You are on page 1of 29

ข้อสอบกฎหมายวิธีสบัญญัติ 2

ภาค 2/41
1. นายชัยเป็นโจทก์ฟ้องนายบุญช่วยซึ่งเป็นคนขับรถชนตนโดยละเมิดเป็นจำาเลยที่ 1 และฟ้องบริษัททัวร์ท่องไทยจำากัด
ซึ่งเป็นนายจ้างของนายบุญช่วยเป็นจำาเลยที่ 2 ให้รบั ผิดในฐานะนายจ้าง โดยฟ้องภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่นายบุญช่วยทำาละเมิด
ต่อมานายชัยได้ยื่นคำาร้องขอแก้ไขชื่อจำาเลยที่ 2 เป็นบริษัททัวร์ท่องไทยรุ่งเรือง จำากัด โดยยื่นคำาร้องขอแก้ไขชื่อเมื่อพ้นกำาหนด 1 ปี
นับตั้งแต่วันที่นายบุญช่วยทำาละเมิด หลังจากนั้น จำาเลยที่ 2 ได้ยื่นคำาให้การแก้ฟ้องว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ได้ขอแก้คำาฟ้องเป็นชื่อจำาเลยที่ 2
เมื่อพ้น 1 ปี นับแต่วันทำาละเมิด และเหตุละเมิดก็มิได้เกิดจากคนขับรถของจำาเลยที่ 2 จำาเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดด้วย ดังนี้
หากท่านเป็นศาลจะสั่งคำาร้องขอแก้ฟ้องของนายชัย อย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 บัญญัติว่า
“การแก้ไขคำาฟ้องหรือคำาให้การที่คู่ความเสนอต่อศาลไว้แล้วให้ทำาเป็นคำาร้องยื่นต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่ายี่สิบเอ็ดวัน
หรือก่อนวันสืบพยานแล้วแต่กรณี เว้นแต่มีเหตุอันสมควรที่ไม่อาจยื่นคำาร้องได้ก่อนนั้น
หรือเป็นการขอแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือเป็นการแก้ไขขอผิดพลาดเล็กน้อยหรือขอหลงผิดเล็กน้อย”

วินิจฉัย
กรณีตามปัญหา โจทก์ยื่นคำาร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องโดยขอแก้ชื่อจำาเลยที่ 2 จาก “บริษัททัวร์ท่องไทย จำากัด” เป็น “บริษัททัวร์ท่องไทยรุ่งเรือง
จำากัด” เมื่อมิใช่เป็นการเปลี่ยนตัวจำาเลย แล้ว ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเกี่ยวกับชื่อคู่ความที่โจทก์ฟ้อง ไม่มีกฎหมายห้าม
ดังนั้นเมื่อโจทก์ได้ฟ้องจำาเลยที่ 2 ภายในอายุความแล้ว แม้จะขอแก้ไขเมื่อพ้น 1 ปี นับแต่ทำาละเมิด ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้ฟ้องจำาเลยที่ 2
ตั้งแต่วันที่ยื่นคำาฟ้องแล้ว คดีไม่ขาดอายุความ
ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้
(เทียบฎีกาที่ 6304/2540)

2. โจทก์ฟ้องจำาเลยเป็นคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง และศาลได้มีคำาพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ได้นำายึดที่ดิน 1 แปลง และบ้าน 1 หลังของจำาเลย


ต่อมานางสมศรีได้มาร้องขอต่อศาลขอให้ศาลมีคำาสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดโดยอ้างว่าที่ดินและบ้านดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างนางสมศรีผู้ร้องกับจำาเลยร่วมกัน
หากท่านเป็นศาลจะสั่งคำาร้องของนางสมศรีวา่ อย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติว่า
“ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 55
ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำาเลยหรือลูกหนี้ตามคำาพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้
ก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาด หรือจำาหน่ายโดยวิธีอื่น
บุคคลนั้นอาจยื่นคำาร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น…”

วินิจฉัย
การร้องขอปล่อยทรัพย์สินที่ยึดนั้น จะต้องร้องโดยอ้างว่า จำาเลยหรือลูกหนี้ตามคำาพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สนิ ที่ยึด
แต่การที่นางสมศรีมาร้องขอโดยอ้างว่าบ้านดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างตนเองกับจำาเลย แสดงว่าจำาเลยก็เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นอยู่ด้วย
นางสมศรีจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะสั่งยกคำาร้องของนางสมศรี

3. คดีแพ่งคดีหนึ่ง ศาลพิพากษาให้โอภาสและต้อย ร่วมกันชำาระหนี้แก่แดง จำานวน 2 ล้านบาท โอภาสและต้อย จำาเลยทั้งสองไม่ชำาระ


แดงนำาบังคับยึดทรัพย์ของโอภาส ปรากฏว่าไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำาระหนี้ แดงจึงฟ้องโอภาสให้ล้มละลาย โอภาสต่อสูว้ ่า ตนเองเป็นลูกหนี้ร่วมกับต้อย
และต้อยมีทรัพย์สนิ มากเพียงพอที่จะชำาระหนี้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จะให้ตนล้มละลาย ท่านเห็นว่าข้ออ้างของโอภาสฟังขึ้นหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พรบ.ล้มละลาย มาตรา 8(5) และมาตรา 14

วินิจฉัย
การที่โอภาสถูกทำาบังคับคดียึดทรัพย์และมีทรัพย์ไม่เพียงพอชำาระหนี้ กรณีต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จะถูกฟ้องให้ล้มละลายได้ตามมาตรา 8(5)
และข้ออ้างที่ว่ามีเหตุไม่สมควรจะให้ลูกหนี้ล้มละลายนั้น มาตรา 14 ต้องเป็นเหตุของตัวลูกหนี้เองมิใช่เหตุในตัวลูกหนี้ร่วมกับคนอื่น
(ฎีกาที่ 418/2538)

ซ่อมภาค 1/41
1. นายสมปองเป็นโจทก์ฟ้องนายสินชัยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างตน
เป็นจำาเลยในคดีละเมิดจากการที่นายสินชัยยักยอกทรัพย์สินของนายสมปองนายจ้างไปในระหว่างที่ทำางานให้และขอให้บังคับให้นายสินชัยคืนหรือใช้ร
าคาทรัพย์สินที่ยักยอกไป นายสินชัยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งนายสมปองโดยอ้างว่านายสมปองขู่บังคับให้ตนลาออกจากงานโดยมิชอบ
ขอให้บังคับนายสมปองให้จ่ายค่าจ้าง สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย ดังนี้ หากท่านเป็นศาลจะสั่งฟ้องแย้งของนายสินชัยอย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 บัญญัติว่า
“จำาเลยจะฟ้องแย้งมาในคำาให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำาฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำาเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก”

วินิจฉัย
ฟ้องแย้งที่ศาลจะรับไว้พิจารณา ฟ้องแย้งนั้นจะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำาฟ้องเดิม มิฉะนั้นศาลจะสั่งให้ไปฟ้องต่างหาก
จากข้อเท็จจริงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาคำาฟ้องแย้งของจำาเลยเกี่ยวกับคำาฟ้องเดิมของโจทก์หรือไม่
ตามคำาฟ้องเดิมของนายสมปองโจทก์เป็นเรื่องที่ขอให้บังคับจำาเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินที่นายสินชัยจำาเลยได้ยักยอกไป
ซึ่งเป็นคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดในการทำางานตามสัญญาจ้างแรงงาน
ส่วนฟ้องแย้งของนายสมชัยจำาเลยอ้างว่าโจทก์ขู่บังคับให้ตนลาออกโดยมิชอบและขอบังคับให้โจทก์จ่ายค่าจ้าง
สินจ้างทดแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชย ฟ้องแย้งจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน
และตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน แม้ว่าฟ้องเดิมและฟ้องแย้งของจำาเลยจะเป็นคดีแรงงานเช่นเดียวกันก็ตาม
แต่จากข้อเท็จจริงและหลักฐานที่จะนำาสืบเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นแตกต่างกัน ฟ้องเดิมเป็นเรื่องมูลละเมิดในการจ้างงาน
ส่วนฟ้องแย้งเป็นการเรียกร้องสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน จึงไม่มีความเกี่ยวพันกัน
ไม่เป็นฟ้องแย้งที่จะรับรวมไว้พิจารณากับฟ้องเดิม (ฎ.434/35)
ดังนั้น หากเป็นศาลจะสั่งให้จำาเลยแยกฟ้องเป็นคดีต่างหาก
2. คดีเรื่องหนึ่ง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำาเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่มีเหตุไม่ควรให้จำาเลยล้มละลาย จำาเลยไม่ได้อุทธรณ์
แต่โจทก์อุทธรณ์ว่ามีเหตุที่ควรพิพากษาให้จำาเลยล้มละลาย ศาลฟังอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำาพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำาเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
และวินิจฉัยเฉพาะปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุที่ไม่ควรพิพากษาให้จำาเลยล้มละลายหรือไม่ จำาเลยฎีกาว่าจำาเลยมิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนี้
หากท่านเป็นศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยฎีกาของจำาเลยหรือไม่ อย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 บัญญัติว่า
“ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างการยื่นฎีกานั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา
และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ทั้งจะต้องเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย
การวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีข้อใดไม่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา
ให้กระทำาโดยรองประธานศาลฎีกาซึ่งประธานศาลฎีกามอบหมายแต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงอำานาจของประธานศาลฎีกาตามมาตรา 140 วรรคสอง”

วินิจฉัย
การที่จำาเลยไม่ได้อุทธรณ์ เฉพาะโจทก์เท่านั้นที่อุทธรณ์ว่ามีเหตุที่ควรพิพากษาให้จำาเลยล้มละลาย
ศาลอุทธรณ์จึงฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุตติ ามคำาพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าจำาเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
และวินิจฉัยเฉพาะปัญหาตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่ามีเหตุที่ไม่ควรพิพากษาให้จำาเลยล้มละลายหรือไม่ ฉะนั้น
การที่จำาเลยฎีกาว่ามิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้ว และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 249
ดังนั้น หากเป็นศาลฎีกาจะไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำาเลย (ฎ.85/2538)

3.จำาเลยถูกศาลชั้นต้นสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538


และกำาหนดให้เจ้าหนี้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ภายใน 2 เดือน นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2538 จำาเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษากลับให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2539 เจ้าหนี้รายหนึ่งมายื่นคำาร้องขอรับชำาระหนี้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อนุญาตให้รับชำาระหนี้โดยอ้างว่ายื่นคำาขอรับชำาระหนี้เกินกำาหนดเวลาตามประกาศของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ท่านเห็นว่าคำาสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถูกต้องหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมาย มาตรา 91 วรรค 1 หลักการขอรับชำาระหนี้ในคดีล้มละลาย เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตามต้องขอรับชำาระหนี้ภายในกำาหนด 2
เดือนนับแต่โฆษณาคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่กรณีตามปัญหามีการอุทธรณ์คำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดที่ศาลชั้นต้นสั่ง
และในทีส่ ุดศาลฎีกาได้มีคำาสั่งกลับและให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2539
การกำาหนดเวลาสองเดือนจึงต้องนับตั้งแต่วันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลฎีกา
ดังนั้น เจ้าหนี้มายื่นขอรับชำาระหนี้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 จึงยังไม่พ้นกำาหนด 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำาสั่งของศาลฎีกา
จึงขอรับได้ไม่ต้องห้าม คำาสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ถูกต้อง (ฎ.1994/2527)
ภาค 1/41
1. นายศักดิ์สิทธิ์ได้ยื่นฟ้องนายธงชัยเป็นจำาเลย ในการที่นายธงชัยทำาละเมิดตนต่อศาลจังหวัดราชบุรี
ศาลจังหวัดราชบุรีได้มีคำาสั่งจำาหน่ายคดีออกจากสารบบความเพราะโจทก์ขาดนัดพิจารณาคดี ในระหว่างระยะเวลาอุทธรณ์
นายศักดิ์สิทธิ์ได้ยื่นฟ้องนายธงชัยเป็นจำาเลยในเรื่องเดียวกันต่อศาลจังหวัดนนทบุรี
และต่อมานายธงชัยได้ยื่นอุทธรณ์คดีแรกต่อศาลอุทธรณ์จนศาลอุทธรณ์ได้มีคำาพิพากษาว่า คำาสั่งจำาหน่ายคดีของศาลจังหวัดราชบุรีชอบแล้ว
คดีดังกล่าวจึงถึงที่สดุ ดังนี้ ฟ้องของนายศักดิ์สิทธิ์ต่อศาลจังหวัดนนทบุรีเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรค 2(1) บัญญัติว่า
“นับตั้งแต่เวลาได้ยื่นคำาฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้
(1)ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำาฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่น”

วินิจฉัย
ขณะที่นายศักดิ์สิทธิ์ได้ยื่นฟ้องนายธงชัยในคดีหลังต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เป็นการที่โจทก์คนเดียวกันยื่นฟ้องจำาเลยคนเดียวกันกับคดีแรก
และฟ้องในเรื่องเดียวกัน โดยคดีแรกที่ศาลจังหวัดราชบุรีได้มคี ำาสั่งจำาหน่ายคดีออกจากสารบบความยังอยู่ในระยะเวลาที่จำาเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้
และต่อมาจำาเลยได้ยื่นอุทธรณ์ จึงถือได้ว่าขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำาเลยเป็นคดีใหม่ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี
คดีก่อนของโจทก์ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาฟ้องของโจทก์ต่อศาลจังหวัดราชบุรี จึงเป็นฟ้องซ้อนตามกฎหมายตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา
173 วรรค 2 (1) แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์จะได้มีคำาพิพากษาว่าคำาสั่งจำาหน่ายคดีของศาลจังหวัดราชบุรีชอบแล้ว และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วก็ตาม
(ฎ.2555/2538)

2.คดีเรื่องหนึ่งเดิมศาลชั้นต้นได้กำาหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ 2 ข้อ ต่อมาศาลชั้นต้นได้กำาหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มว่า


โจทก์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองที่ดินพิพาทเกิน 1 ปี นับแต่จำาเลยครอบครองหรือไม่ โจทก์ได้ยื่นคำาร้องต่อศาลชั้นต้นว่า
คำาให้การของจำาเลยไม่มีประเด็นดังกล่าว ขอให้เพิกถอนประเด็นที่กำาหนดเพิ่มเติม และศาลชั้นต้นได้มีคำาสั่งคำาร้องว่า
ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นพิพาทที่กำาหนดไว้แล้ว ให้ยกคำาร้อง ดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์คำาสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวได้หรือไม่ อย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 บัญญัติว่า
“ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำาสั่งพิพากษาหรือคำาสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคำาสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ
228
(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คำาสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาคดี
(2) ถ้าคูค่ วามฝ่ายใดโต้แย้งคำาสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน
คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำาสั่งนั้นได้ภายในกำาหนดหนึ่งเดือน
นับแต่วันที่ศ่ลได้มีคำาพิพากษาหรือคำาสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้
ไม่ว่าศาลจะมีคำาสั่งให้รับคำาฟ้องไว้แล้วหรือไม่ให้ถือว่าคำาสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำาฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227
และ 228 เป็นคำาสั่งระหว่างพิจารณา”
วินิจฉัย
คำาสั่งศาลชั้นต้นในการยกคำาร้องดังกล่าวเป็นคำาสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226
เพราะไม่ทำาให้คดีเสร็จไปจากศาล อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์ยื่นคำาร้องต่อศาลชั้นต้นว่าคำาให้การของจำาเลยไม่มีประเด็นขอให้เพิกถอนประเด็นที่กำาหนดเพิ่ม
ถือว่าโจทก์ได้โต้แย้งคำาสั่งศาลชั้นต้นที่กำาหนดประเด็นพิพาทเพิ่มแล้ว ตามมาตรา 226(2)
แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำาสั่งคำาร้องว่าไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นพิพาทซึ่งกำาหนดไว้แล้ว ให้ยกคำาร้องโจทก์ก็ไม่จำาต้องโต้แย้งคำาสั่งในตอนหลังนี้อีก
โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำาสั่งศาลได้ภายในกำาหนดหนึ่งเดือนหลังจกศาลมีคำาพิพากษาแล้ว (ฎ.6380/2539)

ซ่อม 2/40
1.โจทก์ฟ้องขอให้จำาเลยที่ 1 และจำาเลยที่ 2 ชำาระหนี้ไถ่ถอนจำานอง จำาเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำาร้องขอถอนฟ้องจำาเลยทั้งสอง
อ้างว่าจำาเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมก่อนโจทก์ยื่นฟ้อง โจทก็จะต้องแจ้งการบังคับจำานองไปยังทายาทของจำาเลยที่ 1 ก่อน จึงขอถอนฟ้องเพื่อดำาเนินการต่อไป
จำาเลยที่ 2 คัดค้านว่าหากศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องก็จะทำาให้จำาเลยที่ 2 เสียเปรียบและได้รับความเสียหายเพราะโจทก์อาจฟ้องจำาเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่
ขอให้ยกคำาร้อง หากพิจารณาจากคำาฟ้องของโจทก์เฉพาะส่วนความรับผิดชอบของจำาเลยที่ 2 ไม่
ปรากฎว่ามีข้อบกพร่องให้เห็นว่าจะเป็นการถอนฟ้องเพื่อไปฟ้องใหม่อันเป็นการเอาเปรียบในคดี ถ้าท่านเป็นศาลจะมีคำาสั่งอย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรค 2 บัญญัติว่า
“ภายหลังจำาเลยยื่นคำาให้การแล้ว โจทก์อาจยื่นคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำาฟ้องได้
ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายใต้เงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้ แต่
(1)ห้ามไม่ให้ศาลอนุญาตโดยมิได้ฟังจำาเลยก่อน”

วินิจฉัย
การที่ศาลจะอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่นั้นเป็นดุลยพินิจของศาล โดยพิจารณาเหตุผลและความจำาเป็นว่าสมควรหรือไม่ประการใด
จะเป็นการถอนฟ้องไปเพื่อเจตนาจะฟ้องใหม่โดยแก้ฟ้องเดิมที่บกพร่องอันเป็นการเอาเปรียบเชิงคดีกบั อีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ แม้วา่ จำาเลยที่ 2
จะคัดค้านการถอนฟ้องของโจทก์ก็ตาม
จากข้อเท็จจริงตามปัญหา เมื่อได้พิจารณาคำาฟ้องของโจทก์เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับความผิดของจำาเลยที่ 2 แล้ว
ไม่มีข้อบกพร่องปรากฏให้เห็นว่าจะเป็นการถอนฟ้องไปเพื่อฟ้องใหม่อันเป็นการเอาเปรียบในเชิงคดี แต่โจทก์มีความจำาเป็นสำาหรับจำาเลยที่ 1
ที่จะต้องดำาเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำาหนดไว้ก่อน ถ้าจะถอนฟ้องเฉพาะจำาเลยที่ 1 โยไม่ถอนฟ้องจำาเลยที่ 2 ในคดีนี้ทั้งหมด
จะทำาให้ต้องมีการพิจารณาคดีในหนี้ที่โจทก์ฟ้องถึง 2 ครั้งเป็นการเสียเวลาในการดำาเนินคดี จึงควรอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำาเลยทั้งสองได้ ดังนั้น
ข้าพเจ้าจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ (ฎ.1572/2534)

2.ศาลชั้นต้นได้ทำาการชี้สองสถานโดยจดในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำาเลยให้การต่อสู้ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความนั้น จำาเลยเพียงแต่ยกขึ้นกล่าวลอย ๆ


ไม่ปรากฏเหตุผลและรายละเอียดว่าขาดอายุความอย่างไร จึงไม่กำาหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
ต่อมาจำาเลยยื่นคำาร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลชั้นต้นกำาหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพิ่มเติมด้วย
ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำาสั่งในคำาร้องดังกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงประเด็นที่ชี้สองสถาน และสั่งยกคำาร้องของจำาเลย ดังนี้
จำาเลยจะอุทธรณ์คำาสั่งศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานดังกล่าวได้หรือไม่ อย่างไร
แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 บัญญัติว่า
“ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคำาพิพากษาหรือคำาสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มคี ำาสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228
(1)ห้ามมิให้อุทธรณ์คำาสั่งนั้นในระหว่างการพิจารณา
(2)ถ้าคูค่ วามฝ่ายใดโต้แย้งคำาสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้งชอบที่จะอุทธรณ์คำาสั่งนั้นได้
ภายในกำาหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคำาพิพากษา หรือคำาสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเป็นต้นไป
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่วา่ ศาลจะได้มีคำาสั่งรับฟ้องไว้แล้วหรือไม่
ให้ถือว่าคำาสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคำาฟ้องต่อศาล นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคำาสั่งระหว่างการพิจารณา”

วินิจฉัย
คำาสั่งของศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานที่ไม่กำาหนดประเด็นให้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เป็นคำาสั่งที่ไม่ทำาให้คดีเสร็จไปจากศาล
จึงเป็นคำาสั่งระหว่างการพิจารณาตามมาตรา 226 ดังนั้นจึงไม่สามารถอุทธรณ์
ได้ทันทีต้องโต้แย้งคำาสั่งไว้ก่อนและอุทธรณ์เมื่อศาลมีคำาพิพากษาแล้ว
การที่จำาเลยยื่นคำาร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลชั้นต้นกำาหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เพิม่ เติมขึ้น
ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งคำาสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่กำาหนดประเด็นว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นมีคำาพิพากษาคดีแล้ว
จำาเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำาสั่งระหว่างพิจารณาของศาลดังกล่าวได้ (ฎ. 5229/2537)

3.เดชาเป็นโจทก์ฟ้องชาญชัย เป็นคดีแพ่ง ข้อหาละเมิด เรียกค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ชาญชัยชำาระค่าเสียหายแก่เดชาเป็นเงิน 200,000 บาท


ชาญชัยไม่ยอมชำาระ และยื่นอุทธรณ์ว่าตนไม่ต้องรับผิด คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
เดชาจึงยื่นฟ้องชาญชัยเป็นคดีล้มละลายในหนี้ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำานวน 200,000 บาทนั้น ชาญชัยต่อสู้ว่า หนี้ไม่ถึง 500,000 บาท
จึงฟ้องให้ต้นล้มละลายไม่ได้ ทั้งหนี้นั้นก็ยังไม่อาจกำาหนดจำานวนแน่นอน เพราะคดียังไม่ถึงที่สดุ
ท่านเห็นว่าข้อต่อสู้ทั้งสองข้อของชาญชัยฟังขึ้นหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 9 บัญญัติว่า
“เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ
(1)ลูกหนี้มีหนีส้ ินล้นพ้นตัว
(2)ลูกหนี้เป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียว หรือหลายคนเป็นจำานวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท
หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำานวนไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท และ
(3)หนี้นั้นอาจกำาหนดจำานวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำาหนดชำาระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม”

วินิจฉัย
การที่เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้นั้น จำานวนหนี้ที่จะฟ้องลูกหนี้ ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดานั้นต้องเป็นจำานวนเงินไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท
ดังนั้นการที่ชาญชัยต้องชำาระค่าเสียหายแก่เดชาเป็นจำานวนเงิน 200,000 บาท
ซึ่งเป็นจำานวนหนี้ตั้งแต่ห้าหมื่นบาทขึ้นไปที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดาให้ล้มละลายได้ ดังนั้น ข้อต่อสู้ของชาญชัยที่ว่าหนี้ไม้ถึง
500,000 บาท จึงฟ้องให้ตนล้มละลายไม่ได้ จึงฟังไม่ขั้น
หนี้คา่ เสียหาย 200,000 บาท ดังกล่าวแม้จะเป็นหนี้จากมูลละเมิด แต่เป็นหนี้ที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ชาญชัยชำาระแก่เดชา
และแม้ว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดียังไม่ถึงที่สดุ ก็ตามหนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่อาจกำาหนดจำานวนได้โดยแน่นอนแล้ว
สามารถนำามาฟ้องล้มละลายได้ ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อต่อสู้ของชาญชัย

ภาค 2/40
1.โจทก์ฟ้องให้จำาเลยชำาระเงินตามเช็ค 100,000 บาท จำาเลยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริง แต่หลังจากจำาเลยสั่งจ่ายเช็คแล้ว
โจทก์มาซื้อสินค้าไปจากจำาเลย 200,000 บาท มีการหักกลบลบหนี้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ก่อนวันชี้สองสถาน 30 วัน
จำาเลยยื่นคำาร้องขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคำาให้การ โดยเพิ่มประเด็นว่า
ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำาเลยสั่งจ่ายเช็ตชำาระหนี้ค่าอะไร และฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำาระเงินค่าสินค้าที่โจทก์ซื้อไปจากจำาเลย
100,000 บาท ซึ่งเหลือจากหักกลบลบหนี้ หากท่านเป็นศาลจะสั่งคำาร้องขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคำาให้การ และฟ้องแย้งของจำาเลยอย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติว่า
“จำาเลยจะฟ้องแย้งมาในคำาให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับเรื่องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำาเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 วรรคท้าย บัญญัติว่า
“แต่ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายใดเสนอคำาร้องต่อศาล
ไม่ว่าโดยวิธีฟ้องเพิ่มเติมหรือฟ้องแย้งภายหลังจากที่ได้ยื่นคำาฟ้องเดิมต่อศาลแล้วเว้นแต่คำาฟ้องเดิมและคำาฟ้องภายหลังนี้จะเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจา
รณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้

วินิจฉัย
มาตรา 179 วรรคท้าย บัญญัติไว้แต่เพียงว่า
คำาฟ้องเดิมและคำาฟ้องภายหลังจะต้องเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเข้าด้วยกันได้
โดยมิได้บัญญัติว่าคำาให้การและคำาให้การภายหลังจะต้องเกี่ยวข้องกัน ดังนั้น
แม้คำาให้การเดิมและคำาให้การตามคำาร้องขออนุญาตแก้ไขเพิ่มเติมคำาให้การของจำาเลยจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม
เมื่อจำาเลยยื่นร้องดังกล่าวมาภายในเวลาที่กฎหมายกำาหนด ศาลก็ต้องอนุญาตให้จำาเลยแก้ไขคำาให้การ (ฎ.2297/15)
สำาหรับฟ้องแย้งนั้น จำาเลยก็ชอบที่จะฟ้องแย้งเข้ามาในคำาร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำาให้การได้หากฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม
เมื่อจำาเลยยื่นคำาให้การรับว่าเป็นหนี้ตามฟ้องแล้ว แต่ขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้
หนี้สองรายนี้ต่างเป็นหนี้เงินด้วยกันและถึงกำาหนดแล้งทั้งสองฝ่าย หากฟังเป็นจริงตามคำาให้การย่อมหักกลบลบหนี้ได้
จำานวนเงินที่เหลือโจทก์ต้องจ่ายให้แก่จำาเลยก็เกิดจากการนำายอดเงินตามเช็คที่โจทก์ฟ้องมาหัก จึงถือได้ว่าฟ้องแย้งของจำาเลยเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมของโจทก์
พอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย (ฎ.609/21)

2.คดีเรื่องหนึ่ง ศาลมีคำาสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างการพิจารณา โดยให้จำาเลยนำาเงินมาฝากธนาคารไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือมีคำาสั่งศาลเป็นอย่างอื่น


ระหว่างที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และไม่
ปรากฏว่าศาลมีคำาสั่งเป็นอย่างอื่น จำาเลยได้ยื่นคำาร้องต่อศาลอุทธรณ์ว่ามีความจำาเป็นและประสงค์จะนำาเงินนอกเหนือจากการคุ้มครองประโยชน์ไปใช้จ่าย
ศาลอุทธรณ์ได้สั่งยกคำาร้องของจำาเลย ดังนี้ จำาเลยจะฎีกาคำาสั่งยกคำาร้องดังกล่าวได้หรือไม่
แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(2) บัญญัติว่า
“ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคำาสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ
(2)มีคำาสั่งอันเกี่ยวด้วยคำาขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณาหรือมีคำาสั่งอันเกี่ยวด้วยคำาขอเพื่อจะบังคับคดีตามคำาพิ
พากษาต่อไป
คำาสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกำาหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำาสั่งเป็นต้นไป
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 บัญญัติว่า
“…และภายใต้บังคับบทบัญญัติสี่มาตราต่อไปนี้กับกฎหมายอื่นว่าด้วยการฎีกาให้นำาบทบัญญัติในลักษณะ 1
ว่าด้วยการอุทธรณ์มาบังคับใช้โดยอนุโลม”

วินิจฉัย

คำาขอของจำาเลยที่จะนำาเงินนอกเหนือไปจากการคุ้มครองประโยชน์ไปใช้จ่ายเป็นคำาขอเกี่ยวด้วยคำาขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาตาม
ป.วิ.พ.มาตรา 264 ไม่ใช่การขอทุเลาบังคับตามมาตรา 231
เมื่อศาลอุทธรณ์สั่งยกคำาร้องดังกล่าวจึงไม่เป็นการสั่งเรื่องการทุเลาการบังคับและไม่เป็นคำาสั่งระหว่างการพิจารณา ดังนั้น จำาเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา
228(2) ประกอบกับมาตรา 247 (ฎ.486/2533)

3.คดีล้มละลายคดีหนึ่ง เมื่อสืบพยานและศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดภายหลังจากนั้น 7 วัน เจ้าหนีผ้ ู้เป็นโจทก์ได้ยื่นคำาร้องขอถอนฟ้องต่อศาล


ศาลสอบถามจำาเลยแล้ว จำาเลยไม่คัดค้าน ศาลเห็นว่าคดีนี้ยังมิได้มีคำาพิพากษาให้ล้มละลาย จึงอนุญาตให้ถอนฟ้อง
ท่านเห็นว่าคำาสั่งอนุญาตของศาลถูกต้องหรือไม่

แนวตอบ
พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 11 บัญญัติว่า
“เจ้าหนีผ้ ู้เป็นโจทก์ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายไว้ต่อศาลเป็นจำานวนหนึ่งพันบาทในขณะยื่นคำาฟ้องล้มละลายและจะถอนคำาฟ้องนั้นไม่ได้
เว้นแต่ศาลจะอนุญาต”

วินิจฉัย
การถอนฟ้องคดีล้มละลายนั้น เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะถอนฟ้องคำาร้องนั้นไม่ได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต
และการถอนฟ้องนั้นจะต้องทำาก่อนมีคำาพิพากษา ดังนั้นในคดีล้มละลาย การถอนฟ้องจึงต้องกระทำาก่อนมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
เพราะคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้นเป็นคำาสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดี มีผลอย่างคำาพิพากษา (ฎ.1065/2499 , 8/2509) ดังนั้นคดีล้มละลาย
เมื่อศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วจะขอถอนฟ้องไม่ได้ (ฎ.3286/2430)
คำาสั่งศาลที่อนุญาตให้ถอนฟ้องจึงไม่ชอบ
ภาค 2/39
1.โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำาเลย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้อง โจทก์อุทธรณ์คำาสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำาสั่งของศาลชั้นต้น
ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำาเนินการต่อไป จำาเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า”คดีนี้ศาลอุทธรณ์สั่งให้รับฟ้องของโจทก์แล้ว มิใช่สั่งไม่รับ
นอกจากนี้คำาสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้รับฟ้องนั้น ยังเป็นคำาสั่งระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ด้วย จำาเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา จึงไม่รับฎีกาของจำาเลย”
ท่านเห็นด้วยกับคำาสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 บัญญัติว่า
“ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาหรือมีคำาสั่งในชั้นอุทธรณ์แล้วนั้น
ให้ยื่นฎีกาได้ภายในกำาหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำาพิพากษาหรือคำาสั่งศาลอุทธรณ์นั้น
และภายใต้บังคับบทบัญญัติสี่มาตราต่อไปนี้กับกฎหมายอื่นว่าด้วยการฎีกา ให้นำาบทบัญญัติในลักษณะ 1 ว่าด้วยอุทธรณ์มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม”

วินิจฉัย
ตามปัญหา แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ แต่ศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำาพิพากษายกคำาสั่งของศาลชั้นต้น
ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้กำาเนินการต่อไป และคำาพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้รับนั้นมิใช่คำาสั่งพิจารณาของศาลอุทธรณ์
เพราะคดีที่อุทธรณ์คำาสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์นั้นได้เสร็จสิ้นไปจากศาลอุทธรณ์เลยทีเดียว จำาเลยมีสิทธิฎีกาได้ตาม ปวพ. มาตรา 247
(ฎ.474/2503)

2.นายจันทร์ทำาสัญญาเช่าที่ดินจากนายอังคารปลูกบ้านอยู่อาศัย
ต่อมานายอังคารฟ้องขับไล่นายจันทร์และบริวารให้รื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของนายอังคาร ศาลพิพากษาให้นายอังคารชนะคดี
และออกคำาบังคับให้นายจันทร์ปฏิบัติตามคำาพิพากษาแล้ว ปรากฏว่าบ้านและสิ่งปลูกสร้างของนายจันทร์ดังกล่าว
ถูกนายพุธเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาของนายจันทร์ในอีกคดีหนึ่ง นำาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้ว นายจันทร์จึงแถลงต่อศาลว่า
ไม่อาจปฏิบัติตามคำาสั่งของศาลที่ให้รื้อถอนได้ ส่วนนายอังคารยืนยันขอให้ศาลบังคับนายจันทร์ให้รื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปตามคำาบังคับ
ท่านเป็นศาลจะสั่งอย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติว่า
“ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำาพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน
คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะ (เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษา)
ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งของศาลนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำาพิพากษาหรือคำาสั่ง
โดยอาศัยตามคำาบังคับที่ออกตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้น”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 บัญญัติว่า
“ในกรณีที่ออกหมายบังคับคดีให้ลูกหนี้ตามคำาพิพากษาส่งมอบทรัพย์สิน กระทำาการ หรืองดเว้นกระทำาการอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคำาพิพากษา ให้ศาลระบุเงื่อนไขแห่งการบังคับคดีลงในหมายนั้นตามบทบัญญัติมาตรา 213 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ให้ศาลกำาหนดการบังคับคดีเพียงเท่าทีส่ ภาพแห่งการบังคับคดีจะเปิดช่องให้ทำาได้ โดยทางศาลหรือโดยทางเจ้าพนักงานของศาล”

วินิจฉัย
ถ้าลูกหนี้ตามคำาพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน
เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271
ในกรณีที่ออกคำาบังคับให้ลูกหนี้ตามคำาพิพากษาส่งมอบทรัพย์สิน กระทำาการ หรืองดเว้นกระทำาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือให้ขับไล่ลูกหนี้ตามคำาพิพากษา
ให้ศาลกำาหนดการบังคับคดีเพียงเท่าทีส่ ภาพแห่งการบังคับคดีจะเปิดช่องให้ทำาได้ ตาม ปวพ. มาตรา 276 วรรคสุดท้าย

การที่บ้านและสิ่งปลูกสร้างของนายจันทร์ถูกนายพุธนำาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้วนั้นถือว่าสภาพแห่งการบังคับคดียังเปิดช่องทางให้ศาลบังคับนาย
จันทร์ให้ปฏิบัติตามคำาบังคับของศาลได้ คดีนี้ปรากฏว่านายจันทร์ได้ทราบคำาบังคับของศาลแล้ว จึงต้องปฏิบตั ิตามคำาบังคับ
จะยกเอาเหตุที่เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาคดีอื่นยึดไว้แล้วมาอ้างไม่ได้ (ฎ.1485/2513)
ศาลจึงต้องสั่งให้นายจันทร์และบริวารรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของนายอังคาร

3.เจ้าหนี้ฟ้องล้มละลายนายธงชัย ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และมีการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก ปรากฏว่าไม่มีเจ้าหนี้มาประชุมเลย ทัง้ ๆ ที่นายธงชัย


จำาเลยเตรียมที่จะขอประนอมหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่าไม่มีเจ้าหนี้มาประชุมเลย ศาลเห็นว่าลูกหนี้เตรียมขอประนอมหนี้ แต่เจ้าหนี้ไม่มา
จึงสั่งงดการพิจารณาไว้ และออกหมายเรียกประชุมเจ้าหนี้ใหม่ ท่านเห็นว่าคำาสั่งของศาลชอบหรือไม่

แนวตอบ
พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 61 บัญญัติว่า
“เมื่อศาลได้มีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า
เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือในคราวที่ได้เลื่อนไปขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี หรือไม่ลงมติประการใดก็ดี
หรือไม่มีเจ้าหนี้ไปประชุมก็ดี หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบก็ดี ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำานาจในการจัดการทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายเพื่อแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย”

วินิจฉัย
กรณีตามปัญหาได้มคี ำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว
และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงายศาลว่าในการประชุมครั้งแรกไม่มีเจ้าหนี้มาประชุมกรณีต้องด้วยมาตรา 61(3) พ.ร.บ.ล้มละลายแล้ว
กฎหมายบังคับว่าให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ดังนั้นเมื่อได้รับรายงานดังกล่าวแล้วศาลก็ต้องพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
จะสั่งงดการพิจารณาหรือพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ (ฎ.980/2531,367/2532)

ซ่อมภาค 1/39
1.โจทก์ฟ้องขับไล่จำาเลยและเรียกค่าเสียหาย จำาเลยยื่นคำาให้การและบัญชีระบุพยานไว้แล้ว แต่ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีหน้าที่นำาสืบก่อน
จำาเลยและทนายจำาเลยซึ่งทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว ไม่มาศาล ทั้งมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาล
ศาลจึงสั่งว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์เสร็จในวันนั้น จำาเลยก็ยังไม่มาศาล ศาลจึงสั่งเลื่อนไปสืบพยานจำาเลยในนัดหน้า
เพื่อที่จะได้พิจารณาว่าจำาเลยขาดนัดโดยจงใจหรือไม่ ดังนี้ท่านเห็นว่าคำาสั่งของศาลที่ให้เลื่อนคดีไปสืบพยานจำาเลยนั้นชอบหรือไม่
แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 บัญญัติว่า
“ถ้าได้ส่งหมายกำาหนดวันนัดสืบพยานให้จำาเลยทราบโดยชอบแล้ว
จำาเลยขาดนัดพิจารณาให้ศาลมีคำาสั่งแสดงว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณาแล้วให้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติต่อไปนี้”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรค 2 บัญญัติว่า
“ในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดมาศาลภายหลังที่ได้เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้ว
และศาลเห็นว่าการขาดนัดนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจ หรือมีเหตุอันสมควร ให้ศาลมีคำาสั่งพิจารณาคดีนั้นใหม่ ถ้าจำาเลยที่ขาดนัดพิจารณานั้น
ขาดนัดยื่นคำาให้การด้วย ให้บังคับตามบทบัญญัติมาตรา 199 “

วินิจฉัย
เมื่อจำาเลยขาดนัดพิจารณาแล้ว ศาลจะสั่งให้พิจารณาและชี้ขาดคดีตัดสินไปฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องเลื่อนไปสืบพยานจำาเลย (ปวพ.มาตรา 202)
ศาลจะพิจารณาว่าจำาเลยขาดนัดโดยจงใจหรือไม่ก็ต่อเมื่อจำาเลยมาศาลในระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 205 วรรค 2
การที่จำาเลยไม่มาศาลจนสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเสร็จแล้ว ศาลจะสั่งเลื่อนไปสืบพยานจำาเลย เพื่อที่จะได้พิจารณาว่าจำาเลยขาดนัดโดยจงใจหรือไม่เช่นนี้
เป็นคำาสั่งที่ไม่ชอบ (ฎ.256/2520)

3.ต้อยกับตุ้มร่วมกันไปกู้เงินจากแต๋วมา 100,000 บาท และยังมิได้ชำาระ ต่อมาต้อยถูกฟ้องล้มละลาย ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์


และให้ผู้มสี ิทธิยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ ตุ้มเห็นว่า แต๋วมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ จึงคิดว่าหากตนถูกแต๋วเรียกให้ชะระหนี้ในภายหลัง ต้อยก็ล้มละลายแล้ว
จะไม่มีใครแบ่งภาระหนี้ของตน ตุ้มจึงไปยื่นขอรับชำาระหนี้จำานวน 100,000 บาทนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยกคำาร้องให้เหตุผลว่า
ตุ้มเป็นลูกหนี้ร่วมกับต้อย มิใช่เป็นเจ้าหนี้ จึงไม่มีสิทธิขอรับชำาระหนี้
ท่านเห็นว่าคำาสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถูกต้องหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ. ล้มละลาย มาตรา 101 บัญญัติว่า
“ถ้าลูกหนี้ร่วมบางคนถูกพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้ร่วมคนอื่นอาจยื่นคำาขอชำาระหนี้สำาหรับจำานวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าได้
เว้นแต่เจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิขอรับชำาระหนี้ไว้เต็มจำานวนแล้ว
บทบัญญัติในวรรคก่อนให้ใช้บังคับแก่ผู้คำ้าประกัน ผู้คำ้าประกันร่วมหรือบุคคลที่อยู่ในลักษณะเดียวกันนี้โดยอนุโลม”

วินิจฉัย
ต้อยกับตุ้มเป็นลูกหนี้ร่วมในหนี้เงินกู้จำานวน 100,000 บาท เมื่อต้อยลูกหนี้รว่ มคนหนึ่งถูกพิทักษ์ทรัพย์
และเจ้าหนี้คือแต๋วก็มิได้ขอรับชำาระหนี้ ตุ้มลูกหนี้ร่วมจึงอาจขอรับชำาระหนีส้ ำาหรับจำานวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยได้ภายในเวลาภายหน้า คือ จำานวน
50,000 บาท ได้ แม้ตนจะยังมิได้ชำาระหนี้กต็ าม
ดังนั้น ตุ้มจึงขอรับชำาระหนี้ได้เพียงจำานวน 50,000 บาท เท่านั้น มิใช่ 100,000 บาท ส่วนคำาสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่ถูกต้อง
เพราะแม้ตุ้มจะมิใช่เจ้าหนี้ก็เป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา 101
ภาค 1/39
1.จำาเลยไม่มาศาลในวันสืบพยาน ศาลจึงสั่งว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์ไป 2 ปาก จำาเลยมาศาลในระหว่างสืบพยานปากที่ 3
จำาเลยอ้างว่ารถชนบาดเจ็บ ขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลเห็นว่าขาดนัดไม่จงใจ จึงอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ และให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไป 1 เดือน
ถึงวันนัดจำาเลยและทนายไม่มาศาลอีก ศาลจึงสั่งว่าจำาเลยขาดนัด พิจารณาและสืบพยานโจทก์จนเสร็จ แล้วตัดสินในวันนั้นเองให้จำาเลยแพ้คดี หลังจากนั้น
16 วัน ซึ่งศาลยังมิได้ออกคำาบังคับจำาเลยยื่นคำาร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ในคำาร้องมีข้อความครบครันตามที่กฎหมายบังคับ
โจทก์คัดค้านว่าจำาเลยยื่นคำาร้องหลังจากพิพากษาเกิน 15 วันแล้วและในวันที่ครบกำาหนดก็ไม่ใช่วันหยุด ทั้งจำาเลยเคยขอพิจารณาใหม่มาครั้งหนึ่งแล้ว
จึงจะมาขอพิจารณาใหม่อีกไม่ได้ ข้อคัดค้านของโจทก์จะฟังขึ้นหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 บัญญัติว่า
“คำาขอให้พิจารณาใหม่นั้น ให้ยื่นต่อศาลภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำาบังคับตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งให้แก่จำาเลย…..”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 บัญญัติว่า
“คูค่ วามฝ่ายใดซึ่งศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณาและมีคำาพิพากษาหรือคำาสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท
คู่ความฝ่ายนั้นอาจมีคำาขอให้พิจารณาใหม่ เว้นแต่
(2) คำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้นให้คู่ความขาดนัดแพ้คดีในกรณีที่มีการพิจารณาใหม่
เพราะเหตุที่คู่ความฝ่ายเดียวกันนั้นได้ขาดนัดมาครั้งหนึ่งแล้ว”

วินิจฉัย
ข้อคัดค้านของโจทก์ทั้งสองกรณีฟังไม่ขึ้น
กรณีแรกโจทก์คัดค้านว่า จำาเลยยื่นคำาร้องขอพิจารณาคดีใหม่หลังจากศาลพิพากษาเกิน 15 วัน และวันที่ครบกำาหนดก็ไม่ใช่วันหยุดนั้น ตาม
ปวพ. มาตรา 208 คำาขอให้พิจารณาคดีใหม่ให้ยื่นต่อศาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำาบังคับตามคำาพิพากษา หาใช่นับจากวันฟังคำาพิพากษาไม่
ปรากฏว่าคดีนี้ศาลยังไม่ได้ออกคำาบังคับ จำาเลยจึงยื่นคำาขอพิจารณาคดีใหม่ได้ หาเกินกำาหนดไม่
กรณีหลัง ที่โจทก์คัดค้านว่าจำาเลยเคยขาดนัดพิจารณาคดีใหม่มาครั้งหนึ่งแล้วนั้น ปวพ. มาตรา 207(2) ห้ามขอให้มีการพิจารณาใหม่
เฉพาะผู้ที่ขาดนัดพิจารณาและแพ้คดีในประเด็นพิพาทมาแล้วครั้งหนึ่ง และเมื่อขอให้ศาลพิจารณาใหม่ ก็ขาดนัดพิจารณาและศาลพิพากษาให้แพ้คดีอีก
จึงจะขอพิจารณาใหม่ไม่ได้ แต่ตามปัญหา การขาดนัดพิจารณาในครั้งแรก
เป็นการขาดนัดพิจารณาในวันสืบพยานซึ่งศาลอนุญาตให้พิจารณาใหม่ในระหว่างการพิจารณาตามมาตรา 205
หาใช่เป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้พิจารณาใหม่โดยจำาเลยขาดนัดแล้วถูกพิพากษาให้แพ้คดีไม่ ตามปัญหาจำาเลยเพิ่งขาดนัดพิจารณาและแพ้คดีเพียงครั้งเดียว
ก็มายื่นคำาขอให้พิจารณาคดีใหม่ กรณีจึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 207(2) ข้อคัดค้านของโจทก์ฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี

2.ในคดีแพ่งสามัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำาเลยฐานผิดในสัญญาซื้อขาย โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้นแต่แพ้คดีในศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกา


แต่สำานวนอยู่ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นจัดส่งสำาเนาฎีกาให้จำาเลยแก้คดี ชั้นฎีกาปรากฏว่าจำาเลยกำาลังจะจำาหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของจำาเลยให้หมดไป
โจทก์จึงยื่นคำาร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ยึดทรัพย์สินของจำาเลยไว้ก่อนมีคำาพิพากษาศาลฎีกา และยื่นคำาร้องขอให้ศาลไต่สวนในกรณีฉุกเฉินด้วย
ดังนี้ศาลใดจะเป็นผู้ไต่สวนและสั่งคำาร้อง และถ้าศาลสั่งยกคำาร้องก็ดี หรือสั่งอนุญาตตามคำาร้องก็ดี คูค่ วามไม่พอใจจะอุทธรณ์หรือฎีกาได้หรือไม่
ถ้าอุทธรณ์หรือฎีกาได้ จะอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปยังศาลใด

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรคท้าย บัญญัติว่า
“ในระหว่างระยะเวลานับแต่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธร์ได้อ่านคำาพิพากษาหรือคำาสั่งชี้ขาดคดีหรือชี้ขาดอุทธรณ์ไปจนถึงเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ส่งสำา
นวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วแต่กรณี คำาขอตามมาตรานี้ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น
ให้ศาลชั้นต้นมีอำานาจที่จะสั่งอนุญาตหรือยกคำาขอเช่นว่านี้”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 บัญญัติว่า
“ให้ศาลพิจารณาคำาขอเป็นการด่วน ถ้าเป็นที่พอใจจากคำาแถลงของโจทก์หรือพยาน
หลักฐานที่โจทก์ได้นำามาสืบหรือที่ศาลเรียกมาสืบเองว่าคดีนั้นเป็นคดีมีเหตุฉุกเฉินและคำาขอนั้นมีเหตุผลสมควรอันแท้จริง
ให้ศาลมีคำาสั่งหรือออกหมายตามที่ขอภายในขอบเขตและเงื่อนไขไปตามที่เห็นจำาเป็นทันที หากศาลมีคำาสั่งให้ยกคำาขอ คำาสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติว่า
“ก่อนศาลชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลมีคำาสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ
(2)มีคำาสั่งอันเกี่ยวด้วยคำาขอ
เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคูค่ วามในระหว่างการพิจารณาหรือมีคำาสั่งอันเกี่ยวด้วยคำาขอเพื่อที่จะบังคับคดีตามคำาพิพากษาต่อไป
(3)……….
คำาสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกำาหนดหนึ่งเดือนนับตั้งแต่วันมีคำาสั่งเป็นต้นไป”

วินิจฉัย
กรณีตามปัญหา ปรากฏว่าสำานวนเรื่องนี้ยังมิได้ส่งไปยังศาลฎีกา ศาลชั้นต้นจึงมีอำานาจไต่สวนและสั่งคำาร้องได้ตาม ปวพ. มาตรา 254
วรรคท้าย
โดยที่เป็นคำาขอในกรณีฉุกเฉิน ตามปัญหาแยกพิจารณาได้ดังนี้
ก.ถ้าศาลชั้นต้นสั่งยกคำาขอ คำาสั่งนี้เป็นที่สุด โจทก์อุทธรณ์หรือฎีกาไม่ได้ ตาม ปวพ. มาตรา 267
ข.ถ้าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำาขอ จำาเลยอุทธรณ์ได้ตาม ปวพ. มาตรา 228(2) แต่ต้องอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์
จะอุทธรณ์ตรงไปยังศาลฎีกาเลยไม่ได้

3.ติม๋ ฟ้องต้อยให้ชำาระหนี้ ในที่สุดคู่ความประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมให้ต้อยชำาระหนี้ 100,000 บาท แต่ต้อยก็ไม่ชำาระ อีก


11 ปีต่อมา ติม๋ ไปทวงหนี้ ต้อยจึงทำาหนังสือรับสภาพหนี้ให้ หลังจากนั้นอีก 1 ปี ต้อยถูกฟ้องล้มละลาย ศาลพิทักษ์ทรัพย์ ติ๋มจึงนำาหนี้ 100,000
บาทมาขอรับชำาระในคดีล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้วไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้
จึงไม่อาจขอรับชำาระหนี้ในคดีล้มละลายได้ ติม๋ โต้แย้งว่า หนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มีคำาพิพากษาแล้วจึงไม่ขาดอายุความ ทัง้ ต้อยก็ได้ทำาหนังสือรับสภาพหนี้ให้เมื่อ 1
ปีทผี่ ่านมา อายุความจึงไม่ขาด ขอรับชำาระหนี้ได้ ท่านเห็นด้วยกับข้อต่อสู้ของติ๋มหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ. ล้มละลาย มาตรา 94 บัญญัติว่า
“เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำาระหนี้ได้
ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำาหนดชำาระหรือมีเ งื่อนไขก็ตามเว้นแต่
(1)หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย หรือหนี้ที่ฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้”

วินิจฉัย
หนี้ของติ๋มที่มีคำาพิพากษาแล้วนั้นเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำาพิพากษาชั้นที่สุดของศาลมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา
193/32 อายุความอาจเริ่มนับตั้งแต่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป เมื่ออายุเกิน 10 ปี จึงขาดอายุความ (ฎ.3958/2534)
ไม่อาจขอรับชำาระหนี้ได้ ข้อต่อสู้ของติ๋มฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น ต้อยลูกหนี้ได้ทำาหนังสือรับสภาพหนี้ให้เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความก่อนมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว
ทำาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจยกอายุความขึน้ ต่อสู้ในนามของเจ้าหนี้อื่น ๆ ได้ จึงเป็นหนี้ที่ฟ้องให้บังคับคดีได้

ภาค 1/38
1.นายประชาเป็นโจทก์ฟ้องนายชาติ หาว่านายชาติกระทำาละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 200,000 บาท นายชาติให้การปฏิเสธ
คดีอยู่ในระหว่างพิจารณา
ต่อมานายชาติเป็นโจทก์ฟ้องนายประชาหาว่านายประชาแกล้งฟ้องนายชาติโดยไม่มีมูลและเรียกค่าเสียหายจากนายประชาจำานวนหนึ่ง
นายประชาให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งให้นายชาติรับผิด โดยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีแรก
แต่เรียกร้องให้นายชาติชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 250,000 บาท ดังนี้ ถ้าท่านเป็นทนายของนายชาติ
ท่านจะให้การแก้ฟ้องแย้งของนายประชาในข้อกฎหมายประการใดบ้างหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 บัญญัติว่า
“เมื่อศาลได้รับคำาฟ้องแล้ว ให้ศาลออกหมายส่งสำาเนาคำาฟ้องให้แก่จำาเลยเพื่อแก้คดี และภายในกำาหนดเจ็ดวันนับแต่วันยื่นคำาฟ้อง
ให้โจทก์ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ส่งหมายนั้น
นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำาฟ้องแล้วคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาและผลแห่งการนี้
(1)ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำาฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่น “

วินิจฉัย
ข้อเท็จจริงตามปัญหา ปรากฏว่านายประชาได้เป็นโจทก์ฟ้องนายชาติ
หาว่านายชาติกระทำาการละเมิดและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายชาติไว้ก่อนแล้ว และคดีนั้นยังอยู่ในระหว่างพิจารณา
การที่นายประชามาฟ้องแย้งนายชาติในคดีหลังโดยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีแรก จึงเป็นการที่นายประชายื่นคำาฟ้องเรื่องเดียวกัน ซึ่งต้องห้ามตาม
ปวพ. มาตรา 173(1) แม้จะมีการเรียกร้องจำานวนค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้น ก็เป็นเรื่องที่นายประชาควรจะใช้สิทธิเรียกร้องในคดีเดิมได้อยู่แล้ว
เพราะไม่ปรากฏว่าได้มีกรณีละเมิดเพิ่มเติมใหม่แต่ประการใด กรณีเป็นเรื่องฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามมาตรา 173(1) (ฎ.1673/2517)
ทนายความของนายชาติจึงควรยกปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนต้องห้ามขึ้นเป็นข้อที่จะให้การแก้ฟ้องแย้งของนายประชา

3.ฟ้าเป็นลูกหนี้ฝน โดยจำานองที่ดินแปลงหนึ่งไว้ เมื่อหนี้ถึงกำาหนดชำาระ ฟ้าจึงชำาระหนี้ไถ่ถอนจำานองที่ดินเป็นเงิน 1 ล้านบาท และโอนขายให้นำ้าค้าง


บุตรสาวของตน โดยนำ้าค้างมิได้รู้ถึงหนี้สินของฟ้า ต่อมาอีก 2 เดือน ฟ้าถูกเมฆฟ้องล้มละลาย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ขอเพิกถอนการชำาระหนี้ไถ่ถอนที่ฟ้าทำากับ ฝน และเพิกถอนการโอนที่ดินให้นำ้าค้าง
ท่านเห็นว่าจะเพิกถอนนิติกรรมทั้งสองรายได้หรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114 บัญญัติว่า
“การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำาการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้
ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำาหรือยินยอมให้กระทำาในระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้น ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์มีคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้อง
ศาลมีอำานาจสั่งเพิกถอนหรือโอนการกระทำานั้นได้
เว้นแต่ผู้รบั โอนหรือผู้รับประโยชน์จะแสดงให้พอใจศาลว่าการโอนหรือการกระทำานั้นได้กระทำาโดนสุจริตและมีค่าตอบแทน”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 115 บัญญัติว่า
“การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำาใด ๆ
ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำาหรือยินยอมให้กระทำาในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนการมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้น
โดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้อง
ศาลมีอำานาจสั่งเพิกถอนหรือโอนการกระทำานั้นได้”

วินิจฉัย
1.การที่ฟ้าชำาระหนี้ไถ่จำานองจากฝนนั้น ฝนเป็นเจ้าหนี้ที่มีประกัน แม้ถึงว่าฟ้าจะล้มละลาย
ฝนก็ยังขอรับชำาระหนี้ได้โดยบังคับเอากับทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ซึ่งในกรณีนี้ทรัพย์อันเป็นหลักประกันมีราคาเกินกว่าจำานวนหนี้
การชำาระหนี้ไถ่ถอนจำานองนี้จึงไม่ทำาให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบแต่อย่างใด แม้จะทำานิติกรรมก่อนถูกฟ้องล้มละลายเพียง 2 เดือน ก็ตาม กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา
115 เมฆจะขอให้เพิกถอนไม่ได้ (ฎ.2085/2535)
2.ส่วนการที่ฟา้ โอนขายทีด่ ินแปลงดังกล่าวกับนำ้าค้าง แม้จะขายให้ก่อนถูกฟ้องล้มละลายเพียงสองเดือน แต่นำ้าค้างก็มิใช่เจ้าหนี้ของฟ้า
จึงไม่เป็นการมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น กรณีจึงไม่ต้องด้วย มาตรา 115 ทั้งจะขอเพิกถอนตามมาตรา 114
ก็ไม่ได้เพราะการกระทำาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

ซ่อมภาค 2/37
1.คดีเรื่องหนึ่ง ศาลสั่งว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณาและดำาเนินการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวจนเสร็จแล้วพิพากษาในวันนั้นเอง
ศาลพิพากษาให้จำาเลยใช้เงินตามฟ้องของโจทก์ จำาเลยอุทธรณ์ว่าก่อนศาลสั่งว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณา จะต้องฟังเหตุผลจากฝ่ายจำาเลยก่อน
ถ้าปรากฏว่าจำาเลยจงใจขาดนัด ศาลจึงจะมีคำาสั่งเช่นนั้นได้ แต่กรณีนี้ศาลสั่งโดยไม่ได้ฟังเหตุผลจากจำาเลยก่อน
คำาสั่งที่ศาลสั่งว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณาจึงไม่ชอบ
ท่านเห็นว่าอุทธรณ์ของจำาเลยฟังขึ้นหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรค 2 บัญญัติว่า
“ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน
ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นขาดนัดพิจารณา”

วินิจฉัย
จำาเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานแและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยานตาม ปวพ. มาตรา 197 วรรค
2 ให้ถือว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณา คำาสั่งศาลจึงชอบ ศาลไม่จำาต้องคอยฟังเหตุผลจากจำาเลยก่อน อุทธรณ์ของจำาเลยฟังไม่ขึ้น

2.คดีเรื่องหนึ่ง โจทก์นำาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำาเลยเพื่อชำาระหนี้ตามคำาพิพากษา ทีด่ ินแปลงนั้นยังมีชื่อจำาเลยถือกรรมสิทธิ์อยู่


แต่ปรากฏว่าจำาเลยได้ทำาสัญญาจะขายที่ดินนั้นให้กับผู้ร้อง ผูร้ ้องได้ชำาระราคาครบถ้วนและพ้นกำาหนดที่จะทำาการโอนแล้ว ดังนี้
โจทก์มีสิทธินำายึดที่ดินแปลงนี้มาชำาระหนี้หรือไม่
แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 บัญญัติว่า
“ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา 288 ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำาพิพากษา
ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับคดีเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติว่า
“ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำาเลยหรือลูกหนี้ตามคำาพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้
ก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาดหรือจำาหน่ายโดยวิธีอื่น บุคคลนั้นอาจยื่นคำาร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย
สิทธิของผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อขายที่ทำาไว้กับจำาเลยไม่ใช่บุริมสิทธิหรือสิทธิอื่นซึ่งผู้ร้องอาจขอให้บังคับเหนือที่ดินที่โจทก์นำายึด
เมื่อกรรมสิทธิยังมิได้โอนไป เจ้าของกรรมสิทธิก็คือจำาเลย ผู้ร้องอ้างไม่ได้ว่าจำาเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำาพิพากษาไม่ใช่เจ้าของที่ดินนั้น ตาม ปวพ. มาตรา
287,288 โจทก์จึงมีสิทธิยึดทีด่ ินแปลงนี้มาชำาระหนี้

ภาค 2/37
2. คดีเรื่องหนึ่ง ศาลพิพากษาให้จำาเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท
โจทก์นำาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำาเลยเพื่อขายทอดตลาดชำาระหนี้ ปรากฏว่าที่ดินของจำาเลยแปลงหนึ่งราคา 400,000 บาท
ถูกเจ้าหนี้คามคำาพิพากษาอีกคนหนึ่งได้นำาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้ว แต่จำาเลยเป็นผู้ทรงสิทธิเรียกร้องโดยจำาเลยมีลูกหนี้อยู่รายหนึ่งจำานวนเงิน
200,000 บาท ซึ่งยังมิได้ชำาระหนี้ให้แก่จำาเลย โจทก์ได้นำาเรื่องมาปรึกษาท่าน ท่านจะแนะนำาโจทก์อย่างไรเพื่อจะได้รับชำาระหนีต้ ามคำาพิพากษา

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 บัญญัติว่า
“เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนี้ตามคำาพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาแล้ว
ห้ามมิให้เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซำ้าอีก ฯลฯ”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 310(3) บัญญัติว่า
“ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องขอให้ชำาระเงินจำานวนหนึ่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัด ซึ่งตามมาตรา 311
บัญญัติว่าสิทธิเรียกร้องซึ่งระบุไว้ในอนุมาตรา (3) ของมาตรา 310 ให้อายัดได้โดยคำาสั่งอายัดซึ่งศาลได้ออกให้ตามที่เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาได้ยื่นคำาขอ
ฯลฯ”

วินิจฉัย
ตามปัญหา ปรากฏว่าที่ดินแปลงหนึ่งของจำาเลยถูกเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาอีกคนหนึ่งได้นำาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก่อนแล้ว
กรณีจึงต้องด้วยข้อห้ามตามมาตรา 290 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาจะนำายึดที่ดินแปลงดังกล่าวซำ้าอีกไม่ได้
แต่ตามปัญหา ปรากฏว่าจำาเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำาพิพากษาเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้อยู่รายหนึ่ง
ซึ่งจำาเลยยังมิได้รับชำาระหนี้จากลูกหนี้ของจำาเลยรายนี้ ฉะนั้น
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาชอบที่จะร้องขอต่อศาลไว้สั่งอายัดเงินจำานวนดังกล่าวจากลูกหนี้ของจำาเลย
ข้าพเจ้าจะให้คำาปรึกษาแก่โจทก์โดยนัยดังกล่าว
ภาค 2/36
2.คดีเรื่องหนึ่ง ศาลพิพากษาให้จำาเลยรื้อถอนโรงเรือนออกจากที่ดนิ พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ จำาเลยได้ทราบคำาบังคับแล้ว พ้นกำาหนดเวลาตามคำาบังคับ
จำาเลยยังมิได้รื้อถอนโรงเรือนออกไป แต่ได้ยื่นคำาร้องต่อศาลว่า จำาเลยหาคนที่จะรื้อถอนไม่ได้ ขอให้โจทก์รื้อถอนเอง โดยจำาเลยจะยอมออกค่าใช้จ่ายให้
ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งอนุญาตตามคำาร้องหรือยกคำาร้องของจำาเลย

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 270 บัญญัติว่า
“ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีมิได้ปฏิบัติตามคำาพิพากษา
คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำาพิพากษา ฯลฯ”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติว่า
“การบังคับคดีต้องเป็นไปตามคำาพิพากษา ฯลฯ”

วินิจฉัย
ตามปัญหาศาลพิพากษาให้จำาเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่พิพาท จำาเลยต้องรื้อถอนเอง
จะเกี่ยงให้โจทก์รื้อถอนโดยจำาเลยยอมเสียค่าใช้จ่ายไม่ได้ (ฎ.1649/2498) ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งยกคำาร้องของจำาเลยเสีย
(หมายเหตุ : จำาเลยจะรื้อถอนเองหรือให้บคุ คลอื่นรื้อถอนโดยวิธีใดนั้นเป็นเรื่องจำาเลย)

ซ่อมภาค 1/37
2.นายแดงฟ้องนายเขียวขอให้ศาลพิพากษานายเขียวใช้หนี้ค่าซื้อของเชื่อ 50,000 บาท และศาลได้มีคำาสั่งอายัดเงินของนายเขียวซึ่งฝากอยู่ในธนาคารอยู่
30,000 บาท ไว้ก่อนพิพากษาและได้แจ้งการอายัดตามกฎหมายแล้ว ต่อมาศาลได้พิพากษาให้นายเขียวชำาระเงินแก่นายแดงตามฟ้อง
นายแดงยังไม่ได้ดำาเนินการประการใด จนเวลาล่วงพ้นมาเป็นระยะเวลา 20 วัน และเงิน 30,000 บาท ก็ยังอยู่ที่ธนาคาร
ต่อมานายขาวเจ้าหนี้ของนายเขียวชนะคดีตามคำาพิพากษาอีกคดีหนึ่ง นายขาวจะมีทางได้รับชำาระหนี้จากเงินที่ธนาคารรายนี้โดยทางใดหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 บัญญัติว่า
“ถ้าในคำาพิพากษาหรือคำาสั่งชี้ขาดตัดสินคดี มิได้กล่าวไว้ซึ่งวิธีการชั่งคราวที่ศาลได้สั่งไว้ในระหว่างพิจารณา และ (2)
ถ้าคดีนั้นตัดสินให้โจทก์ชนะ คำาสั่งนั้นคงมีผลต่อไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้นเท่าที่จำาเป็น เพื่อบังคับตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้น
แต่ถ้าโจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำาหนด สิบห้าวัน นับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำาหนดไว้ในบังคับ เพื่อให้ปฏิบัติตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่ง
ให้ถือว่าคำาสั่งนั้นเป็นอันยกเลิกเมื่อสิ้นระยะเวลาเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย
ตามปัญหา ที่ว่านายแดงยังไม่ได้ดำาเนินการประการใด ก็แสดงว่านายแดงไม่ได้ขอหมายบังคับคดีจนเวลาล่วงพ้นมาเป็นระยะเวลา 20 วัน
นับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำาหนดในคำาบังคับให้ปฏิบัติตามคำาพิพากษา คำาสัง่ ศาลที่ให้อายัดเงินในธนาคารจึงเป็นอันยกเลิกเมื่อสิ้นระยะเวลา 15 วัน
ฉะนั้นนายขาวจึงขอให้บังคับคดีแก่เงินที่ธนาคารมาชำาระหนี้ในคดีที่นายขาวเป็นโจทก์ได้
ภาค 2 /37
3.แดงกู้ยืมเงินไปจากต้องเป็นเงิน 40,000 บาท เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2538 โดยมิได้ทำาหลักฐานหรือสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ
แต่แดงได้ออกเช็คลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 ให้ไว้เป็นหลักฐาน ต่อมาแดงถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องล้มละลาย ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 10
กุมภาพันธ์ 2538 ต้อยจึงขอยื่นรับชำาระหนี้อ้างว่าเป็นหนี้กู้ยืม ศาลสั่งยกคำาขอรับชำาระหนี้ ท่านเห็นว่าคำาสั่งศาลถูกต้องหรือไม่
และถ้าต้อยยื่นขอรับชำาระหนี้ตามมูลหนี้เช็ค ผลจะเป็นอย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 94 บัญญัติว่า
“เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำาระหนี้ได้ ถ้ามูลหนี้นั้นได้เกิดก่อนวันที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์
แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำาหนดชำาระหรือมีเงื่อนไขก็ตามเว้นแต่
(1)หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย หรือศีลธรรมอันดี หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้”

วินิจฉัย
กรณีตามปัญหา หนี้กู้ยืมเงินของต้อย แม้มลู หนี้จะเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์ แต่การกู้ยืมเงินนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
การออกเช็คให้ไว้ไม่พอที่จะถือเป็นหลักฐานการกู้ยืม ดังนั้นหนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ที่จะฟ้องร้ องบังคับคดีไม่ได้ จึงต้องห้ามมิให้ขอรับชำาระในคดีล้มละลายตาม
มาตรา 94
และถ้าหากต้อยจะขอรับตามมูลหนี้เช็ค เช็คนี้ก็ลงวันที่ 10 มีนาคม 2538 ซึ่งเป็นวันที่หลังจากศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ซึ่งต้องถือว่ามูลหนี้เช็คนี้เกิดขึ้นหลังจากวันที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์ หนี้รายนี้จึงต้องห้ามมิให้ขอรับชำาระหนี้ในคดีล้มละลายเช่นเดียวกัน
ดังนั้น หนี้รายนี้จึงไม่อาจขอรับชำาระในคดีล้มละลายไม่ว่าจะอ้างมูลหนี้กู้ยืมหรือมูลหนี้ตามเช็ค

ภาค 1/37
1.นายสมศักดิ์กู้ยืมเงินนายทองไปเป็นจำานวน 500,000 บาท ต่อมานายสมศักดิ์ทำาการค้าขายขาดทุนมีหนี้สินล้นพ้นตัว
นายสมศักดิ์คิดถึงบุญคุณนายทองที่เคยช่วยเหลือเสมอ ๆ จึงนำาที่ดินของตนซึ่งเหลืออยู่แปลงเดียวราคา 500,000 บาท มาโอนตีใช้หนี้นายทอง
โดยที่นายทองมิได้รู้เห็นถึงความมีหนี้สินล้นพ้นตัวของนายสมศักดิ์เลย ต่อมาอีก 2 เดือน นายสมศักดิ์ถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องล้มละลาย
ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้ศาลมีคำาสั่งเพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างนายสมศักดิ์กับนายทอง
นายทองต่อสู้ว่าตนเองสุจริต ทั้งที่ดนิ ก็มีราคาเท่ากับหนี้จึงไม่ทำาให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ ท่านเห็นว่าข้อต่อสู้ของนายทองฟังขึ้นหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 115 บัญญัติว่า
“การโอนทรัพย์สินการกระทำาใด ๆ ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำา
หรือยินยอมให้กระทำาในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้นโดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้คนอื่น
ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้อง ศาลมีอำานาจสั่งเพิกถอนการโอนหรือการกระทำานั้นได้”

วินิจฉัย
กรณีตามปัญหา การที่นายสมศักดิ์ซึ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัวนำาที่ดินมาโอนตีใช้หนี้นายทองซึ่งเป็นเจ้าหนีค้ นหนึ่ง
เพราะคิดถึงบุญคุณของนายทองเป็นการโอนทรัพย์สินโดยมุ่ งหมายให้นายทองเจ้าหนี้ได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น
และเป็นการโอนก่อนการมีการขอให้ล้มละลายไม่เกิน 3 เดือน ดังนี้ ศาลจึงมีอำานาจเพิกถอนการโอนได้ ตามมาตรา 115
โดยไม่จำาต้องคำานึงว่านายทองสุจริตหรือไม่ เพราะมาตรานี้มุ่งถึงเจตนาของลูกหนี้เท่านั้น
ส่วนข้อต่อสู้ที่ว่าราคาที่เดินเท่ากับจำานวนหนี้ไม่ทำาให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะการทำาให้นายทองได้รับชำาระหนี้ในสัดส่วนที่สูงกว่าเจ้าหนี้อื่น
ก็ถือว่าทำาให้เสียเปรียบแล้ว

2.คดีเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องว่าจำาเลยบุรุกที่ดินของโจทก์ จำาเลยให้การว่าที่ดินเป็นของจำาเลยไม่ได้บุกรุก โจทก์มีหน้าที่นำาสืบก่อน


ได้สืบพยานโจทก์ฝ่ายตนเสร็จแล้ว ถึงวันนัดสืบพยานจำาเลย ตัวจำาเลยทนายจำาเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำาเลยไม่ยื่นอุทธรณ์
แต่ได้ยื่นคำาร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่โดยขอสืบพยานจำาเลยให้เสร็จสิ้นกระแสความอ้างว่าที่ไม่มาศาล เพราะป่วย
และพยานหลักฐานของโจทก์ก็ฟังไม่ได้ตามฟ้อง ถ้าท่านเป็นศาลจะมีคำาสั่งคำาร้องของจำาเลยอย่างไร

แนวตอบ
ที่จะร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้นั้น ต้องเป็นเรื่องที่จำาเลยขาดนัดพิจารณา (มาตรา 207) และที่จะถือว่าขาดนัดพิจารณานั้น
ต้องเป็นเรื่องที่จำาเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานซึ่งหมายถึงวันเริ่มต้นทำาการสืบพยานตาม ปวพ. มาตรา 197,1(10)
ตามปัญหา ได้สืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว วันเริ่มต้นทำาการสืบพยานได้ผ่านพ้นไปแล้ว ได้นัดสืบพยานจำาเลย
การที่จำาเลยและทนายจำาเลยไม่มาศาลในวันนั้น จึงไม่ใช่การที่จำาเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานตามมาตรา 197 จำาเลยจึงขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้
ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งยกคำาร้องของจำาเลยเสีย

3.คดีเรื่องหนึ่ง ศาลพิพากษาให้จำาเลยชำาระหนี้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท กับให้จำาเลยรื้อถอนบ้านพิพาทของจำาเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์


จำาเลยขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำาบังคับ ปรากฏว่าจำาเลยมีเงินฝากอยู่ในธนาคารไทยสยามเป็นเงิน 300,000 บาท
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาจึงร้องขอให้ศาลสั่งจับกุมและกักขังจำาเลยจนกว่าจำาเลยชำาระหนี้เงินดังกล่าวและรื้อถอนบ้านพิพาทของจำาเลยออกไปจาก
ที่ดินของโจททก์ ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคำาร้องของโจทก์ประการใด

แนวตอบ
การที่จะขอให้ศาลมีคำาสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำาพิพากษาได้นั้น จะต้องได้ความว่า
1.ลูกหนี้ตามคำาพิพากษาสามารถที่จะปฏิบัตติ ามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้นได้ ถ้าตนได้กระทำาการโดยสุจริต และ
2.ไม่มีวิธีบังคับคดีอื่นใดที่เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาจะพึงใช้บังคับได้
(ปวพ. มาตรา 297)
ตามปัญหา ศาลจะสั่งจับกุมและกักขังจำาเลยไม่ได้ เพราะแม้ลูกหนี้ตามคำาพิพากษาสามารถปฏิบัติตามคำาพิพากษาได้
และยังมีวิธบี ังคับที่เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาจะใช้บังคับได้ รายละเอียดแยกพิจารณาได้ดังนี้
(1)เกี่ยวกับหนี้เงิน 200,000 บาทนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำาเลยมีเงินฝากอยู่ในธนาคารไทยสยามเป็นเงิน 300,000 บาท
เป็นเรื่องที่โจทก์จะร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดหรือศาลสั่งอายัดได้ตามมาตรา 310(3) และ 311
(2)ส่วนกรณีที่ศาลบังคับให้จำาเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์นั้น
ศาลก็บังคับให้จำาเลยรื้อถอนไปได้โดยจำาเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
ซ่อมภาค 2/36
1.คดีเรื่องหนึ่ง ศาลสั่งให้โจทก์นำาสืบก่อน ถึงวันสืบพยานโจทก์ โจทก์จำาเลยมาศาล โจทก์สบื พยานได้ 3 ปาก แล้วแถลงว่าโจทก์ยังมีพยานอีก 2 ปาก
ขอเลื่อนไปสืบนัดต่อไป ศาลอนุญาต ถึงวันนัด โจทก์ทนายโจทก์มาศาล แต่จำาเลยและทนายจำาเลยไม่มาศาล ศาลสืบพยานโจทก์ต่อจนเสร็จในวันนัดนั้น
และจะนัดพยานจำาเลยต่อไป โจทก์แถลงว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจ ขอให้ศาลชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว ท่านเห็นด้วยกับข้อแถลงของโจทก์หรือไม่

แนวตอบ
วันสืบพยานที่จะถือว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณาและให้ศาลชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตาม ปวพ. มาตรา 202 นั้น
ต้องเป็นวันที่ศาลเริ่มต้นทำาการสืบพยานตามมาตรา 1(10)
ตามปัญหา โจทก์ได้นำาสืบพยานโจทก์แล้ว 3 ปาก จึงผ่านพ้นวันสืบพยานมาแล้ว นัดต่อมาโจทก์สืบพยานอีก 2 ปาก มิใช่วันสืบพยาน
จึงไม่ถือว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณา เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว จำาเลยก็มีสิทธิที่จะได้สืบพยานจำาเลย
คำาแถลงว่าจำาเลยขาดนัดพิจารณาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งนัดสืบพยานจำาเลยต่อไป

2.ในกรณีดังต่อไปนี้ จำาเลยไม่ปฏิบัติตามคำาบังคับของศาล ถ้าท่านเป็นศาล จะสั่งจับกุมและกักขังจำาเลยหรือไม่


2.1 ศาลพิพากษาให้จำาเลยส่งคืนบุตรผู้เยาว์ของโจทก์คืนให้แก่โจทก์
2.2 ศาลพิพากษาให้จำาเลยโอนที่ดินที่พิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำาพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำาเลย

แนวตอบ
ตาม ปวพ. มาตรา 297 การที่ศาลจะอนุญาตตามคำาขอของโจทก์ที่ร้องขอต่อศาลให้มีคำาสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำาพิพากษาได้นั้น
จะต้องได้ความว่า
(1) ลูกหนีต้ ามคำาพิพากษาสามารถที่จะปฏิบัติตามคำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้นได้ ถ้าได้กระทำาการโดยสุจริต และ
(2) ไม่มีวิธบี ังคับอื่นใดที่เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาจะใช้บังคับได้

ตามปัญหา ตอบได้ดังนี้
2.1 ถ้าปรากฏว่าจำาเลยสามารถที่จะปฏิบัติตามคำาบังคับได้ ถ้าได้กระทำาการโดยสุจริต ก็สั่งจับกุมและกักขังได้
เพราะไม่มีวิธีการบังคับอย่างอื่น
2.3 ศาลจะสั่งจับกุมและกักขังไม่ได้ เพราะมีวิธบี ังคับอย่างอื่น
คือโจทก์สามารถขอให้ถือเอาคำาพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำาเลยและขอให้ศาลสั่งโอนที่ดินได้ตาม ปวพ. มาตรา 297 และ
ปพพ. มาตรา 213

3.คดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายอึ่งลูกหนี้เด็ดขาด นายอึ่งยื่นคำาขอประนอมหนี้โดยชำาระหนี้ร้อยละ 20 ของจำานวนหนี้ทั้งหมด


และมีนายอ่างเป็นผู้คำ้าประกันสำาหรับจำานวนดังกล่าว ศาลเห็นชอบด้วย ต่อมานายอึ่งลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำาระหนี้ตามที่ได้ขอประนอมหนี้ไว้
ศาลจึงมีคำาสั่งยกเลิกการประนอมหนี้ และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถยึดทรัพย์สินใด ๆ ของนายอึ่งลูกหนี้ได้เลย
แต่ทราบว่านายอ่างมีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงได้ยึดไว้เพื่อขายทอดตลาดชำาระหนี้แก่บรรดาเจ้าหนี้ของนายอึ่ง
นายอ่างเห็นว่าตนได้หลุดพ้นจากข้อตกลงในประนอมหนี้แล้ว จึงยื่นคำาร้องต่อศาลขอให้ปล่อยรถยนต์ของตนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดไว้
ถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะสั่งคำาร้องของนายอ่างอย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 60 บัญญัติว่า
“ถ้าลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำาระหนี้ตามที่ได้ตกลงไว้ในการประนอมหนี้ก็ด…ี .
เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานหรือเจ้าหนี้คนใดมีคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้อง ศาลมีอำานาจยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
แต่ทั้งนี้ไม่กระทบการใดที่ได้กระทำาไปแล้วตามข้อประนอมหนี้นั้น”

วินิจฉัย
เมื่อศาลมีคำาสั่งยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว
การตกลงตามข้อประนอมหนี้เป็นอันถูกเพิกถอนไปด้วยในตัวเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการประนอมหนี้กันเลย หนี้ตามข้อประนอมหนี้ก็เป็นอันระงับไปด้วย
เมื่อการยึดรถยนต์ของนายอ่างมิได้กระทะไปตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ การยึดรถจึงไม่ชอบ ผูค้ ำ้าประกันย่อมเป็นอันหลุดพ้นตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
มาตรา 60
ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะสั่งปล่อยรถยนต์ของนายอ่าง

ซ่อมภาค 1/36
1.คดีเรื่องหนึ่งโจทก์ฟ้องจำาเลยฐานผิดสัญญา เรียกค่าเสียหาย 500,000 บาท จำาเลยให้การสูค้ ดี ศาลให้โจทก์มีหน้าที่นำาสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์
โจทก์ ทนายโจทก์ไม่มาศาล จำาเลยขอให้ศาลดำาเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป ศาลมีคำาสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา และพิพากษายกฟ้องโจทก์
ต่อมาอีก 5 วันนับแต่วันศาลพิพากษา โจทก์ยื่นคำาร้องขอให้ศาลสั่งพิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น
ตัวโจทก์ป่วยหนักและมารดาทนายโจทก์ถึงแก่กรรมจึงมาศาลไม่ได้ โจทก์ขาดนัดโดยไม่จงใจและมีเหตุการอันสมควร จำาเลยให้การโต้แย้งว่า
เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณา โจทก์จะขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้ ต้องห้ามตามกฎหมาย ได้แต่ยื่นคำาฟ้องใหม่ ท่านเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของจำาเลยหรือไม่

แนวตอบ
ตาม ปวพ. มาตรา 200 เมื่อจำาเลยแจ้งต่อศาลว่าตนตั้งใจจะให้ดำาเนินการพิจารณาคดีต่อไป ก็เป็นกรณีต้องด้วยวรรค 2 ไม่ใช่วรรค 1
ซึ่งตามวรรค 1 นี้ โจทก์จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ เมื่อศาลดำาเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามวรรค 2 โจทก์ย่อมขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
เมื่อศาลพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ จึงถือว่าโจทก์แพ้คดีในประเด็นข้อพิพาทตามมาตรา 207 โจทก์จึงร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของจำาเลย
(หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 บัญญัติว่า
“คูค่ วามฝ่ายใดซึ่งศาลแสดงว่าขาดนัดพิจารณาและมีคำาพิพากษาหรือคำาสั่งให้แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท
คู่ความฝ่ายนั้นอาจมีคำาขอให้พิจารณาใหม่ เว้นแต่
(2)คำาพิพากษาหรือคำาสั่งนั้นให้คู่ความขาดนัดแพ้คดีในกรณีที่มีการพิจารณาใหม่
เพราะเหตุที่คู่ความฝ่ายเดียวกันนั้นได้ขาดนัดมาครั้งหนึ่งแล้ว”)
2.คดีเรื่องหนึ่ง ศาลพิพากษาให้จำาเลยใช้เงินแก่โจทก์ 200,000 บาท โจทก์นำาเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์คันหนึ่ง
โดนอ้างว่าเป็นทรัพย์สินของจำาเลยเพื่อขายทอดตลาดชำาระหนี้แก่โจทก์ นายวุฒิบุคคลภายนอกคดีร้องขอให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึด โดยอ้างว่ารถยนต์เป็นของตน
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีชั้นร้องขอให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึด ฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นรถยนต์ของนายวุฒิผู้ร้อง จึงสั่งให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึด โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างคดีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้
ท่านเห็นว่าโจทก์มีทางใดบ้างที่จะยังมิให้มีการถอนการยึดในระหว่างอุทธรณ์

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 บัญญัติว่า
“คูค่ วามในคดีอาจมีคำาขอต่อศาล
เพื่อให้มีคำาสั่งกำาหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำาพิพากษา ฯลฯ”

วินิจฉัย
ตามปัญหา เมื่อศาลสั่งปล่อยรถยนต์ที่ยึด รถยนต์ก็ต้องตกไปอยู่กับนายวุฒิ ผู้ร้องขอให้ปล่อย โจทก์ย่อมจะได้รับความเสียหาย
ดังนั้นโจทก์อาจยื่นคำาร้องต่อศาลอุทธรณ์ โดยให้ระงับการถอนการยึดไว้ก่อนได้ตาม ปวพ. มาตรา 264 โจทก์มีวิธีการปฏิบัติได้ดังกล่าว (ฎ.583/2504)

3.นายโหดฟ้องนายนิ่มผู้กู้ และนายนุ่มผู้คำ้าประกัน เป็นจำาเลย ให้รับผิดทางแพ่งตามสัญญากู้ และสัญญาคำ้าประกันเป็นเงินจำานวน 100,000 บาท


ศาลชั้นต้นมีคำาพิพากษาให้นายนิ่มและนายนุ่มร่วมกันรับผิดตามฟ้อง คดีถึงที่สดุ นายนิ่มไม่มีทรัพย์สินใดที่นายโหดจะยึดมาบังคับคดีได้
นายโหดจึงยึดทรัพย์สินของนายนุ่ม คดีอยู่ในระหว่างการดำาเนินการประกาศขายทอดตลาด นายเหี้ยมมาฟ้องนายนิ่มเป็นคดีล้มละลาย
ศาลสั่งรับฟ้องและมีคำาสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์นายนิ่มไว้ชั่วคราว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบถึงกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของนายนุ่มผู้คำ้าประกันนายนิ่มในคดีแพ่ง
จึงมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีโอนทรัพย์สินที่ยึดได้ในคดีแพ่งมาไว้ในคดีล้มละลาย ดังนี้
เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่
และหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือไปถึงเจ้าพนักงานบังคับคดีภายหลังจากเสร็จสิ้นการขายทอดตลาดไปแล้ว 15 วัน
ดังนี้จะทำาให้คำาตอบของท่านเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร

แนวตอบ
ตอบตามหลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 และ พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 110

วินิจฉัย
กรณีตามปัญหาในประเด็นแรก แม้การบังคับคดีแพ่งจะยังไม่สำาเร็จบริบูรณ์ก่อนวันที่ศาลจะมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวก็ตาม
แต่ในเมื่อเป็นการยึดทรัพย์ของนายนุ่มผู้คำ้าประกัน มิใช่ทรัพย์สินของนายนิ่มจำาเลยในคดีล้มละลายแล้ว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่มีอำานาจสั่งให้โอนทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดได้ในคดีแพ่งมาไว้ในคดีล้มละลาย
เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่จำาต้องโอนทรัพย์สินที่ยดึ ได้ให้แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
แม้ว่าการขายทอดตลาดจะสำาเร็จบริบูรณ์ไปแล้ว 15 วัน ซึ่งถือไดว่าการบังคับคดีสำาเร็จบริบูรณ์แล้ว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่มีอำานาจสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีโอนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเข้ามาในคดีล้มละลายอยู่นั้นเอง
เพราะเงินที่ได้จากการขายนั้นมิใช่เงินที่ได้จากการขายทรัพย์ของนายนิ่มนั่นเอง
ซ่อมภาค 2/35
1.โจทก์ฟ้องให้จำาเลยรื้อรั้วที่รุกลำ้าที่ดินโจทก์ จำาเลยให้การต่อสู้คดีว่ามิได้รุกลำ้าและฟ้องแย้งว่าโจทก์ปลูกตึกแถวชิดที่ดิน
ทำาให้นำ้าฝนและของตกลงมาในที่ดินของจำาเลย ขอให้โจทก์รื้อกันสาด ถ้าท่านเป็นศาล จะสั่งรับฟ้องแย้งของจำาเลยหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 บัญญัติว่า
“จำาเลยจะฟ้องแย้งมาในคำาให้การก็ได้ แต่ฟ้องแย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จำาเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก”

วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ เรื่องนำ้าฝนถูกกันสาดของอาคารโจทก์ และกระเซ็นลงสู่ที่ดินและบ้านเรือนของจำาเลยนั้น
เป็นปัญหาเกี่ยวพันกับที่โจทก์และจำาเลยพิพาทเรื่องเขตแดนตามคำาฟ้องเดิม ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งรับฟ้องแย้งของจำาเลย (ฎ.57/2518)

2.เจ้าหนีต้ ามคำาพิพากษานำายึดที่ดินแปลงหนึ่งอ้างว่าเป็นของลูกหนี้ นายแดงยื่นคำาร้องขอให้ปล่อยที่ดินที่ยึดอ้างเป็นของตน


ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์รวมที่ยังไม่ได้แบ่งแยกของนายแดงและลูกหนี้
ท่านเห็นว่าการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดของนายแดงนั้นถูกต้องหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 บัญญัติว่า
“ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำาเลยหรือลูกหนี้ตามคำาพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้
บุคคลนั้นอาจยื่นคำาร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีขอให้ปล่อยทรัพย์สินเช่นว่านั้น”
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 บัญญัติว่า
“ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 288 และ 283 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนีต้ ามคำาพิพากษา
ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงบุริมสิทธิหรือสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย”

วินิจฉัย
การยื่นคำาร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้น ต้องเป็นกรณีที่ทรัพย์นั้นมิใช่ของลูกหนี้ แต่เมื่อ
ปรากฏว่าทรัพย์สินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์รวมของลูกหนี้กับนายแดง นายแดงจึงไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ตาม มาตรา 283
นายแดงได้แต่จะขอให้กันส่วนของตนตามมาตรา 287 เท่านั้น

3.ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง ทีป่ ระชุมเจ้าหนี้ได้ลงมิติพิเศษรับคำาขอประนอมหนี้ของลูกหนี้โดยให้ลูกหนี้ชำาระหนี้เพียงร้อยละ 10 ของหนี้ทั้งหมด


และศาลได้มีคำาสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้นั้นแล้ว ปรากฏว่ามีเจ้าหนี้สองราย คัดค้าน คือ
1.นายเอนก ปฏิเสธไม่ยอมผูกพันตามการประนอมหนี้ดังกล่าว โดยอ้างว่าในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งนั้น
ตนได้ออกเสียงคัดค้านไม่ยอมรับคำาขอประนอมหนี้ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้จดคำาคัดค้านของตนไว้ในรายงานการประชุมแล้ว
2.นายวิชาญ ปฏิเสธไม่ยอมผูกพันตามการประนอมหนี้ดังกล่าว โดยอ้างว่าตนมิได้เข้าร่วมในการประชุมเจ้าหนีค้ รั้งนั้นด้วย
เนื่องจากติดราชการสำาคัญและเร่งด่วนต้องเดินทางไปต่างประเทศกับนายกรัฐมนตรี
ท่านเห็นว่านายเอนกและนายวิชาญปฏิเสธไม่ยอมรับข้อผูกพันในการประนอมหนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 56 บัญญัติว่า
“การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว ผูกพันเจ้าหนีท้ ั้งหมดในเรื่องหนี้ที่อาจขอรับชำาระได้
แต่ไม่ผูกพันเจ้าหนีค้ นหนึ่งคนใดในเรื่องหนี้ซึ่งตามพระราชบัญญัติลูกหนี้ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำาสั่งปลดจากล้มละลายได้
เว้นแต่เจ้าหนี้คนนั้นได้ยินยอมในการประนอมหนี้”

วินิจฉัย
จากมาตรา 56 นี้จะเห็นว่าการประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว
ย่อมผูกพันเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ที่อาจขอรับชำาระได้ ฉะนั้น แม้นายเอนกจะคัดค้านไม่ยอมรับคำาขอประนอมหนี้ในทีป่ ระชุมเจ้าหนี้
และแม้นายชาญจะมิได้เข้าร่วมประชุมด้วยเหตุสำาคัญประการใดก็ตาม ทั้งสองคนไม่สามารถปฏิเสธความผูกพันตามการประนอมหนี้ครั้งนี้ได้

ซ่อมภาค 1/34
1.คดีเรื่องหนึ่งโจทก์ฟ้องจำาเลยเรียกค่าซื้อของเชื่อแล้วโจทก์ถอนฟ้องไป ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้องได้แล้ว
แต่จำาเลยอุทธรณ์คำาสั่งที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถอนฟ้อง คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ก็มาฟ้องจำาเลยในมูลหนี้อันเดียวกันนี้ที่ศาลชั้นต้นอีก
ดังนี้ ท่านเห็นว่าฟ้องของโจทก์คดีหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรกหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรค 2(1) บัญญัติว่า
“นับตั้งแต่เวลาได้ยื่นคำาฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้
(1)ห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำาฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่น”

วินิจฉัย
ตามปัญหา แม้โจทก์ถอนฟ้องและศาลอนุญาตแล้วก็ตาม แต่จำาเลยอุทธรณ์คำาสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องอยู่
คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่โจทก์มาฟ้องจำาเลยในมูลหนี้อันเดียวกันนี้ที่ศาลชั้นต้นอีก ฟ้องของโจทก์คดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแรก

2.คดีเรื่องหนึ่ง โจทก์จำาเลยทำาหนังสือยอมความกันว่าให้ถือเอาทางเดินพิพาทเป็นทางสาธารณะและจำาเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป
ศาลพิพากษาตามยอมและจำาเลยปฏิบตั ิตามยอมโดยรื้อถอนออกไปแล้ว ต่อมาโจทก์เอง(ไม่ใช่จำาเลย)กลับปลูกสร้างขึ้นบนทางเดินนั้น ดังนี้
จำาเลยจำาร้องขอให้คดีเดิมให้บังคับโจทก์รื้อสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ปลูกออกไปได้หรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติว่า
“ถ้าคู่ความหรือบุคคลใดซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีมิได้ปฏิบัติตามคำาพิพากษาของศาล
คู่ความหรือบุคคลที่เป็นฝ่ายชนะชอบที่จะต้องขอให้บังคับคดีตามคำาพิพากษานั้น
การบังคับคดีหรือการปฏิบัติตามคำาพิพากษาต้องบังคับให้ตรงกับคำาพิพากษา”
วินิจฉัย
ตามปัญหาที่โจทก์จำาเลยทำายอมความกันว่าจำาเลยยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและศาลพิพากษาตามยอมนั้น ถือได้ว่าจำาเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี
จำาเลยได้ปฏิบตั ิตามยอมโดยรื้อถอนไปแล้ว ส่วนกรณีที่โจทก์ปลูกสร้างขึ้นบนทางเดินที่พิพาทนั้น เป็นกรณีที่เกิดขึ้นใหม่
และคำาพิพากษาตามยอมบังคับเฉพาะจำาเลย จะบังคับโจทก์ไม่ได้ จำาเลยจึงร้องขอในคดีเดิมให้บังคับให้โจทก์รื้อสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ปลูกออกไปไม่ได้

3.นายฉิ่งกู้เงินนายฉาบไปเป็นจำานวน 50,000 บาท โดยมีนายระนาดเป็นผู้คำ้าประกัน


ต่อมานายฉิ่งถูกเจ้าหนี้ภายนอกฟ้องล้มละลายและศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนายฉิ่งแล้ว
ปรากฏว่านายฉาบมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ภายในเวลาที่กฎหมายกำาหนด นายฉาบจึงเรียกร้องให้นายระนาดผูค้ ำ้าประกันชดใช้หนี้เงินกู้ดังกล่าวแก่ตน
นายระนาดปฏิเสธอ้างว่าเมื่อนายฉาบมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ในคดีล้มละลายแล้ว หนี้เงินกู้ระหว่างนายฉิ่งกับนายฉาบก็เป็นอันสิ้นสุดลง
เมื่อหนี้เงินกู้อันเป็นหนี้ประธานถูกระงับแล้ว หนี้คำ้าประกันของตนก็ย่อมระงับสิ้นลงเช่นกัน ท่านเห็นว่าข้ออ้างของนายระนาดถูกต้องหรือไม่

แนวตอบ

แม้นายฉาบจะมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ภายในเวลาที่กฎหมายกำาหนดก็เป็นอันหมดสิทธิที่จะได้รับชำาระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายฉิ่งในคดีล้มละลายต่อไ
ปเท่านั้น แต่วา่ หนี้เงินกู้ระหว่างนายฉิ่งกับนายฉาบยังคงมีอยู่ตามกฎหมายส่วนสารบัญญัติ หาได้ระงับสิ้นลงตามที่นายระนาดกล่าวอ้างไม่ ฉะนั้น
นายระนาดซึ่งเป็นผู้คำ้าประกันหนี้เงินกู้รายนี้จึงยังคงต้องรับผิดอยู่ ข้อกล่าวอ้างของนายระนาดรับฟังไม่ได้

ซ่อมภาค 2/33
2.คดีเรื่องหนึ่ง ศาลพิพากษาให้จำาเลยใช้หนี้เงินแก่โจทก์ 200,000 บาท ศาลได้ส่งคำาบังคับให้แก่จำาเลยทราบแล้ว
จำาเลยไม่สามารถชำาระหนี้ภายในกำาหนดเวลา
และศาลได้ออกหมายบังคับคดีแจ้งแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้วในการบังคับคดีเอาชำาระหนี้จากทรัพย์สินของจำาเลย
ปรากฏว่านายคงได้ยืมรถยนต์นั่งของจำาเลยไปจากจำาเลย โจทก์มีทางใดบ้างที่จะนำารถยนต์ที่นายคงยืมไปจากจำาเลยมาขายทอดตลาดชำาระหนี้แก่โจทก์

แนวตอบ
ตาม ปวพ. มาตรา 278 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำานาจที่จะยึดหรืออายัดและยึดถือทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำาพิพากษาไว้ และตามมาตรา
311 สิทธิเรียกร้อง มาตรา 310(3) คือสิทธิเรียกร้องให้ส่งมอบสิ่งของให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัด
โดยคำาสั่งอายัดซึ่งศาลได้ออกให้ตามที่เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาได้ยื่นคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้องฝ่ายเดียว
โจทก์มีทางที่จะนำารถยนต์ของจำาเลยที่นายคงยืมไปจากจำาเลยมาขายทอดตลาดชำาระหนี้แก่โจทก์โดยวิธีการดังนี้
1.การที่นายคงยืมรถยนต์ไปจากจำาเลย จำาเลยจึงมีสทิ ธิเรียกร้องให้นายคงส่งมอบรถยนต์
โจทก์ชอบที่จะยื่นคำาร้องต่อศาลให้สั่งอายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้ตาม ปวพ. มาตรา 311 หรือ
2.ร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้ยึดรถยนต์มาจากนายคงได้ตามมาตรา 278 แม้รถยนต์จะอยู่ที่บคุ คลภายนอก
เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ยึดได้ หรือ
3.ร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้อายัดสิทธิเรียกร้องรถยนต์ดังกล่าวและยึดรถยนต์ไว้ ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีทำาได้เองตามมาตรา 278
3.นายหัวหินถูกศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไปแล้วในปี 2533 ปรากฏว่ามีเจ้าหนี้พากันยื่นคำาขอรับชำาระหนี้มากมาย
แต่ในการสอบสวนคำาขอรับชำาระหนี้นั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พบว่ามีรายที่เป็นปัญหาเพียง 2 รายเท่านั้น คือ
รายที่ 1 นายประจวบ ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ตามสัญญาเงินกู้ที่นายหัวหินทำาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการฟ้องคดีล้มละลายนี้
แต่ยังไม่ถึงกำาหนดชำาระเงินต้นและดอกเบี้ยคืน (ตามสัญญากู้ระบุว่าจะชำาระคืนในปี 2533)
รายที่ 2 นายชะอำา
ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายหัวหินเป็นผู้ออกตั๋วให้ไว้แก่ตนภายหลังที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
โดยที่นายชะอำารับไว้โดยสุจริตไม่รู้ว่านายหัวหินมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่รู้ว่านายหัวหินถูกฟ้องคดีล้มละลาย
ท่านเห็นว่า นายประจวบและนายชะอำามีสิทธิขอรับชำาระหนี้ได้เพียงใดหรือไม่

แนวตอบ
หลักกฎหมาย พ.ร.บ.ล้มละลาย มาตรา 94 บัญญัติว่า
“เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำาระหนี้ได้ ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์
แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำาหนดชำาระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม เว้นแต่…”

วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ สัญญาเงินกู้ระหว่างนายประจวบและนายหัวหินทำาขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายหัวหิน
แม้ว่าจะยังไม่ถึงกำาหนดชำาระหนี้ก็ตาม ก็ยังสามารถยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ได้
แต่หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายชะอำายื่นคำาขอรับชำาระหนี้มานั้น เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
จึงต้องห้ามมิให้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ตามมาตรา 94 วรรคแรก ฉะนั้นแม้ว่านายชะอำาจะรับไว้โดยสุจริตก็ขอรับชำาระหนี้ไม่ได้

2.คดีเรื่องหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ของจำาเลยเพื่อขายทอดตลาดชำาระหนี้ตามคำาพิพากษาแก่โจทก์
แต่ปรากฏว่าจำาเลยคนเดียวกันนี้ยังเป็นลูกหนี้ตามคำาพิพากษาของโจทก์คดีอื่นอีก 2 คดี คดีแรกครบกำาหนดตามคำาบังคับแล้ว
แต่ศาลยังไม่ได้ออกหมายบังคับคดี คดีที่สอง ศาลออกคำาบังคับส่งแก่จำาเลยแล้ว แต่ยังไม่ครบกำาหนดตามคำาบังคับ
โจทก์ทั้งสองคดีนี้ไม่สามารถเอาชำาระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำาพิพากษา ดังนี้โจทก์คดีอื่นทั้งสองคดีดังกล่าว
จะร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำาสั่งยอมให้ตนเข้าเฉลี่ยในรถยนต์หรือเงินที่ขายหรือจำาหน่ายรถยนต์ได้หรือไม่

แนวตอบ
ตาม ปวพ. มาตรา 290 วรรคแรกและวรรคสอง
เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินอย่างใดของลูกหนีต้ ามคำาพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาแล้ว
ห้ามมิให้เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาอื่นยึดทรัพย์สินนั้นซำ้าอีก
แต่ให้เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาเช่นว่านี้มีอำานาจยื่นคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ยึดทรัพย์สินนั้นเพื่อให้ศาลมีคำาสั่งยอมให้ตนเข้าเฉลี่
ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำาหน่ายทรัพย์สินนั้นได้ แต่ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำาขอ
เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำาขอไม่สามารถเอาชำาระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำาพิพากษา
ตามปัญหา โจทก์คดีอื่นทั้งสองย่อมเป็นเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษา แม้คดีแรกศาลยังไม่ออกหมายบังคับคดี และคดีที่สอง
ยังไม่ครบกำาหนดตามคำาบังคับก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสองคดีดังกล่าวก็เป็นเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาอยู่ดี ศาลจะออกคำาบังคับหรือไม่
ครบกำาหนดตามคำาบังคับหรือไม่ หรือออกหมายบังคับคดีหรือยัง ไม่เป็นข้อสำาคัญ ข้อสำาคัญอยู่ที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาหรือไม่เท่านั้น
เมื่อโจทก์ทั้งสองคดีดังกล่าว ไม่สามารถเอาชำาระหนี้ได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำาพิพากษา ย่อมร้องขอต่อศาล
เพื่อให้ศาลมีคำาสั่งยอมให้ตนเข้าเฉลี่ยในรถยนต์หรือเงินที่ขายหรือจำาหน่ายรถยนต์ได้
3.นายหมูกู้เงินธนาคารไปเป็นจำานวน 100,000 บาท
โดยมีนายไก่เป็นผู้คำ้าประกันโดยไม่จำากัดจำานวนความรับผิดและมีนายกุ้งเป็นผู้จำานองที่ดินเป็นประกันในวงเงินจำานอง 100, 000 บาท เช่นกัน
ต่อมานายหมูถูกศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ธนาคารมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ภายในกำาหนด
ต่อมาธนาคารจึงฟ้องนายไก่และนายกุ้งให้ชำาระหนี้แทนนายหมู นายไก่และนายกุ้งต่อสู้ว่าธนาคารมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ไว้ ฉะนั้น
หนี้เงินกู้ของนายหมูที่มีกับธนาคารจึงเป็นอันระงับสิ้นลง นายไก่และนายกุ้งไม่ต้องรับผิดกับธนาคารอีก ท่านเห็นว่าข้อต่อสู้ดังกล่าวฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

แนวตอบ
เมื่อธนาคารมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำาหนด
ก็เป็นอันหมดสิทธิที่จะได้รับชำาระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายหมูเท่านั้น แต่หนี้เงินกู้ระหว่างนายหมูกับธนาคารยังคงมีอยู่ตามกฎหมายส่วนสารบัญญัติ
หาได้ระงับสิ้นลงตามที่นายไก่และนายกุ้งต่อสู้ไม่ (ฎ.185/2512,1808/2512)
ฉะนั้น นายไก่ผู้คำ้าประกันและนายกุ้งผู้จำานองเป็นประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงยังคังต้องรับผิดกับธนาคารอยู่ต่อไป
ข้อต่อสูข้ องนายไก่และนายกุ้งฟังไม่ขึ้น

ซ่อมภาค 1/30
1.คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด 500,000 บาท จำาเลยให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำาเลยใช้เงินแก่โจทก์ 100,000
บาท โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำาเลยใช้เงินแก่โจทก์อีก 400,000 บาท คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
โจทก์จึงได้มาปรึกษาท่านในฐานะทนายโจทก์วา่ ไม่ตดิ ใจดำาเนินคดีกับจำาเลยอีกต่อไป ควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป
ท่านจะแนะนำาให้โจทก์ถอนฟ้องเดิมหรือถอนฟ้องอุทธรณ์
แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 175 วรรค 1 บัญญัติว่า
“ก่อนจำาเลยยื่นคำาให้การ โจทก์อาจถอนคำาฟ้องได้โดยยื่นบอกกล่าวเป็นหนังสือต่อศาล”
วรรค 2 บัญญัติว่า
“ภายหลังจำาเลยยื่นคำาให้การแล้ว โจทก์อาจยื่นคำาขอโดยทำาเป็นคำาร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำาฟ้องได้….”

วินิจฉัย
ตามวรรค 1 และวรรค 2 หมายความว่า จะต้องถอนฟ้องเดิมก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำาพิพากษา ถ้าศาลพิพากษาแล้ว
จะถอนฟ้องเดิมไม่ได้(คำาสั่งคำาร้อง ฎ. 1014/2514)
นอกจากนี้ อุทธรณ์ก็เป็นคำาฟ้อง (มาตรา 1(3)) จึงอาจมีการถอนฟ้องอุทธรณ์ได้
และจะถอนฟ้องอุทธรณ์ได้กต็ ่อเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิพากษาเช่นกัน
ตามปัญหา ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว โจทก์จะถอนฟ้องเดิมไม่ได้แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้พิพากษา จึงถอนฟ้องอุทธรณ์ได้
ข้าพเจ้าจะแนะนำาให้โจทก์มิให้ถอนฟ้องเดิม แต่ให้ถอนฟ้องอุทธรณ์
2.ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำาพิพากษานำายึดที่ดินแปลงหนึ่งราคา 2,000,000 บาท
ของจำาเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำาพิพากษาเพื่อนำาออกขายทอดตลาดชำาระหนี้ตามคำาพิพากษาจำานวน 500,000 บาท เมื่อมีการยึดที่ดินแล้ว
จำาเลยได้ทำาสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่ถูกยึดให้แก่นายสมบัติครึ่งหนึ่งทางทิศตะวันออกทั้งหมด เมื่อเจ้าพนักงานบังคับที่ดินจะขายที่ดินที่ยึดทั้งแปลง
นายสมบัติจึงนำาสัญญาจะซื้อขายไปยันกับเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอให้ขายที่ดินที่ถูกยึดเพียงครึ่งหนึ่งทางทิศตะวันออก
โดยอ้างว่าถ้าขายที่ดินไปเพียงครึ่งหนึ่งจะได้เงิน 1,000,000 บาท หนีต้ ามคำาพิพากษามีอยู่เพียง 500,000 บาท รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม
ทั้งหมดไม่ถึง 600,000 บาท ถ้าท่านเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีจะโต้แย้งนายสมบัติอย่างไร

แนวตอบ
หลักกฎหมายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 บัญญัติว่า
“การยึดทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำาพิพากษาดั่งบัญญัติไว้ในสองมาตราก่อนนี้ มีผลดั่งต่อไปนี้
(1)การทีล่ ูกหนี้ตามคำาพิพากษาได้ก่อให้เกิด โอนหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำาการยึดไว้แล้วนั้น
หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำาพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่
ถึงแม้ว่าราคาแห่งทรัพย์สินนั้นจะเกินกว่าจำานวนหนี้ตามคำาพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมที่ใช้ในการฟ้องร้องบังคับคดี
และลูกหนี้ตามคำาพิพากษาได้จำาหน่ายทรัพย์สินเพียงส่วนที่เกินนั้นก็ตาม”

วินิจฉัย
ตามปัญหา
การทีล่ ูกหนี้ตามคำาพิพากษาทำาสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่ถูกยึดนั้นให้แก่นายสมบัติครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันออกทั้งหมดเป็นกรณีที่ลูกหนี้ตามคำาพิพากษา
ได้ก่อให้เกิด โอนการเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำาการยึดไว้แล้ว นายสมบัติย่อมจะใช้ยันแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้
แม้ถ้าขายที่ดินไปครึ่งหนึ่งได้เงินถึง 1,000,000 บาท หนี้ตามคำาพิพากษามีอยู่เพียง 500,000 บาท รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม ทั้งหมดไม่ถึง
600,000 บาทก็ตาม เป็นกรณีต้องห้ามด้วยมาตรา 305(1) นายสมบัติจะขอให้ขายที่ดินที่ถูกยึดเพียงครึ่งหนึ่งทางทิศตะวันออกไม่ได้
ถ้าข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีจะโต้แย้งกับนายสมบัติโดยนัยดังกล่าว

ภาค 2/29
1.ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง จำาเลยมิได้ยื่นคำาให้การภายในกำาหนด ศาลสั่งว่าจำาเลยขาดนัดยื่นคำาให้การ ก่อนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์
จำาเลยยื่นคำาร้องขออนุญาตยื่นคำาให้การและก็ยื่นคำาให้การมาพร้อมคำาร้องด้วย ศาลชั้นต้นไต่สวนคำาร้องของจำาเลยแล้ว
สั่งว่าการขาดนัดของจำาเลยเป็นไปโดยจงใจ ให้ยกคำาร้อง และสั่งไม่รับคำาให้การของจำาเลยที่ยนื่ มาพร้อมกับคำาร้องนั้น ดังนี้
จำาเลยจะอุทธรณ์คำาสั่งของศาลที่สั่งยกคำาร้องขออนุญาตยื่นคำาให้การและคำาสั่งที่ไม่รับคำาให้การได้หรือไม่

แนวตอบ
แยกพิจารณาได้ดังนี้
(ก)คำาร้องขอยื่นคำาให้การของจำาเลยไม่ใช่คำาให้การ ไม่ใช่คำาคู่ความ คำาสั่งของศาลที่ว่าจำาเลยขาดนัดโดยจงใจ ให้ยกคำาร้องนั้น
ไม่ใช่คำาสั่งไม่รับคำาคู่ความตาม ปวพ. มาตรา 18 อันจะทำาให้จำาเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำาสั่งได้ตามมาตรา 227 คำาสั่งดังกล่าวเป็นคำาสั่งระหว่างการพิจารณา
ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226
(ข)คำาให้การของจำาเลยเป็นคำาคู่ความตามมาตรา 1(5) คำาสั่งของศาลที่สั่งไม่รับคำาให้การของจำาเลยเป็นคำาสั่งไม่รับคำาคู่ความตาม ปวพ.
มาตรา 18 จำาเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 227
2.ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง โจทก์จำาเลยทำาสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำาเลยยอมใช้เงินให้โจทก์ภายในหนึ่งเดือน
ศาลพิพากษาตามยอมและศาลมีคำาสั่งไว้ท้ายคำาพิพากษานั้นว่าบังคับตามยอม ทนายจำาเลยลงชื่อรับทรายคำาสั่งดังกล่าว ล่วงพ้นกำาหนดหนึ่งเดือน
จำาเลยไม่ชำาระเงินแก่โจทก์ โจทก์จึงยื่นคำาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลยังมิได้ออกคำาบังคับและจำาเลยยังไม่ทราบคำาบังคับ
จะขอให้ออกหมายบังคับคดียังไม่ได้ ให้ยกคำาขอ ท่านเห็นด้วยกับคำาสั่งของศาลหรือไม่

แนวตอบ
แยกพิจารณาดังนี้
(ก)ข้อที่ศาลสั่งว่าศาลยังมิได้ออกคำาบังคับ ปรากฏว่าศาลได้มีคำาสั่งไว้ท้ายคำาพิพากษาตามยอมแล้วว่าบังคับตามยอม
จึงแสดงว่าศาลได้ออกคำาบังคับแล้ว (ฎ.815/2491,218/2518) ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำาสั่งของศาลชั้นต้น
(ข)ข้อที่ศาลสั่งว่าจำาเลยยังไม่ทราบคำาบังคับนั้น คู่ความรวมถึงบุคคลผู้มีสิทธิทำาการแทนในฐานะทนายด้วย (มาตรา 1(11))
และทนายเป็นผู้มีสิทธิดำาเนินกระบวนการพิจารณาใด ๆ แทนคู่ความได้ตามที่เห็นสมควร (มาตรา 62) ฉะนั้น ตามปัญหา
การที่ทนายความลงชื่อทราบคำาสั่งดังกล่าวของศาล จึงถือว่าจำาเลยซึ่งเป็นคำาคู่ความได้ทราบคำาบังคับด้วย (ฎ.218/2518)
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำาสั่งของศาลชั้นต้น

3.นายเหนือกู้ยืมเงินนายกลางไป 100,000 บาท โดยมีนายใต้เป็นผู้คำ้าประกัน ต่อมานายเหนือถูกบุคคลอื่นฟ้องล้มละลาย


และศาลมีคำาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว ปรากฏว่านายกลางมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ภายในเวลาที่กฎหมายกำาหนด
ต่อมานายกลางได้ฟ้องนายใต้ผคู้ ำ้าประกันชดใช้หนี้เงินกู้ดังกล่าวคืนแก่ตน นายใต้ต่อสู้ว่า
นายกลางมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ในคดีล้มละลายที่นายเหนือเป็นจำาเลย ฉะนั้น หนี้เงินกู้รายนี้จึงระงับสิน้ แล้ว เมื่อหนี้อันเป็นหนี้ประธานระงับแล้ว
หนี้คำ้าประกันของตนก็ย่อมระงับสิ้นลงเช่นกัน ท่านเห็นว่าข้อต่อสู้ของนายใต้ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

แนวตอบ
เมื่อนายกลางมิได้ยื่นคำาขอรับชำาระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำาหนด
ก็เป็นอันหมดสิทธิที่จะได้รับชำาระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายเหนือเท่านั้น
แต่หนี้เงินกู้ระหว่างนายเหนือกับนายกลางยังคงมีอยู่ตามกฎหมายส่วนสารบัญญัติ หาได้ระงับสิ้นลงตามที่นายใต้ต่อสู้ไม่
(ฎ.185/2512,1808/2512)
ฉะนั้น นายใต้ผู้คำ้าประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงยังคังต้องรับผิดกับนายกลางอยู่ต่อไป ข้อต่อสู้ของนายใต้ฟังไม่ขึ้น

You might also like