
ประเทศ
การกระทำาของรัฐหรือการกระทำา ทีอ
่ าจกล่าวอูางไดูว่าเป็ น
ของรัฐ () ภายใตูกฎหมายระหว่างประเทศนัน
้ แบ่งออกเป็ นสอง
กรณีหลักคือ การกระทำาโดยองค์กรของรัฐ ไดูแก่ฝ่ายนิติบัญญัติ
ฝ่ ายบริ ห าร และฝ่ ายตุ ล าการ ซึ่ง กระทำา ผ่ า นบุ ค คลธรรมดาที ่
เป็ นเจูาหนูาทีข
่ องรัฐทีม
่ ีอำา นาจหนูาที ่ และการกระทำา ทีม
่ ิใช่เกิด
จากองค์กรของรัฐ เช่น บุคคลธรรมดาทีเ่ ป็ นพลเมืองทัว
่ ไป ฝ่ าย
กบฏเป็ นตูน อย่างไรก็ตามโดยหลักแลูวการกระทำา ของพลเมือง
หรือฝ่ ายกบฏจะถ้กถือว่าเป็ นการกระทำา ของรัฐต่อเมื่อมีการกระ
ทำาของเจูาหนูาทีร
่ ัฐเขูาไปเกีย
่ วขูองดูวย
8.1.2 การละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศ
95
การละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศหมายความว่าอย่างไร
กฎหมายระหว่ า งประเทศไดู กำา หนดพั น ธกรณี ร ะหว่ า ง
ประเทศในเรื่ อ งต่ า งๆ ซึ่ง อาจปรากฏอย่้ ใ นร้ ป ของสนธิ สั ญ ญา
กฎหมายประเพณี ร ะหว่ า งประเทศ หรื อ หลั ก กฎหมายทั่ว ไกู ไ ดู
การไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีทีเ่ ป็ นกฎหมายนัน
้ นำา มาซึ่งความรับ
ผิดชอบของรัฐไดู
8.1.3 การชดใชูค่าเสียหาย
อธิบายว่ากฎหมายระหว่างประเทศรับรองร้ปแบบของการ
ชดใชูค่าเสียหายอย่างไรบูาง
กฎหมายระหว่างประเทศไดูรับรองร้ปแบบของการชดใชูค่า
เสี ย หาย 2 วิ ธี คื อ วิ ธี แ รก เป็ นการชดใชู ค่ า เสี ย หายที ่อ าจ
คำานวณเป็ นตัวเงินไดู ในเบือ
้ งตูนจะใชูวิธีชดใชูค่าเสียหายทีจ
่ ะใหู
โจทก์ ก ลั บ คื น ส่้ ส ถานะเดิ ม ก่ อ นที จ
่ ะไดู รั บ ความเสี ย หายใหู ม าก
ที ส
่ ุ ด เท่ า ที จ
่ ะทำา ไดู เช่ น คื น ทรั พ ย์ ที พ
่ ิ พ าท คื น ดิ น แดนที ค
่ รอบ
ครองโดยมิชอบดูวยกฎหมาย คืนตัวประกัน เป็ นตูน ส่วนในกรณี
ทีม
่ ิอาจทำา ใหูโจทก์กลับคืนส่้สถานะเดิ ม ไดู โดยปกติ แลู วก็จะใชู
ดู ว ยเงิ น โดยคำา นวณค่ า เสี ย หายเป็ นจำา นวนเงิ น เพื่อ เรี ย กรู อ งใหู
จำา เลยเป็ นผู้ ช ดใชู วิธี ทีส
่ อง เป็ นการชดใชูค่ าเสี ย หายที ม
่ ิ อ าจ
คำา นวณเป็ นตัวเงินไดู เช่ นการละเมิด อธิ ปไตยของรัฐ กฎหมาย
ระหว่างประเทศกำาหนดใหูรัฐชดใชูค่าเสียหายดูวยการกระทำาใหู
รัฐผู้เสียหายไดูรับความพึงพอใจ
96
8.2 หลักเกณฑ์เกีย
่ วกับระบอบความรับผิดชอบของรัฐ
ตามแนวโน้มใหม่
1. ความรับผิดเด็ดขาดนัน
้ หมายถึง ความรับผิดทีร
่ ัฐตูองรับผิด
สำา หรับความเสียหายที เ่ กิ ด ขึ้น จากการกระทำา ของตน แมู ว่ า จะ
ไม่มีความจงใจหรือความประมาทเลินเล่อ ดังนัน
้ รัฐผู้เสียหายจึง
ไม่มีภาระการพิส้จน์ความผิดของรัฐผู้กระทำาความเสียหาย
2. ปั จจุบันมีกิจกรรมของรัฐเป็ นจำานวนมาก ทีไ่ ม่ตูองหูามตาม
กฎหมายระหว่ างประเทศแต่ กิ จ กรรมเหล่ า นี ม
้ ี ค วามเสี ย
่ งภั ย ส้ ง
จึงตูองการระบอบความรับผิดพิเศษในอันทีจ
่ ะกำาหนดความรับผิด
ของรัฐในกรณีทีเ่ กิดความเสียหายขึน
้
3. เนื่องจากกิจกรรมเสีย
่ งภัยมีแนวโนูมทีจ
่ ะก่อใหูเกิดอันตราย
ไดู ง่ า ยและรุ น แรง กฎหมายระหว่ า งประเทศจึ ง ตู อ งกำา หนด
มาตรการทัง้ ในทางปู องกันและชดใชูค่าเสียหาย
8.2.1 ขูอความคิดทัว
่ ไปว่าดูวยความรับผิดเด็ดขาด
อธิบายลักษณะของความรับผิดเด็ดขาด
ลักษณะของความรับผิดเด็ดขาดคือ รัฐจะตูองรับผิดโดยที ่
รั ฐ ผู้ เ สี ย หายหรื อ โจทก์ ไ ม่ ตู อ งพิ ส้ จ น์ อ งค์ ป ระกอบภายในที เ่ ป็ น
ความผิ ด ของจำา เลยว่ า ความผิ ด นั ้น จะเกิ ด จากความจงใจหรื อ
ความประมาทเลิ น เล่ อ หรื อ ไม่ รั ฐ ผู้ เ สี ย หายพิ ส้ จ น์ แ ต่ เ พี ย งว่ า
ความเสี ย หายที ต
่ นไดู รั บ นั ้น เป็ นผลโดยตรงมาจากการดำา เนิ น
กิจกรรมเสีย
่ งภัยของจำาเลยก็เพียงพอแลูว ลักษณะทีเ่ ด่นชัดของ
ความรั บ ผิ ด เด็ ด ขาดอย่้ ที ค
่ วามเสี ย หายเป็ นผลโดยตรงจากการ
ดำาเนินกิจกรรมเสีย
่ งภัยดังกล่าว มิใช่อย่้ทีว
่ ่ารัฐผู้ประกอบกิจการ
97
จงใจที จ
่ ะสรู า งความเสี ย หายหรื อ ความเสี ย หายเกิ ด จากความ
ประมาทเลินเล่อหรือไม่ ดูวยเหตุนี ้ แมูรัฐจะใชูความระมัดระวัง
แลูวก็ตามหากความเสียหายเกิดขึน
้ รัฐก็ยังคงตูองรับผิดชอบอย่้
เวูนแต่ว่าความเสียหายนัน
้ เป็ นผลมาจากเหตุสุดวิสัย เช่น แผ่น
ดินไหว หรือเกิดจากความผิดของรัฐผู้เสียหายเอง
8.2.2 กิจกรรมเสีย
่ งภัยของรัฐทีอ
่ ย่้ภายใตูบังคับความรับผิด
เด็ดขาด
อธิ บ ายกิ จ กรรมเสี ย
่ งภั ย ของรั ฐ ที ต
่ กอย่้ ภ ายใตู ก ฎหมาย
ระหว่างประเทศว่ามีลักษณะทีส
่ ำาคัญอย่างไร
โดยหลั ก แลู ว กิ จ กรรมเสี ย
่ งภั ย ของรั ฐ มั ก จะมี ลั ก ษณะที ่
สำา คั ญดู งนี ้ เป็ นกิจกรรมทีต
่ กอย่้ภายใตู การควบคุ ม ด้ แ ลของรั ฐ
เป็ นกิ จ กรรมที ่อ าจก่ อ ใหู เ กิ ด อั น ตรายขู า มพรหมแดน เป็ น
กิจกรรมทีต
่ ูองมีการประกันภัยล่วงหนูา เป็ นกิจกรรมทีจ
่ ะตูองมี
มาตรการควบคุมความปลอดภัยและความร่วมมือในทางระหว่าง
ประเทศ และเป็ นกิจกรรมทีก
่ ่อใหูเกิดความเสียหายทางกายภาพ
ไดูอย่างรุนแรง
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 8
98
11. แนวคิดทีจ
่ ัดกิจกรรมในอวกาศไวูภายใตูหลักความรับผิดเด็ด
้ มีเหตุผลสนับสนุนคือ (ก) กิจกรรมอวกาศเป็ นกิจกรรมซึ่งอาศัย
ขาดนัน
ความกู า วหนู า ทางเทคโนโลยี ชั ้น ส้ ง (ข) บุ ค คลภายนอกไม่ อ าจเขู า ถึ ง
ขูอม้ลไดู
หน่วยที ่ 9 กฎหมายองค์การระหว่างประเทศ
การลงคะแนนเสียงแบบเอกฉันท์กับการลงคะแนนเสียงโดยอาศัย
เสียงขูางมาก
100
4. โดยปกติแลูวสภาพบุคคลขององค์การระหว่างประเทศ ย่อม
ระบุไวูในตราสารก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศนัน
้ ๆ ในกรณีที ่
ตราสารก่อตัง้ มิไดูกล่าวถึงสภาพบุคคลดังกล่าว องค์การระหว่าง
ประเทศย่ อ มมี ส ภาพบุ ค คลในทรรศนะของกฎหมายระหว่ า ง
ประเทศ เสมอ ถู า วั ต ถุ ป ระสงค์ ใ นการก่ อ ตั ้ง องค์ ก ารระหว่ า ง
ประเทศชอบดู วยกฎหมายระหว่ างประเทศ มีอ งค์ก ารต่ า งๆ ที ่
สามารถจะปฏิบัติหนูาทีไ่ ดูอย่างมีประสิทธิภาพเพือ
่ บรรลุตามเปู า
หมายทีว
่ างไวู
5. ขอบข่ า ยอำา นาจขององค์ ก ารระหว่ า งประเทศย่ อ มแปรผั น
9.1.1 แนวคิดเกีย
่ วกับองค์การระหว่างประเทศ
ระบุความเป็ นมาและสาเหตุในการก่อตัง้ ตลอดจนคำาจำากัด
ความขององค์การระหว่างประเทศ
ความคิดในการก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศมีมานานแลูว
ในอดีต แต่ เป็ นเพียงความคิ ดที ป
่ รากฏในนิ พ นธ์ ข องนั ก ปราชญ์
ชาวตะวันตกหลายท่ าน ต่อมาในปลายศตวรรษที ่ 19 ความคิ ด
ในการก่ อ ตั ้ ง องค์ ก ารระหว่ า งประเทศก็ สั ม ฤทธิ ผ ล องค์ ก าร
ระหว่างประเทศไดูเพิม
่ อำานาจมากขึน
้ ภายหลังสงครามโลกครัง้ ที ่
สอง อั น มี ส าเหตุ ม าจากความกู า วหนู า ทางเทคโนโลยี การ
สื่ อ สารโทรคมนาคมในสั ง คมระหว่ า งประเทศ เพราะปั จจั ย ดั ง
กล่าวทำา ใหูปัญหาทีเ่ กิดขึน
้ มีความเกีย
่ วเนื่องและเกีย
่ วพันกับทุก
102
ประเทศ ทำา ใหูทุ กประเทศตูอ งหั นหนูา เขู าหากั นเพื่อ ร่ว มมื อกั น
แกูไขปั ญหาระหว่างประเทศ
องค์การระหว่างประเทศ หมายความถึง รัฐสมาคมซึง่ ก่อตัง้
โดยสนธิ สั ญ ญา มี ก ฎขู อ บั ง คั บ และองค์ ก ารร่ ว มกั น มี ส ภาพ
บุคคลเป็ นของตนเองแตกต่างไปจากรัฐสมาชิก
9.1.3 สภาพบุคคลขององค์การระหว่างประเทศในกฎหมาย
ระหว่างประเทศ
องค์การระหว่างประเทศจะตูองมีสภาพบุคคลตามกฎหมาย
ระหว่างประเทศเสมอไปหรือไม่
โดยหลั กแลู ว องค์ ก ารระหว่ า งประเทศย่ อ มมี ส ภาพบุ ค คล
ระหว่ า งประเทศเสมอ แมู ว่ า ตราสารก่ อ ตั ้ ง องค์ ก ารระหว่ า ง
ประเทศจะมิไดูระบุไวูก็ตาม องค์การระหว่างประเทศจะมีสภาพ
บุคคลภายใตูเงือ
่ นไข ดังนีค
้ ือ
1. มีการรวมกลุ่มอย่างถาวรของรัฐ
2. มีก ารแบ่งแยกอย่า งเด็ด ขาดถึ ง จุ ด มุ่ ง หมาย และอำา นาจ
หนูาทีร
่ ะหว่างองค์การระหว่างประเทศกับรัฐสมาชิก
3. มีการปฏิบัติภาระหนูาทีโ่ ดยเอกเทศ
103
9.1.4 ขอบข่ายอำานาจขององค์การระหว่างประเทศ
เมือ
่ เนือ
้ หาขอบข่ายอำานาจขององค์การระหว่างประเทศย่อม
แตกต่ า งกั น ออกไป อะไรคื อ เกณฑ์ ที จ
่ ะใชู พิ จ ารณาขอบข่ า ย
อำานาจขององค์การระหว่างประเทศว่ามีมากนูอยแค่ไหน
เกณฑ์ในการพิจารณาขอบข่ายอำานาจขององค์การระหว่าง
ประเทศคื อ วั ต ถุ ป ระสงค์ ห รื อ เปู าหมายขององค์ ก ารระหว่ า ง
ป ร ะ เ ท ศ ก ล่ า ว คื อ ข อ บ ข่ า ย อำา น า จ ข อ ง อ ง ค์ ก ร ย่ อ ม ตู อ ง มี
ลั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ เ จ า ะ จ ง โ ด ย ส อ ด ค ลู อ ง กั บ เ ปู า ห ม า ย แ ล ะ
วัตถุประสงค์
3. โดยหลักแลูวการลงคะแนนเสียงในองค์การระหว่างประเทศ
มีอย่้ 2 ร้ปแบบ คือ การลงคะแนนเสียงโดยเอกฉันท์ และการลง
คะแนนเสียงโดยอาศัยเสียงขูางมาก
4. การลงคะแนนเสียงโดยเอกฉันท์แบ่งไดูเป็ น 3 ประเภท คือ
ตามตราสารก่อตัง้ องค์การระหว่างประเทศทีร
่ ะบุไวู แต่ สำา หรั บ
ขูอมติทีอ
่ อกมาโดยองค์การภายในขององค์การระหว่างประเทศ
เพื่อแจูงไปยั งองค์กรอื่นขององค์ก ารระหว่างประเทศ ย่อ มมี ผล
ทางกฎหมาย ถู าเป็ นกรณี ที อ
่ งค์ ก รที ม
่ ี อำา นาจในการบริ ห ารส้ ง
กว่ า แจู งไปยั ง องค์ กรที อ
่ ย่้ ภายใตู ก ารบั ง คั บ บั ญ ชา ส่ ว นขู อ มติ ที ่
ออกมาโดยองค์กรขององค์การระหว่างประเทศ เพือ
่ แจูงไปยังรัฐ
ย่อมไม่มีผลตามกฎหมาย รัฐไม่จำาเป็ นตูองปฏิบัติตาม เวูนเสียแต่
เป็ นเรือ
่ งทีป
่ ระมวลหลักกฎหมายจารีตประเพณีหรือนำาเอาพันธะ
ทางกฎหมายมาระบุไวูในขูอมตินัน
้ ๆ
9.2.1 โครงสรูางขององค์การระหว่างประเทศ
105
วิธีการแบ่งโครงสรูางขององค์การระหว่างประเทศมีอย่างไร
บูาง
วิธีแบ่งโครงสรูางขององค์การระหว่างประเทศมีดังนี ้
1.องค์การทีป
่ ระกอบดูวยสมาชิ กเต็ม จำา นวนซึ่งมั กจะไดู แก่
สมัชชา
2.องค์ ก ารซึ่ง ประกอบดู ว ยสมาชิ ก จำา นวนจำา กั ด ซึ่ ง ไดู แ ก่
คณะมนตรี
3.องค์ ก ารซึ่ ง ทำา หนู า ที ่ใ นการ บริ หารองค์ ก ารร ะห ว่ า ง
ประเทศ ซึง่ มักจะไดูแก่ สำานักงานเลขาธิการ
9.2.2 สมาชิกภาพขององค์การระหว่างประเทศ
ตั ว ตนอื่ น ที ม
่ ิ ใ ช่ รั ฐ สามารถจะเขู า มาร่ ว มในกิ จ กรรมของ
องค์การระหว่างประเทศไดูหรือไม่
ตั ว ตนอื่ น ที ่ มิ ใ ช่ รั ฐ สาม าร ถจ ะเ ขู า ร่ ว มใ นกิ จ กร ร ม ขอ ง
องค์การระหว่างประเทศไดู แต่มิใช่ฐานะสมาชิกสามัญ กล่าวคือ
สามารถเขู า มาเป็ นสมาชิ ก สมทบไดู แต่ มิ ไ ดู มี สิ ท ธิ ห นู า ที เ่ ต็ ม
สมบ้รณ์เหมือนกับสมาชิกสามัญตามทีก
่ ำาหนดไวูในตราสารก่อตัง้
องค์การระหว่างประเทศ
9.2.3 การลงคะแนนเสียงและผลทางกฎหมายของขูอมติใ น
องค์การระหว่างประเทศ
ระบุการลงคะแนนเสียงมีกีว
่ ิธี
การลงคะแนนเสี ย งมี 2 วิ ธี คื อ การลงคะแนนเสี ย งดู ว ย
คะแนนเสียงขูางมาก และการลงคะแนนเสียงโดยเอกฉันท์
ขูอมติขององค์การสหประชาชาติมีผลทางกฎหมายแค่ไหน
เพียงใด
ขูอมติขององค์การสหประชาชาติ เพื่อแจู งไปยังรัฐ สมาชิ ก
ย่ อ มไม่ มี ผ ลบั ง คั บ ตามกฎหมายเวู น แต่ เ ป็ นคำา ตั ด สิ น (Decision)
ส่วนขูอมติภายในทีอ
่ อกจากองค์กรทีม
่ ีอำา นาจบังคับบัญชาเหนือ
กว่าไปยังองค์กรอืน
่ ในองค์การสหประชาชาติย่อมมีผลผ้กพันตาม
กฎหมาย
9.3 เจ้าพนักงานองค์การระหว่างประเทศ
1. การรั บบุ คคลเพื่อ เขูา ทำา งานในองค์ ก รระหว่า งประเทศ ใน
ฐานะเจูาพนักงานระหว่างประเทศย่อมขึน
้ อย่้กับประเภทของเจูา
พนักงานนัน
้ ๆ ถูาเป็ นเจูาพนักงานระดับส้งตราสารก่อตัง้ จะระบุ
107
แก่องค์การระหว่างประเทศเพื่อประโยชน์แก่รัฐสมาชิก และอย่้
ภายใตูกฎขูอบังคับทางกฎหมายเป็ นพิเศษ
งานภายในขอบข่ายขององค์การระหว่างประเทศ
(2) ไดูรับการคูุมครองในการปฏิบัติหนูาที ่
(3) รวมกลุ่ ม ในร้ ป ของ สหบาลเจู า พนั ก งานองค์ ก าร
ระหว่างประเทศเพือ
่ แสดงความคิดเห็น
(4) การประกันสิทธิจากศาลต่อการกระทำา โดยอำา เภอ
ใจขององค์การระหว่างประเทศ
หนูาทีข
่ องเจูาพนักงานองค์การระหว่างประเทศ ไดูแก่
109
(1) การงดเวูนทีจ
่ ะรับนโยบายหรือคำาสัง่ จากรัฐบาลอืน
่ ใด
(2) ปฏิเสธทีจ
่ ะรับรางวัลตอบแทนการปฏิบัติหนูาทีเ่ วูนแต่
จะไดูรับอนุมัติจากองค์การระหว่างประเทศ
(3) ตู อ งสละเวลาใหู กั บ องค์ ก ารระหว่ า งประเทศในการ
ปฏิบัติหนูาที ่
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 9
1. แนวความคิ ดในการก่ อตั ้ง องค์ ก ารระหว่า งประเทศของนั กปราชญ์
ตะวันตกไดูปรากฏมาชูานานแลูว แต่การก่อตั ง้ องค์การระหว่า งประเทศ
สั ม ฤทธิ ์ผ ลในศตวรรษที ่ 19 เพราะสาเหตุ ความเจริ ญ กู า วหนู า ทาง
เทคโนโลยี และการสือ
่ สารคมนาคม
2. องค์การระหว่างประเทศอาจก่อตัง้ ไดูโดยอาศัย (ก) สนธิสัญญา (ข)
มติขององค์การระหว่างประเทศ
3. องค์การระหว่างประเทศหมายความถึง รัฐสมาคม ก่อตั ง้ โดยสนธิ
สั ญ ญา มี ก ฎขู อ บั ง คั บ และองค์ ก ารร่ ว มกั น มี ส ภาพบุ ค คลเป็ นของ
ตนเอง แตกต่างไปจากรัฐสมาชิก
4. องค์การย่อย (Subsidiary organ) หมายถึง องค์การทีถ
่ ้กสรูางขึน
้ โดย
ขูอมติขององค์การระหว่างประเทศทีม
่ ีมาก่อน
5. โดยทั่วไปแลูวองค์การระหว่า งประเทศจะตู องประกอบดู วยองค์ก ร
หลัก 3 องค์การคือ สมัชชา คณะมนตรี และเลขาธิการ เป็ นความจริง
เพราะองค์กรทัง้ 3 เป็ นองค์กรหลักในการดำาเนินการขององค์การระหว่าง
ประเทศ
6. ขู อ มติ ข ององค์ ก ารระหว่ า งประเทศคื อ การแสดงเจตนารมณ์ ข อง
องค์การระหว่างประเทศ
110
หน่วยที ่ 10 กฎหมายการทูต
1. ก ฎห มายก าร ท้ ต เ ป็ น สา ข า ห นึ่ ง ข อ ง ก ฎ ห ม าย ร ะ ห ว่ าง
กฎหมายการท้ตไดูกำาหนดถึงวิธีการเขูาดำารงตำาแหน่งการสิน
้ สุด
และหนูาทีข
่ องผู้แทนทางการท้ต
3. เอกสิ ท ธิ แ ละความคูุ ม กั น ของผู้ แ ทนทางการท้ ต ย่ อ มมี ม าก
กฎหมายดังกล่าวมาใชูในประเทศไทยจะตูองมีการอนุวัติการออก
มาในร้ ป กฎหมายภายใน ซึ่ง ปั จจุ บั น นี ้ ไดู แ ก่ ระราชบั ญ ญั ติว่ า
์ ละความคูุ ม กั น ทางการท้ ต พ.ศ. 2527 และพระ
ดู ว ยเอกสิ ท ธิ แ
์ ละความคูุมกันทางกงสุล พ.ศ. 2541
ราชบัญญัติว่าดูวยเอกสิทธิแ
10.1 แนวความคิดเกีย
่ วกับกฎหมายการทูต
1. กฎหมายว่ า ดู ว ยตั ว แทนทางการท้ ต มี วิ วั ฒ นาการมาตั ้ง แต่
โบราณ เริม
่ ตัง้ แต่ยังไม่มีกฎเกณฑ์ทีแ
่ น่ชัดจนกระทัง่ ถึงศตวรรษที ่
15 จึ ง เริ ม
่ มี ก ฎเกณฑ์ แ น่ น อนที ม
่ าจากจารี ต ประเพณี และใน
113
10.2 คณะผู้แทนทางการทูต
1. คณะผู้ แ ทนทางการท้ ต ประกอบดู ว ยบุ ค คลหลายประเภท
ดู ว ยกั น อั นไดู แก่ หั วหนู า คณะผู้ แ ทน บุ ค คลในคณะเจู า หนู า ที ่
ฝ่ ายท้ต บุคคลในคณะเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายธุรการและวิชาการ บุคคล
ในคณะเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายบริการ ครอบครัวของบุคคลในคณะผู้แทน
ทางการท้ต คนรับใชูส่วนตัว
115
ย่อมตูองขอความเห็นชอบจากรัฐผู้รับ และการเขูาดำารงตำาแหน่ง
ของหัวหนูาคณะผู้แทนจะสมบ้รณ์ต่อเมื่อไดูถวายพระราชสาสน์
ตราตั ้ง หรื อ อั ก ษรสาสน์ ต ราตั ้ง ที ถ
่ ้ ก ตู อ งต่ อ กระทรวงการต่ า ง
ประเทศของรัฐผู้รับ
4. การเขู า ดำา รงตำา แหน่ ง ของบุ ค คลในคณะเจู า หนู า ที ฝ
่ ่ ายท้ ต
บุ ค คลในคณะเจู าหนู า ที ฝ
่ ่ ายบริ ก ารไม่ จำา ตู อ งขอความเห็ น ชอบ
จากรัฐผู้รับ เป็ นแต่แจูงการแต่งตัง้ บุคคลดังกล่าวไปยังกระทรวง
การต่างประเทศของรัฐผู้รับก็เป็ นการเพียงพอแลูว
5. การสิน
้ สุดของการดำา รงตำา แหน่งผู้แทนทางการท้ตอาจมีไดู
3 สาเหตุ คือสาเหตุอันเนื่องมาจากรัฐผู้ส่งเรียกตัวกลับ สาเหตุ
อันเนื่องมาจากรัฐผู้รับส่งตัวกลับ และสาเหตุอื่นอันเนื่องมาจาก
ตัวแทนทางการท้ตนัน
่ เอง
6. วิ ธีก ารที ท
่ ำา ใหู ก ารดำา รงตำา แหน่ ง ของผู้ แ ทนทางการท้ ต สิ น
้
สุ ด ลง มี ไ ดู 2 วิ ธี คื อ การเรี ย กหั ว หนู า คณะหรื อ บุ ค คลอื่ น ใน
คณะผู้แ ทนกลั บ และการขับไล่บุ คคลในคณะผู้แ ทนทางการท้ ต
โดยรัฐผู้รับ
7. หนูาทีข
่ องคณะผู้แทนทางการท้ต มีหลายประการ คือ การ
เป็ นตั ว แทนของรั ฐ ผู้ ส่ ง การคูุ ม ครองประโยชน์ ข องคนชาติ ข อง
ตนในรัฐผู้รับ การเจรจากับรัฐบาลของรัฐผู้รับ การเสาะแสวงหา
ข่ า วและรายงาน การส่ ง เสริ ม และพั ฒ นาความสั ม พั น ธ์ ท าง
116
10.2.1 การแบ่งประเภทคณะผู้แทนทางการท้ต
ระบุจำาแนกบุคคลในคณะผู้แทนทางการท้ต
บุคคลในคณะผู้แทนทางการท้ตประกอบดูวย
1. หัวหนูาคณะผู้แทนทางการท้ต
2. บุคคลในคณะเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายการท้ต
3. บุคคลในคณะเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายธุรการและวิชาการ
4. บุคคลในคณะเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายบริการ
5. ครอบครัวของบุคคลในคณะผู้แทนทางการท้ต
6. คนรับใชูส่วนตัว
10.2.2 การเขูาดำารงตำาแหน่งของผู้แทนทางการท้ต
ระบุขั น
้ ตอนของการเขู า ดำา รงตำา แหน่ ง ของหั วหนู า คณะผู้
แทนทางการท้ต
ขัน
้ ตอนของการเขูาดำา รงตำา แหน่งของหัวหนูาคณะผู้แทน
ทางการท้ตมีดังนีค
้ ือ
1. การขอความเห็นชอบของรัฐผู้รับ
2. การถวายพระราชสาสน์ ต ราตั ้ง หรื อ เสนออั ก ษรสาสน์
ตราตัง้ แก่ประมุ ขของรัฐ ผู้รั บ หรือ ไดู บอกการมาถึ งของตนและ
เสนอสำาเนาทีถ
่ ้กตูองต่อกระทรวงการต่างประเทศของรัฐผู้รับ
10.2.3 การสิ น
้ สุ ด ของการดำา รงตำา แหน่ ง ผู้ แ ทนทางการ
ท้ต
117
10.2.4 หนูาทีข
่ องผู้แทนทางการท้ต
ระบุหนูาทีข
่ องคณะผู้แทนทางการท้ต
คณะผู้แทนทางการท้ตมีหนูาทีด
่ ังนี ้
1.เป็ นตัวแทนของรัฐผู้ส่ง
2.คูุมครองผลประโยชน์ของรัฐผู้ส่งและของคนชองรัฐผู้ส่ง
3.เจรจากับรัฐบาลของรัฐผู้รับ
4.เสาะแสวงหาข่าวและรายงาน
118
5.ส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างรัฐผู้ส่งและรัฐผู้รับ
แ ล ะ พั ฒ น า ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ท า ง เ ศ ร ษ ฐ กิ จ วั ฒ น ธ ร ร ม แ ล ะ
วิทยาศาสตร์ของรัฐผู้ส่งและรัฐผู้รับ
10.3 เอกสิทธิและความคุ้มกันของผู้แทนทางการทูต
1. เอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันมีความหมายทีแ
่ ตกต่างกันแต่มักใชู
ควบค่้ กั น ไป เอกสิ ท ธิ เ์ ป็ นเรื่ อ งสิ ท ธิ ข องผู้ ใ หู ที จ
่ ะใหู แ ก่ ผู้ แ ทน
ทางการท้ ต แห่ ง รั ฐ ผู้ ส่ ง ในส่ ว นที เ่ กี ย
่ วกั บ ประโยชน์ พิ เ ศษนอก
เหนือจากกฎหมายธรรมดา ส่วนความคูุมกันเป็ นสิทธิข
์ องรัฐผู้ส่ง
ตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อยกเวูนจากการบังคับของกฎ
เกณฑ์แห่งรัฐผู้รับ
2. รากฐานทางทฤษฎี เ กี ย ์ ละความคูุ ม กั น มี 3
่ วกั บ เอกสิ ท ธิ แ
ทฤษฎี คือ ทฤษฎีลักษณะตัวแทนของผู้แทนทางการท้ต ทฤษฎี
สภาพนอกอาณาเขต ทฤษฎี ป ระโยชน์ ใ นการปฏิ บั ติ ห นู า ที แ
่ ละ
การถูอยทีถูอยปฏิบัติ ปั จจุบันนีไ้ ดูยอมรับนับถือทฤษฎีหลังนีเ้ ป็ น
รากฐานของเอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกัน
3. เอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันของตัวแทนทางการท้ตมีขอบข่าย
ถึ ง เรื่อ งการยกเวู นภาษี อ ากร ภาษี ศุล กากร ค่ า ธรรมเนี ย ม ค่ า
ภาระ เสรีภาพในการสื่อสารคมนาคม ความคูุ ม กั น เกี ย
่ วกั บ ตั ว
บุ ค คล ความคูุ ม กั น ทางศาลในตั ว บุ ค คล ความละเมิ ด มิ ไ ดู ใ น
สถานท้ต
4. เอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันของตัวแทนทางการท้ต จะเริม
่ ขึน
้
เมื่อบุคคลดังกล่าวไดูเขามาในอาณาเขตของผู้รับ และจะสิน
้ สุด
ลงเมือ
่ ภาระหนูาทีท
่ ีไ่ ดูรับมอบหมายยุติลง หรือถึงแก่กรรม
119
10.3.2 ขอบเขตของเอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันทางการท้ต
จำาแนกประเภทของความคูุมกันทางการท้ตโดยสังเขป
ความคูุมกันทางการท้ตพอจำาแนกไดูเป็ น 3 ประเภท คือ
1.ความคูุ ม กั น เกี ่ย วกั บ ตั ว บุ ค คล หมายความถึ ง ความ
ละเมิ ด มิ ไ ดู ใ นตั ว แทนทางการท้ ต ปลอดจากการจั บ กุ ม หรื อ
กักขัง เป็ นตูน
2.ความคูุ ม กั น เกี ่ย วกั บ สถานที ่ หมายความถึ ง ความ
ละเมิดมิไดูในสถานทีท
่ ำา การของผู้แทนทางการท้ตและทีอ
่ ย่้ส่วน
120
ตัวของผู้แทนทางการท้ตดูวย รัฐผู้รับจำาตูองงดเวูนการกระทำาทีม
่ ี
ลักษณะเป็ นการบังคับ เช่น การบุกรุกเขูาไปในสถานท้ตเป็ นตูน
3.ความคูุ ม กั น ทางศาล หมายความถึ ง การหลุ ด พู น จาก
อำานาจศาลในรัฐผู้รับ ความคูุมกันนีม
้ ีไดูทัง้ ทางคดีอาญา คดีแพ่ง
และคดีปกครอง
10.4 สถาบันกงสุล
1.กงสุ ล แบ่ ง ออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คื อ พนั ก งานฝ่ าย
กงสุลอาชีพ กับพนักงานฝ่ ายกงสุลกิตติมศักดิ ์
2. อนุสัญญากรุง เวียนนา ค.ศ. 1963 ว่าดูวยความสัมพันธ์ทาง
กงสุล ไดูเนูนถึงสถานทีท
่ ีท
่ ำาการของกงสุลเป็ นสำาคัญ โดยจัดแบ่ง
เป็ น 4 ระดับคือ สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล สถานรองกงสุล
สำานักตัวแทนทางกงสุล
3.บุ คคลในสถานที ท
่ ำา การกงสุ ล อาชี พ อาจจำา แนกไดู ดั ง นี ้ คื อ
หั ว หนู า สถานที ท
่ ำา การกงสุ ล และบุ ค คลในคณะเจู า หนู า ที ฝ
่ ่ าย
กงสุล ซึง่ ไดูแก่ พนักงานฝ่ ายกงสุล ล้กจูางฝ่ ายกงสุล บุคคลใน
คณะเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายบริการ
4.กงสุ ล มี ห นู า ที ค
่ ูุ ม ครองผลประโยชน์ ข องรั ฐ ผู้ ส่ง และคนของ
ชาติ แ ห่ ง รั ฐ ผู้ ส่ ง สื บ เสาะดู ว ยวิ ธี ก ารอั น ชอบดู ว ยกฎหมาย ถึ ง
ภาวะเศรษฐกิ จ พาณิ ช ย์ วั ฒ นธรรมของรั ฐ ผู้ รั บ และส่ ง เสริ ม
ความสัมพันธ์อันดีในดูานต่างๆ ดังกล่าวขูางตูน
5.การแต่ ง ตั ้ ง หั ว หนู า เจู า หนู า สถานที ่ทำา การกงสุ ล ตู อ งไดู
รับคำา ยอมรับจากรัฐผู้รับเสมอ โดยคำา ยอมรับ นีจ
้ ะออกมาในร้ ป
ของอนุมัติบัตร
121
6.การสิ น ่ างกงสุ ล มี ไ ดู 3
้ สุ ด ของการดำา รงตำา แหน่ ง หนู า ที ท
สาเหตุ คือ สาเหตุอันเนือ
่ งมาจากรัฐผู้ส่งเรียกตัวกลับ สาเหตุอัน
เนื่องมาจากรัฐผู้รับส่งตัวกลับ และสาเหตุอันเนื่องมาจากกงสุล
นัน
้ เอง
10.4.1 การแบ่งประเภทของกงสุล
กงสุลแบ่งออกเป็ นกีป
่ ระเภท อะไรบูาง
กงสุ ล แบ่ ง ออกเป็ น 2 ประเภท คื อ พนั ก งานฝ่ ายกงสุ ล
อาชีพ และพนักงานฝ่ ายกงสุลกิตติมศักดิ ์
10.4.2 สถานทีท
่ ำาการกงสุล
การแบ่งลำาดับของกงสุลตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวย
ความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ. 1963
อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ.
1963 ไดูแบ่งลำาดับของกงสุลโดยถือเอาสถานทีท
่ ำาการเป็ นสำาคัญ
มิ ใ ช่ ตั ว บุ ค คลในคณะผู้ แ ทนตามอนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนาว่ า ดู ว ย
ความสัมพันธ์ทางการท้ต ค.ศ. 1961 ดังนัน
้ กงสุลจึงแบ่งออกเป็ น
4 ลำาดับ คือ
1. สถานกงสุลใหญ่
2. สถานกงสุล
3. สถานรองกงสุล
4. สำานักตัวแทนทางกงสุล
10.4.3 หนูาทีข
่ องกงสุล
ใหูระบุหนูาทีข
่ องกงสุล
122
10.5 เอกสิทธิและความคุ้มกันทางกงสุล
1. เอกสิ ทธิ แ
์ ละความคูุ ม กั น ทางกงสุ ล จำา แนกไดู เ ป็ น 2 ประ
เภทใหญ่ ๆ คื อ เอกสิ ท ธิ แ
์ ละความคูุ ม กั น เกี ย
่ วกั บ สถานที ท
่ าง
กงสุ ล และเอกสิ ท ธิ แ
์ ละความคูุ ม กั น เกี ย
่ วกั บ บุ ค คลในคณะเจู า
หนูาทีฝ
่ ่ ายกงสุล
123
2. เอกสิ ท ธิ แ
์ ละความคูุ ม กั น เกี ย
่ วกั บ สถานที ท
่ างกงสุ ล แบ่ ง
ออกไดู เ ป็ น 4 ประเภทคื อ ความละเมิ ด มิ ไ ดู ใ นสถานที ก
่ งสุ ล
ความละเมิ ด มิ ไ ดู ข องบรรณสารและเอกสารทางกงสุ ล การ
ยกเวู น การเก็ บ ภาษี อ ากรสถานที ่ท างกงสุ ล เสรี ภ าพในการ
สือ
่ สาร
3. เอกสิ ท ธิ แ
์ ละความคูุ ม กั น เกี ย
่ วกั บ บุ ค คลในคณะเจู า หนู า ที ่
ฝ่ ายกงสุ ล ย่ อ มแตกต่ า งไปตามลำา ดั บ ของพนั ก งานฝ่ ายกงสุ ล
อ าชี พ ขอบข่ า ยของเอกสิ ทธิ ์ แ ละค วามคูุ มกั นเ กี ่ย วกั บ เ จู า
พนักงานฝ่ ายกงสุลมาในร้ปของ ความละเมิดมิไดูส่วนบุคคลของ
พนั ก งานฝ่ ายกงสุ ล ความคูุ ม กั น จากการพิ จ ารณาพิ พ ากษาคดี
เอกสิทธิเ์ กีย
่ วกับภาษีอากรและภาษีศุลกากร
4. โดยหลั ก แลู ว เอกสิ ท ธิ แ
์ ละความคูุ ม กั น ของเจู า หนู า ที ฝ
่ ่ าย
กงสุ ล จะเริ ่ม เมื่ อ เขู า มาในอาณาเขตของรั ฐ ผู้ รั บ เพื่ อ เขู า รั บ
ตำาแหน่งและจนสิน
้ สุดลงเมือ
่ หนูาทีข
่ องเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายกงสุลไดูสิน
้
สุดลงและเดินทางออกนอกรัฐผู้รับแลูว
10.5.1 เอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันทางกงสุล
จำาแนกประเภทของเอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันเกีย
่ วกับสถาน
ทีท
่ างการกงสุล
เอกสิ ท ธิ แ
์ ละความคูุ ม กั น เกี ย
่ วกั บ สถานที ท
่ างกงสุ ล แบ่ ง
ออกเป็ น 4 ประเภท คือ
1. ความละเมิดมิไดูในสถานทีท
่ างกงสุล
2. ความละเมิดมิไดูของบรรณสารและเอกสารทางกงสุล
3. การยกเวูนการเก็บภาษีอากรสถานทีท
่ างกงสุล
124
4. เสรีภาพในการสือ
่ สาร
ละเมิดมิไดูนีม
้ ิไดูเด็ดขาด โดยหลักแลูวพนักงานฝ่ ายกงสุลจะไม่
ตกเป็ นผู้ถ้กกักขังหรือจับกุมในระหว่างพิจารณาคดี เวูนแต่ เป็ น
อาชญากรรมทีร
่ ูายแรง และความคำาวินิจฉัยของศาล
2. ความคูุ ม กั น เกี ่ย วกั บ การพิ จ ารณาคดี พนั ก งานฝ่ าย
กงสุลและล้กจูางฝ่ ายกงสุลจะมีความคูุมกันเกีย
่ วกับการพิจารณา
คดี ในส่วนทีเ่ กีย
่ วกับกิจกรรมทีไ่ ดูกระทำา ไปในการปฏิบัติหนูาที ่
ทางกงสุล เวูนแต่
1) การดำา เนิ น คดี แ พ่ ง เกี ย
่ วกั บ สั ญ ญา ซึ่ง พนั ก งานฝ่ าย
กงสุ ล และล้ ก จู า งฝ่ ายกงสุ ล ไดู ก ระทำา ไปโดยมิ ใ ช่ ใ นฐานะของ
ตัวแทนของรัฐผู้ส่งอย่างแจ่มแจูงหรือโดยปริยาย
2) คดีแ พ่งโดยฝ่ ายที ส
่ าม สำา หรั บ ความเสี ย หายอั น เกิ ด
จากอุ บั ติ เ หตุ ใ นรั ฐ ผู้ รั บ โดยเนื่ อ งมาจากยวดยาน เรื อ หรื อ
อากาศยาน
10.5.2 การเริม
่ ตูนและการสิน
้ สุดของเอกสิทธิแ
์ ละความ
คูุมกันทางกงสุล
125
บุ ค คลในสถานที ท
่ ำา การกงสุ ล เริ ม
่ ตู น อุ ป โภคเอกสิ ท ธิ แ
์ ละ
ความคูุมกันเมือ
่ ใด
บุคคลในสถานทีท
่ ำา การกงสุลเริม
่ ตูนอุปโภคเอกสิทธิ ์ และ
ความคูุม กันในเวลาทีเ่ ขู า มาในอาณาเขตของรั ฐ ผู้ รั บ เพื่อ เขู า รั บ
ตำาแหน่ง หรือถูาอย่้ในอาณาเขตของรัฐผู้รับแลูว ใหูเริม
่ ตูนเวลา
ทีเ่ ริม
่ ปฏิบัติหนูาทีใ่ นสถานทีท
่ ำาการกงสุล
10.6 การบังคับใช้กฎหมายการทูตในประเทศไทย
1.ประเทศไทยมี พระราชบัญ ญั ติว่ า ดูว ยเอกสิท ธิ แ
์ ละความคูุ ม
กั น ทางการท้ ต พ.ศ. 2527 และพระราชบั ญ ญั ติว่ า ดู ว ยเอกสิ ท ธิ ์
และความคูุม กันทางกงสุ ล พ.ศ. 2541 เพื่ออนุวั ติก ารอนุ สัญ ญา
กรุ ง เวี ย นนาว่ า ดู ว ยความสั ม พั น ธ์ ท างการท้ ต ค.ศ. 1961 และ
อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าดูวยความสัมพันธ์ทางกงสุล ค.ศ. 1963
ตามลำาดับ
2.ประเทศไทยมีปัญหาทางปฏิบัติบางประการเกีย
่ วกับการใหู
เอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันทางการท้ตและกงสุล
ประเทศไทยไดูประกาศใชูพระราชบัญญัติว่าดูวยเอกสิทธิ ์
และความคูุ ม กั นทางการท้ ต พ.ศ. 2527 และพระราชบั ญ ญั ติว่ า
์ ละความคูุมกันทางกงสุล พ.ศ. 2541 เพือ
ดูวยเอกสิทธิแ ่ อนุวัติการ
อนุ สั ญ ญากรุ ง เวี ย นนาว่ า ดู ว ยความสั ม พั น ธ์ ท างการท้ ต ค.ศ.
1961 และอนุสั ญญากรุง เวี ยนนาว่า ดูว ยความสั ม พั นธ์ ท างกงสุ ล
ค.ศ. 1963 ตามลำาดับ
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 10
1. กฎหมายการท้ตหมายความถึง กฎหมายทีว
่ างนิติสัมพันธ์ของบุคคล
ระหว่างประเทศในการดำาเนินความสัมพันธ์ภายนอก
2. กฎหมายการท้ ต มี บ่ อ เกิ ด ที ส
่ ำา คั ญ คื อ สนธิ สั ญ ญา และกฎหมาย
จารีตประเพณีทางดูานการท้ต
128
3. สถาบันสำา คัญ ในการดำา เนิ นความสั มพั นธ์ ท างการท้ ต ไดูแ ก่ ผู้แทน
ทางการท้ต และกงสุล
4. ผู้ แ ทนทางการท้ ต ประกอบดู ว ย บุ ค คลในคณะเจู า หนู า ที ฝ
่ ่ ายท้ ต
บุคคลในคณะเจูาหนูาทีฝ
่ ่ ายธุรการและวิชาการ บุคคลในคณะเจูาหนูาที ่
ฝ่ ายบริหาร
5. การเขูาดำารงตำาแห่งของเอกอัครราชท้ตไม่จำา เป็ นจะตูองมีการเสนอ
อั ก ษรสาสน์ ต ราตั ้ง หรื อ ถวายพระราชสาสน์ ต ราตั ้ง เพราะว่ า การเขู า
ดำารงตำาแหน่งอาจกระทำาไดูเมือ
่ บอกกล่าวการมาถึงพรูองทัง้ ส่งสำาเนาทีถ
่ ้ก
ตูองต่อกระทรวงการต่างประเทศของรัฐผู้รับ
6. อุปท้ตมี 2 ประเภทคือ อุปท้ตทีด
่ ำารงตำาแหน่งเป็ นหัวหนูาคณะผู้แทน
่ คราวเรียกว่าอุปท้ต ad interim
ทางการท้ต กับอุปท้ตผู้รักษาการแทนชัว
7. หนู า ที ส
่ ำา คั ญ ของผู้ แ ทนทางการท้ ต มี ห นู า ที ่ เจรจา ส่ ง เสริ ม ความ
สัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างรัฐผู้รับกับรัฐผู้ส่ง
8. เอกสิท ธิค
์ ือ สิทธิพิเศษทีร
่ ัฐผู้ใหูแก่ตัวแทนของรัฐผู้ส่งดูว ยอัธ ยาศัย
ไมตรี ส่วนความคูุมกันคือสิทธิของรัฐผู้รับทีจ
่ ะไดูมาตามกฎหมาย
9. กงสุ ล แบ่ ง ออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คื อ กงสุ ล อาชี พ และกงสุ ล
กิตติมศักดิ ์
10. กงสุลย่อมมีเอกสิทธิแ
์ ละความคูุมกันนูอยกว่า ผู้แทนทางการ
ท้ต
11. รั ฐ ที ด
่ ำา เนิ น ความสั ม พั น ธ์ ท างการท้ ต ไดู แ ก่ รั ฐ อธิ ป ไตย และ
สมาชิกของสหพันธรัฐ ถูารัฐธรรมน้ญของสหพันธรัฐกำา หนดถึงสิทธิน
์ ีเ้ อา
ไวู
12. สถาบันทางการท้ตทีเ่ ป็ นแม่แบบของสถาบัน ทางการท้ตใน
ปั จจุบันมีกำาเนิดในสมัย ยุคศตวรรษที ่ 15
13. บุคคลที ่มิได้อยู่ในคณะผู้แทนทางการท้ตไดูแก่ คนรับใชูส่วน
ตัวของคณะผู้แทนทางการท้ต และกงสุล
129
หน่วยที ่ 11 กฎหมายทะเล
ก า ร ว า ง ส า ย แ ล ะ ท่ อ ใ ตู ท ะ เ ล แ ล ะ เ ส รี ภ า พ ใ น ก า ร บิ น เ ห นื อ
ทะเลหลวง
5.เขตไหล่ทวีปเป็ นแหล่งทีน
่ ับว่าอุดมสมบ้รณ์ไปดูวยทรัพยากร
ทั ้ ง ที ่มี ชี วิ ต และไม่ มี ชี วิ ต อั น นำา ไปส่้ ก ารพิ พ าทในการแบ่ ง เขต
ไหล่ทวีประหว่างรัฐทีอ
่ ย่้ตรงขูามหรือประชิดกันมาตลอด
6. ความเจริ ญ อย่ า งรวดเร็ ว และกู า วหนู า ของเทคโนโลยี ทำา ใหู
11.1 ความรู้พ้ืนฐานเกีย
่ วกับกฎหมายทะเล
1.กฎหมายทะเลเกิดจากจารีตประเพณีทีย
่ ึดถือปฏิบัติกันมาชา
นาน และอนุสัญญาระหว่างประเทศก็มีส่วนสำา คัญในการทำา ใหู
เกิดหลักกฎหมายทะเลขึ้นมาใชูบังคับ ในกรณีทีเ่ กี ย
่ วกั บการใชู
ประโยชน์จากทะเล
131
11.1.1 ทีม
่ าและความหมายของกฎหมายทะเล
อธิบายถึงทีม
่ าของกฎหมายทะเลโดยสังเขป
่ าจาก 2 แหล่ง คือ
กฎหมายทะเลมีทีม
1.หลักกฎหมายทีม
่ ีจากจารีตประเพณี อันเป็ นแนวปฏิบัติที ่
นิ ย มและยึ ด ถื อ ความเป็ นแนวทางมาเป็ นเวลานาน เช่ น หลั ก
เสรีภาพแห่งทูองทะเล
2.หลักกฎหมายทีม
่ าจากอนุสัญญาระหว่างประเทศ อันเกิด
จากความร่วมมือของรัฐทัง้ ปวง เพื่อหากฎเกณฑ์ทั่วไปมาบังคับ
ใชู ใ นการใชู ป ระโยชน์ จ ากทะเลใหู เ ป็ นไปโดยความสงบและ
ยุ ติธ รรม เช่ น อนุ สั ญญากรุ ง เจนี ว าว่ า ดู ว ยกฎหมายทะเล ค.ศ.
1958
132
11.1.2 วิวัฒนาการของกฎหมายทะเล
อธิบายถึงวิวัฒนาการทางกฎหมายทะเลพอสังเขป
ในศตวรรษที ่ 18 จนถึงปั จจุบั น เป็ นระยะเจริ ญ ส้ ง สุ ด ของ
กฎหมายทะเล มีก ารครอบครองอาณาเขตทางทะเลเพิม
่ ขึ้น อีก
หลายบริเวณ โดยอูางความจำาเป็ นทางเศรษฐกิจและความมัน
่ คง
ของรั ฐ ชายฝั ่ ง โดยการสรู า งอนุ สั ญ ญากรุ ง เจนี ว า ค.ศ. 1958
และอนุ สั ญ ญาสหประชาชาติ ว่ า ดู ว ยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982
ขึ้น รองรั บ การใชู สิ ท ธิ ค รอบครองและกำา หนดหนู า ที ข
่ องรั ฐ ใน
บริเวณต่างๆ ของทะเล
11.2 การขยายอาณาเขตทางทะเลของรัฐ
1. ทะเลอาณาเขตเป็ นทะเลส่วนทีป
่ ระชิดชายฝั ่ งโดยอย่้ถัดออก
มาจากน่านนำ้าภายใน และมีความกวูางออกไปในทะเลไดูไม่เกิน
12 ไมล์ทะเลจากเสูนฐาน
2. การขยายอาณาเขตทางทะเลของรัฐต่างๆ เริม
่ ทำา การอย่าง
จริงจังภายหลังทีส
่ งครามโลกครัง้ ทีส
่ องเสร็จสิน
้ ลง ดูวยเหตุผลที ่
ตูองการอูางสิทธิในบริเวณต่างๆ ของทะเลและสงวนไวูใหูคนใน
ชาติ ซึง่ ทรัพยากรในบริเวณทะเลทีป
่ ระชิดชายฝั ่ ง โดยทีร
่ ัฐต่างๆ
มักจะทำาคำาประกาศฝ่ ายเดียวเพื่ออูางสิทธิครอบครองในบริเวณ
ชายฝั ่ งรวมทัง้ ทรัพยากรในบริเวณดังกล่าว
3. รั ฐ มี อำา นาจอธิ ป ไตยในบริ เ วณทะเลอาณาเขต ทั ง
้ นี ร
้ วมถึ ง
หูวงอวกาศเหนือทะเลอาณาเขตและพื้น ดิ นทู องทะเลและดิ น ใตู
ผิวดินของบริเวณนีด
้ ูวย
133
และสิทธิเหนือบริเวณช่องแคบทีต
่ ิดอย่้กับชายฝั ่ งของตน แต่ไม่มี
สิทธิในการขัดขวางการใชู สิท ธิใ นการผ่า นช่ องแคบของรัฐอื่นๆ
เพือ
่ การคมนาคมระหว่างประเทศ
6. รั ฐ หม่้ เ กาะมี สิ ท ธิ แ ละหนู า ที เ่ ช่ น เดี ย วกั บ รั ฐ ชายฝั ่ งในการ
ขยายอาณาเขตทางทะเล
7. เขตประมงเป็ นอาณาเขตในทะเลทีอ
่ ำา นวยประโยชน์ใหูแก่รัฐ
ชายฝั ่ งในดูานประมงมานาน แต่ในปั จจุบันนีไ้ ดูลดความสำาคัญลง
ไปมากนับแต่ไดูมีแนวคิดเรือ
่ งเขตเศรษฐกิจจำาเพาะ
8. เขตเศรษฐกิจจำา เพาะเป็ นบริเวณอาณาเขตทางทะเลของรัฐ
แ ล ะ อำา น า จ อ ธิ ป ไ ต ย นี ้ ยั ง ข ย า ย ไ ป ใ น หู ว ง อ า ก า ศ เ ห นื อ
ทะเลอาณาเขต พืน
้ ดิน ทูองทะเลและดินใตูทูองทะเลอาณาเขต
ดูวย แต่โดยหลักการของกฎหมายจารีตประเพณีแลูว ทะเลย่อม
มี เ สรี ภ าพแห่ ง การคมนาคมทุ ก รั ฐ ดั ง นั ้ น กฎหมายระหว่ า ง
ป ร ะ เ ท ศ จึ ง กำา ห น ด ใ หู รั ฐ ช า ย ฝั ่ ง ที ่ ป ร ะ ก า ศ ค ร อ บ ค ร อ ง
ทะเลอาณาเขตจำาตูองยอมใหูเรือของรัฐอื่นผ่านเขูามาในบริเวณ
ทะเลอาณาเขตของตนไดู ภ ายใตู สิท ธิ ที เ่ รี ย กว่ า สิ ท ธิ ใ นการผ่ า น
โดยสุ จ ริ ต (Right of Innocent Passage) ซึ่ ง ไดู มี ก ารรั บ รองไวู ใ น
อนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่า
ดูวยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982
สิ ท ธิ ใ นการผ่ า นโดยสุ จ ริ ต นี ค
้ ื อ การที ร
่ ั ฐ ทั ้ง ปวงมี สิ ท ธิ ใ น
การแล่ น ผ่ า นทะเลอาณาเขตของรั ฐ อื่ น แต่ จ ะทำา การหยุ ด หรื อ
ทอดสมอไดู ต่ อ เมื่ อ เป็ นไปตามปกติ ข องการเดิ น เรื อ และโดย
เหตุ สุ ด วิ สั ย หรื อ ทุ ก ขภั ย และการผ่ า นที ถ
่ ื อ ว่ า เป็ นการผ่ า นโดย
สุจริตก็เฉพาะตราบใดทีข
่ ณะผ่านไม่พยายามกระทำาการอย่างใด
อย่ า งหนึ่ง ที เ่ ป็ นการเสื่อ มเสี ย ต่ อ สั น ติ ภ าพ ความสงบเรี ย บรู อ ย
หรือ ความมั่นคงของรัฐ ชายฝั ่ ง ทัง้ นีจ
้ ะตู อ งปฏิ บั ติต ามกฎหมาย
และขู อ บั ง คั บ ที ร
่ ั ฐ ชายฝั ่ ง ตราขึ้น โดยสอดคลู อ งกั บ หลั ก เกณฑ์
ของกฎหมายระหว่างประเทศ
สำาหรับเรือบางชนิดก็มีขูอหูาม ไวูพิเศษ เช่น เรือใตูนำา
้ ตูอง
แล่ น ไปบนผิ ว นำ้า และตู อ งแสดงธงของตนดู ว ย และหากเป็ นเรื อ
ประมงก็หูามทำา การประมงขณะใชูสิทธิในการผ่านโดยสุจริตอย่้
135
และที ส
่ ำา คั ญ คือ รั ฐ ชายฝั ่ ง จะตู อ งไม่ ขั ด ขวางการใชู สิ ท ธิ ใ นการ
ผ่านโดยสุจริตของรัฐอืน
่
11.3 ทะเลหลวง
1.หลักเสรีภาพในทูองทะเลหลวงเป็ นเสรีภาพทีม
่ ีมานานตัง้ แต่
ศตวรรษที ่ 2 คื อ เสรี ภ าพในการคมนาคมหรื อ เสรี ภ าพในการ
เดินเรือนัน
้ คือทะเลหลวงเปิ ดใหูแก่รัฐทัง้ ปวงนัน
้ เอง
2. เสรีภาพในทูองทะเลหลวงตามทีบ
่ ัญญัติไวูในอนุสัญญากรุง
เจนีวา ค.ศ. 1958 ไดูแก่ เสรีภาพในการเดินเรือ เสรีภาพในการ
ประมงเสรีภาพในการวางสายและท่อเคเบิลใตูทะเล และเสรีภาพ
ในการบิน
3. เสรี ภ าพในทู อ งทะเลหลวงตามที ่บั ญ ญั ติ ไ วู ใ นอนุ สั ญ ญา
11.3.1 หลักเสรีภาพในทะเลหลวง
139
ใหูบอกชนิดของเสรีภาพในทะเลหลวง ตามทีบ
่ ัญญัติไวูใน
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าดูวยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ว่ามีกี ่
ชนิด
หลั ก เสรี ภ าพในทะเลหลวงตามที ไ่ ดู บั ญ ญั ติ รั บ รองไวู ใ น
อนุ สั ญ ญาสหประชาชาติ ว่ า ดู ว ยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 นั ้น
รัฐทุกรัฐมีสิทธิเสรีภาพในการใชูทะเลหลวง 6 ประการคือ
1. เสรีภาพในการเดินเรือ
2. เสรีภาพในการบิน
3. เสรีภาพในการประมง
4. เสรีภาพในการวางสายและเคเบิลใตูทะเล
5. เสรีภาพในการก่อสรูางประภาคารและสิง่ ก่อสรูางอืน
่ ๆ
6. เสรีภาพในการคูนควูาทางวิทยาศาสตร์
11.3.2 สิทธิและหนูาทีข
่ องรัฐทัง้ ปวง
อธิบายการไล่ติดตามอย่างกระชัน
้ ชิดพอเป็ นสังเขป
การไล่ ติ ด ตามอย่ า งกระชั ้น ชิ ด จะกระทำา ไดู ต่ อ เมื่ อ เจู า
หนู า ที ข
่ องรั ฐ ชายฝั ่ งมี เ หตุ อั น สมควรเชื่ อ ไดู ว่ า เรื อ นั ้น ไดู ล ะเมิ ด
กฎหมายหรื อ ขู อ บั ง คั บ ของรั ฐ ชายฝั ่ งนั ้น ๆ และการไล่ ติ ด ตาม
อย่ า งกระชั น
้ ชิ ด นั น
้ จะตู อ งเริ ม
่ ตั ง้ แต่ เ รื อ ต่ า งชาติ ห รื อ เรื อ ลำา เล็ ก
ของเรื อ ต่ างชาติ อ ย่้ ภ ายในน่ า นนำ้ า ภายใน หรื อ ทะเลอาณาเขต
หรื อ เขตต่ อ เนื่ อ งของรั ฐ ที ่ติ ด ตาม และอาจกระทำา ต่ อ ไปถึ ง
ภายนอกทะเลอาณาเขตหรื อ เขตต่ อ เนื่ อ งไดู ถู า หากการไล่
ติดตามไม่ขาดตอนลง และสิทธิในการไล่ติดตามสิน
้ สุดลงในทันที
ทีเ่ รือซึง่ ถ้กติดตามเขูาส่้ทะเลอาณาเขตของรัฐทีส
่ าม
140
11.4 เขตไหล่ทวีป
1. ความหมายของไหล่ ทวี ปแบ่ง ออกเป็ นสองนั ย ไดู แ ก่ ความ
หมายในทางภ้มิศาสตร์ทีใ่ ชูเรียกบริเวณพืน
้ ดินทูองทะเลทีอ
่ ย่้ตรง
ขอบพืน
้ ทวีปซึง่ เป็ นบริเวณพืน
้ ดินทีค
่ ่อยๆ เอียงลาดสุด และเริม
่
่ ำ้าลึกประมาณ 200 เมตร และ
หัวหักมุมลึกลงไปจนถึงบริเวณทีน
141
ความหมายในทางกฎหมายทีไ่ ดูบัญญัติไวูในอนุสัญญากรุงเจนีวา
ค.ศ. 1958 ว่าดูวยไหล่ทวีปและในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าดูวย
กฎหมายทะเล ค.ศ. 1982
2. เขตไหล่ ท วี ป เกิ ด มี ขึ้ น นั บ แต่ ไ ดู มี ก ารการประกาศสิ ท ธิ ใ น
11.4.1 ความรู้ทัว
่ ไปกับเขตไหล่ทวีป
อธิบายความสำาคัญของเขตไหล่ทวีป
เขตไหล่ ท วี ป เป็ นอาณาเขตทางทะเลที ร
่ ั ฐ ชายฝั ่ งทั ้ง หลาย
ตระหนั ก ถึ ง ความสำา คั ญและพยายามอย่ า งยิ ง่ ที จ
่ ะประกาศใหู มี
อาณาบริ เ วณมากที ่สุ ด เท่ า ที ่จ ะมากไดู ซึ่ ง เหตุ ผ ลและความ
จำา เป็ นที ่รั ฐ ชายฝั ่ งตู อ งประกาศสิ ท ธิ ์ค รอบครองในไหล่ ท วี ป
เพราะเขตไหล่ ทวี ป เป็ นแหล่ ง อุ ด มสมบ้ ร ณ์ ข องทรั พ ยากรทั ง้ ที ม
่ ี
ชี วิ ต และไม่ มี ชี วิ ต นั่ น เอง การที ไ่ หล่ ท วี ป กลายเป็ นแหล่ ง อุ ด ม
สมบ้รณ์แห่งทรัพยากรธรรมชาติทัง้ ทีม
่ ีชีวิตก็เพราะมีความเหมาะ
สมของอุณหภ้มิความลึกของนำ้า อาหารของสัตว์นำ้า และยังเป็ น
แหล่งรวมของทรัพยากรธรรมชาติทีไ่ ม่มีชีวิติ เช่น ทองคำา ดีบุก
ดังนัน
้ เขตไหล่ทวีปจึงเป็ นอาณาเขตทางทะเลที น
่ ับไดูว่ามี
ความสำา คัญต่อรัฐชายฝั ่ งอย่างมากจนในบางภ้มิภาคเกิดเป็ นขูอ
142
11.4.2 ขูอจำากัดสิทธิและพันธะของรัฐชายฝั ่ ง
ใหู บ อกถึ ง ขู อ จำา กั ด สิ ท ธิ ข องรั ฐ ชายฝั ่ งในบริ เ วณไหล่ ท วี ป
ตามอนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ. 1958
ในอนุสั ญญากรุ ง เจนี ว า ค.ศ. 1958 ไดูกำา หนดถึ ง ขูอ จำา กั ด
สิทธิของรัฐชายฝั ่ งไวูดงั นี ้
1.รั ฐ ชายฝั ่ งมี สิ ท ธิ อ ธิ ป ไตยเหนื อ ไหล่ ท วี ป เพื่ อ ความมุ่ ง
ประสงค์ ใ นการสำา รวจไหล่ ท วี ป และการแสวงประโยชน์ จ าก
ทรัพยากรธรรมชาติของไหล่ทวีป
2.การใชูสิทธิของรัฐชายฝั ่ งเหนือไหล่ทวีป จะตูองไม่กระทบ
กระเทื อ นต่ อ สถานภาพทางกฎหมายของน่ า นนำ้ า ที อ
่ ย่้ เ หนื อ ใน
ฐานะทีเ่ ป็ นทะเลหลวง หรือหูวงอากาศเหนือน่านนำา
้ เหล่านัน
้
3.รัฐชายฝั ่ งตูองรักษาไวูซงึ่ เสรีภาพในการวางหรือการบำารุง
รักษาสายหรือท่อใตูนำา
้ บนไหล่ทวีป
4. รั ฐ ชายฝั ่ งตู อ งรั ก ษาไวู ซึ่ ง เสรี ภ าพในการเดิ น เรื อ การ
11.5 เขตพื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิว
1. ความเจริญกูาวหนูาทางเทคโนโลยี ทำา ใหูมนุษย์สามารถขุด
อั น เป็ นระยะความลึ ก ที ม
่ ี ไ วู เ พื่ อ เป็ นการกำา หนดเบื้ อ งตู น ของ
ขอบเขตไหล่ทวีปโดยอนุสัญญาว่าดูวยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958
้ ในวันที ่ 2 พฤศจิกายน 1967 โดยคำาประกาศของนาย อาร์
ดังนัน
วิ ด ป า ร์ โ ด (Arvid Pardo) ต่ อ ที ่ ป ร ะ ชุ ม ใ ห ญ่ ข อ ง อ ง ค์ ก า ร
สหประชาชาติไดูทำาใหูเกิดหลักการทีเ่ รียกกันว่า เขตพืน
้ ดินทูอง
ทะเลและดินใตูผิวดินนัน
้ “สมบัติตกทอดร่วมกันของมนุษยชาติ”
(Common Heritage of Mankind)
ในการประกาศต่ อ ที ่ป ระชุ ม ใหญ่ ใ น ค.ศ. 1967 นั ้ น นา
ยอาร์ วิ ด ปาร์ โ ด ซึ่ ง เป็ นผู้ แ ทนของประเทศมอลตู า ไดู ก ล่ า ว
ปราศรั ย และเสนอว่ า บริ เ วณพื้ น ดิ น ทู อ งทะเลที ่อ ย่้ น อกเขต
อำา นาจของรั ฐ ต่ า งๆ นั ้น ควรจะไดู รั บ การประกาศใหู ต กเป็ น
สมบัติตกทอดร่วมกันของมนุษยชาติ โดยมีวัตถุประสงค์ทีม
่ ุ่งต่อ
ความสงบสุขและการนำาทรัพยากรในบริเวณนีม
้ าใชูจะตูองเป็ นไป
โดยคำา นึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันของมนุษยชาติทัง้ มวลดูวย นั่น
คือ ทรั พยากรในบริ เวณพื้นดิ นทู องทะเลสากลนั น
้ จะตู อ งอำา นวย
ประโยชน์ใหูแก่ทุกรัฐ
ต่อมาใน ค.ศ. 1970 ไดูมีการแถลงปฏิญญาเกีย
่ วกับบริเวณ
นีโ้ ดยเฉพาะในส่วนทีเ่ กีย
่ วกับทรัพยากรโดยสหประชาชาติ ซึง่ มี
เ นื้ อ ห า สำา คั ญ ข อ ง ป ฏิ ญ ญ า ห รื อ ม ติ ขู อ ป ร ะ ชุ ม ห ม า ย เ ล ข
2749(XXV) ของสมั ย ประชุ ม ที ่ 25 ลงวั น ที ่ 17 ธั น วาคม ค.ศ.
1970 ว่ามี “พืน
้ ดินทูองทะเลและดินใตูผิวดินภายนอกเขตรัฐและ
ทรั พ ยากรทั ้ง มวลในบริ เ วณนี ต
้ กเป็ นมรดกตกทอดร่ ว มกั น ของ
มนุษยชาติ” แมูว่าปฏิญญาฉบับนีจ
้ ะไม่มีขูอผ้กพันทางกฎหมาย
145
แต่ก็อาจถือไดูว่าเป็ นการวางกรอบของวิวัฒนาการทางกฎหมาย
ทะเลไดู อันแสดงใหูเห็นถึงว่าในปั จจุบันกฎหมายทะเลไดูเขูามามี
บทบาทสำา คั ญ ในวงการของเศรษฐกิ จ ระหว่ า งประเทศ และ
กระตูุ น ใหู รั ฐ ทั ้ง ปวงหั น มาหาประโยชน์ แ ละสนใจทะเลอั น เป็ น
แหล่งทรัพยากรสุดทูายของโลก แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิญญาฉบับ
ดังกล่าวในสายตาของกลุ่มประเทศทีก
่ ำา ลังพัฒนาแลูวกลายเป็ น
กฎเกณฑ์ทีส
่ ำาคัญและจะตูองยึดถือปฏิบัติเลยทีเดียว ทัง้ นีอ
้ าจจะ
เป็ นเพราะว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็ นสำาคัญนัน
่ เอง
และในที ่สุ ด การประชุ ม กฎหมายทะเลยครั ้ ง ที ่ 3 ของ
สหประชาชาติจนกระทัง่ เกิดอนุสัญญาฉบับมองเตโกเบย์ ขึน
้ ใน
ค.ศ. 1982 หลักการขูางตูนทีก
่ ล่าวมานีไ้ ดูบัญญัติไวูในภาคที ่ 11
ซึ่ง มี ผ ลบั ง คั บ ใชู เ มื่อ ใดก็ ต ามที ผ ลที ไ่ ดู อ าจจะช่ ว ยทำา ใหู เ กิ ด การ
แบ่ ง สั น ปั นส่ ว นในผลประโยชน์ เ กี ย
่ วกั บ ทรั พ ยากรในบริ เ วณนี ้
ระหว่างประเทศทีพ
่ ัฒนาแลูวและประเทศทีก
่ ำาลังพัฒนาหรือดูอย
พัฒนา
11.5.2 ทรัพยากรพืน
้ ดินทูองทะเล
ใหู บ อกประเภทของทรั พ ยากรในบริ เ วณพื้น ดิ น ทู อ งทะเล
และดินใตูผิวดินว่ามีกีช
่ นิดอะไรบูาง
ทรัพ ยากรที ม
่ ีป ริ ม าณและม้ ล ค่ า มหาศาลในบริ เ วณพื้น ดิ น
้ มีอย่้ 3 ชนิดคือ
ทูองทะเล และดินใตูผิวดินนัน
1. พวกนำ้ามันดิบและก๊าซธรรมชาติ ซึง
่ เป็ นทรัพยากรทีม
่ ี ค่ า
่ ุดใน 3 ชนิดนี ้ มีการขุดนำา
มากทีส ้ มันดิบประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์
และก๊าซธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ จากไหล่ทวีป ทัง้ นีเ้ ชื่อกันว่า
146
11.5.3 บริเวณเขตพืน
้ ดินทูองทะเลและดินใตูผิวดิน
อธิบายสาเหตุทีท
่ ำาใหูจำาตูองมีการกำาหนดใหูมีบริเวณทรัพย์
มรดกร่วมกันของมนุษยชาติ
เหตุผลสำาคัญทีท
่ ำาใหูจำาตูองมีการกำาหนดใหูมีบริเวณทรัพย์
มรดกร่วมกันของมนุษยชาติก็คือเหตุผลทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ
รัฐทีถ
่ ือว่าอย่้ในกลุ่มโลกทีส
่ าม ซึง่ มีความตูองการอย่างมากทีจ
่ ะ
พัฒนาประเทศใหูพูนจากสภาพทีเ่ ป็ นอย่้ และทางเดียวทีจ
่ ะช่วย
ใ หู ไ ดู คื อ ก า ร ไ ดู มี ก า ร จั ด ส ร ร แ บ่ ง ส่ ว น ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ จ า ก
ทรัพยากรธรรมชาติทีส
่ ันนิษฐาน และเชื่อว่ามีอย่้อย่างหนาแน่น
ในบริ เ วณเขตพื้ น ดิ น ทู อ งทะเลและใตู ผิ ว ดิ น ซึ่ ง หากไม่ มี ก าร
กำา หนดใหู บ ริ เ วณดั ง กล่ า วเป็ นบริ เ วณทรั พ ย์ ม รดกร่ ว มกั น ของ
147
11.6 มลพิษในทะเล
1.มลพิษในทะเลเป็ นการเปลีย
่ นแปลงสภาวะของทะเลในดูาน
คุ ณ ภาพจากที เ่ คยเป็ นอย่้ ต ามปกติ ไ ปอย่้ ใ นสภาพที ม
่ ี ผ ลเสี ย ต่ อ
ความเป็ นอย่้ อันมีสาเหตุจากการเจือปนของสารมีพิษซึง่ ถ้กย่อย
สลายไม่ไดู การเจือปนของของเสียทีเ่ ป็ นอินทรีย์สารซึ่งถ้กย่อย
สลายไดูและเกิดจากตูนเหตุทางกายภาพและนำา
้ มัน
2.มาตรการในการปู องกันมลพิษในทะเลไดูถ้กกำาหนดไวูในร้ป
ของอนุสัญญาหลายฉบับ เพื่อร่วมมือกันปู องกันมิใหูสภาวะของ
ทู องทะเลตู องเสี ยหายจากผลของมลพิ ษ ในทะเล ตลอดจนเพื่อ
ร่วมมือกันแกูไขความเสียหายทีเ่ กิดจากมลพิษ
11.6.1 ความหมายและทีม
่ าของมลพิษในทะเล
อธิบายสาเหตุทีท
่ ำาใหูเกิดมลพิษในทะเลว่ามีกีช
่ นิด
มลพิษในทะเลคือ การเปลีย
่ นแปลงสภาวะของทะเลในดูาน
คุณภาพจากทีเ่ คยเป็ นอย่้ตามปกติไปส่้ในสภาพทีม
่ ีผลเสียต่อ
148
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 11
1. กฎหมายทะเลคือ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
2. กฎหมายทะเลเริม
่ มีมาตัง้ แต่ สมัยโรมัน
3. หลักเสรีภาพแห่งทูองทะเลเป็ นแนวคิดของ ชาวโรมันสมัยโบราณ
4. บั ก กฎหมายที ไ่ ดู ชื่ อ ว่ า เป็ นบิ ด าแห่ ง กฎหมายระหว่ า งประเทศและ
กฎหมายทะเลคือ Grotius
5. อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าดูวยกฎหมายทะเลไดูทำาขึน ่ ค.ศ. 1958
้ เมือ
149
6. อนุสัญญาฉบับมองเตโกเบย์ว่าดูวยกฎหมายทะเลไดูทำา ขึน
้ เมื่อ ค.ศ.
1982
7. ในสมัยก่อนทีม
่ ีการสรูางอนุสัญ ญาขึน
้ บังคับใชูไดูแบ่งทะเลออกเป็ น
สองส่วนคือ ทะเลอาณาเขตและทะเลหลวง
8. ทะเลอาณาเขตมีความกวูาง เท่าทีร
่ ัฐจะกำาหนดเอาเอง
9. ประเทศสหรัฐอเมริกา ประกาศสิทธิในเขตไหล่ทวีปเป็ นประเทศแรก
10. แนวความคิดเกีย
่ วกับเขตเศรษฐกิจจำาเพาะไดูถ้กบัญญัติไวู
ในอนุสัญญาว่าดูวยกฎหมายทะเล ฉบับ ค.ศ. 1982
11. ่ าคือ ก. จารีตประเพณี และ ข.
กฎหมายทะเลมีแหล่งทีม
อนุสัญญาระหว่างประเทศ
12. อนุสัญญาว่า ดูวยกฎหมายทะเลฉบับ แรกทำา ขึ้นเมื่อ ค.ศ .
1982
13. อนุสัญญากรุงเจนีวาประกอบไปดูวย อนุสัญญา 4 ฉบับ
14. อนุสัญญาว่าดูวยกฎหมายทะเลฉบับมองเตโกเบย์ไดูมีการ
่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1982
ลงนามกันเมือ
15. ประเทศอั ง กฤษ เป็ นประเทศที ค
่ ั ด คู า นหลั ก เสรี ภ าพแห่ ง
ทูองทะเลในสมัยศตวรรษที ่ 17
16. ในบริเวณเขตเศรษฐกิจจำาเพาะรัฐชายฝั่ งมี สิทธิพิเศษ ใน
ทรัพยากรชายฝั่ ง
17. สิ ท ธิ ใ น ก า ร ผ่ า น โ ด ย สุ จ ริ ต เ ป็ น สิ ท ธิ ที ่ อ ย่้ ใ น บ ริ เ ว ณ
ทะเลอาณาเขต
18. แนวความคิดทีใ่ หูทรัพยากรในบริเวณพืน
้ ดินทูองทะเลและ
ใตูผิวดินเป็ นสมบัติตกทอดโดยธรรมชาติร่วมกันของมนุษย์ เป็ นแนวความ
คิดของ นายอาวิด ปาร์โด
19. ใ นบ ริ เ วณ พื้ น ดิ นทู อ งท ะเ ล แ ล ะ ดิ นใ ตู ผิ ว ดิ น ป ร ะ ดู ว ย
ทรัพยากร นำา
้ มัน ก๊าซธรรมชาติ แมงกานีสโนด้ล และแร่ธาตุ
150
1.หลักเกณฑ์เกีย
่ วกับกฎหมายสัญชาตินัน
้ เป็ นกฎหมายภายใน
รั ฐ มี อำา นาจอธิ ป ไตยที จ
่ ะกำา หนดวิ ธี ก ารไดู ม า การเสี ย ไปและ
การกลับคืนซึง่ สัญชาติว่ามีหลักเกณฑ์อย่างไรบูาง โดยกฎหมาย
ว่ าดู วยสัญชาตินีจ
้ ัด เป็ นกฎหมายปกครองซึ่ง เป็ นสาขาหนึ่ง ของ
กฎหมายมหาชนโดยปกติ ทั่ ว ไปแลู ว หลั ก เกณฑ์ การไดู ม าซึ่ ง
้ สามารถแบ่ งออกไดู เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การ
สัญชาตินั น
ไดูมาซึ่งสัญชาติโดยการเกิด และการไดูมาซึ่งสัญชาติภายหลั ง
การเกิด
2. ภายใตู ก ฎหมายระหว่ า งประเทศ เมื่อ คนต่ า งดู า วไดู เ ขู า มา
12.1 หลักกฎหมายเกีย
่ วกับสัญชาติไทย
1. บุ ค คลทุ ก คนที เ่ กิ ด มาควรจะมี สั ญ ชาติ ไ ทย เพราะสั ญ ชาติ
ไทยเป็ นสิ ง่ ที ก
่ ำา หนดความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งบุ ค คลนั ้น กั บ รั ฐ ที ใ่ หู
สัญชาติ กฎหมายระหว่างประเทศยอมรับว่า หลักเกณฑ์ในการ
ใหูสัญชาติไทยนัน
้ ขึน
้ อย่้กับกฎหมายภายในของแต่ละรัฐ สำาหรับ
กฎหมายสัญชาติของไทยนัน
้ รับรองวิธีการใหูสัญชาติทัง้ โดยการ
เกิดและภายหลังการเกิด
2.กฎหมายสั ญชาติ รั บ รองวิ ธี ก ารเสี ย สั ญ ชาติ ไ วู ส ามประการ
คือ การสละสัญชาติ การแปลงสัญชาติเป็ นคนต่างดูาว และการ
ถ้กถอนสัญชาติ โดยการเสียสัญชาติไดูหรือไม่ และดูวยวิธีการ
ใดนัน
้ ขึน
้ อย่้กับว่า บุคคลนัน
้ ไดูสัญชาติไทยแบบใด
3.กฎหมายสั ญ ชาติ รั บ รองว่ า บุ ค คลประเภทใดบู า งที ่เ สี ย
สั ญ ชาติ ไ ดแลู ว ต่ อ มาภายหลั ง ประสงค์ จ ะถื อ สั ญ ชาติ ไ ทยอี ก ก็
สามารถทำาไดู
12.1.2 การเสียสัญชาติไทย
หลักเกณฑ์การเสียสัญชาติไทย
บุคคลอาจเสียสัญชาติไทยไดู 3 วิธีคอ
ื การเสียสัญชาติไทย
โดยการแปลงสัญชาติเป็ นคนต่างดูาว การสละสัญชาติ และการ
ถ้ ก ถอนสั ญ ชาติ ซึ่ง สามารถแบ่ ง ไดู อ อกเป็ นสองกรณี คื อ การ
ถอนโดยองค์กรตุลาการ และการถอนโดยฝ่ ายปกครอง
12.1.3 การกลับคืนสัญชาติไทย
อธิบายหลักเกณฑ์การกลับคืนส่้สัญชาติไทย
บุคคลธรรมดาอาจกลับคืนส่้สัญชาติไทยไดูดูวยการขอกลับ
คื น ส่้ สั ญ ชาติ ไ ทย แต่ วิ ธี ก ารนี ใ้ ชู เ ฉพาะกั บ บุ ค คลสองประเภท
เท่านัน
้ คือ กรณีทีห
่ ญิงไทยสมรสกับชายต่างดูาวและต่อมาไดูเสีย
สัญชาติไทยไป และกรณีทีผ
่ ู้เยาว์เสียสัญชาติไทยตามผู้แทนโดย
ชอบธรรม และต่ อ มาภายหลั ง บุ ค คลประเภทนี ป
้ ระสงค์ จ ะมี
สัญชาติไทยอีกครัง้ หนึง่
12.2 นิติฐานะของคนต่างด้าวในประเทศไทย
1. การทีค
่ นต่างดูาวเขูามาในราชอาณาจักรไทยย่อมตกอย่้ภาย
ใตูเขตอำานาจ หรืออำานาจอธิปไตยของประเทศไทย ดังนัน
้ โดย
หลั ก แลู ว สิ ท ธิ ห นู า ที ต
่ ลอดจนความรั บ ผิ ด ทั ้ง หลายลู ว นตกอย่้
ภายใตู ก ฎหมายไทยทั ้ง สิ น
้ ซึ่ง โดยปกติ แ ลู ว กฎหมายที ว
่ ่ า นี จ
้ ะ
เป็ นกฎหมายมหาชนหรือกฎหมายปกครอง
153
2. ก ฎ ห ม า ย ไ ท ย รั บ ร อ ง ก า ร ทำา ง า น ข อ ง ค น ต่ า ง ดู า ว ใ น
12.2.1 การเขูาเมืองของคนต่างดูาวในประเทศไทย
อธิบายหลักเกณฑ์การเขูาเมืองของคนต่างดูาว
โดยหลักแลูว คนต่า งดู าวจะเขู าประเทศไทยไดู นั น
้ จะตู อ ง
ไม่มีคุณสมบัติตูองหูามตามกฎหมายเช่น ตูองไม่มีพฤติการณ์ที ่
เป็ นภัยต่อสังคม เป็ นโรคติดต่อ ไม่มีอาชีพ นอกจากนี แ
้ ลู ว คน
ต่างดูาวผู้นัน
้ ยังจะตูองไดูรับอนุญาตใหูเขูามาในประเทศไทยดูวย
12.2.2 การทำางานของคนต่างดูาวในประเทศไทย
อ ธิ บ า ย ห ลั ก เ ก ณ ฑ์ ใ น ก า ร ทำา ง า น ข อ ง ค น ต่ า ง ดู า ว ใ น
ประเทศไทย
โดยหลักแลูวเมื่อคนต่างดูาวมีความประสงค์ ทีจ
่ ะประกอบ
อาชี พ คนต่ า งดู า ว ผู้ นั ้น จะตู อ งมาขอใบอนุ ญ าตทำา งานจากเจู า
หนูาทีก ่ ฎหมายระบุไวู 39 รายการ
่ ่อน เวูนแต่งานบางประเภททีก
155
12.2.3 การถือครองทีด
่ ินของคนต่างดูาวในประเทศไทย
อธิบายหลักเกณฑ์การถือครองทีด
่ ินของคนต่างดูาว
การที ค
่ นต่ า งดู า วจะมี ก รรมสิ ท ธิ ใ์ นที ด
่ ิ น ในประเทศตาม
ประมวลกฎหมายทีด
่ ินไดูนัน
้ จะตูองอย่้ภายใตูเงือ
่ นไข ดังนี ้
ประการแรก จะตูองมีสนธิสัญญาระหว่างประเทศของคน
ต่างดูาวผู้นัน
้ กับประเทศไทยอนุญาตใหูคนต่างดูาวถือครองทีด
่ ิน
ในไทยไดู
ประการที ส
่ อง การใชู ที ด
่ ิ น ทำา ประโยชน์ นั ้น จะตู อ งเป็ นไป
ตามกฎกระทรวง
ประการสุ ด ทู า ย การถื อ ครองที ด
่ ิ น ดั ง กล่ า วจะตู อ งไดู รั บ
อนุญาตจากรัฐมนตรีมหาดไทย
นอกจากประมวลกฎหมายที ด
่ ิ น แลู ว คนต่ า งดู า วอาจมี
กรรมสิทธิใ์ นทีด
่ ินตามกฎหมายอื่นไดู เช่น ตาม พ.ร.บ. ส่งเสริม
การลงทุน พ.ศ. 2520 มาตรา 27 กล่าวคือ คนต่างดูาวผู้นัน
้ เป็ น
ผู้ไดูรับบัตรส่งเสริมการลงทุนซึง่ ไดูรับอนุญาตใหูถือกรรมสิทธิใ์ น
ทีด
่ ินเพือ
่ ประกอบกิจการทีไ่ ดูรับส่งเสริมการลงทุน
12.2.5 การประกอบธุรกิจของคนต่างดูาว
อธิบายหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจของคนต่างดูาว
ตามพระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบธุ ร กิ จ ของคนต่ า งดู า ว พ.ศ.
2542 ไดูแบ่งบัญชีออกเป็ นสามประเภท ดังนี ้ บัญชีทีห
่ นึง่ บัญชี
ทีส
่ อง และบัญชีทีส
่ าม สำาหรับบัญชีทีห
่ นึง่ เป็ นธุรกิจทีค
่ นต่างดูาว
ไม่สามารถประกอบธุรกิจไดูเลย สำาหรับบัญชีทีส
่ องนัน
้ เป็ นธุรกิจ
ที ค
่ นต่ างดู าวจะประกอบไดู ก็ ต่อ เมื่อไดู รั บอนุ ญ าตจากรั ฐ มนตรี
โดยการอนุ มั ติ จ ากคณะรั ฐ มนตรี สำา หรั บ บั ญ ชี ที ส
่ ามนั ้น เป็ น
ธุรกิจทีค
่ นต่างดูาวจะประกอบไดูก็ต่อเมื่อไดูรับอนุญาตจาอธิบดี
กรมทะเบี ย นการคู า ตามความเห็ น ชอบของคณะกรรมการ
ประกอบธุรกิจของคนต่างดูาว
12.2.6 สิทธิตามกฎหมายและสิทธิตามกฎหมายเอกชน
คนต่ า งดู า วมี สิ ท ธิ ท างการเมื อ ง และสิ ท ธิ ต ามกฎหมาย
เอกชนภายในประเทศหรือไม่
สิ ท ธิ ท างการเมื อ งนั ้น รั ฐ ใหู สิ ท ธิ เ ฉพาะพลเมื อ งหรื อ คน
สั ญ ชาติ ข องรั ฐ เท่ า นั ้น มิ ไ ดู ใ หู สิ ท ธิ แ ก่ ค นต่ า งดู า วดู ว ย สำา หรั บ
สิ ท ธิ ต ามกฎหมายเอกชนนั ้ น รั ฐ ใหู สิ ท ธิ แ ก่ ค นต่ า งดู า วดู ว ย
ยกเวูนในเรือ
่ งการถือครองทีด
่ ินทีก
่ ฎหมายบัญญัติหูามไวู
12.2.7 ปั ญหาอืน
่ ๆ ทีเ่ กีย
่ วกับคนต่างดูาว
157
การเนรเทศมีความหมายอย่างไร
การเนรเทศหมายถึงการบังคับใหูคนต่างดูาวออกนอกราช
อาณาจักร เพราะคนต่างดูาวนัน
้ มีพฤติการณ์ทีข
่ ัดต่อความมัน
่ คง
หรือความสงบเรียบรูอยของรัฐ
บั ญ ชี ที ห
่ นึ่ ง หมายถึ ง ธุ ร กิ จ ที ่ ไ ม่ อ นุ ญ าตใหู ค นต่ า งดู า วประกอบ
กิจการดูวยเหตุผลพิเศษ
(1)กิ จ การหนั ง สื อ พิ ม พ์ การกิ จ การสถานี วิ ท ยุ ก ระจายเสี ย งหรื อ
สถานีวิทยุ โทรทัศน์
(2)การทำานา ทำาไร่ หรือทำาสวน
(3)การเลีย
้ งสัตว์
(4)การทำาป่ าไมูและการแปรร้ปจากป่ าธรรมชาติ
(5)การทำาการประมงเฉพาะการจับสัตว์นำ้าในน่านนำ้าไทยและในเขต
เศรษฐกิจจำาเพาะของประเทศไทย
(6)การสกัดสมุนไพรไทย
(7)การคูาและการขายทอดตลาดโบราณวัตถุของไทยหรือทีม
่ ีคุณค่า
ทางประวัติศาสตร์ของประเทศ
(8)การทำาหรือหล่อพระพุทธร้ป และการทำาบาตรร
(9)การคูาทีด
่ ิน
บัญชีทีส
่ อง แบ่งออกไดูเป็ น 3 หมวด คือ
หมวด 1 ธุรกิจเกีย
่ วกับความปลอดภัยและความมัน
่ คงของประเทศ
(1)การผลิต การจำาหน่าย และการซ่อมบำารุง
(1)อาวุธปื น เครือ
่ งกระสุน ดินดำา วัตถุระเบิด
(2)ส่ ว นประกอบของอาวุ ธ ปื น เครื่ อ งกระสุ น ปื น และวั ต ถุ
ระเบิด
158
หมวด 2 ธุรกิจทีม
่ ีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีและ
หัตถกรรมพืน
้ บูาย
(1) การคูาของเก่า หรือศิลปวัตถุ ซึง่ เป็ นงานศิลปกรรมหัตถกรรม
ของไทย
(2) การผลิตเครือ
่ งไมูอักแกะสลัก
(3) การเลี ย
้ งไหม การผลิ ต เสู น ใยไหมไทย การทอผู า ไทย หรื อ
การพิมพ์ลวดลายผูาไหมไทย
(4) การผลิตเครือ
่ งดนตรีไทย
(5) การผลิ ต เครื่อ งทอง เครื่อ งเงิ น เครื่อ งถม เครื่อ งทองลงหิ น
หรือเครือ
่ งเขิน
(6) การผลิ ต ถู ว ยชามหรื อ เครื่อ งปั นดิ น เผาที เ่ ป็ นศิ ล ปวั ต นธรรม
ไทย
หมวด 3 ธุรกิจทีม
่ ีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติหรือสิง่ แวดลูอม
(1)การผลิตนำา
้ ตาลจากอูอย
(2)การทำานาเกลือ
(3)การทำาเกลือหิน
(4)การทำาเหมือง รวมทัง้ การระเบิดหินหรือย่อยหิน
(5)การแปรร้ปไมูเพือ
่ ทำาเครือ
่ งเรือนและเครือ
่ งใชูสอย
บัญชีทีส
่ าม หมายถึง ธุรกิจทีค
่ นไทยยังไม่มีความพรูอมทีจ
่ ะแข่งขัน
ในการประกอบธุรกิจกับคนต่างดูาว
159
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 12
1. สัญชาติของบุคคลในทางกฎหมายมีความหมายคือ เครื่องมือผ้กมัด
บุคคลไวูกับประเทศในทางกฎหมาย
161
2. สิ ง่ ที ม
่ ี บ ทบาทในการกำา หนดสั ญ ชาติ ข องบุ ค คลตามกฎหมายไดู แ ก่
กฎหมายภายในของแต่ละรัฐและกฎหมายระหว่างประเทศ
3. หลั ก ดิ น แดน และหลั ก สื บ สายโลหิ ต ซึ่ ง รั ฐ ต่ า งๆ นิ ย มใชู ใ นการ
กำาหนดการไดูสัญชาติของบุคคลโดยการเกิด
4. บุคคลอาจไดูมาซึ่งสัญชาติไทยโดย ไดูสัญชาติไทยโดยการเกิด โดย
การแปลงสัญชาติไทย โดยการสมรส และโดยการไดูรับคืนสัญชาติไทย
5. บุคคลทีไ่ ดูสญ
ั ชาติไทยโดยการสมรสคือ หญิงต่างดูาวสมรสกับบุคคล
สั ญ ชาติ ไ ทยและไดู ยื่ น คำา ขอมี สั ญ ชาติ ซึ่ ง รั ฐ มนตรี ว่ า การกระทรวง
มหาดไทยไดูอนุญาตใหูหญิงนัน
้ ถือสัญชาติไทยตามสามี
6. บุคคลทีก
่ ฎหมายบังคับใหูฝ่ ายปกครองอนุญ าตใหูก ลับ มามีสั ญ ชาติ
ไทยไดูแก่ หญิงไทยทีเ่ สียสัญชาติไทยเนื่องจากสละสัญ ชาติเพราะสมรส
กับคนต่างดูาว ต่อมาขาดจากการสมรสกับคนต่างดูา ว และยื่นคำา ขอต่อ
พนักงานเจูาหนูาทีเ่ พือ
่ กลับคืนมามีสัญชาติไทยแลูว
7. บุ ค คลเสี ย สั ญ ชาติ ไ ทยในกรณี การแปลงสั ญ ชาติ ไ ปถื อ สั ญ ชาติ อื่น
การสละสัญชาติโดยการสมรสกับคนต่างดูาว และการถ้กถอนสัญชาติ
8. งานในวิชาชีพการแพทย์ เป็ นอาชีพและวิชาชีพทีก
่ ฎหมายไม่หูามคน
ต่างดูาวทำา
9. คณะกรรมการพิ จ ารณาคนเขู า เมื อ งและดู ว ยความเห็ น ชอบของ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอำานาจอนุญาตใหูคนต่างดูาวเขูามา
มีถิน
่ ทีอ
่ ย่้ในราชอาณาจักร
10. พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างดูาว พ.ศ. 2542 ไม่
อนุ ญ าต ใหู ค นต่ า งดู า วประกอบธุ ร กิ จ ดู ว ยเหตุ ผ ลพิ เ ศษคื อ กิ จ การ
หนังสือพิมพ์
11. นายแดงมีสัญชาติไทย การมีสัญชาติไทยของนายแดง มี
ความสำา คัญต่อนายแดงคือ เป็ นการผ้กพันนายแดงไวูต่อประเทศไทยใน
ทางกฎหมาย
162
1. หลัก เกณฑ์ ว่า ดูว ยการขั ดกัน แห่ง กฎหมายมี ขึ้น เพื่อ การหา
เป็ นกฎหมายภายในที ม
่ ี วั ต ถุ ป ระสงค์ ใ นการเลื อ กกฎหมายต่ า ง
ประเทศของหลายประเทศทีม
่ ีนิติสัมพันธ์กับกฎหมายนัน
้ ๆ แต่ใน
บางครัง้ ก็มีการนำาขูอตกลงระหว่างประเทศทีเ่ กีย
่ วกับหลักเกณฑ์
163
แห่งกฎหมายเป็ นเรื่องทีก
่ ฎหมายกำา หนด กฎหมายทีจ
่ ะใชูบังคับ
กับนิติสัมพันธ์ทางดูานแพ่งและพาณิชย์ประเภทต่างๆ เอาไวู โดย
ศาล จ ะ เป็ นผู้ ป รั บ ใ ชู พ ร ะ ร า ช บั ญญั ติ ว่ า ดู ว ยก าร ขั ด กั น แ ห่ ง
กฎหมาย
13.1 วิวัฒนาการและแนวคิดเกีย
่ วกับการขัดกันแห่ง
กฎหมาย
1. วิวัฒนาการของวิธีการแกูไขการขัดกันแห่งกฎหมาย เป็ นไป
ตามแนวความคิดของนักปราชญ์แต่ละสมัย เริม
่ ตูนตัง้ แต่การใชู
กฎหมายบังคับในดินแดนในยุคโรมัน การใชูกฎหมายบังคับตาม
ตัวบุคคลในสมัยกลาง การใชูกฎหมายบังคับตามลักษณะของนิติ
สัมพันธ์ตามทฤษฎี สตาติวท์และทฤษฎีการใชูวิธีการสากลหรือ
ทฤษฎีการใชูดุลพินิจของแต่ละรัฐในสมัยปั จจุบัน
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลเป็ นกฎเกณฑ์ทีใ่ ชู
ในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อเอกชนทีม
่ ีจุดเกาะเกีย
่ วของนิติ
สัมพันธ์กับกฎหมายระบบในความสัมพันธ์ทางแพ่งและพาณิ ชย์
รวมถึง กฎเกณฑ์ ที ก
่ ำา หนดสิ ท ธิ แ ละหนู า ที ข
่ องคนต่ า งดู า วในดิ น
แดนของรัฐอีกรัฐหนึ่ง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
164
13.1.1 วิวัฒนาการเกีย
่ วกับการขัดกันแห่งกฎหมาย
อธิบายวิธก
ี ารแกูไขการขัดกันแห่งกฎหมายในสมัยโรมัน
และสมัยกลาง
ในสมัยโรมัน โรมัน แกูไขการขั ดกัน แห่งกฎหมายดู ว ยการ
ออกกฎหมายที ่เ รี ย กว่ า จ้ ส เจนติ อุ ม () เพื่ อ ใชู บั ง คั บ แก่ นิ ติ
สั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งคนต่ า งชาติ ที อ
่ ย่้ ภ ายใตู ก ารปกครองของโรม
ส่วนในสมัยกลางใชูหลักเรือ
่ งกฎหมายติดตามบุคคล หมายความ
165
13.1.2 ขอบเขตของการใชูหลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกัน
แห่งกฎหมาย
ระบุขอบเขตของการใชูหลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกันแห่ง
กฎหมาย
องค์ประกอบของนิติสัมพันธ์ทีจ
่ ะตกอย่้ภายใตูหลักเกณฑ์ว่า
ดูวยการขัดกันแห่งกฎหมาย จะมีอย่้ 3 ลักษณะ คือ นิติสัมพันธ์
ทีม
่ ีองค์ประกอบต่างชาติ นิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชน นิติสัมพันธ์
ทางแพ่งหรือพาณิชย์ หากมีลักษณะเป็ นนิติสัมพันธ์อย่างอืน
่ นอก
เหนือจากทีก
่ ล่าวมา จะไม่ตกอย่้ภายใตูหลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัด
กันแห่งกฎหมาย
13.1.3 ลักษณะของหลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกันแห่ง
กฎหมาย หรือกฎหมายขัดกัน
ระบุลักษณะของหลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกันแห่งกฎหมาย
หลั ก เกณฑ์ ว่ า ดู ว ยการขั ด กั น แห่ ง กฎหมาย เป็ นกฎหมาย
สาร บั ญ ญั ติ ป ร ะเภ ทห นึ่ ง ที ่ เ กี ่ ย ว ขู อ ง กั บ นิ ติ สั ม พั นธ์ ที ่ มี อ ง ค์
ประกอบต่างชาติ
ระบุวัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกันแห่ง
กฎหมาย
วัตถุประสงค์ของหลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกันแห่งกฎหมาย
คือ การหากฎหมายต่างชาติทีเ่ กีย
่ วขูองมาใชูบงั คับ
166
13.1.4 แนวทฤษฎีเกีย
่ วกับวิธีการแกูไขการขัดกันแห่ง
กฎหมายในศตวรรษที ่ 19 และ 20
ระบุทฤษฎีทีใ่ ชูแกูไขการขัดกันแห่งกฎหมาย ในศตวรรษที ่
19 และ 20
ทฤษฎีทีใ่ ชูในการแกูไขการขัดกันแห่งกฎหมายในศตวรรษ
ที ่ 19 และ 20 ไดู แ ก่ ทฤษฎี ฝ่ ายสากลนิ ย มและทฤษฎี ฝ่ ายดิ น
แดนนิ ย ม ทฤษฎี ฝ่ ายสากลนิ ย มถื อ ว่ า วิ ธี ก ารแกู ไ ขการขั ด กั น
แห่งกฎหมายควรสอดคลูองกับวิธีการทีเ่ ป็ นสากล มิใช่เป็ นเรื่อง
ของแต่ละรั ฐที จ
่ ะบัญญั ติวิธี การแกู ไขตามอำา เภอใจ ส่ ว นทฤษฎี
ฝ่ ายดิ น แดนนิ ย มถื อ ว่ า กฎหมายภายในย่ อ มมี อำา นาจ บั ง คั บ
บั ญ ชาภายในดิ น แดนของรั ฐ เสมอ แต่ ก ารนำา เอากฎหมายต่ า ง
ประเทศเขูามาใชูเป็ นเรื่องทีอ
่ ย่้ในดุลพินิจของศาล หรือของเจูา
พนักงานฝ่ ายบริหาร
13.2 หลักเกณฑ์ทว
ั่ ไปเกีย
่ วกับการแก้ไขการขัดกันแห่ง
กฎหมาย
1. นิ ติ สั ม พั น ธ์ ที ่มี อ งค์ ป ระกอบต่ า งชาติ หมายความถึ ง นิ ติ
เกีย
่ วขูองใหูลักษณะทางกฎหมายกับขูอเท็จจริงเดียวกันแตกต่าง
กั น ออกไป จึ ง จำา เป็ นตู อ งมี ก ารแกู ไ ขโดยใชู ห ลั ก Lex Fori, Lex
Causae, Lex Universali แลูวแต่กรณี
3. การยูอนส่งเกิดจากการขัดกันของจุดเกาะเกีย
่ ว ทีบ
่ ัญญัติไวู
ในหลั ก เกณฑ์ ก ารขั ด กั น แห่ ง กฎหมายที เ่ ขู า มาเกี ย
่ วขู อ งกั บ นิ ติ
้ ๆ การยูอนส่งมี 2 ประเภทคือ การยูอนส่งกลับและ
สัมพันธ์นัน
การยูอนส่งต่อไป
4. การขัดกันแห่งการเคลือ
่ นไหวของจุดเกาะเกีย
่ ว หมายความ
ถึงจุดเกาะเกีย
่ ว ของนิติสัมพันธ์มีการเคลือ
่ นไหวหรือยูายไปเกาะ
เกีย
่ วกับกฎหมายภายในของหลายประเทศ จึงตูองมีการกำาหนด
จุดเกาะเกีย
่ วใดจุดเกาะเกีย
่ วหนึง่ ใหูชัดเจน
5. การพิ ส้จ น์ ก ฎหมายต่ า งประเทศนั ้น ความคิ ด ของประเทศ
ต่างๆ เกีย
่ วกับการนำา เอากฎหมายต่างประเทศมาใชูบังคับย่อม
แตกต่างกัน แต่พอสรุปไดู 3 แนวทาง คือ แนวความคิดของแอง
โกลแซกซอน แนวความคิดอิตาลี และแนวความคิดฝรัง่ เศส
6. หลักความสงบเรียบรูอยและศีลธรรมอันดีของประชาชนใน
13.2.1 การพิจารณานิติสัมพันธ์มีองค์ประกอบต่างชาติ
ยกตัวอย่างนิติสัมพันธ์ทีม
่ ีองค์ประกอบต่างชาติทีเ่ ขูามา
เกีย
่ วขูองในความสัมพันธ์ทางแพ่งและพาณิชย์
168
่ ่ ุน ทัง้ 2 คนไปทำา
นาย ก. คนไทยกู้ยืมเงินนาง ข. คนญีป
สัญญาทีป
่ ระเทศพม่า นาย ก. และนาง ข. มีภ้มิลำาเนาใน
ประเทศไทย จึงนำาคดีส่้ศาลไทย คดีมอ
ี งค์ประกอบต่างชาติ
เพราะการกู้ยืมเงินเกีย
่ วขูองกับกฎหมายไทย ญีป
่ ่ ุน พม่า นิติ
้ กอย่้ภายใตูกฎหมายภายในถึง 3 ประเทศ จึง
สัมพันธ์ประเภทนีต
ถือว่านิติสัมพันธ์มีองค์ประกอบต่างชาติ
13.2.2 การใหูลักษณะกฎหมายกับขูอเท็จจริง
การใชูลก
ั ษณะกฎหมายแก่ขูอเท็จจริงมีกีว
่ ิธี
การใหูลักษณะกฎหมายแก่ขูอเท็จจริง มีอย่้ดูวยกัน 3 วิธี
คือ
1. ก าร ใหู ลั ก ษ ณะก ฎ ห ม ายแ ก่ ขู อ เ ท็ จ จ ริ ง โ ด ย ก าร ใ ชู
13.2.4 การขัดกันแห่งการเคลือ
่ นไหวของจุดเกาะเกีย
่ ว
(Conflict Mobile)
อธิบายความหมายการขัดกันแห่งการเคลือ
่ นไหวของจุด
เกาะเกีย
่ วพอสังเขป
จุดเกาะเกีย
่ ว คือจุดทีเ่ กีย
่ วขูองกับกฎหมายภายในของต่าง
ประเทศ จุดเกาะเกีย
่ วนีม
้ ีการเคลือ
่ นไหวไดู ปั ญหาคือจะตูองเอา
จุ ด เกาะเกี ย
่ วในขณะใด เช่ น สั ง หาริ ม ทรั พ ย์ มี ก ารเคลื่ อ นไหว
ขณะฟู องคดี ท รั พ ย์ อ ย่้ ใ นประเทศไทย ภายหลั ง การฟู องคดี
เจู า ของไดู นำา ทรั พ ย์ ไ ปต่ า งประเทศ ดั ง นั ้น จึ ง เห็ น ไดู ว่ า มี ก าร
เคลือ
่ นไหวของจุดเกาะเกีย
่ วคือสถานทีท
่ ีท
่ รัพย์ตัง้ อย่้
13.2.5 การพิส้จน์กฎหมายต่างประเทศ
อธิบายพืน
้ ฐานทางทฤษฎีเกีย
่ วกับการนำาเอากฎหมายต่าง
ประเทศมาใชูบังคับ
พืน
้ ฐานทางทฤษฎีเกีย
่ วกับการนำาเอากฎหมายต่างประเทศ
มาใชูบั ง คั บ มี 3 แนวทางคือแนวความคิ ด ของแองโกลแซกซอน
แนวความคิดของอิตาลี และแนวความคิดฝรัง่ เศส
13.2.6 หลักความสงบเรียบรูอยและศิลธรรมอันดีของ
ประชาชน
170
อธิบายหนูาทีข
่ องกฎหมายทีเ่ กีย
่ วพันกับความสงบเรียบรูอย
และศีลธรรมอันดีของประชาชนตามกฎหมายระหว่างประเทศ
แผนกคดีบุคคล
หนูาทีข
่ องกฎหมายทีเ่ กีย
่ วพันกับความสงบเรียบรูอย และ
ศีลธรรมอันดีของประชาชนในความหมายของกฎหมายระหว่าง
ประเทศแผนกคดีบุคคลคือ ขูอจำา กัดในการนำา เอากฎหมายต่าง
ประเทศมาใชูบังคับ
13.2.7 การเลีย
่ งกฎหมาย
ระบุตัวอย่างการเลีย
่ งกฎหมาย
นาย ก. ประสงค์จะทำางานในประเทศฝรัง่ เศส นาย ก. เป็ น
คนไทยเห็นว่าการจะขอบัตรทำางานในประเทศฝรัง่ เศสไดูนัน
้ ตูอง
แต่งงานกับชาวฝรัง่ เศส นาย ก. จึงหาผู้หญิงฝรัง่ เศสมาแต่งงาน
ดูวย โดยไม่มีความประสงค์จะสมรสกันอย่างจริงจัง ต่อมาภาย
หลัง นาย ก. ไดูรับบัตรทำางาน ดังนี ้ ถือว่าการสมรสเกิดขึน
้ โดย
การเลีย
่ งกฎหมาย
13.3 หลักเกณฑ์และการปรับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วย
การขัดกันแห่งกฎหมาย
1. หลั ก เกณฑ์ ว่ า ดู ว ยการขั ด กั น แห่ ง กฎหมายย่ อ มเป็ นไป
การใชูสัญชาติเป็ นจุดเกาะเกีย
่ ว
171
13.3.1 หลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกันแห่งกฎหมายตามพ
ระราชบัญญัติว่าดูวยการขัดกันแห่งกฎหมาย
172
กรณี ใ ดที ห
่ นี เ้ กิ ด จากม้ ล สั ญ ญา อาจตกอย่้ ภ ายใตู ม าตรา
13 แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ ว่ า ดู ว ยการขั ด กั น แห่ ง กฎหมาย พ.ศ.
2481
หนีท ่ กอย่้ภายใตูมาตรา 13 แห่งพระ
้ ีเ่ กิดจากม้ลสัญญาทีต
ราชบัญญัติว่าดูวยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 คือ หนีท
้ ี่
เกิ ด จากม้ ล สั ญ ญาระหว่ า งประเทศ สั ญ ญาระหว่ า งประเทศ
หมายความถึงสัญญาทีม
่ ีองค์ประกอบต่างชาติและมีจุดเกาะเกีย
่ ว
กั บ กฎหมายภายในหลายประเทศเขู า มามี ส่ ว นกำา หนดความ
สัมพันธ์ทางแพ่งและพาณิชย์ในร้ปของสัญญา
173
อธิบายหลักเกณฑ์และจุดเกาะเกีย
่ วในเรือ
่ งการสมรส
ในเรื่องการสมรสความสามารถในการสมรส และเงื่อนไข
ในการสมรส ใหู เ ป็ นไปตามกฎหมายสั ญ ชาติ ข องแต่ ล ะฝ่ าย
(มาตรา 19) ส่ ว นแบบในการสมรสใหู เ ป็ นไปตามกฎหมายแห่ ง
ประเทศทีก
่ ารสมรสนัน
้ นัน
้ ไดูเกิดขึน
้
13.3.2 การปรับใชูพระราชบัญญัติว่าดูวยการขัดกันแห่ง
กฎหมาย
********************************
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 13
1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลมีลักษณะเป็ น กฎหมาย
ภายใน
2. คำาว่า “องค์ประกอบต่างชาติ” หมายความว่า นิติสัมพันธ์เกีย
่ วพันกับ
กฎหมายภายในหลายระบบ
3. กฎหมายภายในของรัฐทีก
่ ำาหนดหลักเกณฑ์เกีย
่ วกับสัญชาติเรียกว่า
กฎหมายว่าดูวยสัญชาติ
4. กฎหมายของประเทศทีท
่ ำาการพิจารณาคดีเรียกชือ
่ เป็ นภาษาลาตินว่า
Lex fori
176
14. ก า ร ใ ชู ลั ก ษ ณ ะ ก ฎ ห ม า ย แ ก่ ขู อ เ ท็ จ จ ริ ง ข อ ง ไ ท ย ใ ชู ห ลั ก
่ ีอำานาจศาลพิจารณาพิพากษาคดีตัง้ อย่้ (Lex fori)
กฎหมายของประเทศทีม
15. สาเหตุแห่งการยูอนส่งไดูแก่ 1) ความไม่นอนของหลักเกณฑ์
แห่ ง การขั ด กั น แห่ ง กฎหมายเกี ย
่ วกั บ คำา ว่ า กฎหมายภายในหมายถึ ง
กฎหมายสารบัญญัติอย่างเดียว หรือหมายความถึงหลักเกณฑ์แห่งการขัด
กั น แห่ ง กฎหมายดู ว ย 2) กฎหมายว่ า ดู ว ยการขั ด กั น แห่ ง กฎหมายไม่
เหมือนกันในแต่ละประเทศ
1. การขัดกันแห่งเขตอำานาจศาล มิไดูหมายถึงกฎหมายภายใน
ทีเ่ กีย
่ วกับเขตอำานาจศาล แต่ละประเทศแตกต่างกัน แต่หมายความ
ถึงกฎหมายภายในของแต่ละประเทศจะบัญญัติกฎเกณฑ์ทีเ่ กีย
่ ว
กั บ เขตอำา นาจศาลในคดี ที ม
่ ี อ งค์ ป ระกอบต่ า งชาติ เ อาไวู โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลีย
่ งการซำ้าซูอนกันของการใชูเขตอำา นาจ
ศาล อีก อย่ างหนึ่ง กฎหมายในเรื่อ งนี ป
้ ระสงค์ ที จ
่ ะกำา หนดเขต
อำานาจศาลในคดีทีพ
่ ัวพันองค์ประกอบต่างชาตินัน
้ เอง
2.ตามหลั ก อำา นาจอธิ ป ไตยแลู ว คำา พิ พ ากษาของประเทศใด
ย่อมมีขอบเขตการบังคับใชูภายในดินแดนของประเทศนัน
้ และ
ไม่มีผลโดยตรงในประเทศอื่น แต่ในความเป็ นจริงคนชาติของรัฐ
ต่ า งๆ ไดู มี ก ารติ ด ต่ อ สั ม พั น ธ์ กั น มากขึ้ น จึ ง จำา เป็ นตู อ งมี ก ฎ
178
14.1 การขัดกันแห่งเขตอำานาจ
1. การขัดกันแห่ง เขตอำา นาจศาลเป็ นเรื่อ งของกฎหมายสต่ าง
ประเทศ ที จ
่ ะบั ญญั ติว่ าศาลของประเทศนั ้น ๆ มี อำา นาจในการ
พิจารณาคดีทีเ่ กีย
่ วพันกับต่างประเทศมากนูอยเพียงใด ในขณะ
เดียวกันกฎหมายสบัญญัติของแต่ละประเทศก็จะหลีกเลีย
่ งไม่ใหู
ใชู เ ขตอำา นาจซู อ นกั น ในคดี ที ่มี ขู อ เท็ จ จริ ง เดี ย วกั น และโจทก์
จำาเลยเดียวกัน
2. เกณฑ์ในการพิจารณาเขตอำานาจของศาลไทยในคดีทีพ
่ ัวพัน
กับขูอเท็จจริงต่างประเทศ ไดูแก่ ภ้มิลำา เนา สถานทีท
่ ีท
่ รัพย์ตัง้
อย่้ สัญชาติโจทก์ สถานทีท
่ ีม
่ ้ลคดีเกิดขึน
้ เป็ นตูน
3. ค่้ ก รณี ส ามารถตกลงกั น นำา คดี ขึ้น ส่้ ศ าลไดู แต่ ศ าลจะรั บ
พิ จ ารณาพิ พ ากษาหรื อ ไม่ ขึ้น อย่้ กั บ กฎหมายสบั ญ ญั ติ ข องประ
เ ท ศ นั ้ น ๆ ปั จ จุ บั น ก ฎ ห ม า ย วิ ธี พิ จ า ร ณ า ค ว า ม แ พ่ ง ข อ ง
ประเทศไทยมิไดูกำาหนดถึงเขตอำา นาจศาลในกรณีทีค
่ ่้กรณีตกลง
ใหูใชูศาลไทย
14.1.1 สาเหตุและแนวคิดของการขัดกันแห่งเขตอำานาจ
ศาล
สาเหตุของการขัดกันแห่งเขตอำานาจศาล
นาย ก. คนไทย ทำา สัญญายืมเงินจากนาย ข. คนสิงคโปร์
ทำาในประเทศพม่า นาย ข. ประสงค์จะฟูองเรียกเงินตามสัญญากู้
179
14.1.2 เกณฑ์ในการพิจารณาเขตอำานาจของศาลไทยใน
คดีทีพ
่ ัวพันกับต่างประเทศ
ระบุเกณฑ์ทีใ่ ชูในการพิจารณาเขตอำานาจศาลไทยในคดีที ่
พัวพันกับต่างประเทศ
เกณฑ์ ที ใ่ ชู พิ จ ารณาเขตอำา นาจศาลไทยในคดี ที พ
่ ั ว พั น กั บ
ต่ า งประเทศคื อ ภ้ มิ ลำา เนาของจำา เลย สถานที ท
่ ี ่ท รั พ ย์ ตั ้ ง อย่้
สถานทีท
่ ีม
่ ้ลคดีเกิดขึน
้ สัญชาติของโจทก์ เป็ นตูน
14.1.3 ปั ญหาเกีย
่ วกับสิทธิของค่ก
้ รณีทีจ
่ ะตกลงกันเพือ
่
นำาคดีขึน
้ ส่้ศาล
แสดงความเห็นเกีย
่ วกับสิทธิของค่้กรณีทีต
่ กลงกันเพือ
่ จะนำา
คดีไปขึน
้ ศาล
ในกรณี ที ่ก ฎหมายไม่ ไ ดู กำา หนดเรื่ อ งนี ไ้ วู ใ นประมวลวิ ธี
พิจารณาความแพ่ง ค่้กรณีสามารถทีจ
่ ะตกลงกันเพื่อนำา คดีขึน
้ ส่้
ศาลไดู แต่ ศ าลจะรั บ พิ จ ารณาพิ พ ากษาคดี นี ห
้ รื อ ไม่ คงจะตู อ ง
ขึ้น อย่้ กั บ เงื่อ นไขที ว
่ ่ า คดี นี ม
้ ี ค วามเกี ย
่ วพั น กั บ ประเทศไทยมาก
นูอยเพียงใด ถูาคดีไม่มีจุดเกาะเกีย
่ วกับประเทศไทยเลย ศาลก็
คงจะไม่พิจารณารับฟูอง
14.1.4 คำาพิพากษาเกีย
่ วกับเขตอำานาจศาลไทยในคดีทีม
่ ี
องค์ประกอบต่างชาติ
180
****************************************-
14.2 การยอมรับและบังคับตามคำาพิพากษาศาลต่างประเทศ
1.ตามหลั ก เกณฑ์ เ รื่ อ งอำา นาจอธิ ป ไตย คำา พิ พ ากษาของ
ประเทศไทยย่ อ มมี ข อบเขตการบั ง คั บ ใชู ภ ายในดิ น แดนของ
ประเทศนัน
้ เท่านัน
้ จะนำา ไปบังคับใหูรัฐอื่นไม่ไดู แต่ในความเป็ น
จริ ง ของสั ง คมโลกปั จจุ บั น คนชาติ ข องรั ฐ ต่ า งๆ ไดู มี ก ารติ ด ต่ อ
แ ล ะ ผ้ ก พั น กั น ม า ก ขึ้ น ปั ญ ห า ที ่ เ กิ ด จ า ก ก า ร บั ง คั บ ต า ม คำา
พิ พากษาย่ อมมีม ากขึ้น จึง จำา เป็ นที ร
่ ั ฐ ต่ า งๆ ตู องหั น มาร่ ว มมื อ
กันทีจ
่ ะจำากัดการใชูอำานาจอธิปไตยในการยอมรับและบังคับตาม
คำา พิ พ ากษาศาลต่ า งประเทศ เพื่ อ เอื้อ อำา นวยซึ่ ง กั น และกั น ใน
ระบบศาล
2.แนวความคิ ดพื้นฐานหรือ ทฤษฎี ที ร
่ องรั บ ความคิ ด เรื่องการ
ยอมรับและบังคับตามคำา พิพากษาศาลต่างประเทศย่อมแตกต่าง
กั น ซึ่ง พอสรุ ป ไดู คื อ แนวความคิ ด เรื่อ งอั ธ ยาศั ย ไมตรี ร ะหว่ า ง
ประเทศและหลักการถูอยทีถูอยปฏิบัติต่างตอบแทนแก่กัน แนว
ความคิดเรือ
่ งหลักแห่งพันธกรณี และแนวความคิดเรือ
่ งหลักสิทธิ
ทีไ่ ดูรับมาแลูว
3.โดยหลักคำาพิพากษาของศาลประเทศหนึง่ ย่อมไม่มีผลบังคับ
โดยตรงในอี ก ประเทศหนึ่ ง จึ ง จำา เป็ นตู อ งมี เ กณฑ์ ใ นการ
พิจารณาการยอมรับ และบังคับตามคำาพิพากษาศาลต่างประเทศ
ซึ่ ง ประกอบ ดู ว ย ศาลต่ า งประเทศตู อ งมี อำา นาจศาลในการ
พิจารณาคดี คำาพิพากษาศาลต่างประเทศซึ่งประกอบดูวย ศาล
ต่ า งประเทศตู อ งมี อำา นาจศาลในการพิ จ ารณาคดี คำา พิ พ ากษา
181
14.2.3 เกณฑ์ในการพิจารณาการยอมรับและบังคับตาม
คำาพิพากษาศาลต่างประเทศ
เมื่ อ คำา พิ พ ากษาของศาลประเทศหนึ่ ง ย่ อ มไม่ มี ผ ลบั ง คั บ
โดยตรงในอีก ประเทศหนึ่ง อะไรคือ เกณฑ์ ใ นการพิ จ ารณาการ
ยอมรับและบังคับตามคำาพิพากษาศาลต่างประเทศ
เก ณฑ์ ใ น ก า ร พิ จ า ร ณ า ก า ร ยอ ม รั บ แ ล ะ บั ง คั บ ต า ม คำา
พิพากษาศาลต่างประเทศ ประกอบดูวย 1) ศาลต่างประเทศตูอง
มี อำา นาจศาลในการพิ จ ารณาพิ พ ากษาคดี 2) คำา พิ พ ากษาศาล
ต่ า งประเทศจะตู อ งถึ ง ที ส
่ ุ ด และเสร็ จ เด็ ด ขาด 3) กรณี เ ป็ นคำา
พิ พ ากษาศาลต่ า งประเทศที เ่ กี ย
่ วขู อ งดู ว ยหนี เ้ หนื อ บุ ค คล คำา
พิพากษานัน ่ น่นอน และ 4)
้ ตูองกำาหนดใหูชำาระเงินเป็ นจำานวนทีแ
เมื่ อ คำา พิ พ ากษาศาลต่ า งประเทศมี อ งค์ ป ระกอบครบถู ว น คำา
พิ พ ากษาศาลต่ า งประเทศนั ้น ก็ จ ะมี ผ ลเด็ ด ขาดในประเทศที ไ่ ดู
รับคำา รูองขอใหูยอมรับและบังคับตามคำา พิพากษานัน
้ นอกจาก
้ 5) ศาลทีไ่ ดูรับคำา รูองขอยังมีอำา นาจควบคุมการยอมรับและ
นัน
บังคับตามคำาพิพากษาศาลต่างประเทศไดูอีกทางหนึง่
14.2.4 สถานะของไทยเกี ย
่ วกั บ การยอมรั บ และบั ง คั บ
ตามคำาพิพากษาศาลต่างประเทศ
184
อธิบายสถานะของไทยเกีย
่ วกับการยอมรับและบังคับตาม
คำาพิพากษาศาลต่างประเทศ
ประเทศไทยไม่ มี ก ฎหมายเกี ย
่ วกับ การยอมรั บ และบั ง คั บ
ตามคำาพิพากษาศาลต่างประเทศ ความตกลงระหว่างประเทศใน
เรื่ อ งนี ก
้ ็ ไ ม่ มี คำา พิ พ ากษาฎี ก าเกี ย ้ ี อ ย่้ เ พี ย ง 2 คำา
่ วกั บ เรื่ อ งนี ม
พิพากษาเท่านัน
้ ซึง่ ศาลไดูอูางอิงหลักการยอมรับและบังคับตาม
คำา พิ พ ากษาศาลต่ า งประเทศของศาลอั ง กฤษ ทั ้ง ในเรื่ อ งแนว
ความคิดหลักเกณฑ์และวิธีการ มาเป็ นหลักในการวินิจฉัยคดีดัง
กล่าว
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 14
1. หลักเกณฑ์ว่าดูวยการขัดกันแห่งเขตอำานาจศาลเป็ นกฎหมาย
ประเภท กฎหมาย สบัญญัติ
2. ผู้ บั ญ ญั ติ ก ฎหมายในเรื่อ งหลั ก เกณฑ์ ว่ า ดู ว ยการขั ด กั น แห่ ง อำา นาจ
ศาลจะตูองคำานึงถึงกฎเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
ดู วย เพราะเขตอำา นาจศาลเป็ นเรื่อ งการใชูอำา นาจของฝ่ ายตุ ล าการ ซึ่ง
เป็ นส่ ว นหนึ่ง ของการใชู อำา นาจรั ฐ จึ ง ตู อ งใชู อ ย่้ ภ ายในกฎเกณฑ์ ข องกำา
หมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เกีย
่ วกับการใชูอำานาจรัฐดูวย
3. การใชูอำานาจรัฐเหนือทรัพย์สิน ไม่ใช่ หลักการของการใชูอำานาจรัฐ
ตามกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
4. การใชูอำานาจรัฐเหนือบุคคลหมายความว่า 1) การใชูอำานาจรัฐเหนือ
คนชาติ 2) การใชูอำา นาจรัฐเหนือ เรื อที ช
่ ัก ธงหรื อ จดทะเบี ยนในประเทศ
้ ๆ 3) การใชูอำานาจรัฐเหนืออากาศยานทีช
ของรัฐนัน ่ ักธงหรือจดทะเบียน
ในประเทศของรัฐนัน
้ ๆ
185
5. ค่้กรณีสามารถตกลงกันเพื่อนำาคดีขึน
้ ส่้ศาลในกรณีทีค
่ ดีนัน
้ พัวพันกับ
ต่ า งชาติ ได้ เพราะไม่ ไ ดู เ ป็ นเรื่ อ งการเปลี ย
่ นแปลงหรื อ ตกลงเปลี ย
่ น
เปลีย
่ นแปลงเขตอำานาจศาล
6. ทฤษฎีทีร
่ องรับความคิดเรื่องการยอมรับและบังคับตามคำา พิพากษา
ศาลต่างประเทศคือ 1) แนวความคิดเรื่องอัธยาศัยไมตรีระหว่า งประเทศ
2) หลั กการถู อ ยที ถู อ ยปฏิ บั ติต่ า งตอบแทนกั น 3) หลัก แห่ ง พั น ธกรณี 4)
หลักแห่งสิทธิทีไ่ ดูรับมาแลูว
7. การยอมรับคำาพิพากษาศาลต่างประเทศแตกต่างจากการบังคับตาม
ตำาพิพากษาศาลต่างประเทศคือ การยอมรับคำาพิพากษาศาลต่างประเทศ
หมายถึ ง การที ศ
่ าลของประเทศที ไ่ ดู รั บ การรู อ งขอ ทำา การยอมรั บ คำา
พิ พ ากษาศาลต่ า งประเทศโดยไม่ ตู อ งมี ก ารบั ง คั บ แต่ ก ารบั ง คั บ ตามคำา
พิพากษาศาลต่างประเทศ หมายถึงการทีศ
่ าลทีไ่ ดูรับคำารูองขอดำาเนินการ
ในการบังคับคดีต ามหลักเกณฑ์ ของศาลนั น
้ เพื่อใหูคำา พิพากษาศาลต่าง
ประเทศบังเกิดผล
8. หลักแห่งพันธกรณี เกิดขึน
้ โดย Baron Parke
9. แนวความคิ ด เรื่อ งอั ธ ยาศั ย ไมตรี ร ะหว่ า งประเทศ และหลั ก ถู อ ยที
ถูอ ยปฏิบั ติต่ า งตอบแทนกั น มี ห ลั ก การคื อ การที ่ 2 ประเทศ หรื อ หลาย
ประเทศต่า งช่ วยเหลือ ยอมรั บ และบั ง คั บ ตามคำา พิ พ ากษาของกั น และกั น
โดยอาศั ย รากฐานมาจากแนวความคิ ด ในเรื่ อ งหลั ก การปฏิ บั ติ ต่ า ง
ตอบแทนในลักษณะทีเ่ หมือนกันหรือเท่าเทียมกัน
10. การขัดกันแห่งเขตอำานาจศาล เป็ นเรือ
่ งของการกำาหนดเขต
อำานาจศาลในคดีแพ่งและพาณิชย์ทีม
่ ีองค์ประกอบต่างชาติเขูามาพัวพัน
11. หลักเกณฑ์ทีใ่ ชูในการพิจารณาเขตอำา นาจศาลไทยในคดีที ่
พัวพันกับต่างประเทศไดูแก่ 1) ภ้มิลำาเนาของจำาเลย 2) สถานทีท
่ ีท
่ รัพย์ตัง้
อย่้ 3) สถานทีท
่ ีม ้ 4) สัญชาติของโจทก์
่ ้ลคดีเกิดขึน
186
12. ต า ม ก ฎ ห ม า ย ไ ท ย ถู า ขู อ พิ พ า ท ไ ม่ มี จุ ด เ ก า ะ เ กี ่ ย ว กั บ
ประเทศไทยเลย ค่้ ก รณี ส ามารถนำา คดี ขึ้น ส่้ ศ าลไดู แต่ ศ าลอาจจะไม่
พิจารณารับฟูอง เพราะเป็ นดุลพินิจของศาล
13. สถ านะของไท ยในเรื่ อ งการยอมรั บ แล ะบั ง คั บ ต า มคำา
พิพากษาศาลต่างประเทศ ศาลไทยไดูอูางอิงหลักการยอมรับและบังคับ
ตามคำาพิพากษาศาลต่างประเทศของศาลอังกฤษ
14. หลักแห่งสิทธิทีไ่ ดูรับมาแลูวมีหลักการคือ การทีศ
่ าลของ
ประเทศหนึ่งประเทศใดทำาการยอมรับและบังคับตามคำา พิพากษาศาลต่าง
ประเทศนัน
้ เป็ นเรือ
่ งของการยอมรับและบังคับตามสิทธิทีไ่ ดูรับมาแลูวตาม
คำา พิพากษานัน
้ หาใช่เป็ นการยอมรับและบังคับตามคำา พิพากษาศาลต่าง
ประเทศโดยตัวของมันเองไม่
หน่วยที ่ 15 ความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบ
ปรามอาชญากรรม
ผู้รูายขูามแดนของศาลไทยไวูดูวยเช่นกัน
187
15.1 ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ใ น ก า ร ป ร า บ ป ร า ม
อาชญากรรมตามหลักการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
188
15.1.2 หลักในการพิจารณาส่งผู้รูายขูามแดน
เพราะเหตุ ใ ด โดยหลั ก ทั่ ว ไปประเทศผู้ รั บ คำา ขอมั ก จะ
อนุญาตตามคำาขอโดยส่งตัวผู้กระความผิดซึง่ เป็ นคนสัญชาติของ
ประเทศผู้ รู อ งขอใหู แ ก่ ป ระเทศผู้ รู อ งขอเสมอไป หากไม่ เ ขู า ขู อ
ยกเวูนอืน
่ เช่น ไม่เป็ นคดีทางการเมืองเป็ นตูน
โดยเหตุ ที ป
่ ระเทศผู้ รั บ คำา ขอย่ อ มพิ จ ารณาคำา ขอไดู ง่ า ย
เพราะเป็ นกรณีทีป
่ ระเทศผู้รูองขอตูองการคนสัญชาติของเขาเอง
190
เพราะเหตุใด บางประเทศจึงไม่นิยมส่งผู้รูายขูามแดนเกีย
่ ว
กับเรือ
่ งความผิดทางศาสนา
เพราะโดยอาศัยหลักเสรี ภาพของมนุ ษย์ เป็ นสำา คั ญ กล่า ว
คื อ หลั ก เสรี ภ าพตามระบอบประชาธิ ป ไตยที ่แ ทู จ ริ ง ตู อ งใหู
เสรีภาพแก่มนุษย์ในการทีจ
่ ะนับถือหรือเลื่อมใสลัทธิศาสนาใดๆ
ที ่ต นยึ ด ถื อ และเชื่ อ มั่ น (free religion) โดยมั ก จะบั ญ ญั ติ ไ วู ใ น
รั ฐ ธรรมน้ ญ ของประเทศ เช่ น รั ฐ ธรรมน้ ญ ฉบั บ ต่ า งๆ ของ
ประเทศไทยมีบทบัญญัติเกีย
่ วกับเสรีภาพนีม
้ าโดยตลอด ฉะนัน
้
การกระทำาผิดใดๆ เกีย
่ วกับศาสนา เช่นการด้หมิน
่ เหยียดหยาม
ในลั ท ธิ ศ าสนาใดศาสนาหนึ่ง การฝ่ าฝื น ละเมิ ด หรื อ ทำา ลาย
ก่อกวนการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ย่อมถือว่าเป็ นความผิด
ต่อศาสนา ไม่อาจส่งผู้รูายขูามแดนไดู
15.1.3 การส่งผู้รูายขูามแดนของประเทศไทย
ในการพิจารณาคดีส่งผู้รูายขูามแดนของประเทศไทย ศาล
อุทธรณ์มีอำานาจตรวจพิจารณาพยานหลักฐานและวินิจฉัยขูอโตู
เถียงประการใดไดูบูาง
ศาลอุ ท ธรณ์ มี อำา นาจตรวจพิ จ ารณาพยานหลั ก ฐาน และ
วินิจฉัยขูอโตูเถียงดังนี ้
1) เรือ
่ งสัญชาติ
191
2) ความผิดทีก
่ ล่าวหาไม่อย่้ในประเภทส่งขูามแดนไดู
3) ความผิดนัน
้ มีลักษณะในทางการเมืองหรือการทีข
่ อใหูส่ง
ขูามแดนนัน
้ แทูจริงเพื่อประสงค์จะเอาตัวไปลงโทษสำา หรับความ
ผิดอืน
่ อันมีลักษณะในทางการเมือง
4) ไม่ มี พ ยานหลั ก ฐานแสดงต่ อ ศาลพอที จ
่ ะใหู ศ าลนั ้น ใชู
ดุลพินิจไดูว่าควรจะออกคำาสัง่ นัน
้ หรือไม่
15.2 สนธิสัญญาในการโอนตัวนักโทษ
1.หลั ก ทั่ว ไปของสนธิ สั ญ ญาการโอนตั ว นั ก โทษ ประมวลไดู
จากเจตนารมณ์ รวมทัง้ รายละเอียดของสนธิสัญญาการโอนตัว
นักโทษทีท
่ ำากันระหว่างประเทศ
2.หลักเกณฑ์และสาระสำา คั ญตลอดจนรายละเอียด ของสนธิ
สัญญาการโอนตัวนักโทษทีป
่ ระเทศไทยทำาไวูกับต่างประเทศฉบับ
ต่างๆ มีลักษณะคลูายคลึงกันจะมีขูอแตกต่างบูางเล็กนูอยในราย
ละเอียด
15.2.1 หลักทัว
่ ไปของสนธิสัญญาการโอนตัวนักโทษ
อธิบายทีม
่ าของการโอนตัวนักโทษ
การโอนตั ว นั ก โทษเกิ ด ขึ้ น โดยการพิ จ ารณาถึ ง กฎหมาย
และระเบี ยบขูอ บังคั บที ใ่ ชูอ ย่้ใ นเรื่องทีเ่ กี ย
่ วกั บการบั ง คับ การใหู
เป็ นไปตามกฎหมายของประเทศ และดูวยความมุ่งหมายทีจ
่ ะส่ง
เสริ ม ความพยายามร่ ว มกั น ในการบั ง คั บ การใหู เ ป็ นไปตาม
กฎหมาย และการบริหารงานทางดูานกระบวนการยุติธรรมและ
ร่ ว มมื อ กั น ในการบั ง คั บ ใหู เ ป็ นไปตามคำา พิ พ ากษาในคดี อ าญา
192
15.2.2 สนธิสัญญาการโอนตัวนักโทษทีป
่ ระเทศไทยทำาไวู
กับต่างประเทศ
ในปั จจุบันประเทศไทยทำาสนธิสัญญาการโอนตัวนักโทษกับ
ประเทศไทยไดูบูาง และมีผลใชูบังคับแลูวหรือไม่ ประการใด
ในปั จจุ บั น ประเทศไทยทำา สนธิ สั ญ ญาการโอนตั ว นั ก โทษ
กับประเทศต่างๆ จำานวน 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา ฝรัง่ เศส
แคนาดา สเปน และอิ ต าลี แต่ ยั ง ไม่ มี ผ ลใชู บั ง คั บ เพราะสนธิ
สัญญาการโอนตัวนักโทษกับหูาประเทศดังกล่าวเพียงแต่มีการลง
นามกันแลูวเท่านัน
้ ยังมิไดูมีการใหูสัตยาบัน
15.3 ก า ร ร่ ว ม มื อ ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ใ น ก า ร ป ร า บ ป ร า ม
อาชญากรรมโดยองค์การตำารวจสากล
1.องค์การตำารวจสากล เป็ นกลไกหรือตัวกลางทีส
่ ำาคัญในการ
ทีจ
่ ะปฏิบัติการและบังคับการใหูเป็ นไปตามหลักกฎหมายระหว่าง
ประเทศในส่วนทีเ่ กีย
่ วกับการปราบปรามอาชญากรรมหรือความ
ผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ
2.การปฏิ บั ติ แ ละการบั ง คั บ การดั ง กล่ า วขู า งตู น ขององค์ ก าร
ตำา ร วจ สากลสามารถ ดำา เนิ นไป ไดู อย่ าง มี สม รร ถ ภาพแ ละ
ประสิ ทธิ ภาพ โดยพิจ ารณาไดู จากประวั ติค วามเป็ นมา กิจ การ
และหนู า ที ร
่ วมทั ้ง ขู อ จำา กั ด บางประการเกี ย
่ วกั บ ปฏิ บั ติ ก ารของ
องค์การตำารวจสากล
3.ง า น ข อ ง อ ง ค์ ก า ร ตำา ร ว จ ส า ก ล ใ น ก า ร ป ร า บ ป ร า ม
อาชญากรรม หรือ ความผิ ด ตามกฎหมายระหว่ า งประเทศ อั น
ไดูแก่ การกระทำา ความผิดอาญาต่อบุคคล การคูาทาส การคูา
หญิง การลักทรัพย์ และการกระทำาความผิดต่างๆ เกีย
่ วกับยาน
พาหนะสัญจร การฉูอโกงระหว่างประเทศ การกระทำา ความผิด
เกีย
่ วกับการปลอมเงินตรา สลัดอากาศ ยาเสพติดใหูโทษและโจร
สลัด
15.3.1 องค์การตำารวจสากล
194
ติดต่อโดยตรงเกีย
่ วกับการปราบ ปรามอาชญากรรม หรือความ
ผิ ด ต า ม ก ฎ ห ม า ย ร ะ ห ว่ า ง ป ร ะ เ ท ศ เ ช่ น ย า เ ส พ ติ ด โ ด ย ตั ้ ง
สำา นักงานเลขาธิการขององค์การตำา รวจสากลทีก
่ รุงปารีส และ
จั ด ใหู มี ก ารประชุ ม ว่ า ดู ว ยปั ญหาการลั ก ลอบคู า ยาเสพติ ด ทุ ก ปี
โดยคณะกรรมการผู้ เ ชี ย
่ วชาญเรื่ อ งยาเสพติ ด ในระหว่ า งการ
ประชุมสมัชชาใหญ่ประจำาปี
2.ในแต่ ล ะประเทศภาคี ส มาชิ ก ขององค์ ก ารตำา รวจสากล
จะตั ้ง สำา นั ก งานกลางแห่ ง ชาติ ใ นประเทศของตน เพื่ อ ประสาน
งานและติ ด ต่ อ โดยตรงเกี ย
่ วกั บ การปราบปรามยาเสพติ ด กั บ
ศ้นย์กลางการร่วมมือระหว่างชาติดังกล่าว ไวูใ นขูอ ก. ขูางตูน
ตั วอย่างเช่น ประเทศไทยไดู ตั ง้ สำา นั ก งานกลางแห่ ง ชาติ อ ย่้ กอง
การต่างประเทศ กรมตำารวจ
1. การโหดรูายทารุณของอาชญากรรมทีร
่ ูายแรงเช่น การฆ่า
ลูางเผ่าพันธ์ุ อาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติ อาชญากรรมสงคราม
และการใชูกำาลังในการรุกราน ทัง้ ในลักษณะของการทำาสงคราม
และการใชู กำา ลั ง ในร้ ป แบบต่ า งๆ เป็ นอั น ตรายต่ อ สั น ติ สุ ข ของ
ประชาคมระหว่ า งประเทศ และควรที ่จ ะไดู รั บ ความร่ ว มมื อ
ระหว่างประเทศในการลงโทษบุคคลทีก
่ ่อภัยดังกล่าว โดยควรที ่
196
สมาชิก และประเทศทีย
่ อมรับเขตอำา นาจของศาล และมีอำา นาจ
พิจารณาเหนือคดีอาญาทีร
่ ูายแรงไดูแก่ อาชญากรรมฆ่าลูางเผ่า
พั น ธ์ุ อาชญากรรมต่ อ มนุ ษ ยชาติ อาชญากรรมสงคราม และ
การรุกราน ศาลอาญาระหว่า งประเทศจะลงโทษผู้ ก ระทำา ผิ ด ที ่
เป็ นบุคคลธรรมดาเท่านัน
้ ทีม ี ายุ 18 ปี บริบร
่ อ ้ ณ์
6. สหปร ะช าช าติ มี อำา นาจใ นก าร เสนอ คดี ต่ อ ศา ลอ าญา
15.4.3 ความสัมพันธ์ระหว่างศาลอาญาระหว่างประเทศ
และสหประชาชาติกับความสัมพันธ์กับรัฐต่างๆ การปราบปราม
อาชญากรรม
แบบประเมินผลหน่วยที ่ 15
1. แนวคิดในเรื่องการร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมระหว่าง
ประเทศมี ที ม
่ าจากหลั ก การ ผู้ ก ระทำา ผิ ด ย่ อ มตู อ งไดู รั บ การลงโทษตาม
ความผิดทีก
่ ระทำา
199
2. การร่วมมือระหว่างประเทศโดยกลไกทางศาลอาญาระหว่างประเทศ
ทีป
่ ระเทศไทยไม่มีส่วนร่วมในการปราบปรามอาชญากรรม
3. คดีทีเ่ ป็ นความผิดทางการเมือง เช่นกรณี การฆ่าผู้อย่้ฝ่ายตรงขูาม
เพือ
่ ลูมลูางเสถียรภาพ
4. การโอนตัวนักโทษตูองไดูรับความยินยอมจากฝ่ าย (ก) ฝ่ ายรัฐผู้รับ
(ข) ฝ่ ายรัฐผู้โอน (ค) ฝ่ ายนักโทษ
5. ประเทศอังกฤษ เป็ นประเทศทีบ
่ ัญญัติเกีย
่ วกับการส่งผู้รูายขูามแดน
6. ศาลอาญาระหว่างประเทศจัด ตั ง้ ขึ้นโดยสนธิสั ญ ญา ธรรมน้ญ กรุ ง
โรม ค.ศ. 1998
7. ความผิดเกีย
่ วกับ คูาโสเภณี ไม่ได้อยู่ในอำานาจของตำารวจสากล
8. ศาลอาญาระหว่ า งประเทศ เริ ่ม ใชู เ ขตอำา นาจศาลไดู ตั ้ ง แต่ 1
กรกฎาคม ค.ศ. 2002
9. ศาลอาญาระหว่างประเทศมีเขตอำานาจเหนือ บุคคลธรรมดาอายุ 18
ปี ขึน
้ ไป
10. ปั ญหาของการดำา เนิน งานของศาลอาญาระหว่ า งประเทศคือ
ขูอจำากัดในเรือ
่ งเขตอำานาจศาล
11. สาเหตุทีท
่ ำา ใหูประเทศต่างๆ พากันร่วมมือในการปราบปราม
อาชญากรรมระหว่างประเทศคือ ผู้กระทำาผิดมักหลบหนี และรอดพูนจาก
การถ้กลงโทษ
12. ประเทศไทยมีหลักเกณฑ์ในการส่งผู้รูายขูามแดนเกีย
่ วกับการ
ส่งคนชาติ คือ ไม่ส่งคนชาติขูามแดนเวูนแต่มีสนธิสัญญากำาหนดไวูในบาง
กรณี
13. ผู้ ก่อ การรู าย เป็ นคดี ทีไ่ ม่เ ป็ นความผิ ดทางการเมื อ งในระบบ
กฎหมายอังกฤษ
200
**********************************************