Professional Documents
Culture Documents
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดเกสรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) บ้านตาด ตำ�บลบ้านตาด
อำ�เภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
จิตว่างเพราะวางกาย
ถ้าท่านผู้ ใดประสงค์จะพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน
ท่านผู้นั้นกรุณาพิมพ์ ได้ตามประสงค์
โดยไม่ต้องขออนุญาตแต่อย่างใด
นอกจากพิมพ์เพื่อจำ�หน่ายจึงขอสงวนลิขสิทธิ์
เพราะผู้แสดงไม่ต้องการอะไร
ยิ่งกว่าใจที่เป็นสมบัติล้นค่ากว่าสมบัติใดๆ ในโลก
คณะผู้จัดพิมพ์
สารบัญ
ไม่มีอะไรตาย ๗
ความตายเป็นธรรมดา ๑๙
จิตว่างเพราะวางกาย ๒๙
จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย ๔๓
ใจไม่เคยตาย ๕๗
หัดตาย ๖๕
ตอบปัญหาเรื่องนิพพาน ๗๙
เมรุ ๙๑
ไม่มีอะไรตาย
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙
การประพฤติตัวก็เหมือนเราเดินทาง ย่อมสำ�คัญทางผิดว่าเป็นทางถูก
แล้วเดินไป ถ้าไม่หลงก็ไม่เดินทางผิด เดินทางทีถ่ กู เรื่อยๆ ไป ถ้าไม่หลงก็ไม่ท�ำ ผิด
ไม่พูดผิด ไม่คิดผิด ไม่ถือผิด ผลก็ ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเอง
การหลงทางก็เป็นโทษอันหนึง่ ทีท่ �ำ ให้เสียเวล่�ำ เวลาและเหนื่อยเปล่าๆ
การทำ�ผิด การพูดผิด คิดผิด ก็ทำ�ให้ทั้งเสียเวลา ทั้งเป็นโทษทุกข์เกิดขึ้นแก่ตัว
นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการทำ�ผิด พูดผิด คิดผิด ของผู้ประพฤติตามอารมณ์ ใจ
ชอบ
พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่อให้ทราบว่า ใจเรามักมีความเห็นผิดอยู่เสมอ
ให้พยายามแก้สง่ิ ทีผ่ ดิ อยูภ่ ายในใจ ทีจ่ ะระบายออกทางกาย วาจา ทางใจ ให้เป็น
ความผิดนั้น กลับให้เป็นความถูกต้องดีงามอยู่เสมอ ให้พยายามแก้สิ่งที่ผิดอยู่
ภายในจิต ผลจะถึง “สมหวัง” เพราะเหตุที่ถูกต้องผลย่อมดีเสมอไป ถ้าเหตุผิด
ผลนั้นจะลบล้างเหตุไม่ได้ คือจะปิดกั้นไว้ไม่อยู่ ต้องแสดงเป็นความทุกข์ร้อน
ต่าง ๆ ออกมา
คำ�ว่า “ความหลง” นี้ เมื่อนับจำ�นวนคนหลงจะมีเท่าไร คนที่รู้จะมี
เท่าใด ถ้าจะเทียบกับ “คนรู้” ว่ามีเท่าใดนั้น ก็เหมือนกับเอาฝ่ามือหย่อนลง
ไปในแม่น้ำ�มหาสมุทรฝ่ามือกว้างขนาดไหน แม่น้ำ�มหาสมุทรกว้างขนาดไหน
๘ ไม่มีอะไรตาย
ความฝืนสิ่งไม่ดีเพื่อความดีด้วยหัวใจชาวพุทธ แม้ออกมาอยู่ในวัดเพื่อปฏิบัติ
บำ�เพ็ญอยู่แล้ว ความรู้สึกอันดั้งเดิมย่อมมีอยู่ภายในใจเสมอ คือความขี้เกียจ
มักง่ายอ่อนแอ ความคล้อยตามสิ่งเคยคล้อยตาม ความเชื่อในสิ่งที่เคยเชื่อ
คือกิเลสชนิดต่างๆ ซึ่งเปรียบเหมือนเพลงลูกทุ่ง ย่อมยังมีอยู่ในใจ
การฝืนสิ่งเหล่านี้จึงเป็นความยากลำ�บากลำ�บนสำ�หรับผู้ปฏิบัติ แม้จะมี
ความมุง่ มัน่ ต่ออรรถต่อธรรมมากเพียงไร ก็จ�ำ ต้องได้ฝนื สิง่ ทีเ่ ป็นขวากเป็นหนาม
อยู่ภายในใจเราอยู่โดยดี กระทั่งไม่มีเหลืออยู่ในใจเลยนั่นแล จึงหาอะไรมา
ขวางหน้าไม่ได้
การปฏิบตั ธิ รรมเป็นของยาก ของลำ�บากมาแต่กาลไหนๆ ก็เพื่อเบิกทาง
ที่ถูกกิเลสปิดบัง ให้เห็นเหตุเห็นผล เห็นต้นเห็นปลาย ของอรรถของธรรม
ภายในใจ จนกว่าจะปรากฏผลขึน้ มาเป็นเครื่องสนับสนุนจิตใจให้มกี �ำ ลัง ความเชื่อ
ความเลื่อมใส ความพากเพียร ความอุตส่าห์พยายามขึ้นโดยลำ�ดับ จากนั้น
ก็ค่อยสะดวกสบาย ถึงจะยากลำ�บาก ผลที่พึงใจเป็นขั้นๆ ก็ปรากฏอยู่ภายในใจ
แล้ว แม้จะมีการฝืนอยู่บ้างก็ฝืนด้วยความพอใจ ที่จะเพิ่มพูนความสงบสุขที่ตน
มีอยู่แล้ว ให้มีกำ�ลังและความสว่างไสวยิ่งขึ้น
ข้อสำ�คัญก็คือความเห็นโทษแห่งความเป็นอยู่ด้วยความหลง ความ
เพลิดเพลินเลื่อนลอยบังอยู่ด้วยความหลง คือความประมาทนอนใจ ไม่มีสติ
ปัญญาคิดประโยชน์ ใส่ตน ยืนอยู่ด้วยความหลง นอนอยู่ด้วยความหลง เดินไป
ด้วยความหลง ในอิริยาบถทั้งสี่เป็นไปด้วยความหลง ความใฝ่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ
การมาเกิดก็มาด้วยความหลง มาอยู่ในโลกก็มาอยู่ด้วยความหลง จะไปข้างหน้า
ภพหน้าก็ ไปด้วยความหลง ความเห็นโทษสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นเครื่องเตือนใจตน
ได้ดีเพื่อไม่ให้ประมาทนอนใจ ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญอยู่เสมอ จะมีทาง
เห็นโทษสิ่งเหล่านี้ขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นหนทางให้เกิดความอุตส่าห์พยายาม
พิจารณาแยกแยะสิ่งเหล่านี้ออกจากใจ พอมีทางเล็ดลอดไปได้ตามกำ�ลังความ
สามารถ
อย่างไรก็อย่าลืมคำ�ว่า “พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ” จะอยู่ในสภาพใดอิริยาบถ
ใดก็ตาม ให้ระลึกถึงท่านเสมอ ทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผลที่พระองค์ได้ทรงดำ�เนินมา
ก่อนแล้ว และทรงได้รับผลเป็นที่พอพระทัยมาแล้ว จึงทรงนำ�มาประกาศสอน
ไม่มีอะไรตาย ๑๑
จุดของศาสนาอันแท้จริงที่สอนเพื่อดำ�เนินและหลีกเลี่ยง “ไตรลักษณ์”
เหล่านี้ ได้พอควร ท่านก็สอนไว้แล้วว่า “สพฺพปาปสฺส อกรณํ” – การไม่ทำ�ชั่ว
ทั้งปวง หนึ่ง “กุสลสฺสูปสมฺปทา” – การยังกุศลหรือความฉลาดในสิ่งที่ชอบธรรม
ให้ถึงพร้อม หนึ่ง “สจิตฺตปริโยทปนํ” – การทำ�จิตของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึง
ความบริสทุ ธิ์ หนึง่ “เอตํ พุทธฺ าน สาสนํ” – เหล่านี้ เป็นคำ�สัง่ สอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย
คือว่านี้เป็นคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไม่มีองค์ ใด
แสดงให้แตกต่างจากนี้ ไป เพราะความจริงทั้งหลายไม่มีของแตกต่างไม่ว่าจะ
เป็นสมัยใดก็ตาม มีเรื่องของ อนิจจฺ ํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา อยู่ประจำ�โลกมานมนาน แม้
พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรูข้ น้ึ มา คือเป็นเวลาระหว่าง “สุญญกัป” ไม่มคี �ำ สัง่ สอน
แสดงเรื่องความจริงเหล่านี้ก็ตาม ความจริงเหล่านี้เคยมีมาดั้งเดิม มีมาตั้งกัป
ตั้งกัลป์โน่นอยู่แล้ว
สิ่งที่เราต้องการจะหาได้จากที่ไหน โลกอันแสนกว้างก็เต็มไปด้วยสิ่ง
เหล่านี้ทั้งนั้น เมื่อคิดอย่างนี้ก็เหมือนจะหาที่เหยียบย่าง หาที่ปลงจิตปลงใจ
ลงไม่ได้ เพราะหมดสถานที่จะวางใจพึ่งเป็น พึ่งตายได้ แต่สถานที่ว่าปลงจิต
ปลงใจลงไม่ได้นั้นแล คือสถานที่ที่ปลงจิตปลงใจลงได้ เพราะเป็นหลักธรรมที่
พึงปลงลงได้ ด้วยการพิจารณาให้เห็นตามความจริง
พระพุทธเจ้าทรงสำ�เร็จความมุ่งหวังจากสถานที่นั้น พระสงฆ์สาวก
ที่เป็นสรณะของพวกเราทั้งหลายก็สำ�เร็จความมุ่งหวังในจุดนั้น ธรรมที่ได้
นำ�มาประกาศสอนโลกให้สัตว์ทั้งหลายได้ยึดถือตลอดมาก็ออกมาจากจุดนั้นคือ
ใจ ซึ่งห้อมล้อมอยู่ด้วยกอง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นั้นแล
แม้เป็นที่ยอมรับกันเกี่ยวกับเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่มีอยู่เต็มโลก
ก็ตาม แต่ก็ ไม่มีผู้เฉลียวใจต่อไตรลักษณ์ พอจะนำ�มาพิจารณาเพื่อถือเอา
ประโยชน์ได้บ้าง นอกจากตำ�หนิโดยไม่คิดหาทางออกจากสิ่งเหล่านี้ ด้วยการ
พิจารณา “ไตรลักษณ์” นี้เป็นทางเดินเพื่อก้าวล่วงไปได้ ดังปราชญ์ทั้งหลาย
มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ด้วยเหตุนี้เราชาวพุทธจึงควรพิจารณา เพื่อแก้ไขส่งเสริมสิ่งที่บกพร่อง
ให้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมขั้นต่างๆ ที่จะพึงได้รับจากการพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ
ความตายเป็นธรรมดา ๒๑
อนตฺตา ซึ่งเป็นสัจธรรมอันประเสริฐ
การที่เราบำ�เพ็ญอยู่เวลานี้ และบำ�เพ็ญเรื่อยมานี้แล คือการดำ�เนิน
เพื่อหลบหลีกปลีกภัย ทั้งหลายโดยลำ�ดับ จนบรรลุถึง “มหาสมบัติอันพึงหวัง”
จากนั้นจะเรียกว่า “นิจฺจํ” เป็นของเที่ยงก็ ได้ เพราะไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง
ไม่มีอะไรเข้ามาทำ�ลายจิตใจให้เดือดร้อนวุ่นวาย จะเรียกว่า “บรมสุข” ก็ ไม่ผิด
จะเรียกว่า “อตฺตา” ก็ ไม่น่าจะผิด เพราะเป็น “ตน” แท้ คือตนในหลักธรรมชาติ
ไม่มี “สมมติ” น้อยใหญ่ แม้ปรมาณูเข้ามาเกี่ยวข้องใจ แต่ไม่ได้หมายถึงว่า
“อตฺตา” ที่เป็นคู่กับ “อนตฺตา” นั้นเป็นความสมมุติอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นทาง
ดำ�เนินเพื่อพระนิพพาน
แนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ เพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัย
ไปโดยลำ�ดับทั้งภายนอกภายใน ไม่มีสิ่งใดจะนอกเหนือไปจากพระโอวาท
คำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้เลย เพราะฉะนั้นศาสนาจึงไม่มีทางล้าสมัย
เป็น “มัชฌิมา” อยู่ในท่ามกลางแห่งความประพฤติ เพื่อแก้กิเลสทุกประเภท
เสมอไป ไม่มีคำ�ว่า “ล้าสมัย” เป็นธรรมเหมาะสมกับโลกทุกกาลทุกสมัย
จึงเรียกว่า “มัชฌิมา” คือ ถูกต้องดีงาม เหมาะสมกับความประพฤติ
จะประพฤติตัวให้เป็นเช่นไรในทางที่ดี ด้วยหลักธรรมที่ท่านสอนไว้แล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงามด้วยกันทั้งนั้น เฉพาะอย่างยิ่งการประพฤติ
ต่อจิตใจ การอบรมจิตใจยิ่งเป็นสิ่งสำ�คัญมากในตัวเรา เวลานี้เรามีความแน่ใจ
หรือยังว่า เราได้หลักเป็นที่พึงพอใจ หรือเริ่มจะได้หลักเป็นที่พึงพอใจบ้างแล้ว
ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเมื่อคิดถึงเรื่องอนาคต
นับตั้งแต่ขณะต่อไปนี้ จนกระทั่งอวสานแห่งชีวิต และตลอดไปถึง
ภพหน้า ชาติหน้า เราเป็นที่แน่ใจได้แล้วหรือยัง
พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนให้คนโง่และนอนใจ อยู่ ไปอย่างไม่ค ิด
นักปฏิบัติธรรมต้องคิดต้องพิจารณาเสมอเรื่องความเป็นมาว่า อายุเราเป็นมา
ผ่านมาแล้วเท่าไร เมื่อลบแล้วมีอะไรบ้างที่เหลืออยู่ ต่อไปจะหาอะไรมาบวก
มาเพิ่มขึ้นในสิ่งที่เราต้องการ หรือจะมีแต่เครื่องหมายลบไปเรื่อยๆ ถ้าอย่างนั้น
ก็แสดงว่า “ขาดทุน”
๒๒ ความตายเป็นธรรมดา
ขึ้นเมรุด้วย!
ถ้าจิตยังไม่สิ้นจากกิเลสอาสวะ จิตจะต้องท่องเที่ยวไปอีก ที่ขึ้นสู่เมรุ
นี้มีเพียงร่างกายเท่านั้น ทำ�ให้คิดไปมากมาย แม้แต่นั่งอยู่นั่นก็ยังเอามาเป็น
อารมณ์คิดเรื่องนี้อีก ปกติจิตทุกวันนี้ ไม่เหมือนแต่ก่อน ถ้ามีอะไรมาสัมผัสแล้ว
ใจชอบคิดหลายแง่หลายทางในธรรมทั้งหลาย จนเป็นที่เข้าใจความหมายลึก
ตื้นหยาบละเอียดแล้ว จึงจะหยุดคิดเรื่องนั้นๆ
ขณะนั้นพิจารณาถึงเรื่อง “วัฏวน” ที่วนไปวนมา เกิดขึ้นมาอายุสั้น
อายุยาว ก็ท่องเที่ยวไปที่นั่นมาที่นี่ ไปใกล้ไปไกล ผลสุดท้ายก็มาที่จุดนี้ จะไปไหน
ก็มีกิเลสครอบงำ�เป็นนายบังคับจิตไปเรื่อยๆ จะไปสู่ภพใดก็เพราะกรรมวิบาก
ซึ่งเป็นอำ�นาจของกิเลสพาให้เป็นไป ส่วนมากเป็นอย่างนั้น มีกรรม วิบาก และ
กิเลส ควบคุมไปเหมือนผู้ต้องหา ไปสู่กำ�เนิดนั้นไปสู่กำ�เนิดนี้ เกิดที่นั่นเกิดที่นี่
ก็เหมือนผู้ต้องหา ไปด้วยอำ�นาจกฎแห่งกรรม โดยมีกิเลสเป็นผู้บังคับบัญชาไป
สัตว์ โลกเป็นอย่างนี้ด้วยกัน ไม่มี ใครที่จะเป็นคนพิเศษในการท่องเที่ยวใน
“วัฏสงสาร” นี้ ต้องเป็นเช่นเดียวกัน ผู้ที่เป็นคนพิเศษคือผู้ที่พ้นจากกงจักร คือ
เครื่องหมุนของกิเลสแล้วเท่านั้น
นอกนัน้ ร้อยทัง้ ร้อย มีเท่าไรเหมือนกันหมด เป็นเหมือนผูต้ อ้ งหา คือไม่ได้
ไปโดยอิสระของตนเอง ไปเกิดก็ ไม่ได้เป็นอิสระของตนเอง อยู่ในสถานที่ใด
ก็ ไม่เป็นอิสระของตนเอง ไม่ว่าภพน้อยภพใหญ่ภพอะไรก็ตาม ต้องมีกฎแห่ง
กรรมเป็นเครื่องบังคับบัญชาอยู่เสมอ ไปด้วยอำ�นาจของกฎแห่งกรรม เป็นผู้
พัดผันพาให้ไปสูก่ �ำ เนิดสูงต่�ำ อะไรก็ตาม กรรมดีกรรมชัว่ ต้องพาให้เป็นไปอย่างนัน้
ไปสู่ที่ดีมีความสุขรื่นเริง ก็เป็นอำ�นาจแห่งความดี แต่ที่ยังไปเกิดอยู่ก็เพราะ
อำ�นาจแห่งกิเลส ไปต่ำ�ก็เพราะอำ�นาจแห่งความชั่ว และกิเลสพาให้ไป
คำ�ว่า “กิเลส” นี้จึงแทรกอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะไปภพใด แม้ที่สุด
พรหมโลก ก็ยังไม่พ้นที่กิเลสจะต้องไปปกครอง ถึงชั้น “สุทธาวาส” ก็ยังต้อง
ปกครองอยู่ สุทธาวาส ๕ ชั้นคือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา เป็น
ชั้นๆ สุทธาวาส แปลว่าที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ ถ้าแยกออกเป็นชั้นๆ อวิหาเป็น
ชั้นแรก ผู้ที่สำ�เร็จพระอนาคามีขั้นแรก อตัปปาเป็นชั้นที่สอง เมื่อบารมีแก่กล้า
แล้วก็ ได้เลื่อนขึ้นชั้นนี้ เลื่อนขึ้นชั้นนั้นๆ จนถึงชั้นสุทธาวาส ก็ยังไม่พ้นที่กิเลส
๓๒ จิตว่างเพราะวางกาย
ผู้ปฏิบัติธรรม นี่คือการรักษาธรรม
การปฏิบัติธรรมด้วยกำ�ลังและเจตนาดีของตนเหล่านี้ชื่อว่ารักษาธรรม
ผลต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมรักษาเราขึ้นมา คำ�ว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ ให้
ตกไปในที่ชั่ว นั้นก็คือ ผลของธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติของเรานี้แล เป็นเครื่อง
สนับสนุนและรักษาเรา ไม่ใช่อยู่ๆ พระธรรมท่านจะโดดมาช่วยโดยที่ผู้นั้น
ไม่สนใจกับธรรมเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเหตุที่พระธรรมจะรักษา
ก็คือเราเป็นผู้รักษาธรรมมาก่อน ด้วยการปฏิบัติตามธรรม ผลที่เกิดขึ้นจาก
การรักษาธรรมนั้น ก็ย่อมนำ�เราไปในทางแคล้วคลาดปลอดภัย มีความอยู่เย็น
เป็นสุข ที่ท่านเรียกว่า ธรรมรักษาผูป้ ฏิบตั ธิ รรม การปฏิบัติธรรมมีความหนักแน่น
มั่นคงละเอียดลออมากน้อยเพียงไร ผลเป็นเครื่องสนองตอบแทนที่เห็นชัด
ประจักษ์ ใจ ก็ยิ่งละเอียดขึ้นไปโดยลำ�ดับๆ ตามเหตุที่ทำ�ไว้นั้นๆ จนผ่านพ้นไป
จากภัยทั้งหลายได้ โดยสิ้นเชิงที่เรียกว่า “นิยยานิกธรรม” นำ�ผู้ปฏิบัติธรรมเต็ม
สติกำ�ลังความสามารถนั้นให้ผ่านพ้นจาก “สมมุติ” อันเป็นบ่อแห่ง อนิจฺจํ ทุกฺขํ
อนตฺตา หรือแหล่งแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ ไปเสียได้อย่างหายห่วงถ่วง
เวลา
พระพุทธเจ้าเป็นผู้หายห่วง พระอริยสงฆ์เป็นผู้หายห่วงได้ด้วยการ
ปฏิบัติธรรม ธรรมรักษาท่าน พยุงท่านจนถึงภูมิแห่งความหายห่วง ไม่มีอะไร
เป็นอารมณ์เยื่อใยเสียดาย เป็นผู้สิ้นภัย สิ้นเวรสิ้นกรรม สิ้นวิบากแห่งกรรม
โดยตลอดทั่วถึง คือพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกท่าน
ธรรมจึงเป็น “ธรรมจำ�เป็น” ต่อสัตว์ โลกผู้หวังความสุขเป็นแก่นสาร
ฝังนิสัยสันดานเรื่อยมาแต่กาลไหนๆ ผู้หวังความสุขความเจริญจำ�ต้องปฏิบัติ
ตนตามธรรมด้วยดีเพื่อความหวังดังใจหมายไม่ผิดพลาด ซึ่งเป็นการสร้างความ
เสียใจในภายหลังไม่มีประมาณ ซึ่งสัตว์ โลกไม่พึงปรารถนากัน
อันความหวังนัน้ หวังด้วยกันทุกคน แต่สง่ิ ทีจ่ ะมาสนองความหวังนัน้
ขึน้ อยูก่ บั การประพฤติปฏิบตั ขิ องตนเป็นสำ�คัญ เราอย่าให้มคี วามหวังอยูภ่ ายในใจ
อยู่อย่างเดียว ต้องสร้างเหตุอันดีที่จะเป็นเครื่องสนองตอบแทนความหวังนั้น
ด้วยดี ดังเราทั้งหลายได้ปฏิบัติธรรมเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันและปฏิบัติต่อไป
โดยลำ�ดับ นีแ้ ลคือการสร้างความหวังไว้ โดยถูกทางความสมหวังจะไม่เป็นของใคร
จิตว่างเพราะวางกาย ๓๕
เราอย่าลืมความรู้สึกอันนี้ซึ่งมีอยู่ภายในใจของโลกที่ยังปรารถนากัน
แม้จะมีวัตถุสมบัติอะไรมากมาย ความหิวโหยของจิต ความเรียกร้อง
ของจิต จะแสดงอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นเครื่องสนองตอบแทนกันให้เหมาะสม
ทั้งภายนอกและภายใน จำ�ต้องขวนขวายไปพร้อมๆ กันด้วยความไม่ประมาท
ภายนอกได้แก่ร่างกาย ภายในได้แก่จิตใจ เราจึงต้องสร้างสิ่งเยียวยารักษา
เป็นเครื่องบำ�รุงไว้ ให้พร้อมมูลทั้ง ๒ ประการ
ส่วนร่างกายก็เสาะแสวงหาทรัพย์สมบัติเงินทองมาไว้สำ�หรับเวลา
จำ�เป็น คุณงามความดีก็เสาะแสวงหาเพื่อเป็นเครื่องบรรเทาจิตใจ หรือพยุง
ส่งเสริมจิตใจให้มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกับส่วนร่างกายจนมีความสุข
สบาย เฉพาะอย่างยิ่งสร้างสติสร้างปัญญาขึ้นให้รอบตัว เราเกิดมาไม่ได้เกิด
มาเพื่อความจนตรอกจนมุม เราเกิดมาเป็นคนทั้งคน เฉพาะอย่างยิ่งหลักวิชา
ทุกแขนงสอนให้คนฉลาดทั้งนั้น ทางโลกก็ดี ทางธรรมก็ดี สอนแบบเดียวกัน
เฉพาะทางธรรมที่พระพุทธเจ้าผู้ซึ่งฉลาดแหลมคมที่สุด ทรงสั่งสอน
วิชาชนิดทีม่ นุษย์ไม่สามารถสอนกันได้ รูอ้ ย่างทีม่ นุษย์ไม่สามารถรูก้ นั ได้ ถอดถอน
สิ่งที่มนุษย์หึงหวงที่สุด ไม่สามารถจะถอดถอนกันได้ แต่พระพุทธเจ้าถอดถอน
ได้ทั้งสิ้น เวลามาสอนโลกไม่มีใครที่จะสอนแบบพระองค์ได้ ผู้นี้เป็นผู้ที่น่ายึดถือ
กราบไหว้อย่างยิ่ง ผลที่ปรากฏจากความฉลาดแหลมคมของพระพุทธเจ้าก็คือ
ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลก สั่งสอนโลกจนสะเทือนกระทั่งวัน
ปรินิพพาน แม้นิพพานแล้วยังประทานธรรมไว้เพื่อสัตว์ โลกได้ปฏิบัติตามเพื่อ
ความเกษมสำ�ราญแก่ตน ไม่มีอะไรบกพร่องสำ�หรับพระองค์เลย ท่านผู้นี้แล
สมพระนามว่าเป็น สรณํ คจฺฉามิ โดยสมบูรณ์ของมวลสัตว์ ในไตรภพไปตลอด
อนันตกาล
เราพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวคือจิตใจ ให้มีความสมบูรณ์พูนสุขไป
ด้วยคุณงามความดี ความฉลาดภายในอย่าให้จนตรอกจนมุม พระพุทธเจ้าไม่พา
จนตรอก ไม่เคยทราบว่าพระพุทธเจ้าจนตรอก ไปไม่ได้และติดอยู่ที่ตรงไหนเลย
ติดตรงไหนท่านก็ฟันตรงนั้น ขุดตรงนั้นจนทะลุไปได้ไม่จนมุม ไม่ใช่ติดอยู่แล้ว
นอนอยู่นั่นเสีย จมอยู่นั่นเสีย อย่างสัตว์ โลกทั้งหลายที่จนตรอกจนมุมแล้ว
ท้อถอยอ่อนแอถอนกำ�ลังออกไปเสีย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ สุดท้ายก็ยิ่งจมใหญ่ ยิ่งกว่า
๓๘ จิตว่างเพราะวางกาย
คนตกน้ำ�ท่ามกลางมหาสมุทรทะเลหลวง
ที่ถูกติดตรงไหน ขัดข้องตรงไหน นั้นแลคือคติธรรมอันหนึ่ง เป็นเครื่อง
พร่�ำ สอนเราให้พนิ จิ พิจารณา สติปญ ั ญาจงผลิตขึน้ มาให้ทนั กับเหตุการณ์ทข่ี ดั ข้อง
แม้จะประสบเหตุการณ์อนั ใดก็ตาม อย่าเอาความจนตรอกจนมุมมาขวางหน้าเรา
จงเอาสติปญ ั ญาเป็นเครื่องบุกเบิก อะไรมันขวางบุกเบิกเข้าไปเรื่อยๆ คนเรา
ไม่ใช่จะโง่ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่จะฉลาดมาตัง้ แต่วนั เกิด ต้องอาศัยการศึกษาอบรม
อาศัยการพินิจพิจารณา อาศัยการอบรมสั่งสอนของครูอาจารย์ อาศัยการ
ค้นคว้า ความฉลาดจะเกิดขึ้นโดยลำ�ดับๆ และไม่มีประมาณ ในน้ำ�มหาสมุทร
จะว่ากว้างแคบอะไรก็ตาม ปัญญายังแทรกไปได้หมด และกว้างลึกยิ่งกว่า
แม่น้ำ�มหาสมุทร!
ความโง่อะไรจะโง่ยงิ่ กว่าจิตไม่มี ถ้าทำ�ให้ โง่ โง่จนตัง้ กัปตัง้ กัลป์ เกิดด้วย
ความโง่ ตายด้วยความโง่ อยู่ด้วยความโง่ โง่ตลอดไป ถ้าจะให้ โง่ ใจต้องโง่
อย่างนั้น! ถ้าจะให้ฉลาด ฉลาดที่สุดก็ที่ใจดวงนี้! ฉะนั้น จงพยายาม เราต้องการ
อะไรเวลานี้นอกจากความฉลาด เพราะความฉลาดพาให้คนดี พาคนให้พ้นทุกข์
ไม่ว่าทางโลกทางธรรมพาคนผ่านพ้นไปได้ทั้งนั้นไม่จนตรอกจนมุมถ้ามีความ
ฉลาด นี่เรากำ�ลังสร้างความฉลาดให้กับเรา จงผลิตความฉลาดให้มากให้พอ
เฉพาะอย่างยิง่ เราแบกหามเบญจขันธ์อนั นีม้ านาน เราฉลาดกับมันแล้วหรือยัง?
ส่วนมากมีแต่บ่นให้มันโดยที่มันไม่รู้สึกตัวกับเราเลย บ่นให้แข้งให้ขา
อวัยวะส่วนต่างๆ ปวดนั้นปวดนี้บ่นกันไป มันออกมาจากใจนะความบ่นน่ะ
ความไม่พอใจนะ การบ่นนั้นเหมือนกับเป็นการระบายทุกข์ ความจริงไม่ใช่การ
ระบายทุกข์ มันกลับเพิ่มทุกข์ แต่เราไม่รู้สึกตัวว่ามันเป็นทุกข์สองชั้นขึ้นมาแล้ว
ขณะนี้รู้หรือยัง ถ้ายัง ขณะต่อไป วันเวลาเดือนปีต่อไปจะเจอกับปัญหาเพิ่ม
ทุกข์สองชั้นอีก ชนิดไม่มีทางสิ้นสุดยุติลงได้
เรื่องของทุกข์น่ะ เรียนให้รู้ตลอดทั่วถึง ขันธ์อยู่กับเรา สมบัติเงินทอง
มีอยู่ในบ้านเรา มีมากน้อยเพียงไรเรายังมีทะเบียนบัญชี เรายังรู้ว่าของนั้นมี
เท่านั้น ของนี้มีเท่านี้ เก็บไว้ที่นั่นเท่านั้น เก็บไว้ที่นี่เท่านี้ เรายังรู้เรื่องของมัน
จำ�นวนของมัน เก็บไว้ ในสถานที่ใด ยังรู้ได้ตลอดทั่วถึง
แต่สกลกายนี้ ธาตุขันธ์ของเรานี้ เราแบกหามมาตั้งแต่วันเกิด
จิตว่างเพราะวางกาย ๓๙
พุทธบริษัทนั้นๆ ย่อมมีกิเลสประเภทเดียวกัน
ฉะนั้น การสอนธรรมแต่ละครั้งจึงปรากฏว่ามีผู้ได้รับผลประโยชน์
ตลอดถึงบรรลุมรรค ผล นิพพาน มีจำ�นวนมาก เพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เพราะเรื่องความจริงนั้นเหมือนกัน แสดงเรื่องความจริงออกมาเป็นกลางๆ
เท่านั้น ใครก็ “โอปนยิโก” คือ น้อมเข้ามาสู่ตัว ท่านพูดถึงความโลภ ความโลภ
ของเราก็มี พูดถึงความโกรธ ความหลง ก็ต่างคนต่างมี พูดถึงเรื่องละความโลภ
ความโกรธ ความหลง ต่างคนก็พยายามละด้วยกัน ท่านเทศน์ ให้รู้ สอนให้รู้
ต่างคนต่างมีความรู้อยู่แล้ว และสนใจฟังด้วย ทำ�ไมจะไม่รู้
ธรรมเหมือนกัน กิเลสอาสวะเหมือนกัน พระพุทธเจ้าประทานแก่ผู้ ใด
ก็ตาม บรรดาผู้ที่มีความสนใจหวังผลประโยชน์จากการฟัง ก็ต้องได้รับผลมาก
ไปตามเหตุ ถ้าเราจะเสาะแสวงดูโทษที่มีอยู่ภายในตัวเรา เราก็ควรจะทราบได้
อย่างชัดเจนทำ�ไมจะไม่ทราบ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและตำ�หนิติเตียนนั้น
มีอยู่กับใครถ้าไม่มีอยู่กับพวกเราที่มีกิเลสด้วยกันนี้ ก็เมื่ออยู่กับพวกเราแล้ว
ทำ�ไมเราจะไม่ทราบว่าอันใดเป็นกิเลส ถ้าทราบว่าอันนั้นเป็นกิเลส และกิเลส
เป็นภัย เราจะต้องมีความกลัว ความขยะแขยง ถ้าท่านสอนวิธี “ละ” เราจะ
ต้องรีบนำ�มาปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ แล้วได้ผลขึ้นมาโดยลำ�ดับ นี้ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง สิ่งที่มีอยู่ในตนก็ให้ท่านสอน ถ้าไม่โง่จะให้ท่านสอน
ทำ�ไม มันมีด้วยกันทุกคน สติปัญญาก็มีอยู่ด้วยกันแต่ไม่ทราบ นี่แหละท่านจึง
เรียกว่า “พวกเราโง่” เหยียบย่ำ�ไปมาอยู่กับความจริงทั้งหลาย ก็ ไม่ทราบ
ให้พยายามเปลีย่ นเสือ้ เปลีย่ นเสือ้ เรื่อยๆ เอาจนกระทัง่ ถึง “เสือ้ ทันสมัย”
ไม่ต้องไปหามาจากเมืองนอกเมืองนาที่ไหนกัน ส่วนมากสิ่งใดที่ว่าทันสมัยแล้ว
จะต้องมาจากเมืองนอก เมืองเราไม่มี เพราะเหตุใดถึงไม่มี? น่าคิดอยู่มาก สติ
ปัญญาเราก็พอ มีมือเท้าเราก็พอมี ทำ�ไมถึงไม่ทันสมัย มันไม่ทันที่หัวใจของ
กิเลสนั่นเอง ที่มันพาคน “เห่อ” จนลืมเนื้อลืมตัว และเอาจนฉิบหาย เพราะมัน
ยังไม่ยอมรู้สึกตัวว่าโง่ ล้าสมัย สิ่งที่ซื้อมานั้นทันสมัยอยู่หรอก แต่ตนนั่นซิ มัน
เห่อ มันโง่ มันจึงล้าสมัยไปโดยไม่รู้ตัว
พูดง่ายๆ อย่างนี้ ถ้าจะพิจารณาตามเหตุตามผลแล้วมันทันด้วยกันนัน่ แล
สัตว์ก็ทันสมัยไปตามสัตว์แต่ละประเภท คนก็ทันสมัยกันแต่ละชาติแต่ละภาษา
จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย ๔๗
ไม่เป็นอย่างอื่น
สมบัตินี้อยู่กับเรา ให้พยายามส่งเสริมสมบัตินี้ให้ได้ประจักษ์ อย่างน้อย
ให้เป็นความเย็นใจเถอะ นี้เป็นที่แน่ใจ เป็นที่ตายใจได้จริงๆ เพียงจิตใจมี
ความสงบเท่านั้นก็ปรากฏเป็นความเย็นใจขึ้นมา เป็นหลักใจขึ้นมาประกันตัว
จงพยายามอบรมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความสงบนั้นเป็นรากเป็นฐานให้มีความมั่นคง
ขึ้นเป็นลำ�ดับ ก็ยิ่งเป็นความมั่นใจของผู้ปฏิบัตินั้นๆ มากขึ้น
พิจารณาทางด้าน “ปัญญา” เพื่อจะเปิดสิ่งที่ปกคลุมหุ้มห่อภายในใจ
นี้ออก อะไรที่มาปกคลุม ก็ความยึดมั่นถือมั่น ความสำ�คัญผิดของตนนั้นแล
กลับมาเป็นภัยแก่ตนเอง มาปกคลุมจิตใจเสียเอง ความสำ�คัญมัน่ หมาย ความคิด
ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เพราะไม่รู้ ในสิ่งใด จึงต้องยึดมั่นถือมั่น ท่านแสดง
ออกไป
เรื่องภายนอกมีมากมาย รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส พูดกว้างๆ
นะนี่
รูป รูปอะไร เราแยกขยายออกไปเต็มโลกเต็มสงสาร รูปหญิง รูปชาย
รูปพัสดุสิ่งของ สมบัติเงินทองอะไร เรียกว่า “รูป” ทั้งนั้น เสียงก็เสียงอะไร
ต่างๆ ว่ากันไป เช่นเสียงขับลำ�ทำ�เพลง เป็นต้น ที่จิตไปสำ�คัญมั่นหมายกับเสียง
เหล่านี้ แล้วสร้างความปิดบังตัวเองโดยไม่รู้สึกตัว ความสำ�คัญมั่นหมายนี้แล
ปกคลุมหุ้มห่อจิตใจให้มืดมิดปิดตา ไม่ทราบความจริงของสิ่งเหล่านั้น เพราะไม่
ทราบความจริงของจิตที่หลอกลวงตัวเอง ท่านจึงสอนให้พิจารณา “ภายนอก”
เช่น รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ด้วยสติปัญญา นี่เป็น “ปัญญาชั้นหนึ่ง”
ที่จะถอนตัวออกมาจากสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ย้อนเข้ามาถึงสิ่งสำ�คัญที่ติดแนบอยู่
กับตัวเรา ที่ถือว่าเป็น “เรา” มาตั้งแต่วันเกิด “ผม” ก็เห็นว่าเป็นเรา เป็นของ
เรา “ขน” ก็ว่าเป็นเรา “เล็บ” ก็เรา “ฟัน” ก็เรา เนื้อ หนัง กระดูก ทุกชิ้น
ทุกสิ่งทุกอันภายในร่างกายนี้ เป็นเราและเป็นของเรา เหล่านี้เป็นสิ่งที่จิตติด
มากทีเดียว ใจกับกายติดกันจนแยกไม่ออก ถ้าไม่แยกด้วยสติปัญญา ดังที่ได้
อธิบายมานี้
รูป ที่เรียกว่า “กาย” นี้ มันติดเป็นอันเดียวกับใจ ใจกับกายนี้ก็เป็นเรา
เราเป็นใจ ใจก็เป็นกายนี้ ทั้งกายทั้งใจนี้เป็นเรา และเรียกว่า “เรา” โดยความ
จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย ๕๑
รู้สึกของสามัญชนทั่วๆ ไปเป็นอย่างนั้น
เวทนา ความสุขก็ตาม ความทุกข์ก็ตาม เฉยๆ ก็ตาม เกิดขึ้นกับ
ร่างกายหรือใจ ใจจะถือว่าเป็นเรา เป็นของเราทั้งสิ้น เราเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นเรา
ยุ่งไปหมด เราเป็นสุข สุขเป็นเรา อะไรๆ ก็เป็นเราเสียสิ้น
สัญญา ความจำ� ก็เราจำ� อะไรก็เราจำ� ความจำ�เป็นเรา เป็นของเรา
สังขาร ก็เราคิดเราปรุง ดี ชั่ว เป็นเราเป็นของเรา คิดกันยุ่งจนแทบ
ล้มแทบตาย เพราะความคิดมันก่อกวนวุ่นวาย ก็ยังว่าเป็นเรา นั่นเห็นไหมล่ะ?
มันหลงอย่างนี้เอง
วิญญาณ รับทราบอะไร ก็เป็นเราทั้งหมด ได้ยินว่า “นรก” พอได้ยิน
ก็ถือเอาคำ�ว่า “ได้ยิน” นั้นเป็นเรา เป็นของเราเข้าไปอีก และเรื่องทั้งหลาย
ก็มากองอยู่ภายใน “จิต” จิตจึงแย่ อะไรก็ขนเข้ามา ขนเข้ามา จอมปลอมอะไร
ก็ขนเข้ามาให้จิตแบก จิตรับ จิตหาม วุ่นไปหมด แล้วจะไม่ทุกข์อย่างไร
นี่แล สิ่งที่ปิดบังจิตใจ สิ่งกดขี่บังคับ สิ่งทับถมจิตใจ สิ่งเสียดแทงจิตใจ
คือ ความหลงของใจเอง ที่ ไปกว้านเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามาเป็น ภัยแก่ตัวเอง
เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้ปัญญาเป็นผู้บุกเบิก เป็นผู้แยกแยะให้เห็นตามความจริง
เอ้า รูป “รูปํ อนิจฺจํ” มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน ก็รู้กันอยู่แล้ว “รูปํ อนตฺตา”
ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ใคร และไม่ใช่ของใคร เป็นความจริงอยู่
ตามสภาพของมัน “อนิจฺจํ ทุกฺขํ” ก็ทุกข์ เห็นกันอยู่พอแล้ว ถือว่าเป็น “ตน”
ที่ไหนได้ ฟังแต่ว่า “อนตฺตา อนตฺตา” มันไม่ใช่ทั้งนั้น เรายังจะฝืนความไม่ใช่
ตนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่หรือ ถ้าไม่อยากจะอยู่กับกองขันธ์ห้า ก็จง
พิจารณาแยกตัวออกตามที่ท่านสั่งสอน อย่าเอากิเลสโสมมไปยื้อแย่งแข่งดีกับ
“สวากขตธรรม” ท่าน ที่ตรัสไว้ โดยชอบแล้ว มันขวางธรรมท่าน
พระพุ ท ธเจ้า เป็นผู้รู้จริงเห็นจริงแท้ๆ ทำ�ไมไม่เ ชื่อพระพุทธเจ้า
“รูปํ อนตฺตา” เรายังถือว่าเป็นอัตตาตัวตนอยู่หรือ ท่านผู้รู้แท้ๆ เป็นผู้สอนเรา
ทำ�ไมเราไม่เชื่อ เรากราบ “พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ” ไปทำ�ไม เมื่อเรา
ไม่เชื่อ คำ�ว่า “รูปํ อนตฺตา, เวทนา อนตฺตา, สญฺญา อนตฺตา, สงฺขารา อนตฺตา,
วิญฺญาณํ อนตฺตา” ซึ่งเป็น “อนัตตา” ทั้งสิ้นนี้ เรายังจะถือว่า นี้เป็นเรา เป็น
ของเราอยู่แล้ว เราจะเชื่อพระพุทธเจ้าไปทำ�ไม เรากล่าวถึง พระพุทธเจ้า
๕๒ จงพยายามเปลี่ยนเสื้อให้ทันสมัยก่อนตาย
ศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล ตั้งแต่
พื้นแห่งความดีทั้งหลายจนกระทั่งถึงความดีอันสุดยอด ออกจากศาสนาที่
กลั่นกรองคนให้เป็นคนดีเป็นลำ�ดับลำ�ดาไป ศาสนาพุทธนี้จึงเป็นศาสนาที่ชาว
พุทธเราไม่ควรให้พลาดไป จะเสียใจในภายหลัง เพราะเป็นศาสนาที่เลิศเลอ
ที่สุด เราไม่เหยียบย่ำ�ทำ�ลายศาสนาใด เราเอาหลักความจริงมาพูด ศาสนา
ของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสแล้ว คำ�ว่าสิ้นกิเลสกับมีกิเลสเป็น
อย่างไร คนมีกิเลสก็เหมือนคนหูหนวกตาบอด อวัยวะใช้อะไรไม่ได้สมบูรณ์
แหละ ส่วนศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส คำ�ว่า สิ้นกิเลส คือหูแจ้ง
ตาสว่าง หูนอกตาในสว่างกระจ่างแจ้งทุกอย่าง นำ�ธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นด้วย
ความสว่างกระจ่างแจ้งแล้วนั้นมาสั่งสอนสัตว์ โลก จึงไม่มีผิดมีพลาด
ว่านรกก็ดีว่าสวรรค์ก็ดี ว่าบาปว่าบุญก็ดี ว่าพรหมโลกนิพพานก็ดี
ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ดั้งเดิม ธรรมชาติเหล่านี้ ไม่มีใครทำ�ลายได้
ไม่มีใครมีอำ�นาจจะทำ�ลายให้สูญสิ้นไปได้ ย่อมมีมาดั้งเดิม แล้วสัตว์ โลกทั้งหลาย
ก็เกี่ยวข้องอยู่เป็นประจำ� ผู้ทำ�บาปก็ ไปนรก ผู้ทำ�บุญก็ ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก
ไปนิพพาน คำ�ว่า นรก ก็มีหลายหลุมหลายบ่อ นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสัตว์ โลก
มาตลอด เมื่อสัตว์ โลกยังมีการทำ�กรรมดีกรรมชั่วอยู่ตราบใดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็
๕๘ ใจไม่เคยตาย
ต้องมีอยู่ประจำ�โลกตราบนั้นไม่มีสูญสิ้นไปที่ไหน ให้พากันเข้าใจ
คำ�พูดของพระพุทธเจ้าไม่เคยมีสอง มีค�ำ เดียวเท่านัน้ คือจริงอย่างเดียว
ท่านให้นามว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง ได้แก่พระวาจาของพระพุทธเจ้าที่
ตรัสออกแล้วเป็นอย่างทีต่ รัสทุกอย่าง และพระญาณหยัง่ ทราบอะไรแล้วไม่มสี อง
หยั่งทราบอย่างไรแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ก็เรียกว่า เอกนามกึ คือ หนึ่งไม่มีสอง
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่อุบัติขึ้นมานี้ ไม่มีคู่เคียง เพราะอุบัติยาก อุบัติขึ้นมา
แต่ละครั้งนี้มีเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ดังพระพุทธเจ้าของเรา
ตรัสรู้ขึ้นมานี้ก็มีพระองค์เดียว หลังจากนั้นแล้วก็จะมี พระอริยเมตไตรย
มาตรัสรู้ลำ�ดับที่สองในภัทรกัปนี้ ซึ่งมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ หมดนี้แล้วก็
เป็นกัปอื่นต่อไปอีก
คำ�ว่ากัปว่ากัลป์นั้น ความยืดยาวนานนี้หาประมาณไม่ได้ ท่านจึง
เรียกว่ากัปว่ากัลป์ มีกัป มีภัทรกัป มีมหาภัทรกัป มีหลายกัป กัปใหญ่กัปน้อย
มีหลายกัป แต่ละกัปนี้เหมือนกับเป็นดอนๆ ในท้องมหาสมุทรนั้นแหละ เกาะดอน
อยู่ตามท้องมหาสมุทร นี่พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้จากกัปนั้นๆ ก็เหมือนกันเช่นนั้น
แต่ละกัปๆ นี้ยืดยาวนาน ที่สัตว์ โลกทั้งหลายจะเห็นศาสนา คือ กัปนี้หมดไปแล้ว
ก็เรียกว่าเป็น สุญญกัป ระหว่างกัปนี้กับกัปต่อไปนั้นเป็นสุญญกัปว่างเปล่าไม่มี
ศาสนา มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้เต็มโลกดินแดนทั่วไปหมด เมื่อมีพระพุทธเจ้ามา
ตรัสรู้เมื่อไรก็มีน้ำ�ดับไฟมาพร้อมๆ เช่นภัทรกัป นี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ มา
ตรัสรู้ไปแล้ว ๔ พระองค์แล้วเวลานีย้ งั เหลืออยูพ่ ระองค์เดียว นีก่ เ็ รียกว่าภัทรกัป
ระหว่างพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ นั้นท่านเรียกว่า พุทธันดร คือ
ระหว่างพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งๆ เชื่อมกัน ระหว่างนั้นแหละท่านเรียก
พุทธันดร ระหว่างแห่งพระพุทธเจ้า จากกัปนี้ ไปสู่กัปนั้นไม่มีศาสนาเลย ว่างเปล่า
ท่านเรียกว่า สุญญกัป ใครเกิดในระหว่างสุญญกัปนี้แล้วเป็นอันว่าจมทีเดียว
ถ้ากรรมชั่วที่สุดแล้วจะไปเกิดในระหว่างสุญญกัปนี่ คือกัปนั้นกับกัปนี้ต่อกัน
เป็นสุญญกัป ไม่มีคำ�ว่าบุญว่าบาป ไม่มีคำ�สั่งสอน มีแต่กิเลสเต็มโลกธาตุนี้
แน่นไปหมดตั้งแต่กิเลสซึ่งก่อฟืนก่อไฟเผาสัตว์ โลกให้ ได้รับความเดือดร้อน
ระส่ำ�ระสาย
มองเห็นกันอย่างนี้มีแต่จะกัดจะฉีก กัดฉีกกันกิน ตามหนังสือท่าน
ใจไม่เคยตาย ๕๙
ปฏิบัติถึงคราวเด็ดมันต้องเด็ด ถึงคราวเฉียบขาดต้องเฉียบขาด
มันเป็นไปตามจังหวะหรือตามเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับจิตนี่เองแหละ ถึงคราว
จะอนุโลมก็ต้องอนุโลม ถึงคราวจะผ่อนสั้นผ่อนยาวไปตามเหตุตามกาลตามธาตุ
ตามขันธ์ก็มี ถึงคราวหมุนติ้วไปตามอรรถตามธรรมโดยถ่ายเดียวก็มี
เวลาจำ�เป็น ใจซึ่งควรจะเด็ดเดี่ยวต้องเด็ดเดี่ยวจนเห็นดำ�เห็นแดงกัน
อะไรๆ จะสลายไปที่ไหนก็ ไปเถอะ แต่จติ กับธรรมจะสลายจากกันไม่ได้ การปฏิบตั ิ
เป็นอย่างนั้น เราจะเอาแบบเดียวมาใช้นั้นไม่ได้ เพราะธรรมไม่ใช่แบบเดียว
กิเลสไม่ใช่ประเภทเดียวแบบเดียว ประเภทที่ควรจะลงกันอย่างหนักก็มี ประเภท
ที่ควรจะผ่อนผันสั้นยาวไปตามบ้างก็มีตามกาลตามสมัย หรือเกี่ยวกับเรื่องธาตุ
เรื่องขันธ์กำ�ลังวังชาของตัวก็มี ถึงคราวจะทุ่มเทหมดไม่มีอะไรเหลือเลยก็มี
เมื่อถึงคราวเช่นนั้นอะไรจะเหลืออยู่ไม่ได้ มันหากบอกในจิตเอง รู้อยู่กับจิตเอง
“เอ้า..ทุ่มลงไปให้หมด กำ�ลังวังชามีเท่าไรทุ่มลงไปให้หมดอย่าสงวนไว้ กระทั่ง
จิตตัวคงทนไม่แปรไม่แตกสลายเหมือนสิง่ อื่นๆ ก็ไม่สงวนหวงแหนไว้ ในขณะนัน้ ”
เอ้า! จิตจะดับไปด้วยการพิจารณาในสิ่งทั้งหลายที่เห็นว่าดับไปๆ ก็ให้รู้
ว่าจิตนี้มันดับไป จะไม่มีอะไรเหลือเป็น “ความรู้” อยู่ในร่างกายเรานี้ ก็ให้รู้ด้วย
การปฏิบัติธรรมนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดมาเป็นแบบฉบับ
๖๖ “ หัดตาย ”
นี่เรียกว่า แน่ใจเต็มที่!”
ทุกข์เกิดขึน้ ทุกข์นน้ั ก็ดบั ไป ไม่มอี ะไรดับ นอกจากทุกข์ทเ่ี กิดขึน้ แล้ว
ดับไปเท่านั้น มีทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นภายในกาย มีกายที่เป็นตัวเกิดนี้เท่านั้น
เป็นทุกข์ เป็นผู้จะดับจะสลาย ไม่มีอันใดดับ อันใดสลาย นอกจากสิ่งนี้ สิ่งที่
ผสมกันนี้สลายเท่านั้น
ส่วนจิตไม่มีอะไรผสม นอกจากกิเลสเท่านั้นที่มาผสมจิต กิเลสเป็น
สิง่ ทีด่ บั ไปได้ แต่จติ ล้วนๆ ดับไม่ได้ ไม่มดี บั จิตจะดับไปไหน อะไรจะสลาย
ก็สลายไปจะเสียดายมันทำ�ไม ความเสียดายเป็นความเยื่อใย เป็นเรื่องกดถ่วง
จิตใจ ความเสียดายนั้นคือความฝืนคติธรรมดาแห่งหลักธรรมที่ท่านสอนไว้
และเป็นข้าศึกและผู้อาลัยเสียดายอีกด้วย
ทุกข์เกิดขึ้นมากน้อยก็เป็นเรื่องของทุกข์ ทุกข์จะดับไปก็เป็นเรื่อง
ของทุกข์ เราเป็นผูร้ ู้ รูท้ ง้ั ทีท่ กุ ข์เกิดขึน้ ทัง้ ทุกข์ตง้ั อยู่ ทัง้ ทุกข์ดบั ไป ธรรมชาติ
นีเ้ ป็น “ผูร้ ”ู้ ไม่ใช่ผเู้ กิดผูด้ บั จะกลัวความเกิดความดับ กลัวความล่มความจม
ในจิตอย่างไรกัน มันจะล่มจมไปไหน พิจารณาอย่างนี้เพื่อจะฟื้นฟูจิตใจขึ้นมา
จากตมจากโคลน เพื่อให้ ใจได้เห็นชัดรู้ชัดตามความจริง จิตใจจะล่มจมไปไหน
ถึงกลัวนักหนาในขณะจะตาย มันหลอกกันเฉยๆ นี่ ตามความเข้าใจของท่าน
ของเรา ถ้าพูดถึงว่าหลอกกันนะ แต่ไม่มีใครจะมีเจตนาหลอกใครแหละ ตายๆ
นี่น่ะ
โลกเขาสมมุติกันมาอย่างนั้นนับกัปกัลป์ไม่ได้แล้ว เมื่อพิจารณาเข้าถึง
ความจริงแล้ว “โอ..นี่มันหลอกกัน” ความจริงไม่มีอะไรตาย ธาตุสี่ ดิน น้ำ� ลม ไฟ
สลายลงไปแล้วก็ ไปอยู่ตามธาตุเดิมของเขา จิตที่กลัวตายนี้ยิ่งเด่น มันไม่ได้
ตายนี่ เห็นชัดๆ อย่างนี้ อะไรเป็นสาเหตุให้จิตตายไม่มี เห็นชัดๆ อยู่ว่าไม่มี
ใจยิ่งเด่น ผู้ที่รู้ที่พิจารณาสิ่งทั้งหลายนั้นยิ่งเด่น
เราไม่หวงอะไร จะไปก็ ไปเมื่อถึงคราวแล้ว ผู้ที่รู้ก็รู้ตามเหตุตามผล
ไม่ถอยในเรื่องรู ้ ผทู้ สี่ ลายก็สลายไป ไม่อาลัยไม่เสียดาย ไม่หวง หวงทำ�ไม มันหนัก
ยึดไว้ทำ�ไม สิ่งเหล่านี้เป็นของหนักมาก
การรู้ตามเป็นจริง ปล่อยวางตามสภาพของมัน นั่นแลคือความจริง
ไม่กังวล ถึงอยู่ไปอีกมันก็จะตายอย่างนี้ อยู่เพื่อตาย อยู่เพื่อแตก เวลานี้พิจารณา
“ หัดตาย ” ๗๓
ให้เห็นความแตกดับเสียก่อนตั้งแต่ยังไม่แตก นี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
สำ�หรับผู้มีปัญญา นี่ขั้นสำ�คัญ
ผู้พิจารณาเช่นนี้จะเป็นผู้ไม่หวั่นไหว เห็นชัดตามเป็นจริง ที่ชื่อว่า
“เวทนา” นั้น มันเป็นอะไร มันก็เวทนานั่นแล มันเป็นเราเมื่อไร มันเกิดขึ้นมัน
ดับไป เราทำ�ไมจะเกิดขึ้นดับไปอยู่วันยังค่ำ�คืนยังรุ่งเช่นนั้น ถ้าเวทนาเป็นเรา
ถ้าเวทนาเป็นเราแล้ว เอาที่ไหนเป็นที่แน่ใจว่า “เป็นเรา” หรือสาระอะไรว่า
เป็นเราได้ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็ว่าเราเกิดขึ้น ทุกขเวทนาดับไปก็ว่าเราดับไป
มีแต่เราเกิดเราดับอยู่วันยังค่ำ� คืนยังรุ่ง หาความแน่นอนที่ไหนได้ ถ้าเราจะ
ไปเอาเรากับทุกขเวทนามาบวกกันมันไม่ได้เรื่อง เหลวไหลทั้งนั้น เพราะฉะนั้น
เพื่อความจริง เพื่อความไม่เหลวไหลต้องให้ทราบ ทุกข์มันเกิดขึ้นมากน้อย
ต้องให้ทราบว่าทุกข์เกิดขึ้นคือเรื่องของทุกข์ มันตั้งอยู่ก็คือเรื่องของทุกข์
มันดับไปก็คือเรื่องของทุกข์ เราผู้รู้ทั้งทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็น
เรื่องของเรา เป็นเรื่องของความรู้นี่
“สัญญา” จำ�ได้แล้วมันดับ เราเห็นไหม มันเกิดมันดับอยู่อย่างนั้น
เป็น “เรา” ได้อย่างไร เอาความแน่นอนกับมันได้ที่ไหน ท่านจึงว่า “สญฺญา
อนิจฺจา สญฺญา อนตฺตา”
“สังขาร” ปรุงดีปรุงชั่ว ปรุงเท่าไรมันก็ดับไปพร้อมกันทั้งนั้น ถ้าเราจะ
เอา “เรา” เข้าไปสู่สังขาร มันเกิดดับวันยังค่ำ� หาความสุขไม่ได้เลย
“วิญญาณ” มันกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบเมื่อไรมันรู้ๆ
รู้แล้วดับไปพร้อมๆ กัน ทั้งขณะที่เกิดที่ดับมันขึ้นในขณะเดียวกัน เราจะเกิด
ดับๆ เกิดดับอยู่อย่างนั้น หาความแน่นอนเที่ยงตรงได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นอาการอันหนึ่งๆ เท่านั้น ผู้ที่รู้สิ่งทั้งหลาย
เหล่านี้แลคือ ใจ ความรู้เป็นสิ่งที่แน่นอน เป็นสิ่งที่ตายตัว ขอให้รู้สิ่งภายนอก
อันจอมปลอมทั้งหลายนี้ ว่าเป็นสภาพอันหนึ่งๆ เท่านั้น จิตนี้จะตั้งตัวได้อย่าง
ตรงแน่วไม่หวั่นไหว จะเกิดขึ้นก็ ไม่หวั่นไหว จะไม่เกิดขึ้นก็ ไม่หวั่นไหว จะดับไป
ก็ ไม่มีอะไรหวั่นไหว เพราะจิตรู้เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาอาการที่อาศัยกันอยู่
และรู้ทั้งตัวจริงคือธรรมชาติของจิตแท้ว่าเป็นตัวของตัวแท้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ด้วยปัญญาซักฟอกด้วยดีแล้ว ผู้นี้เป็นผู้แน่นอน นี่แหละท่านผู้แน่นอน คือ
๗๔ “ หัดตาย ”
ท่านผู้รู้ธรรมชาติที่แน่นอน และรู้ถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหลายตามความเป็นจริง
ปล่อยวาง สลัดปัดทิ้งออกตามส่วนของมัน ส่วนไหนที่จริงให้อยู่ตามธรรมชาติ
แห่งความจริงของตน เช่น จิต เป็นต้น
นี่หลักความจริง หรือหลักวิชาที่เรียนมาเพื่อป้องกันตัว เพื่อรักษาตัว
เพื่อความพ้นภัย เปลื้องทุกข์ทั้งหลายออกจากตัว นี่คือหลักวิชาแท้ เรียนธรรม
เรียนอย่างนี้เรียนเรื่องของตัวเอง เรียนเรื่อง “ความรู้” ความคิดต่างๆ เรียน
เรื่องกาย เรื่องเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็น “อาการ ๕ อย่าง” นี้
ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับใจ ถึงกับเหมาว่า นี่เป็นตนเป็นของตน ให้รู้ตามความ
เป็นจริงของมันทุกอาการ แล้วปล่อยวางไว้ตามสภาพแห่งอาการของมัน
นี่ เรียกว่า “เรียน” เรียกว่า “ปฏิบัติ” เรียกว่า “รู้” รู้ก็ละ ก็ถอน
ถ้ารู้จริงแล้ว ต้องละต้องถอน เมื่อละถอนแล้ว ความหนักซึ่งเคยกด
ถ่วงจิตใจที่เนื่องมาจาก “อุปทาน” ก็หมดไปๆ เรียกว่า “จิตพ้นจากโทษ” คือ
ความจองจำ�จากความสำ�คัญมั่นหมายที่เป็นเหตุให้จองจำ� พ้นอย่างนี้แลที่ว่า
“จิตหลุดพ้น” ไม่ได้เหาะเหินเดินฟ้าขึ้นไปที่ไหน พ้นตรงที่มันข้องนั่นแหละ
ที่มันถูกจองจำ�นั่นแหละ ไม่ได้พ้นที่ไหน รู้ที่มันหลงนี่แหละ สว่างที่มันมืดนั่นเอง
นี่จิตสว่าง คือสว่างที่ตรงมืดๆ มืดมนอนธการ มืดอยู่ภายในตัวเอง
ทีนี้เวลาพิจารณาปฏิบัติไป สติปัญญาเกิดขึ้นๆ ส่องแสงสว่างให้เห็น
ความจริงในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตน ทราบว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกี่ยวข้อง สลัดออกได้
โดยลำ�ดับๆ เมื่อความสว่างรอบตัวก็ปล่อยได้หมด
“ธมฺโม ปทีโป” จะหมายถึงอะไร ถ้าไม่หมายถึง “จิต” ดวงที่สว่าง
รอบตัว ไม่มีอะไรเจือปนเลยจะหมายถึงอะไร นี่เรียกว่า “ธรรมแท้” ธรรมแท้
ที่เป็นสมบัติของเราหมายถึงธรรมนี้ ที่เป็นสมบัติของเราแท้ ที่เป็นสมบัติของ
พระพุทธเจ้าก็ที่ประทานไว้เป็นตำ�รับตำ�รา
เราเรียนเท่าไร ก็มีแต่ความจำ� ไม่ใช่เป็นตัวของตัวแท้ เอาความจำ�นั้น
เข้ามาปฏิบัติให้เป็นความจริง จนปรากฏขึ้นเป็น “ธมฺโม ปทีโป” เฉพาะภายใน
ใจเรานี้ เป็นสมบัติของเราแท้ นี้แลคือ “ธรรมสมบัติ” ของผู้ปฏิบัติ
พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์อย่างนี้ที่ประทานศาสนาไว้ ให้รู้จริงเห็น
จริงตามนี้ “สนฺทิฏฺฐิโก” ไม่ทรงผูกขาด ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้เองเห็นเอง “ปจฺจตฺตํ
“ หัดตาย ” ๗๕
เหมือนอย่างศาลาหลังนี้เป็นเรือนร่างสำ�หรับอยู่ของพวกเรา อันนี้
ร่างกายนี้ก็เป็นเรือนร่างสำ�หรับอยู่ของใจ ใจนี้รู้ซ่านไปหมด ทางตาก็เป็นเครื่อง
มือของความรู้นี้เพื่อเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทางหูก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งสำ�หรับได้ยิน
จากผู้รู้อันนี้ส่งออกไปรับทราบจากเครื่องมืออันนี้ อันนี้รับรู้อันนั้น อันนั้นรับรู้
อันนั้น จนกระทั่งประสาทส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายของเรา อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์
นี้รู้ไปหมดตามความรู้สึกที่ส่งไปในเครื่องมือต่างๆ ให้รู้นั้นให้เห็นนี้ ให้สัมผัสนั้น
สัมผัสนี้ นี่เรียกว่าอาการหรือทางเดินของจิต เครื่องมือของจิตที่ใช้อยู่ หมายถึง
ร่างอันนี้ทั้งหมด นี้เป็นเครื่องมือของความรู้นั้นล้วนๆ
เพราะฉะนั้นเวลาเครื่องมือชำ�รุด เช่น คนตาบอดแล้วมองไม่เห็น
ทั้งๆ ที่ความรู้มีอยู่แต่เครื่องมือทางดูนี้ชำ�รุดไปเสีย ตาบอด หูหนวกฟังไม่ได้ยิน
ส่วนสัมผัสอันใดที่ขาดวิ่นหรือด้านไปอย่างนี้ มันก็ ไม่รับทราบสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย
เรียกว่าเครื่องมือหายไปๆ ชำ�รุดลงไปจนใช้ไม่ได้ เมื่อใช้ไม่ได้ทั้งหมดนี้เรียกว่า
ตาย เครื่องมือนี่ใช้ไม่ได้แล้วเรียกว่าตาย จิตดวงที่รู้นี้ถอนออกจากร่างนี้ ออกไป
สู่กำ�เนิดนั้นไปสู่กำ�เนิดนี้ นี่ละจิต พี่น้องทั้งหลายจำ�ให้ดีนะ นี่ละหลักพุทธ
ศาสนาอย่างแท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทรงปฏิบัติมา สั่งสอนโลกดังที่
นำ�ออกมาเวลานี้
ทีนี้ความรู้นี้คือจิต จิตนี้ ไม่มีสิ่งที่อาศัย สมบัติเงินทองข้าวของทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่เต็มอยู่ภายนอกซึ่งเรายึดว่าเป็นเจ้าของนี้ หมดความหมายในขณะที่
ลมหายใจได้ขาดจากร่างลงไปเท่านั้น เรียกว่าคนตาย สิ่งเหล่านั้นก็พังไปด้วย
กันหมด ทีนี้จิตนี้ ไม่ตาย บาป บุญ แทรกอยู่กับจิตนี้ ไม่ตายด้วยกัน ไปด้วยกัน
ผู้มีบาปมากก็ ไปตกนรก มีบาปมากเท่าไรก็ลงนรกจมปิ๋งๆ นรกท่านแสดงไว้
ถอดจากพระทัยของพระพุทธเจ้ามาประกาศให้ โลกทั้งหลาย ผู้มีญาณความรู้
อย่างพระพุทธเจ้าสามารถมองเห็น เช่นพระอรหันต์องค์เชี่ยวชาญรู้เห็นอย่าง
พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เห็นเป็นสักขีพยาน
พระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี
แล้วผู้ที่ทำ�บาปทำ�กรรมมากจะตกนรกหลุมที่หนึ่ง เรียกว่า มหันตทุกข์
มหันตโทษ ตกนรกอยู่ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์ กว่าจะได้หลุดพ้นจากนรกหลุมนี้ แล้ว
เลื่อนขึ้นมาจากนรกหลุมนี้ เป็นความทุกข์เบาขึ้นมาแล้วก็อยู่นรกหลุมนี้ เบาขึ้น
๘๒ ตอบปัญหาเรื่องนิพพาน
ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้ ผิดถูกประการใดเราพูดตามหลักความจริง
ที่ว่ายกตัวหลวงตาออกมา หลวงตาได้ก้าวเดินตามนี้แล้ว พิจารณา
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อตฺตา ทั้งหมดนี้ จนรอบคอบขอบชิดหาที่ตำ�หนิไม่ได้แล้ว
จิตปล่อยวางจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา นี้แล้วดีดผึงถึงความบริสุทธิ์
วิมุตติเต็มหัวใจนี้ จะว่าอันนี้เป็นนิพพาน จะว่าก็ ได้ ไม่ว่าก็ ได้ ถึงขั้นนี้แล้วหมด
ปัญหา พ้นจากบันไดขึ้นมาถึงบ้านแล้ว
นี่ละการปฏิบัติธรรมต้องให้รู้ที่ใจ อย่าลูบๆ คลำ�ๆ นำ�เพียงตำ�รับตำ�รา
มาเป็นหนอนแทะกระดาษถกเถียงกัน เดี๋ยวเขาจะหาว่าพวกเราชาวพุทธนี้เป็น
หมากัดกันในกระดาษอย่างนั้นก็อาจเป็นได้ แล้วอย่าไปตำ�หนิเขานะ ถ้าเราไม่
ปฏิบัติเอาเพียงกระดาษมาเถียงกัน เถียงวันยังค่ำ�ก็ ไม่มีสิ้นสุด เหมือนอย่าง
ที่เรียนหนังสือ เรียนปริยัติเรียนอรรถเรียนธรรม เรียนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึง
พระนิพพาน เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสงสัยนรก
เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ จนกระทั่งพรหมโลก นิพพาน เรื่องเปรตเรื่องผี
ตำ�รับตำ�ราท่านแสดงไว้ เรียนไปถึงไหนสงสัยไปถึงนั้น เรียนถึงพระนิพพานก็
ไปตั้งเวทีต่อสู้กับพระนิพพาน ว่านิพพานมีหรือไม่มีหนา สุดท้ายก็ให้กิเลสลบ
ไปหมด ว่านิพพานไม่มี ก็เป็นอันว่าลบไปหมด บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี
สวรรค์ไม่มี ไปเสียหมด นี้คือกิเลสลบนักปริยัติที่เรียนหนังสือ ทั้งท่านทั้งเรา
เป็นแบบเดียวกันหมด หาความหมายไม่ได้ หาตนเป็นตนเป็นตัวไม่ได้ เพราะ
ได้แต่ชื่อของบาปของบุญของนรกของสวรรค์ของนิพพาน ไม่ได้ตัวจริงของสิ่ง
เหล่านี้มาครองในหัวใจ หายสงสัยไม่ได้
ทีนี้การปฏิบัติ บุญมีที่ไหน ไม่มีที่ไหน รู้ที่ใจ บาปมีไม่มีที่ไหน ปรากฏที่ใจ
เพราะใจเป็นนักรู้ ตลอดนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน จ้าขึ้นที่ใจหายสงสัย
หมด นี้เรียกว่ารู้จริงเห็นจริง ไม่ใช่เป็นความจำ�ที่เรียนมาจากตำ�รับตำ�ราซึ่ง
ถกเถียงกันไม่มีวันหยุดได้เลย แต่ถ้าเข้าภาคปฏิบัติแล้วจะเจอเข้าไปโดยลำ�ดับๆ
เช่นพี่น้องทั้งหลายมาสู่สถานที่นี่ สถานที่นี่บางท่านไม่เคยเห็นก็จะคาดวาดภาพ
ไปต่างๆ ว่า เห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอก้าวเข้ามาสู่สถานที่นี่แล้วหายสงสัย
ไหม ดูซิสถานที่นี่เป็นยังไงบ้าง นี่เราก้าวเข้าสู่มรรคสู่ผลก็เหมือนกัน สมาธิเป็น
ยังไง ปัญญาเป็นยังไง วิมุตติหลุดพ้นเป็นยังไง บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นยังไง
ตอบปัญหาเรื่องนิพพาน ๘๗
ทีนี้เมื่อวาระสุดท้ายเราตายลงไปแล้ว เราได้ประกาศไว้เรียบร้อยแล้ว
อย่างไม่มีเคลื่อนมีคลาดไปไหนเลยว่า ในงานศพของเรานี้ ที่ใครก็ตามมาบริจาค
จากชาวพุทธของเรา มาบริจาคเพื่อเผาศพของหลวงตาบัวนี้ เราจะตั้งคณะ
กรรมการที่บริสุทธิ์ยุติธรรมขึ้นมา ให้เก็บหอมรอมริบเงินจำ�นวนนี้ทั้งหมด เสร็จ
เรียบร้อยแล้วนำ�เข้าสู่คลังหลวง เป็นวาระสุดท้ายของเรา เราจะไม่นำ�เงินเหล่านี้
ไปเผาศพหลวงตาบัวเป็นอันขาดเพราะการเผาศพเราจะเผาด้วยไฟ เราไม่ได้
เผาด้วยเงินด้วยสมบัติอื่นใด จะเผาด้วยไฟเหมือนโลกทั่วๆ ไปเขาเผากัน
เงินจำ�นวนนี้ทั้งหมดเราจะยกเข้าสู่คลังหลวง เพื่อช่วยชาติเป็นวาระสุดท้าย
แห่งขันธ์ของเราที่ทำ�ประโยชน์แก่ชาติ มาถึงขั้นสุดท้ายปลายแดนในคราวนี้
จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า นี้แล คือ ความเสียสละของเราที่มีต่อ
โลกมีมาอย่างนี้ เราจึงอุตส่าห์พยายามเรื่อยมาอย่างนี้แหละ
ทีนี้ ในงานศพของเรานี้มันจะเป็นปัญหาอันใหญ่หลวง เราคิดไว้หมด
เคยคิดมาเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง คิดอะไรไม่เห็นมีอะไรผิดพอที่จะคัดค้าน
ความคิดของตนว่า เราคิดอย่างนั้นเราดำ�เนินหรือทำ�อย่างนั้นผิดไป อย่างนี้เรา
ไม่เคยปรากฏ อันนี้เราก็คิดอย่างนั้นเรียบร้อยแล้วว่า งานศพของเรานี้จะเป็น
งานตลาดหลวงแห่งกิเลส ทีจ่ ะเข้าตีกอบโกยเอาสมบัตเิ งินทองประเภทต่างๆ เข้าสู่
๙๒ เมรุ
เราไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร
เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๒(บ่าย)