Professional Documents
Culture Documents
1. คําถาม
นายแดงเปนโจทกฟองบริษัทฟารุง จํากัด เปนจําเลย อางวาจําเลยเลิกจางโจทกโดยที่โจทกไมมีความผิด โจทกจึงมี
สิทธิไดรับคาชดเชย แตจําเลยไมยอมจาย ขอใหบังคับจําเลยจายคาชดเชยใหแกโจทก คดีอยูระหวางพิจารณาของศาลชั้นตน
นายดําผูรองยื่นคํารองวา ผูรองเปนผูถือหุนและเปนกรรมการผูจัดการบริษัทจําเลย กับเปนผูมีคําสั่งเลิกจางโจทก จึงมีสวนได
เสียตามกฎหมายในผลแหงคดีและหากจําเลยจะตองจายคาชดเชยใหแกโจกทตามคําพิพากษา ผูรองในฐานะผูถือหุนยอมได
รับความเสียหาย จึงเปนการจําเปนเพื่อยังใหไดรับความรับรอง คุมครอง หรือบังคับตามสิทธิของผูรองที่มีอยูขอเขามาเปน
จําเลยรวม ดังนี้ ใหวินิจฉัยวา นายดําผูรองจะเขามาเปนจําเลยรวมไดหรือไม
แนวตอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 57 บัญญัติวา “บุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูความอาจเขามาเปนคูความ
ไดโดยการรองสอด
(1) ดวยความสมัครใจเองเพราะเห็นวาเปนการจําเปนเพื่อยังใหไดความรับรอง คุมครอง หรือบังคับตามสิทธิ
ของตนที่มีอยู โดยยื่นคํารองตอศาลที่คดีนั้นอยูในระหวางพิจารณา
(2) ดวยความสมัครใจเองเพราะตนมีสวนไดเสียตามกฎหมายในผลแหงคดีนั้น โดยยื่นคําขอรองตอศาลไม
วาเวลาใดๆกอนมีคําพิพากษา ขออนุญาตเขาเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวม”
2. คําถาม
นางสาวนัทเปนโจทก็ฟองขับไลนายเตาเปนจําเลยใหรื้อถอนบานพัก และใหจําเลยออกไปจากที่ดินของโจทก นาย
เตาใหการตอสูวาที่ดินที่พิพาทอยูนอกเขตที่ดินของโจทก ในวันนัดสืบพยานโจทกซึ่งมีหนาที่นําสืบกอนไมมาศาล จําเลย
แถลงขอใหดําเนินกระบวนการพิจารณาตอไป ศาลชั้นตนมีคําสั่งวาโจทกขาดนัดพิจารณา จําเลยแถลงไมติดใจสืบพยาน ศาล
ชั้นตนวินิจฉัยวา โจทกซึ่งมีภาระการพิสูจนไมมีพยานมาสืบ จึงฟงไมไดวาจําเลยปลูกบานพักอยูในที่ดินของโจทก พิพากษา
ยกฟอง คดีถึงที่สุด ขอเท็จจริง ปรากฎวานายเตายังคงอาศัยอยูในบานพักซึ่งตั้งอยูในเขตที่ดินของนางสาวนัทเชนนี้ นางสาว
นัทจะฟองขับไลนายเตาใหรื้อถอนบานพักออกไปจากที่ดินของตนพรอมกับเรียกคาเสียหายจากนายเตาไดดวยหรือไม
เพราะเหตุใด
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 148 บัญญัติวา “คดีที่ไดมีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแลว หามมิใหคูความเดียวกันรื้อรองฟองกัน
อีก ในประเด็นที่ไดวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน”
ตามคําถามคดีมีประเด็นวา นายเตาจําเลยปลูกบานพักในเขตที่ดินของนางสาวนัทโจทกหรือไม ซึ่งโจทกมีหนาที่
นําสืบกอน แตในวันนัดสืบพยานโจทกไมมาศาล ศาลชั้นตนมีคําสั่งวา โจทกขาดนัดพิจารณาแลวดําเนินกระบวนการ
พิจารณาตอไปตามที่จําเลยแถลง จําเลยแถลงไมติดใจสืบพยาน ศาลชั้นตนจึงพิพากษายกฟอง เพราะโจทกซึ่งมีภาระการ
พิสูจน ไมมีพยานมาสืบ จึงฟงไมไดวาจําเลยปลูกบานพักอยูในที่ดินของโจทก ถือวาศาลชั้นตนไดวินิจฉัยประเด็นแหงคดี
นั้นแลว เมื่อคดีถึงที่สุด นางสาวนัทจะกลับมาฟองขับไลนายเตาโดยอางวานายเตาปลูกบานพักอยูในเขตที่ดินของนางสาว
นัทอีกไมได เพราะเปนการกลาวอางในประเด็นที่ที่ไดวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกันตาม ปวพ. มาตรา 148 แมนายเตา
ยังกระทําละเมิดอยูตลอดเวลาเปนการโตแยงสิทธิของนางสาวนัทและคดีหลังมีประเด็นใหมเรื่องคาเสียหาย ซึ่งไมมีประเด็น
ในคดีเดิมก็ตาม แตประเด็นเรื่องคาเสียหายนั้นนางสาวนัท ควรจะฟองเรียกมาในคดีเดิมไดอยูแลว การฟองเรียกคาเสียหาย
ของนางสาวนัทจึงเปนการฟองซ้ํา ตองหามตาม ปวพ. มาตรา 148
ดังนั้น นางสาวนัทจะฟองขับไลนายเตาใหรื้อถอนบานพักออกไปจากที่ดินของตนพรอมกับเรียกคาเสียหายไมได
เพราะเปนการฟองซ้ํา
3. คําถาม
นายแดงมีภูมิลําเนาอยูจังหวัดตาก จดทะเบียนสมรสกับนางเขียวและอยูกินดวยกันที่จังหวัดสุโขทัยนานประมาณ
20 ป มีบุตรดวยกัน 3 คน มีทรัพยสินเปนบานและที่ดินอยูที่จังหวัดสุโขทัย แตนายแดงไมไดยายทะเบียนไปอยูกับครอบครัว
ที่จังหวัดสุโขทัยดวย ตอมานายแดงประสบอุบัติเหตุและถึงแกความตายที่จังหวัดพิษณุโลก กอนตายไมไดทําพินัยกรรมหรือ
ตั้งผูจัดการมรดกไว นางเขียวไดยื่นคํารองขอแตงตั้งผูจัดการมรดกตอศาลจังหวัดสุโขทัยซึ่งตนเองมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาล
นายดําผูพิพากษาตรวจคํารองขอแลว เห็นวานายแดงไมมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลจังหวัดสุโขทัย จึงมีคําสั่งยกคํารองขอของ
นางเขียว
ใหวินิจฉัยวา คําสั่งของศาลจังหวัดสุโขทัยชอบดวยกฎหมายหรือไม
แนวตอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 4 จัตวา วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “คํารองขอแตงตั้งผูจัดการมรดก ให
เสนอตอศาลที่เจามรดกมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาลในขณะถึงแกความตาย…”
คําสั่งของศาลจังหวัดสุโขทัยที่ยกคํารองของนางเขียวไมชอบดวยกฎหมาย เพราะแมนายแดงเจามรดกมีภูมิลําเนา
อยูจังหวัดตาก แตก็ไดอยูกินกับนางเขียวผูรองขอที่จังหวัดสุโขทัยนานประมาณ 20 ป จนมีบุตรดวยกัน 3 คน มีทรัพยสินเปน
บานและที่ดินที่จังหวัดสุโขทัย แสดงวาเจามรดกทีบานอยูที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเปนสถานที่อยูอันเปนหลักแหลงสําคัญอีก
แหงหนึ่งดวย จังหวัดสุโขทัยจึงเปนภูมิลําเนาของเจามรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 37 ดวย
นางเขียวผูรองขอจึงมีสิทธิเสนอคํารองขอแตงตั้งผูจัดการมรดกตอศาลจังหวัดสุโขทัย ซึ่งเจามรดกมีภูมิลําเนาอยูใน
เขตศาล ในขณะถึงแกความตายได ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงมาตรา 4 วรรค 1
4. คําถาม
นายมั่งกูเงินนายมี 100,00 บาท โดยนายมาเปนผูค้ําประกันสัญญาเงินกู เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระนายมีไดมีหนังสือ
ทวงถามใหชําระหนี้แลวหลายครั้ง แตนายมั่งเพิกเฉย นายมีจึงเปนโจทกฟองนายมั่งเปนจําเลยตอศาลจังหวัดสตูลใหชําระหนี้
ตามสัญญาเงินกูดังกลาวโดยไมคิดดอกเบี้ยตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ จําเลยตอสูวา ไดกูเงินโจทกจริง แตไดชําระหนี้
ครบถวนแลว แตในทางพิจารณาไดความวาจําเลยยังมิไดชําระหนี้จํานวนดังกลาวแกโจทก ศาลจังหวัดสตูลจึงพิพากษาให
จําเลยชําระหนี้จํานวน 100,000 บาทแกโจทก พรอมดอกเบี้ยรอยละ 15 ตอป นับแตวันฟองจนถึงวันชําระเสร็จ ดังนี้ ทานวา
คําพิพากษาของศาลจังหวัดสตูลชอบดวยกฎหมายหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 142 บัญญัติวา “คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีตองตัดสินตามขอหาในคําฟองทุกขอ แต
หามมิใหพิพากษาหรือทําคําสั่งใหสิ่งใดๆเกินไปกวาหรือนอกจากที่ปรากฏในคําฟอง เวนแต…
(6) ในคดีที่โจทกฟองขอใหชําระเงินพรอมดวยดอกเบี้ยซึ่งมิไดมีขอตกลงกําหนดอัตราดอกเบี้ยกันไว เมื่อศาลเห็น
สมควรโดยคํานึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสูความหรือการดําเนินคดี ศาลจะพิพากษาใหจําเลยชําระดอกเบี้ยใน
อัตราที่สูงขึ้นกวาที่โจทกมีสิทธิไดรับตามกฎหมาย แตไมเกินรอยละ 15 ตอป นับจากวันที่ฟองหรือวันที่อื่นหลังจากนั้นก็ได”
5. คําถาม
โจทกเปนกรรมการบริษัทจํากัด ฟองใหจําเลยชําระคาติดตั้งระบบคอมพิวเตอรที่จําเลยจางโจทกเปนเงิน
50,000,000 บาท ศาลชั้นตนกําหนดใหโจทกนําพยานโจทกเขาสืบกอน แลวใหจําเลยนําพยานเขาสืบแก มีการสืบพยานทั้ง
สองฝายจนเสร็จ และศาลนัดฟงคําพิพากษาแลว แตกอนศาลชั้นตนอานคําพิพากษา ศาลชั้นตนเรียกใหโจทกสืบพยานเพิ่ม
เติมเพื่อพิสูจนลายมือชื่อโจทกตามคําฟองกับลายมือชื่อโจทกที่กระทรวงพาณิชยซึ่งไมตรงกัน แลวพิพากษาใหโจทกชนะคดี
จําเลยอุทธรณวา คดีเสร็จการพิจารณาเมื่อโจทกจําเลยสืบพยานฝายของตนเสร็จ และศาลชั้นตนนัดฟงคําพิจารณาพิพากษา
แลว ศาลชั้นตนไมมีอํานาจสั่งสืบพยานโจทกเพิ่มเติมได ตองพิพากษาอยางเดียวเทานั้น และปญหาที่สั่งใหโจทกสืบพยาน
เพิ่มเติมนั้น โจทกมิไดยื่นบัญชีระบุพยาน โจทกจึงไมมีสิทธินําพยานหลักฐานเขามาสืบ
ดังนี้ อุทธรณของจําเลยทั้งสองขอนั้น ฟงขึ้นหรือไม เพียงใด
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 86 วรรคสาม บัญญัติวา “เมื่อศาลเห็นวาเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรมเปนการจําเปนที่จะตองนํา
พยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม ใหศาลทําการสืบพยานหลักฐานตอไป ซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะ
เรียกพยานที่สืบมาแลวมาสืบใหมดวย โดยไมมีฝายใดรองขอ”
มาตรา 88 วรรคหนึ่ง บัญญัติวา “เมื่อคูความฝายใดมีความจํานงที่จะอางอิงเอกสารฉบับใดหรือคําเบิกความของ
พยานคนใด หรือมีความจํานงที่จะใหศาลตรวจบุคคล วัตถุ สถานที่ หรืออางอิงความเห็นของผูเชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง เพื่อเปน
พยานหลักฐานสนับสนุนขออางหรือขอเถียงของตน ใหคูความฝายนั้นยื่นตอศาลกอนวันสืบพยานไมนอยกวาเจ็ดวัน ซึ่ง
บัญชีระบุพยาน โดยแสดงเอกสารหรือสภาพของเอกสารที่จะอาง และรายชื่อ ที่อยู ของบุคคล วัตถุ หรือสถานที่ซึ่งคูความ
ฝายนั้นระบุอางเปนพยานหรือขอใหศาลไปตรวจ หรือขอใหตั้งผูเชี่ยวชาญแลวแตกรณี พรอมทั้งสําเนาบัญชีระบุพยานดัง
กลาวในจํานวนที่เพียงพอ เพื่อใหคูความฝายอื่นมารับไปจากเจาพนักงานศาล”
มาตรา 187 บัญญัติวา “เมื่อไดสืบพยานตามที่จําเปนและคูความไดแถลงการณ ถาหากมีเสร็จแลว ใหถือวาการ
พิจารณาเปนอันสิ้นสุด แตตราบใดที่ยังมิไดมีคําพิพากษา ศาลอาจทําการพิจารณาตอไปอีกไดตามที่เห็นสมควร เพื่อ
ประโยชนแหงความยุติธรรม”
ศาลมีอํานาจหนาที่จะทําการสืบพยานหลักฐานตอไปได ถาศาลเห็นวาเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรมจําเปนที่จะ
ตองนําพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม ซึ่งอาจรวมทั้งการเรียกพยานที่สืบแลวมาสืบใหมได โดย
ไมมีคูความฝายใดรองขอ ศาลจะใชอํานาจนี้เมื่อใดก็ได กอนที่จะมีคําพิพากษา แมการพิจารณาจะสิ้นสุดลงแลวก็ตาม (ปวพ.
มาตรา 86 วรรคสาม และมาตรา 187)
กรณีตามปญหาการที่ศาลชั้นตนสั่งสืบพยานโจทกเพิ่มเติมภายหลังจากการสืบพยานโจทกจําเลยเสร็จแลวนั้น มี
ความจําเปนเพื่อพิสูจนลายมือชื่อของโจทกที่ปรากฏในสํานวนคดีแตกตางกันซึ่งมีผลกระทบตอทั้งโจทกจําเลย ถาปรากฏ
วาไมใชลายมือชื่อของโจทกหรือใชลายมือชื่อของโจทก จึงเปนการดําเนินกระบวนการพิจารณาเพื่อประโยชนแหงความยุติ
ธรรมทั้งโจทกและจําเลย ศาลจึงมีอํานาจสั่งใหสืบพยานโจทกดังกลาวเพิ่มเติมได โดยกระทําไดกอนมีคําพิพากษา ทั้งนี้
ตามบทบัญญัติแหงกฎหมายที่อางขางตน ซึ่งใหอํานาจแกศาลได เมื่อศาลมีอํานาจสั่งสืบพยานเพิ่มเติมเชนนี้ พยานหลัก
ฐานที่นํามาสืบจึงไมอยูภายใตบังคับแหง ปวพ. มาตรา 88 วรรคหนึ่ง ที่โจทกจะตองไดยื่นบัญชีระบุพยานไวกอน(ฎ.
656/2513 และ5132/2531) อุทธรณของจําเลยฟงไมขึ้น
6. คําถาม
ผูรองยื่นคํารองวา ผูรองเปนบุตรของนายเขียว นายเขียวบิดาของผูรองถึงแกความตายแลว มีทรัพยมรดกเปนที่
ดินมีโฉนดเลขที่ 100 และมีเหตุขัดของในการจัดการมรดก ผูรองมีคุณสมบัติไมตองหามตามกฎหมาย ขอใหศาลมีคําสั่งตั้งผู
รองเปนผูจัดการมรดกของผูตาย ระหวางนัดไตสวนผูรองยื่นสอดยื่นคํารองวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 100 ไมใชทรัพยมรดกของ
นายเขียว เพราะเปนของผูรองสอด ผูรองสอดมีสวนไดสวนเสียในคดี จําตองเขามาเพื่อใหศาลรับรอง คุมครองและบังคับ
ตามสิทธิที่มีอยู ขอใหยกคํารอง
ดังนี้ ใหวินิจฉัยวา ผูรองสอดมีอํานาจรองสอดเขามาเปนคูความในคดีหรือไม
แนวตอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 57 บัญญัติวา “บุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูความอาจเขามาเปนคูความ
ไดโดยการรองสอด
(1) ดวยความสมัครใจเองเพราะเห็นวาเปนการจําเปนเพื่อยังใหไดความรับรอง คุมครอง หรือบังคับตามสิทธิของ
ตนที่มีอยู โดยยื่นคํารองตอศาลที่คดีนั้นอยูในระหวางพิจารณา
(2) ดวยความสมัครใจเองเพราะตนมีสวนไดเสียตามกฎหมายในผลแหงคดีนั้น โดยยื่นคําขอรองตอศาลไมวา
เวลาใดๆกอนมีคําพิพากษา ขออนุญาตเขาเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวม”
ตามคํารองของผูรองมีประเด็นที่ศาลจะตองวินิจฉัยแตเพียงวา สมควรตั้งผูรองเปนผูจัดการมรดกของผูตายหรือไม
ซึ่งแมศาลจะตองผูรองเปนผูจัดการมรดกตามคํารองขอ ก็ไมมีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผูรองสอด หากผูรองสอดมี
กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 100 อยูอยางไรก็คงมีอยูอยางนั้น ไมมีความจําเปนใดที่จะตองรองสอดเขามาในคดีเพื่อใหศาล
รับรอง คุมครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู กรณีไมตองดวย ปวพ. 57(1) ผูรองสอดจึงไมอํานาจรองสอดเขามาเปนคูความใน
คดี
7. คําถาม
นายยอดและนางทองอยูเปนสามีและภริยาที่ชอบดวยกฎหมาย นางทองอยูไดไปกูยืมเงินจากนายสําเภาเปนจํานวน
เงิน 5,000 บาท โดยมีหลักฐานเปนหนังสือลงลายมือชื่อนางทองอยู ตอมานางทองอยูไดถึงแกกรรมและยังมิไดชําระหนี้ให
แกนายสําเภา นายสําเภาจึงนําคดีมาฟองนายยอดเปนจําเลย ขอใหบังคับนายยอดซึ่งเปนสามีและผูรับมรดกของนางทองอยู
ภริยาจําเลยรับผิดทั้งตนเงินและดอกเบี้ยซึ่งนางทองอยูกูไปแลวไมชําระ นายยอดขาดนัดยื่นคําใหการศาลชั้นตนพิพากษาให
นายยอดแพคดีชําระหนี้ตามฟอง แตนายยอดไมชําระ นายสําเภานําเจาพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน 1 แปลง เพื่อขายทอดตลาด
ชําระหนี้ตามคําพิพากษา ตอมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 นายยอดยื่นคํารองวา ที่ดินที่นายสําเภายึดเปนสินสมรสระหวาง
นางทองอยูและนายยอด นายสําเภายึดทั้งหมดไมไดจะตองแยกสินสมรสในสวนของตนเสียกอน ขอใหศาลชั้นตนปลอย
ทรัพยที่ยึด ศาลชั้นตนสั่งยกคํารองดังกลาวของนายยอด ตอมาวันที่ 24 ธันวาคม 2544 นายยอดยื่นคํารองอยางเดียวกันอีก
ศาลชั้นตนสั่งยกคํารอง โดยใหเหตุผลวานายยอดซึ่งเปนจําเลยและภริยาเปนเจาของในที่ดินดังกลาวรวมกัน จะขอใหปลอย
ทรัพยที่ยึดไมได
ใหทานวินิจฉัยวา การที่ศาลชั้นตนมีคําสั่งยกคํารองของนายยอดชอบดวยกฎหมายหรือไม เพราะเหตุใด
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 144 บัญญัติวา “เมื่อศาลใดมีคําพิพากษาหรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นขอใดแหงคดีแลว
หามมิใหดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ไดวินิจฉัยชี้ขาดแลว เวนแตกรณีจะอยูภายใต
บังคับบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วาดวย
(1) การแกไขขอผิดพลาดเล็กนอยหรือขอผิดหลงเล็กนอยอื่นๆ ตามมาตรา 143
(2) การพิจารณาใหมแหงคดีซึ่งไดพิจารณาและชี้ขาดตัดสินไปฝายเดียว ตามมาตรา 209 และคดีที่เอกสารไดสูญ
หายหรือบุบสลายตามมาตรา 53
(3) การยื่น การยอมรับ หรือไมยอมรับ ซึ่งอุทธรณหรือฎีกาตามมาตรา 229 และ 247 และการดําเนินวิธีบังคับชั่ว
คราวในระหวางยื่นอุทธรณ หรือฎีกาตามมาตรา 254 วรรคสุดทาย
(4) การที่ศาลฎีกาหรือศาลอุทธรณสงคดีคืนไปยังศาลลางที่ไดพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เพื่อใหพิพากษา
ใหมหรือพิจารณาและพิพากษาใหมตามมาตรา 243
(5) การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งตามมาตรา 302
ทั้งนี้ไมเปนการตัดสิทธิในอันที่จะบังคับตามบทบัญญัติแหงมาตรา 16 และ 240 วาดวยการดําเนินกระบวนการ
พิจารณาโดยศาลอื่นแตงตั้ง”
8. คําถาม
โจทกฟองวาโจทกทําสัญญาเชากับจําเลยตามภาพถายสัญญาเชาทายฟองโจทกยื่นบัญชีระบุพยานตามกฎหมาย
จําเลยใหการและฟองแยงวา โจทกไมไดทําสัญญาเชากับจําเลย จําเลยเพียงแตใหโจทกอาศัยอยูในที่ดินพิพาท ซึ่งจําเลย
สามารถเรียกคืนไดตลอดเวลา ศาลชั้นตนกําหนดประเด็นขอพิพาทวาโจทกเชาที่ดินที่พิพาทจากจําเลยหรือไม โจทกมีสิทธิ
อยูในที่ดินตอไปอีกเปนเวลา 2 ปหรือไม และจําเลยตองชดใชคาเสียหายแกโจทกหรือไมเพียงใด ในชั้นสืบพยานโจทก
โจทกขอสืบพยานวา โจทกตั้งตัวแทนไปทําสัญญาเชากับจําเลยและที่ดินพิพาทเปนที่สาธารณสมบัติของแผนดิน ดังนี้โจทก
กระทําไดหรือไมกับศาลจะมีอํานาจวินิจฉัยขอเท็จจริงและขอกฎหมายเกี่ยวกับภาพถายสัญญาเชาทายฟองหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 87 บัญญัติวา “หามมิใหศาลรับฟงพยานหลักฐานใด เวนแต
(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงขอเท็จจริงที่คูความฝายหนึ่งฝายใดในคดีจะตองนําสืบ และ
(2) คูความฝายที่อางพยานหลักฐานไดแสดงความจํานงที่จะอางอิงพยานหลักฐานนั้น ดั่งที่บัญญัติไวใน
มาตรา 88 และ 90 แตถาศาลเห็นวา เพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม จําเปนจะตองสืบพยานหลักฐานอันสําคัญ ซึ่งเกี่ยวกับ
ประเด็นขอสําคัญในคดี โดยฝาฝนตอบทบัญญัติอนุมาตรานี้ ใหศาลมีอํานาจรับฟงพยานหลักฐานเชนวานั้นได”
9. คําถาม
นายฉัตรมีภูมิลําเนาอยูที่จังหวัดกาญจนบุรี มีทาวนเฮาสอยูที่จังหวัดเพชรบุรี นายเฉลยซึ่งมีภูมิลําเนาอยูที่จังหวัด
ราชบุรีไดเชาทาวนเฮาสของนายฉัตรอยูอาศัย โดยทําสัญญาเชากันที่จังหวัดนครปฐม นายเฉลยผิดนัดไมชําระคาเชา นายฉัตร
ประสงคจะฟองเรียกคาเชาจากนายเฉลย ดังนี้ นายฉัตรจะฟองไดที่ศาลใดบาง
แนวคิด
ปวพ. มาตรา 4 ทวิ บัญญัติวา “คําฟองเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพยหรือสิทธิประโยชนอันเกี่ยวดวยอสังหาริมทรัพย
ใหเสนอตอศาลที่อสังหาริมทรัพยนั้นตั้งอยูในเขตศาลไมวาจําเลยจะมีภูมิลําเนาอยูในราชอาณาจักรหรือไม หรือตอศาลที่
จําเลยมีภูมิลําเนาอยูในเขตศาล”
การฟองนายเฉลยผูเชาเปนจําเลย ขอใหชําระคาเชาทาวนเฮาสที่คางนั้น เปนคําฟองเกี่ยวกับประโยชนอันเกี่ยวดวย
อสังหาริมทรัพย นายฉัตรโจทกสามารถเสนอคําฟองไดตอศาลที่อสังหาริมทรัพยนั้นตั้งอยูในเขตศาล คือ ศาลจังหวัด
เพชรบุรี หรือตอศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยูอยูในเขตศาล คือ ศาลจังหวัดราชบุรี ตาม ปวพ. มาตรา 4 ทวิ
10. คําถาม
ธนาคารประชาชน(มหาชน)จํากัด เปนโจทกฟองใหนายแดง คนจน ชําระหนี้เงินกูที่ยืมไปจํานวน 100,000 บาท
พรองดอกเบี้ยรอยละ 21 ตอป ตามสัญญา นับแตวันผิดนัด โดยดอกเบี้ยที่เรียกนั้นเปนอัตราที่กระทรวงการคลังประกาศ
อนุญาตใหสถาบันการเงินเรียกได นายแดงจําเลยใหการตอสูวา โจทกไมมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรารอยละ 15 ตอป สัญญา
ขอที่ใหเรียกดอกเบี้ยในอัตรารอยละ 21 ตอป ตองหามตามกฎหมายตกเปนโมฆะ ศาลนัดพรอมในวันนัดคูความแถลงไมติด
ใจสืบพยาน
ดังนี้ จําเลยจะตองรับผิดชําระดอกเบี้ยแกโจทกตามที่โจทกฟองหรือไม เพราะเหตุใด
แนวคิด
ปวพ. มาตรา 84 กําหนดหลักเกณฑวาดวยภาระการพิสูจนวา “ ถาคูความฝายใดฝายหนึ่งกลาวอางขอเท็จจริงอยาง
ใดๆเพื่อสนับสนุนคําฟองหรือคําใหการของตนใหหนาที่นําสืบขอเท็จจริงนั้นตกอยูแกคูความฝายที่กลาวอาง
แตวา (1) คูความไมตองพิสูจนขอเท็จจริงที่รูกันอยูทั่วไป หรือซึ่งไมอาจโตแยงได หรือซึ่งศาลเห็นวาคูความอีก
ฝายหนึ่งไดรับแลว ฯลฯ “
11. คําถาม
นายเสนาะผูเยาวใหนางฉลวยเชาตึกซึ่งเปนของนายเสนาะเองทําการคาขาย นางฉลวยผิดนัดชําระคาเชา นายเสนาะ
จึงยื่นฟองขับไลนางฉลวย ศาลชั้นตนรับฟองไวแลว ตอมาระหวางพิจารณาศาลทําการสอบสวนไดความวานายเสนาะเปนผู
เยาว และฟองคดีโดยมิไดรับความยินยอมจากนายสนองบิดา มีคําสั่งใหจําหนายคดีของนายเสนาะออกจากสารบบความ แลว
ใหนายเสนาะยื่นฟองเขามาใหม โดยไดรับความยินยอมจากนายสนองบิดา นายเสนาะแถลงโตแยงวาตึกแถวทีใหเชาเปน
ของตนและตนเปนผูใหเชา ตนสามารถฟองคดีไดเองโดยไมตองไดรับความยินยอมจากบิดา ทานเห็นดวยกับคําสั่งของศาล
และขอโตแยงของนายเสนาะหรือไม เพราะเหตุใด
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 56 วรรค 1 และ 2 บัญญัติวา
“ผูไรความสามารถหรือผูกระทําการแทนจะเสนอขอหาตอศาลหรือดําเนินกระบวนการพิจารณาใดๆ ไดตอเมื่อได
ปฏิบัติตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยวาดวยความสามารถและตามบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมาย
นี้ การใหอนุญาตหรือยินยอมตามบทบัญญัติเชนวานั้นใหทําเปนหนังสือยื่นตอศาลเพื่อรวมไวในสํานวนความ
ไมวาเวลาใดๆ กอนมีคําพิพากษา เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคูความฝายหนึ่งฝายใดยื่นคําขอโดยทําเปนคํารอง
ใหศาลมีอํานาจทําการสอบสวนในเรื่องความสามารถ ศาลอาจมีคําสั่งใหแกไขขอบกพรองนั้นเสียใหบริบูรณภายในกําหนด
เวลาอันสมควรที่ศาลจะสั่ง”
12. คําถาม
ก. โจทกยื่นฟองคดีเรียกเงินตามเช็คจากจําเลยหนึ่งลานบาทที่ศาลแพง ศาลสั่งวาโจทกยังชําระคาธรรมเนียม
ศาลไมครบ ใหนํามาชําระภายใน 7 วัน มิฉะนั้นจะไมรับคําฟอง แตโจทกไมมีเงินจึงรีบเดินทางไปเชียงใหมเพื่อยืมเงินญาติ
แตเผอิญเดินทางกลับมาไมไดเนื่องจากน้ําทวม ถาโจทกไมนําเงินมาชําระที่ศาลแพงภายในกําหนด ศาลแพงก็อาจสั่งไมรับ
ฟองซึ่งทําใหโจทกเสียหาย ขณะที่โจทกอยูในศาลจังหวัดเชียงใหม โจทกจึงนําเรื่องมาปรึกษาทาน ทานจะใหคําปรึกษาแก
โจทกประการใด
ข. โจทกฟองวาจําเลยขายที่ดินใหโจทก สงมอบแกโจทกและรับชําระราคาแลว จําเลยเชาที่ดินตอไป จําเลย
ไมชําระคาเชา ขอใหศาลบังคับจําเลยสงคืนที่ดิน ใหขับไลจําเลยและชําระคาเชาที่คาง คดีไดความวา สัญญาซื้อขายไมจด
ทะเบียน เปนโมฆะ โจทกยังไมไดครอบครองที่ดิน ศาลพิพากษาใหจําเลยคืนคาซื้อที่ดิน ทานเห็นวาศาลพิพากษานอกฟอง
หรือไม
แนวตอบ
ก. เปนกรณีที่โจทกไมอาจดําเนินกระบวนการพิจารณาในศาลชั้นตนที่มีเขตศาลเหนือคดีนั้นได ตามปญหา
คือศาลแพง ทั้งนี้โดยมีเหตุสุดวิสัย กลาวคือเดินทางกลับมาไมไดเนื่องจากน้ําทวม โจทกจึงอาจไดรับความเสียหาย เพราะ
ศาลแพงสั่งไมรับฟองของโจทก โจทกจึงอาจยื่นคําขอฝายเดียวโดยทําเปนคํารองตอศาลจังหวัดเชียงใหมซึ่งโจทกอยูในเขต
ศาลในขณะนั้น ขอผัดการชําระเงินหรือขอชําระเงินที่ศาลจังหวัดเชียงใหมซึ่งศาลเชียงใหมที่รับคํารองไวมีอํานาจทําคําสั่ง
อยางหนึ่งอยางใดตามเห็นสมควรเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม ทั้งนี้ตาม ปวพ. มาตรา 10 (บัญญัติวา “ถาไมอาจดําเนิน
กระบวนการพิจารณาในศาลชั้นตนที่มีเขตศาลเหนือคดีนั้นไดโดยเหตุสุดวิสัย คูความฝายที่เสียหายหรืออาจจะเสียหายเพราะ
การนั้นจะยื่นคําขอฝายเดียวโดยทําเปนคํารองตอศาลชั้นตนซึ่งตนมีภูมิลําเนาหรืออยูในเขตศาลขณะนั้นก็ได และใหศาลนั้น
มีอํานาจทําคําสั่งอยางหนึ่งอยางใดตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชนแหงความยุติธรรม”) ขาพเจาจะใหคําปรึกษาแกโจทก
โดยนัยดังกลาว
ข. การที่ศาลพิพากษาวาใหจําเลยคืนคาซื้อที่ดิน เปนการพิพากษาใหสิ่งใดๆ นอกจากที่ปรากฏในคําฟอง
ซึ่งตองหามตาม ปวพ. มาตรา 142 (บัญญัติวา “คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีตองตัดสินตามขอหาในคําฟองทุก
ขอ แตหามมิใหพิพากษาหรือทําคําสั่งใดๆ เกินไปกวาหรือนอกจากที่ปรากฏในคําฟอง เวนแต…”) และไมตองดวยขอยก
เวนที่จะพิพากษาใหได
13. คําถาม
คดีแพงเรื่องหนึ่ง โจทกฟองจําเลยที่ 1 ลูกจาง และจําเลยที่ 2 นายจางเปนจําเลยรวมกันวา จําเลยที่ 1 ขับรถยนตใน
ทางการที่จางของจําเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเลอชนรถของโจทกเสียหายขอใหจําเลยทั้งสองรวมกันชดใชคาเสียหายแก
โจทก จําเลยที่ 1 ใหการวา ขับรถโดยประมาทเลินเลอจริง จําเลยที่ 2 ใหการวา จําเลยที่ 1 มิไดขับรถโดยประมาทเลินเลอ ดัง
นี้ คําใหการของจําเลยที่ 1 ซึ่งยอมรับวาตนขับรถโดยประมาทเลินเลอมีผลผูกพันจําเลยที่ 2 หรือไม
แนวตอบ
14. คําถาม
คดีกอนนายสมบูรณเปนโจทกฟองนายสมบัติเปนจําเลยขอใหศาลสั่งแสดงวาที่พิพาทนั้นเปนของนายสมบูรณ ศาล
พิพากษาวาที่พิพาทนั้นเปนของนายสมบูรณโจทก ไมใชของนายสมบัติจําเลย ตอมานายจักรเปนโจทก็ฟองนายสมบูรณเปน
จําเลยอีกคดีหนึ่ง ขอใหศาลพิพากษาวาที่พิพาทแปลงเดียวกันนี้เปนของนายจักร ไมใชของนายสมบูรณซึ่งเปนโจทกในคดี
กอน ดังนี้ ถามวา
1. คําพิพากษาในคดีกอนที่นายสมบูรณฟองนายสมบัติจะใชยันนายจักรไดหรือไม
2. นายจักรจะอางวาคําพิพากษาในคดีกอนไมถูกตองไดหรือไม
3. ในคดีหลังที่นายจักรฟองนายสมบูรณ นายจักรจะนําสืบวาตนมีสิทธิดีกวานายสมบูรณไดหรือไม
แนวตอบ
ปวพ.มาตรา 145(2) บัญญัติวา” คําพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แหงทรัพยสินใดๆ เปนคุณแกคูความฝายใดฝาย
หนึ่งอาจใชยันแกบุคคลภายนอกได เวนแตบุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจนไดวาตนมีสิทธิดีกวา”
ตามอุทาหรณ แยกพิจารณาไดดังนี้
1. คําพิพากษาในคดีกอนที่นายสมบูรณเปนโจทกฟองนายสมบัติเปนจําเลย เปนคําพิพากษาที่วินิจฉัยถึง
กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเปนคุณแกนายสมบูรณ จึงใหใชยันนายจักรซึ่งเปนบุคคลภายนอกคดีกอนได ตาม ปวพ.มาตรา 145(2)
2. เมื่อใชยันนายจักรไดแลว นายจักรจะอางวาคําพิพากษาในคดีกอนไมถูกตองหาไดไม
3. นายจักรยอมมีสิทธินําสืบวาตนมีสิทธิดีกวานายสมบูรณซึ่งเปนโจทกในคดีกอน โดยนัยแหงอนุมาตรา
(2) ตอนทาย
15. คําถาม
ก. โจทกฟองจําเลยขอใหศาลสั่งแสดงที่พิพาทเปนของโจทก จําเลยใหการวาที่พิพาทเปนของจําเลย คดีอยู
ระหวางพิจารณา นายเอกมาปรึกษาทานวาที่พิพาทที่โจทกจําเลยเปนความกันอยู ความจริงเปนของนายเอก ไมใชของโจทก
จําเลย นายเอกประสงคจะขอใหศาลสั่งแสดงที่พิพาทเปนของตนและมาปรึกษาทาน ทานจะใหคําปรึกษาแกนายเอกอยางไร
ข. โจทกเคยฟองจําเลยที่ 1 ผูเดียวออกจากหองเชาเลขที่ 300 ในขอหาผิดสัญญาเชาเพราะเอาหองไปให
จําเลยที่ 2 เชา ศาลพิพากษาใหโจทกแพคดี คดีถึงที่สุด โจทกก็มาฟองใหมขับไลทั้งจําเลยที่ 1 และ 2 โดยอาศัยมูลความผิด
สัญญาเชาเหตุเดียวกันนั้น ขอใหศาลขับไลจําเลยทั้งสอง ดังนี้ ฟองของโจทกคดีใหมเปนฟองซ้ํากับคดีเดิมหรือไม
แนวตอบ
16. คําถาม
ก. ฟองขับไล ข. ออกจากตึกพิพาทเนื่องจาก ข. ผิดสัญญาไมชําระคาเชา ศาลชั้นตนพิพากษายกฟอง ตอมา
อีก 15 วันนับแตวันศาลชั้นตนพิพากษายกฟองซึ่งคดียังไมถึงที่สุด ก. ก็มาฟองขับไล ข. ที่ศาลเดียวกันโดยอาศัยมูลผิดสัญญา
มูลเดียวกันนั้นอีก ดังนี้ ฟองของ ก. คดีหลังเปนการดําเนินกระบวนการพิจารณาซ้ําหรือฟองซ้ํากับคดีแรกหรือไม
แนวตอบ
1. ปวพ. มาตรา 144 บัญญัติวา” เมื่อศาลใดมีคําพิพากษาหรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นขอใดแหงคดี
แลว หามมิใหดําเนินการพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ไดวินิจฉัยชี้ขาดแลวนั้น เวนแตกรณีจะอยูภายใต
บังคับบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วาดวย…”
17. คําถาม
ปญหาขอเท็จจริงกับปญหาขอกฎหมายทานเขาใจวาอยางไร
คดีฟองเรียกเงินกูเรื่องหนึ่ง ทุนทรัพย 50,000 บาท ซึ่งตองหามอุทธรณในปญหาขอเท็จจริง ศาลชั้นตนพิพากษายก
ฟองโจทกดวยเห็นดวยวา ตามขอเท็จจริงที่ยุตินั้นฟองของโจทกขาดอายุความ ดังนี้โจทกจะอุทธรณวา ฟองของตนไมขาด
อายุความไดหรือไม เพราะเหตุใด
แนวตอบ
ปญหาขอกฎหมายเปนปญหาหารือบท หรือปญหาที่เกี่ยวกับการตีความหรือปรับตัวบทกฎหมายเขากับขอเท็จจริง
ที่ฟงยุติแลว สวนปญหาขอเท็จจริง เปนปญหาขออางหรือขอเถียงของคูความที่ตองชี้ขาดโดยอาศัยพยานหลักฐาน เชน โจทก
ฟองวา จําเลยกูเงินโจทกไป 50,000 บาท จําเลยใหการวาไดกูเงินโจทกเพียง 5,000 บาท สัญญากูที่โจทกนํามาฟองจึงเปน
สัญญาปลอม ใชเปนพยานหลักฐานในศาลไมได ขอใหยกฟอง ดังนี้ ปญหาที่วาจําเลยไดกูเงินโจทกไปเทาใดนั้น ตองอาศัย
พยานบุคคลที่รูเห็นการกูเงิน พยานผูเชี่ยวชาญที่ลงความเห็นเกี่ยวกับความแทจริงแหงสัญญากูฉบับพิพาท ตลอดจนพยาน
เอกสาร คือตัวสัญญากูฉบับนั้นเองประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดปญหาดังกลาว แมปญหาที่วา โจทกไดเติมเลขศูนยเขาไปอีก
หนึ่งตัว ทําใหสัญญาดังกลาวเปนสัญญาปลอมดังจําเลยอางหรือไมก็เปนขอเท็จจริง สวนปญหาที่วาสัญญาดังกลาวหากมีหฃ
การปลอมดวยการเติมเลขศูนยจริงแลว จะใชเปนพยานหลักฐานในคดีไดหรือไม อันจะทําใหศาลพิพากษาใหโจทกชนะคดี
บางสวนหรือตองยกฟองเลยนั้นเปนปญหาขอกฎหมาย
แนวตอบ
ก. ปวพ. มาตรา 84 กําหนดหลักเกณฑวาดวยภาระการพิสูจนวา “ ถาคูความฝายใดฝายหนึ่งกลาวอางขอเท็จ
จริงอยางใดๆเพื่อสนับสนุนคําฟองหรือคําใหการของตนใหหนาที่นําสืบขอเท็จจริงนั้นตกอยูแกคูความฝายที่กลาวอาง…”
19. คําถาม
ก. กรณีที่ขายหองแถวในที่ดินที่เชามาโดยประสงคใหหองแถวคงติดที่ดินอยู แตเอกสารสัญญาไมกลาวถึง
เรื่องการโอนสิทธิการเชา เมื่อมีคดีระหวางผูขายผูซื้อที่จะตองบังคับกันตามสัญญาซื้อขาย ผูขายจะนําสืบวาไมรวมถึงการ
โอนสิทธิการเชาดวยไดหรือไม
ข. ในการดําเนินคดีแพงเรื่องหนึ่ง เมื่อพยานเบิกความตอศาลเสร็จแลว จึงยื่นคํารองขอเพิ่มเติมอธิบายคําที่เบิก
ความไปแลว ศาลจะยกเอาคํารองนี้มาหักลางคําเบิกความในศาลไดหรือไม
ค. ในคดีแพง เมื่อคูความฝายหนึ่งมิไดคัดคานการอางเอกสารเปนพยานของคูความอีกฝายหนึ่งเสียในวันสืบ
พยานดังนี้ ศาลจะตองยอมรับวาความจริงเปนดังที่ปรากฏในเอกสารนั้นไดหรือไม
แนวตอบ
ก. ปวพ. มาตรา 94 บัญญัติวา “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับใหตองมีพยานเอกสารมาแสดง หามมิใหศาลยอมรับฟง
พยานบุคคล ในกรณีอยางใดอยางหนึ่งดั่งตอไปนี้ แมถึงวาคูความอีกฝายหนึ่งจะไดยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไมสามารถนําเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบขออางอยางใดอยางหนึ่ง เมื่อไดนําเอกสารมาแสดงแลววายังมีขอความเพิ่ม
เติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแกไขขอความในเอกสารนั้นอยูอีก
….”
ตองฟงวาการซื้อขายนั้นรวมถึงการโอนสิทธิการเชาดวย เพราะไดซื้อขายกันโดยประสงคจะใหหองแถวติดที่ดิน
อยูเปนการซื้อขายอยางอสังหาริมทรัพย ผูขายจะนําสืบวาไมรวมถึงการโอนสิทธิการเชาดวยไมได เพราะเปนการสืบพยาน
เพิ่มเติมขอความในเอกสาร ตองหามตาม ปวพ. มาตรา 94
ข. คํารองนี้มิใชคําเบิกความเปนพยาน ศาลจะยกเอาคํารองมาหักลางคําเบิกความในศาลไมได
แมคูความฝายหนึ่งจะมิไดคัดคานการอางเอกสารเปนพยานของคูความอีกฝายหนึ่งเสียภายในวันสืบพยานตาม
ปวพ. มาตรา 125 ก็เพียงแตหามมิใหคูความฝายนั้นคัดคานการมีอยู และความแทจริงของเอกสารหรือความถูกตองแหง
สําเนาเอกสารนั้นเมื่อพนเวลากําหนดเทานั้น หาใชเปนการบังคับใหศาลยอมรับวาความจริงเปนดังที่ปรากฏในเอกสารนั้นไม
เพราะความจริงเปนอยางไร เปนเรื่องที่ศาลจะตองรับฟงจากพยานหลักฐานทั้งปวงอีกชั้นหนึ่งตางหาก
20. คําถาม
ในคดีแพงเรื่องหนึ่ง โจทกจําเลยไดทําสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลชั้นตนใหที่พิพาทตกเปนของ
จําเลยและศาลไดพิพากษาตามยอมไปแลว โจทกจะมาฟองขอเพิกถอนเปลี่ยนแปลงคําพิพากษาหรือจะอุทธรณพิพากษาดัง
กลาวไดหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 20 บัญญัติวา “ไมวาการพิจารณาคดีจะไดดําเนินไปแลวเพียงใด ใหศาลมีอํานาจที่จะไกลเกลี่ยใหคู
ความไดตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในขอพิพาทนั้น”
ปวพ. มาตรา 138 บัญญัติวา “ในคดีที่คูความตกลงกัน หรือตกลงประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแหงคดี
โดยมิไดมีการถอนคําฟองนั้นและขอตกลงหรือการประนีประนอมยอมความกันนั้นไมเปนการฝาฝนตอกฎหมาย ใหศาลจด
รายงานพิสดารแสดงขอความแหงขอตกลงหรือการประนีประนอมยอมความเหลานั้นไว แลวพิพากษาไปตามนั้น
หามมิใหอุทธรณคําพิพากษาเชนวานี้ เวนแตในเหตุตอไปนี้…
(1)…
(2)…
(3)…”
ปวพ. มาตรา 145 บัญญัติวา “ภายใตบทบัญญัติแหงประมวลกฎหมายนี้วาดวยการอุทธรณฎีกาและการพิจารณา
ใหม คําพิพากษาหรือคําสั่งใดๆ ใหถือวาผูกพันคูความในกระบวนการพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคําสั่ง นับแตวันที่ได
พิพากษาหรือมีคําสั่งจนถึงวันที่คําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นไดถูกเปลี่ยนแปลง แกไข กลับหรืองดเสีย ถาหากมี…”
ตาม ปวพ. มาตรา 145 ใหถือวาคําพิพากษาผูกพันคูความในกระบวนการพิจารณาของศาลที่พิพากษานับแตวันที่ได
พิพากษา
และตาม ปวพ. มาตรา 138 วรรค 2 หามมิใหอุทธรณคําพิพากษาที่พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
นอกจากจะเขาขอยกเวนคืออนุมาตรา (1)(2)และ(3)
ตามปญหาแยกพิจารณาไดดังนี้
(ก) เมื่อโจทกจําเลยไดทําสัญญาประนีประนอมยอมความใหที่ดินที่พิพาทตกเปนของจําเลย และศาล
พิพากษาตามยอมไปแลว คําพิพากษาของศาลยอมผูกพันโจทกจําเลย โจทกจะมาฟองขอใหเพิกถอนเปลี่ยนแปลงคําพิพากษา
ไมได (ฎ.297/2515)
(ข) โจทกจะอุทธรณคําพิพากษาตามยอมไมได ตองหามตามมาตรา 138 วรรค 2
21. คําถาม
โจทกฟองขอใหศาลบังคับใหจําเลยชําระหนี้เงินกู 100,000 บาท จําเลยใหการวาจําเลยไมไดรับเงินกูไปจากโจทก
เลย เพราะเมื่อจําเลยลงลายมือชื่อในสัญญาเงินกูแลว บังเอิญโจทกไมมีเงินติดบาน นัดใหจําเลยมาเอาในวันหลัง แตโจทกก็
หลบหลีกไมจายเงินตามสัญญากูใหจําเลยเรื่อยมา ดังนี้ จําเลยมีสิทธิสืบพยานบุคคลวาไมไดรับเงินตามสัญญากูหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 94 วรรค 1 และวรรค 2 บัญญัติไวมีใจความสําคัญที่เกี่ยวกับปญหาที่ถามวา เมื่อใดมีกฎหมายบังคับ
ใหตองมีพยานเอกสารมาแสดง หามมิใหศาลยอมรับฟงพยานบุคคล ในกรณีอยางใดอยางหนึ่งดั่งตอไปนี้ คือ ขอสืบพยาน
บุคคลประกอบขออางอยางใดอยางหนึ่ง เมื่อไดนําเอกสารมาแสดงแลววายังมีขอความเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก
ไขขอความในเอกสารนั้นอยูอีก แตวาบทบัญญัติแหงมาตรานี้มิใหถือวาเปนการตัดสิทธิคูความในอันที่จะกลาวอางและนํา
พยานบุคคลมาสืบประกอบขออางวาสัญญาหรือหนี้อยางอื่นที่ระบุไวในเอกสารนั้นไมสมบูรณ
ตามปญหา จําเลยใหการโดยชัดแจงแลววา ไมไดรับเงินไปจากโจทกเพราะเหตุใด การที่จําเลยไมไดรับเงินเปนการ
กลาวอางวาสัญญากูหรือหนี้ตามสัญญากูนั้นไมสมบูรณเพราะสัญญากูจะสมบูรณหรือบริบูรณเมื่อสงมอบเงินที่ยืม จําเลยจึง
มีสิทธิสืบพยานบุคคลไดวา ไมไดรับเงินไปตามสัญญากูตามขอยกเวนที่บัญญัติไวในมาตรา 94 วรรค 2
22. คําถาม
นายปองเทพฟองสมาคมสุโขทัยธรรมาธิราชซึ่งตนเปนสมาชิกเปนจําเลย หาวามติของที่ประชุมใหญของสมาคม
ที่เลือกนางสาวเอมิกา ซึ่งไมใชสมาชิกเปนกรรมการชองสมาคมนั้นฝาฝนตอขอบังคับ ขอใหศาลสั่งเพิกถอนมตินั้นตาม
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย สมาคมสุโขทัยธรรมาธิราชขาดนัดยื่นคําใหการ
ระหวางการพิจารณา นางสาวเอมิกายื่นคํารองสอดวา ตนเปนสมาชิกของสมาคมนั้น และไดรับการเลือกตั้งเปน
กรรมการโดยถูกตองตามขอบังคับแลว ขอใหยกฟอง
นายปองเทพโจทกคัดคานการรองสอดวา เมื่อคดีนี้จําเลยขาดนัดยื่นคําใหการ ผูรองจะรองสอดเขามาในคดีไมได
เพราะเปนการใชสิทธิตอสูคดีกับโจทกฝายเดียว เทากับผูรองสอดเขามาใชสิทธิแทนจําเลยนั่นเอง ใหวินิจฉัยวา นางสาวเอมิ
กามีสิทธิรองสอดเขามาในคดีตามคํารองไดหรือไม
แนวตอบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง มาตรา 57 บัญญัติวา “บุคคลภายนอกซึ่งมิใชคูความอาจเขามาเปนคูความ
ไดโดยการรองสอด
(1) ดวยความสมัครใจเองเพราะเห็นวาเปนการจําเปนเพื่อยังใหไดความรับรอง คุมครอง หรือบังคับตามสิทธิของ
ตนที่มีอยู โดยยื่นคํารองตอศาลที่คดีนั้นอยูในระหวางพิจารณา….”
และมาตรา 58 บัญญัติวา “ผูรองสอดที่ไดเขาเปนคูความตามอนุมาตรา (1) และ (3) แหงมาตรากอนนี้ มีสิทธิเสมือน
หนึ่งวาตนไดถูกฟองหรือถูกฟองเปนคดีเรื่องใหม ซึ่งโดยเฉพาะผูรองสอดอาจนําพยานหลักฐานใหมมาแสดง คัดคาน
เอกสารที่ไดยื่นไว ถามคานพยานที่ไดสืบมาแลวและคัดคานพยานหลักฐานที่ไดสืบไปกอนที่ตนไดรองสอด อาจอุทธรณ
ฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลตามที่กฎหมายบัญญัติไวและอาจไดรับหรือถูกบังคับใหใชคาฤชาธรรมเนียม
หามมิใหผูรองสอดที่ไดเปนคูความตามอนุมาตรา (2) แหงมาตรากอน ใชสิทธิอยางอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยูแกคู
ความฝายซึ่งตนเขาเปนโจทกรวมหรือจําเลยรวมในชั้นพิจารณาเมื่อตารองสอดและหามมิใหสิทธิเชนวานั้นในทางที่ขัดกับ
สิทธิของโจทกหรือจําเลยเดิมฯลฯ”
23. คําถาม
นายโชติกับนายชิตเปนโจทกที่ 1 และที่ 2 รวมกันฟองบริษัทเดินรถไทย จํากัด เปนจําเลยและเรียกคาเสียหายในมูล
หนี้ละเมิดที่ลูกจางของบริษัทฯขับรถโดยสารโดยประมาทเลินเลอ ทําใหรถที่โจทกทั้งสองโดยสารมาพลิกคว่ํารายเดียวกัน
โจทกตางไดรับบาดเจ็บ โจทกที่ 1 เรียกคาเสียหาย 40,000 บาท โจทกที่ 2 เรียกคาเสียหาย 30,000 บาท ศาลชั้นตนสั่งวา
โจทกทั้งสองจะฟองรวมกันมาในคดีเดียวกันไมได เพราะเปนหนี้คนละราย เรียกคาเสียหายมาคนละจํานวนกัน เปนการฟอง
เรียกรองคาเสียหายกันคนละขอหา ใหโจทกแยกฟองเปนคนละคดี ทานเห็นดวยกับคําสั่งของศาลชั้นตนหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 59 บัญญัติวา “บุคคลตั้งแตสองคนขึ้นไป อาจเปนคูความในคดีเดียวกันได โดยเปนโจทกรวมหรือ
จําเลยรวม ถาหากปรากฏวา บุคคลเหลานั้นมีผลประโยชนรวมกันในมูลความแหงคดี…”
ปวพ. มาตรา 29 บัญญัติวา “ ถาคดีที่ฟองกันนั้นมีขอหาหลายขอดวยกันและศาลเห็นวาขอหาขอหนึ่งขอใดเหลานั้น
มิไดเกี่ยวของกันกับขออื่นๆ เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคูความผูมีสวนไดเสียไดยื่นคําขอโดยทําเปนคํารองใหศาลมีคําสั่ง
ใหแยกคดีเสียโดยเร็ว…”
24. คําถาม
โจทกฟองขอใหศาลบังคับจําเลยใชคาสินไหมทดแทนในกรณีละมิดเปนเงิน 50,000 บาท ในการสงหมายเรียกและ
สําเนาคําฟองใหจําเลยนั้น เจาพนักงานศาลพบจําเลย แตจําเลยไมยอมรับหมายและเดินออกไปจากบาน เจาพนักงานศาลจึง
ปดหมายไวที่ประตูบาน โดยนายดําผูใหญบานเปนพยาน ดังนี้ การสงหมายและสําเนาคําฟองดังกลาวชอบหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 78 บัญญัติวา “ ถาคูความหรือบุคคลที่ระบุไวในคําคูความหรือเอกสารปฏิเสธไมยอมรับคําคูความ
หรือเอกสารนั้นจากเจาพนักงานศาลโดยปราศจากเหตุอันชอบดวยกฎหมาย เจาพนักงานนั้นชอบที่จะขอใหพนักงานเจาหนา
ที่ฝายปกครองที่มีอํานาจ หรือเจาพนักงานตํารวจไปดวยเพื่อเปนพยาน และถาคูความหรือบุคคลนั้นยังคงปฏิเสธไมยอมรับ
อยูอีก ก็ใหวางคําคูความหรือเอกสารไว ณ ที่นั้น…”
ปวพ. มาตรา 79 บัญญัติวา “ ถาการสงคําคูความหรือเอกสารนั้นไมสามารถจะทําไดดั่งที่บัญญัติไวในมาตรากอน
ศาลอาจสั่งใหสงโดยวิธีอื่นแทนได กลาวคือ ปดคําคูความหรือเอกสารไวในที่แลเห็นไดงาย ณ ภูมิลําเนาหรือสํานักทําการ
งานของคูความหรือบุคคลผูมีชื่อระบุไวในคําคูความหรือเอกสารหรือมอบคําคูความหรือเอกสารไวแกเจาพนักงานฝายปก
ครองในทองถิ่นหรือเจาพนักงานตํารวจ แลวปดประกาศแสดงการที่ไดมอบหมายดั่งกลาวแลวนั้นไวดังกลาวมาขางตน หรือ
ลงโฆษณา หรือทําวิธีอื่นใดตามที่ศาลเห็นสมควร…”
25. คําถาม
ในคดีที่โจทกฟองวาจําเลยกระทําโดยประมาทเปนเหตุใหรถยนตของโจทกเสียหาย ขอใหบังคับจําเลยใชคาเสีย
หายจํานวน 200,000 บาท พรอมดอกเบี้ยแกโจทก จําเลยใหการปฏิเสธวา จําเลยมิไดกระทําโดยละเมิดตอโจทกและโจทกไม
เสียหาย ขอใหยกฟอง โจทกอางใบเสร็จรับเงินคาซอมรถยนตโจทกและภาพถายสภาพรถยนตซึ่งโจทกถายรูปไวกอนสง
ซอม ซึ่งพยานหลักฐานทั้งสองสิ่งอยูที่โจทกและโจทกไดระบุไวในบัญชีระบุพยานแลว ดังนี้ โจทกจะตองสงสําเนาพยาน
เอกสารดังนั้นใหแกใครหรือไม และเมื่อใด
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 90 วรรคหนึ่ง “ใหคูความฝายที่อางอิงเอกสารเปนพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนขออางหรือขอเถียง
ของตนในมาตรา 88 วรรคหนึ่ง ยื่นตอศาลและสงใหคูความฝายอื่น ซึ่งสําเนาเอกสารนั้นกอนวันสืบพยานไมนอยกวาเจ็ดวัน”
การอางอิงหรือนําสืบพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ นอกจากจะตองมีการระบุอางไวในบัญชีระบุพยานตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงมาตรา 88 วรรคหนึ่งแลว กอนที่คูความจะสงตนฉบับเอกสารตอศาล คูความยังตอง
ยื่นสําเนาเอกสารนั้นตอศาลและสงใหแกคูความอีกฝายหนึ่งกอนวันสืบพยานไมนอยกวา 7 วันดวย ทั้งนี้ตาม ปวพ. มาตรา
90 วรรคหนึ่ง ขางตน
กรณีตามคําถามอาจแยกพิจารณาได 2 กรณีดังนี้
กรณีแรก คือ ใบเสร็จรับเงินคาซอมรถยนตโจทกซึ่งอยูที่โจทก เมื่อโจทกไดอางไวในบัญชีระบุพยานและยื่นตอ
ศาลแลว เมื่อใบเสร็จรับเงินคาซอมรถยนตโจทกเปนเอกสารและอยูในความครอบครองของโจทก โจทกจึงมีหนาที่ตองยื่น
สําเนาเอกสารดังกลาวนั้นตอศาลและสงใหแกคูความอีกฝายหนึ่งกอนวันสืบพยานไมนอยกวา 7 วัน (ฎ.288/2536)
กรณีที่สอง ภาพถายสภาพรถยนตซึ่งโจทกถายรูปไวกอนสงซอม ภาพถายดังกลาวถือวาเปนภาพจําลองวัตถุ ไมใช
เปนพยานเอกสารตามความในมาตรา 90 วรรคหนึ่ง จึงไมอยูในบังคับตองยื่นสําเนาใหแกศาลและสงใหแกคูความอีกฝาย
หนึ่งกอนวันสืบพยาน ดังนั้นโจทกจึงไมตองยื่นสําเนาและสงใหแกจําเลยกอนวันสืบพยาน(ฎ.157/2518)
26. คําถาม
นายแดงประกอบกิจการขายเครื่องใชไฟฟาและเครื่องเสียง โดยใหซื้อขายเงินผอนและใหเชาซื้อ ไดใหนายเขียวเชา
ซื้อรถจักรยานยนตไปในราคา 30,000 บาท โดยทําสัญญาเชาซื้อกันไวเปนหนังสือ นายเขียวไมชําระคาเชาซื้อตามสัญญา จึง
ตกเปนผูผิดนัด นายแดงฟองบังคับใหชําระคาเชาซื้อที่คางทั้งหมดพรอมดอกเบี้ย ในระหวางการชี้สองสถานนั้นเอง ปรากฏ
วาหนังสือสัญญาเชาซื้อสูญหายไป นายแดงจะนําพยานบุคคลมาสืบวาสัญญาเชาซื้อสูญหายไปและมีการเชาซื้อรถจักรยาน
ยนตตามสัญญาเชาซื้อที่สูญหายไปไดหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 93 บัญญัติวา “การอางอิงเอกสารเปนพยานนั้น ใหยอมรับฟงไดแตตนฉบับเอกสารเทานั้น เวนแต..
ฯลฯ
(2)ถาตนฉบับเอกสารหาไมได เพราะสูญหาย หรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไมสามารถนําตนฉบับมาไดโดย
ประการอื่น ศาลจะอนุญาตใหนําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได”
ปวพ. มาตรา 94 บัญญัติวา “ เมื่อใดมีกฎหมายบังคับใหตองมีพยานเอกสารมาแสดง หามมิใหศาลรับฟงพยาน
บุคคลในกรณีอยางใดอยางหนึ่งดังตอไปนี้ แมวาคูความอีกฝายหนึ่งจะไดยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไมสามารถนําเอกสารมาแสดง
…แตวาบทบัญญัติแหงมาตรานี้ มิใหใชบังคับในกรณีที่บัญญัติไวในอนุมาตรา (2) แหงมาตรา 93 ”
27. คําถาม
คุณหญิงวาสเคยกลาวกับคุณหญิงสรอยเพื่อนสนิทของตนวา คุณหญิงวาสเคยมีบุตรชาย 1 คน ชื่อ วิชัย กอนที่คุณ
หญิงวาสจะสมรสกับพลเอกศักดิ์ โดยคุณหญิงวาสนําวิชัยไปฝากใหญาติของตนชื่อ บุญมี เลี้ยงดูตั้งแตเด็ก ตอมาคุณหญิงวาส
ตายลง วิชัยจึงฟองขอแบงมรดกจากพลเอกศักดิ์ โดยอางคุณหญิงสรอยเปนพยานเบิกความถึงขอเท็จจริงดังกลาว คําเบิก
ความของคุณหญิงสรอยรับฟงไดหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 95 บัญญัติวา “ หามมิใหรับฟงพยานบุคคลใด เวนแตบุคคลนั้น
(1) สามารถเขาใจ และตอบคําถามได
(2) เปนผูที่ไดเห็น ไดยิน หรือทราบขอความเกี่ยวในเรื่องที่จะใหการเปนพยานนั้นมาดวยตนเองโดยตรง แตความ
ในขอนี้ใหใชไดตอเมื่อไมมีบทบัญญัติแหงกฎหมายโดยชัดแจงหรือคําสั่งของศาลวาใหเปนอยางอื่น”
ตามคําถามคําเบิกความของคุณหญิงสรอยเปนเพียงพยานบอกเลา เพราะคุณหญิงสรอยไมไดรูเห็นวาคุณหญิงวาสมี
บุตรชายชื่อวิชัยจริงหรือไม เพียงแตรับฟงขอมูลมาจากคุณหญิงวาสเทานั้น
แตเนื่องจากคําพยานบอกเลาดังกลาวเปนคํากลาวถึงเครือญาติวงศตระกูลโดยตรง ทั้งผูบอกกลาวก็เปนเครือญาติ
ในสกุลเดียวกัน และไดถึงแกความตายไปแลว ดังนั้นคําเบิกความของคุณหญิงสรอยจึงเปนพยานบอกเลาที่รับฟงได สวนจะ
มีน้ําหนักเพียงใดนั้นเปนดุลยพินิจของศาลที่จะพิจารณา
28. คําถาม
ในระหวางพิจารณาคดีเรื่องหนึ่ง โจทกและจําเลยทําสัญญาประนีประนอมยอมความแบงที่ดินพิพาทกัน เมื่อศาล
พิพากษาตามยอมแลว จําเลยอางวาตนทําสัญญายอมความไปโดยสําคัญผิดทําใหจําเลยเสียเปรียบ กลาวคือ จําเลยไดเนื้อที่
นอยกวาที่ควรจะได สวนโจทกกลับไดที่ดินมากเชนนี้ จําเลยจะอุทธรณคําพิพากษาดังกลาวไดหรือไม
แนวตอบ
ปวพ. มาตรา 138 บัญญัติวา “ ในคดีที่คูความตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแหงคดีโดยมิ
ไดมีการถอนคําฟองนั้น และขอตกลงยอมความกันนั้นไมเปนการฝาฝนตอกฎหมาย ใหศาลจดรายงานพิสดารแสดงขอความ
แหงขอตกลงหรือการกระนีประนอมยอมความเหลานั้นไว แลวพิพากษาไปตามนั้น
หามมิใหอุทธรณคําพิพากษาเชนวานี้ เวนแตในเหตุตอไปนี้
(1) เมื่อมีคูความฝายใดฝายหนึ่งฉอฉล…..”