Professional Documents
Culture Documents
เอกชนและมหาชนมีมาตัง้แต่โรมัน
การแบ่งแยกดังกล่าวนัน ้ เห็นได้ชัดทีประเทศภาคพ้ืนยุโรป
อังกฤษรับอิทธิพลจากกม.โรมันน้อยจึงไม่ยอมรับหลักการแบ่งแยกสาขากม.ออกจาก
กัน
กม.มหาชนอาจเกิดจากกม.ลายลักษณ์อักษร จารีตประเพณี หรือทฤษฎีทางวิชาการ
กม.มหาชนพัฒนามากในฝรัง่เศส
ประเทศระบบCommonLaw ไม่มีการแบ่งแยกสาขาของกม.ออกจากกัน
หลักเกณฑ์ว่ากม.ใดเป็ นกม.มหาชน
- ดูว่าเป็ นกิจการของใคร : รัฐ หรือ ส่วนตัว
- ดูว่ากม.ให้ใครเป็ นประธานแห่งสิทธิ : ถ้าเป็ นกม.เอกชน ผู้ทรงสิทธิจะอยู่ใน
ฐานะเท่าเทียมกัน
- ดูว่ากม.นัน ้ เคร่งครัดหรือไม่ : ถ้าผ่อนปรนได้ก็มักจะเป็ นกม.เอกชน ในขณะท่ี
กม.มหาชนจะมีรูปแบบเคร่งครัด (Rigid) บทบังคับมีลักษณะท่ีหลีกเล่ียงไม่ได้
(Imperative)
A.V. Dicey คัดค้านการตัง้ศาลปกครองในอังกฤษอย่างรุนแรง
ในประเทศไทยแบ่งเป็ นกม.เอกชนและมหาชน ในสมัย รัชกาลท่ี 6
สมัยโรมัน แบ่งกม.ออกเป็ น กม.เอกชน(Jus privatum) กม.มหาชน(Jus publicum)
และ กม.ศาสนา(Jus sacrum)
แนวการแบ่งแยกอยู่ท่ี "กิจการ" เป็ นสำาคัญ
สมัยคลาสสิค กม.มหาชนพัฒนาอย่างรวดเร็ว
กม.ปกครองเกิดขึ้นในยุคนี้
Ulpian สรุปความหมายกม.มหาชนว่า "กม.ท่ีเก่ียวกับรัฐ"
สมัยขุนนางปกครอง มีการจัดทำาประมวลกม.โรมัน (corpus juris civilis) ขึ้นเป็ นครัง้แรกในสมัย
พระเจ้าJustinian
มูลบทนิตศาสตร์(Institutions) เป็ นรากฐานท่ีสำาคัญท่ีสุด และแบ่งกม.ออกเป็ น
สามภาคคือ Persona(ความสัมพันธ์บุคคล) Res(ทรัพย์สินมรดก) Actio (เพ่ง)
กม.มหาชนภาคพ้ืนยุโรป ได้รับอิทธิพลจากประมวลกม.เพ่งของพระเจ้าJustinianเป็ นอย่างมาก
กม.มหาชนมีฐานะสูงกว่ากม.เอกชน
นักกม.ฝรัง่เศสจะเข้าใจเร่ ืองกม.มหาชนดีมาก โดยอาศัย Jus publicumเป็ นรากฐาน
กม.มหาชนในประเทศCommon Law ไม่ยอมรับปรัชญากม.โรมันในเร่ ืองกม.มหาชน โดยถือว่าศาลเป็ นผู้สร้างกม. และยัง
คงได้รับอิทธิพลในเร่ ืองศักดินา(Feudalism)
นอกจากนีก ้ ารจัดการปกครองส่วนกลางและท้องถ่ินค่อนข้างเป็ นระเบียบอยู่แล้ว
ทำาให้โอกาสท่ีรำฐจะข่มเหงประชาชนเป็ นไปได้ยาก อีกทัง้ศาลยังสามารถให้ความ
เป็ นธรรมแก่ราษฎรได้ดีอยู่แล้ว โดยอาศัยหลักนิติธรรม(Rule of law)
ประเภทของกม.มหาชน ท่ีสำาคัญท่ีสุดคือ กม.รัฐธรรมนูญ และ กม.ปกครอง
กม.อ่ ืน เช่น วิธีพิจารณาความปกครอง กม.อาญา วิธีพิจารณาความอาญา
กม.อ่ ืนว่าด้วยธรรมนูญศาลยุติธรรม ว่าด้วยวิธีพิจารณาความเพ่ง เป็ นต้น
General information ปรัชญารากฐานท่ีสำาคัญ ได้แก่ ปรัชญาว่าด้วยรัฐ และ ว่าด้วยอำานาจอธิปไตย
กม.มหาชน มิใช่เร่ ืองทางนิติศาสตร์เท่านัน ้ ยังอาศัย รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และปรัชญา
ปรัชญาทางกม.ธรรมชาติมีส่วนทำาให้กม.มหาชนพัฒนาเป็ นอันมาก
Monstequia เป็ นทฤษฎีท่ีใช้เป็ นรากฐานในการกำาหนดรูปแบบการเมืองของ อเมริกา
และ ฝรัง่เศส
ปรัชญากฏหมายและการเมืองแบ่งออกเป็ น สอง ฝ่ ายใหญ่ ๆคือ
1) ฝ่ ายนิยมกม.ธรรมชาติ เรียกร้องให้จำากัดอำานาจรัฐอันไม่เป็ นธรรม
2) ฝ่ ายนิยมกม.บ้านเมือง รัฐมีอำานาจสูงสุด
Greek Socartis ศาสดาของผู้สอน ไม่ใช่นักกม.แต่เป็ นปรัชญาเมธี
ปรัชญาแบบซักถาม(ป้ อนคำาถามให้ตอบ) Socratic method หรือ Case study
Plato ศาสดาของผู้คิด
อุดมรัฐ(Republic) เป็ นวรรณกรรมชิน ้ สำาคัญ ระบุว่ากม.ไม่ใช่ส่ิงจำาเป็ นในอุดมรัฐ
วรรณกรรมอ่ ืน ได้แก่ รัฐบุรุษ (statesman) และ Laws
ประเทศชาติจะมีผาสุกถ้าปกครองแบบราชาธิปไตย
ทรัพย์สินเป็ นบ่อเกิดของอำานาจ อำานาจเป็ นบ่อเกิดของความขัดแย้ง จึงควรล้มเลิก
กรรมสิทธิใ์นทรัพย์สินโดยสิน ้ เชิง เว้นแต่ชนชัน ้ ประดิษฐ์และใช้แรงงาน
ชายหญิงควรมีหน้าท่ีเท่าเทียมกัน
คล้ายลัทธิคาร์ล มาร์กซ์ จนอาจกล่าวได้ว่า อุดมรัฐเป็ นบ่อเกิดคอมมิวนิสต์แต่มี
ความแตกต่างสำาคัญคือ
- อุดมรัฐมุ่งแก้ไขปั ญหาศีลธรรม มากกว่าเร่ ืองเศรษฐกิจ
- อุดมรัฐมุ่งจัดการปั ญหาเศรษฐกิจในวงแคบ มากกว่าทัง้ประเทศหรือทัง้โลก
Aristotle ศาสดาของผู้เรียน เป็ นบิดารัฐศาสตร์ และมีอิทธิพลต่อการพัฒนากม.มหาชน
ตัง้สำานัก Lyceum
วรรณกรรม เร่ ือง Politics (ถือเป็ นคัมภีร์รัฐศาสตร์)และ Ethics และ Rule of law
กล่าวถึงเร่ ืองรัฐไว้อย่างเป็ นระเบียบท่ีสุด
Roman Cicero งานสำาคัญคือ Republic และ Laws
Saint Augustine of Hippo เรียบเรียงเร่ ือง The city of God โดยแบ่งสังคมออกเป็ น
4 ระดับได้แก่ บ้าน(domus) เมือง(civitas) โลก(orbisterrae) จักรวาล(mundus)
สมัยกลาง John of Salisbury เรียบเรียงเร่ ือง Policraticus โดยราชาต้องเคารพประชาชนและ
ปกครองประชาชนด้วยบัญชาแห่งกม. (ต่างกับ ทรราชย์)
หากผู้นำาไม่ดำารงตนอยู่ในธรรม ประชาชนก็ไม่จำาต้องยอมตนอยู่ใต้อำานาจนัน ้
Saint Thomas Aquinas อธิบายแนวคิดกม.ธรรมชาติอย่างละเอียด และเน้นอิทธิพล
ของศาสนาคริสต์ โดยแบ่งกฎออกเป็ น 4 ประเภทคือ กฎนิรันดร กฎธรรมชาติ
(กฎศักดิส ์ ิทธิ ์ = Divine law) กฎศักดิส ์ ิทธิ ก ์ ฎหมายของมนุษย์จนนำามาประยุกต์เร่. ืองลำาดับชัน ้ ของกม
สมัยฟ้ื นฟูศิลปวิทยา Jean Bodin ตำาราว่าด้วยสาธารณรัฐ และ วิธีทำาความเข้าใจกับประวัติศาสตร์
(Renaissance) Thomas Hobbes แต่งเร่ ืองรัฐฐาธิปัตย์ (Leviathan) โดยเป็ นตำาราปรัชญาการเมือง
และรัฐศาสตร์เล่มแรกของโลกท่ีเขียนเป็ นภาษาอังกฤษ โดยโจมตีอำานาจของ
สันตปาปาอย่างรุนแรง แต่เช่ ือในความเสมอภาคระหว่างบุคคล และสัญญาประชาคม
(Social contact) ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธทฤษฎีเทวสิทธิ
ยังยอมรับว่ากม.เป็ นส่ิงสำาคัญในรัฐ แต่รัฏฐาธิปัตย์ควรอยู่เหนือกม. (เผด็จการ?)
สมัยหลังฟ้ื นฟูศิลปวิทยา James Harrington ตีพิมพ์The commonwealth of Oceana
John Locke ตีพิมพ์ Two treaties of government (สองเล่มว่าด้วยการปกครอง)
"มนุษย์มีสิทธิติดตัวตัง้แต่เกิด ถ้ารัฐละเมิดสิทธิ ประชาชนมีสิทธิล้มรัฐบาลได้"
Edmund Burke ตำาราสดุดีสังคมธรรมชาติ (A vindication of natural society)
Jeremy Bentham เป็ นนักปรัชญาทางกม.มหาชน
Ablbert Venn Dicey ตีพิมพ์ Introduction to the study of the law of the
constitution ซ่ ึงถือเป็ นตำารากม.รัฐธรรมนูญท่ีสำาคัญท่ีสุดเล่มหน่ ึงของอังกฤษ
Monstesquieu ตีพิมพ์เร่ ือง เจตนารมย์แห่งกม.(Esprit des Lois) และเป็ นท่ีมา
ของการปกครองแบบประชาธิปไตยในอเมริกา และยังกล่าวไว้ว่า "สังคมใดไม่
ยอมรับการแบ่งแยกอำานาจ สังคมนัน ้ หาได้ช่ือว่ามีรัฐธรรมนูญไม่"
บัญญัติหลักการแบ่งแยกอำานาจ โดยองค์กรต้องเป็ นอิสระ ขึ้นต่อกันให้น้อยท่ีสุด
เพ่ ือให้มีการถ่วงดุลอำานาจ
Jean Jacques Rousseau วรรณกรรมท่ีสำาคัญคือ สัญญาประชาคม Social contract
โดยกล่าวว่า รัฐเกิดจากการท่ีคนหลายคนรวมกันอยู่และสละประโยชน์ส่วนน้อยเพ่ ือ
ประโยชน์ส่วนใหญ่ ประโยชน์ส่วนน้อยท่ีว่าคือ สิทธิเสรีภาพ และ กม.คือเจตจำานง
ของประชาชนในชาติซ่ึงแสดงออกร่วมกัน วรรณกรรมนีม ้ ีผลต่อการปฏิวัติในอเมริกา
Thomas Jefferson เป็ นประธานาธิบดีคนท่ี 3 ของอเมริกา มีความรู้กม.มหาชนดีมาก
John Marshall ผลงานในคดีพิพาษาMarbury V. Madison ซ่ ึงได้วินิจฉัยว่า
"รัฐธรรมนูญเป็ นกม.สูงสุด กม.ธรรมดาห้ามขัดกับรัฐธรรมนูญ"
Karl Marx เรียบเรียงเร่ ือง คำาประกาศป่ าวร้องของคอมมิวนิสต์ (Communist manifesto)
Hans Kelsen งานเขียนเร่ ือง กม.ระหว่างประเทศ
ปรัชญว่าด้วยรัฐ Aristotole เช่ ือว่ารัฐเกิดจากวิวัฒนาการทางการเมืองของมนุษย์(Theory of evolution)
โดยมีดินแดน ประชากร อำานาจอธิปไตย และ รัฐบาลเป็ นองค์ประกอบทางการเมือง
ทฤษฎีสัญญาประชาคมเป็ นผลมาจากความคิดของ Thomas Hobbes, John Locke,
และ Rousseau
Nation มีความเป็ นอันหน่ ึงอันเดียวกันทางวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา มากกว่าคำาว่าState
ตามกม.เอกชนของไทย รัฐไม่ใช่นิติบุคคล แต่ถ้าตามกม.ระหว่างประเทศซ่ ึงเป็ น
กม.มหาชน รัฐจะเป็ นนิติบุคคลได้ (แต่ถ้าเป็ นกม.มหาชนทัว่ไป เช่น รัฐธรรมนูญ
หรือ กม.ปกครอง ประเทศไทยไม่ถือว่ารัฐเป็ นนิติบุคคล)
ประเทศท่ีจะเป็ นนิติรัฐได้ ต้องมีลักษณะดังนี้
- ในประเทศนัน ้ กม.ต้องอยู่เหนือส่ิงใด ๆ
- ของเขตอำานาจรัฐย่อมกำาหนดไว้แน่นอน โดยมีการแบ่งแยกอำานาจ
- ผู้พิพากษามีอิสระในการพิจาณาคดี โดยศาลควบคุมการทำางานของเจ้าพนักงาน
แนวความคิดดังกล่าวข้างต้น ได้วิวัฒนาการต่อมาเป็ น Rule of law
- ฝ่ ายบริหารไม่มีอำานาจตามอำาเภอใจ
- ทุกคนอยู่ใต้กม.และศาลเดียวกัน
- กม.รัฐธรรมนูญเป็ นผลมากจากกม.ระหว่างประเทศ
ปรัชญาว่าด้วยอำานาจอธิปไตย การแบ่งแยกหน้าท่ีทำากันโดยองค์การต่าง ๆ ซ่ ึงไม่จำาเป็ นต้องมีครบ 3 องค์กร
อำานาจอธิปไตยต้องมี
1) Absoluteness
2) Comprehensiveness
3) Permanence
4) Indivisibility
รัฐธรรมนูญไทยไม่เคยยอมรับการแบ่งแยกอำานาจท่ีเคร่งครัดหรือเด็ดขาด
ยกเว้นประเทศท่ียอมรับการแบ่งแยกอำานาจเกือบเด็ดขาดคือรัฐธรรมนูญของประเทศ
ท่ีปกครองในระบบประธานาธิบดี
ประเทศไทยจัดรูปแบบของอำานาจอธิปไตยโดยแบ่งเป็ น 3 องค์กร แต่ให้เก่ียวข้องกัน
ได้ ซ่ ึงเรียกว่าเป็ นระบบรัฐสภา
General information รัฐธรรมนูญ ต่างจาก กม.รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ เก่ียวพันกับอำานาจ การจัดให้มี และ อำานาจจัดทำารัฐธรรมนูญ
เป็ นกม.ท่ีวางระเบียบหรือกฎเกณฑ์เก่ียวกับรัฐ ว่าด้วยดินแดน ประชาชน รัฐบาล และ
อำานาจอธิปไตย ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร ซ่ ึงมักเป็ นลายลักษณ์อักษร
กม.รัฐธรรมนูญ Constiutution law กม.มหาชนท่ีวางระเบียบเก่ียวกับสถาบันการ
เมืองของรัฐ เป็ นคำาท่ีกว้างกว่ารัฐธรรมนูญ และคลุมถึงกฎเกณฑ์การปกครอง
ท่ีไม่เป็ นลายลักษณ์อักษรด้วย ด้วยเหตุนีก ้ ม.รัฐธรรมนูญจึงอาจไม่เป็ นลายลักษณ์
อักษร (อังกฤษแม้จะไม่มีรัฐธรรมนูญเป็ นลายลักษณ์อักษร แต่ก็มีกม.รัฐธรรมนูญ)
รัฐธรรมนูญเกิดจากอำานาจสำาคัญ 2 ประการคือ อำานาจการจัดให้มี และ อำานาจการจัดทำา
รัฐธรรมนูญไทยเป็ นประเภทท่ีแก้ไขยาก
รัฐในทางวิชาการต้องมี ดินแดน ประชาชน อำานาจอธิปไตย รัฐบาล
ธรรมนูญหรือกม.ของรัฐว่าด้วยรายละเอียดเก่ียวกับดินแดน ประชากร อำานาจอธิปไตย
เป็ นกม.สาขามหาชน ซ่ ึงสำาคัญท่ีสุด ซ่ ึงทำาเป็ นลายลักษณ์อักษร ยกเว้นอังกฤษ
ในประเทศไทย ถือเป็ นประเพณ๊การเมืองว่า ไม่ว่าจะมีรัฐประหารหรือปฏิวัติ การตรา
รัฐธรรมนูญใหม่ถือเป็ นการตกลงร่วมกันระหว่างประมุขรัฐและผู้ก่อการเสมอ
สิงคโปร์มีรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับคือ ของตนเอง และ ของมาเลเซีย
รัฐธรรมนูญฉบับแรกคือ พรบ.ธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยามชัว่คราว 2475
ฉบับ 2489 เป็ นะประชาธิปไตยมาก 2492และ2517เป็ นประชาธิปไตยมากเร่ ืองวิธี
จัดทำาและคุ้มครองเสรีภาพ
รัฐธรรมนูญและกม.รัฐธรรมนูญ ความแตกต่างของรัฐธรรมนูญและกม.รัฐธรรมนูญ อยู่ท่ีรัฐธรรมนูญจะกำาหนด
รายละเอียดมากกว่า และ เป็ นลายลักษณ์อักษร ส่วนกม.รัฐธรรมนูญมีทัง้ส่วนท่ีเป็ น
ลายลักษณ์อักษณและไม่เป็ น
กม.รัฐธรรมนูญและกม.ปกครอง กม.รัฐธรรมนูญวางระเบียบปกครองรัฐในระดับสูงและกว้างกว่ากม.ปกครอง
กม.รัฐธรรมนูญแสดงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎรส่วนรวม ในขณะท่ีกม.
ปกครองจะแสดงความเก่ียวพันระหว่างราษฎรเป็ นรายบุคคลกับรัฐ
กม.รัฐธรรมนูญสำาคัญกว่ากม.ปกครอง
ประเภทของรัฐธรรมนูญ
ตามรูปแบบของรัฐ เอกาธิปไตย-คณะบุคคล-คณะบุคคลส่วนมาก(Aristototle)
ตามรูบของรัฐ รัฐเด่ียว รัฐรวม
ตามวิธีการบัญญำติ เป็ นและไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร
ตามวิธีการแก้ไข แก้ไขยาก แก้ไขง่าย
ตามกำาหนดเวลาการใช้ ชัว่คราวและถาวร
ตามลักษณะรัฐสภา
ตามลักษณะฝ่ ายบริหาร ฝ่ ายบริหารต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา และ ไม่ต้องรับผิดชอบ(ประธานาธิบดี)
ตามลักษณะฝ่ ายตุลาการ มีศาลปกครองและไม่มี
ตามลักษณะความเป็ นจริงหรือการใช้ ตรงต่อสภาพสังคม(Normative) เกินความจริง(Nominal) ตบตาคน(Semantic)
กม.ประกอบรัฐธรรมนูญ(Organic law) กม.การปกครองประเทศท่ีแยกออกมาบัญญัติไว้ต่างหากจากรัฐธรรมนูญ
ทำาให้การร่างรัฐธรรมนูญรวดเร็วขึ้น
ทำาให้มีข้อความรายละเอียดน้อย จดจำาง่าย
ทำาให้การแก้ไขง่าย
ทำาให้วางรายละเอียดเก่ียวกับกม.การปกครองได้เหมาะสมกับสถานการณ์
การแก้ไขและยกเลิกรัฐธรรมนูญ ของไทยจัดอยู่ในประเภทแก้ไขยาก รวมทัง้ของอเมริกา
ของอังกฤษ อิสราเอล นิวซีแลนด์ แก้ไขง่าย
ผู้มีสิทธิเสนอแก้ไขได้แก่ ประมุข สมาชิกนิติบัญญัติ คณะรมต. ประชาชน
(สมาชิกนิติบัญญัติต้องมีจำานวนพอสมควร ไม่ให้เสนอเป็ นเอกเทศ)
ขัน
้ ตอนแก้ไข ต้องมาจากคณะรมต.หรือสส.ไม่น้อยกว่า1/3 แต่ต้องได้รบความเห็นชอบจากพรรค
การเมืองท่ีสังกัดอยู่
ต้องเสนอเป็ นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติม (ไม่ใช่ร่าง พรบ.)
วาระสุดท้ายต้องลงคะแนนมากกว่าก่ ึงหน่ ึงของสมาชิกทัง้ 2 สภา
การยกเลิก กม.ท่ีมาทีหลังย่อมยกเลิกกม.ท่ีมีมาก่อนได้(Lex posterior derogat legi priori)
ปฏิวัต(ิ Revolution) พฤติการณ์การล้มล้างระบอบการปกครอง แล้วใช้กำาลังสถาปนาใหม่
เป็ นการเปล่ียนแปลงการปกครองหรือล้มล้างสถาบันประมุขของรัฐ ผู้กระทำามัก
เป็ นประชาชนท่ีรวมตัวกัน หรือคณะบุคคลโดยการสนับสนุนของประชาชน
รัฐประหาร(Coup d' Etat) การใช้กำาลังหรือการกระทำาอันมิชอบเพ่ ือเปล่ียนแปลงรัฐบาล
เป็ นการเปล่ียนแปลงอำานาจการบริหารประเทศ ผู้กระทำามักเป็ นคนในคณะรัฐบาล
หรือทหาร
ผุ้กระทำาสำาเร็จย่อมเป็ นรัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) ในทางทฤษฎีไม่จำาเป็ นต้องมีพรบ.
นิรโทษกรรม แต่ทางปฏิบัติมักกระทำา
แถลงการณ์คณะปฎิวัติ ไม่มีผลทางกม. เช่นประกาศคณะปฏิวัติ
คำาสัง่ของหัวหน้าคณะปฏิวัติ เป็ นการใช้อำานาจในทางบริหารและตุลาการ
โครงสร้างของรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยคำาปรารภ และ ส่วนท่ีเป็ นเน้ือความ
คำาปรารภ ต่างกับข้อความท่ีเขียนไว้ริมกระดาษ (Marginal note / q.u.)
คำาปรารภ(Preamble) บางครัง้ก็ไม่ได้เขียนไว้ชัดเจนเสมอไป จึงอาจไม่จำาเป็ นต้องเขียนไว้ก็ได้
อาจใช้ยืนยันความหมายแท้จริงของกม.แต่ต้องบัญญัติไว้ชัดแจ้งและแน่นอน
ในคอมมิวนิสต์ เห็ฯว่า คำาปรารถือดุจกม.และมีผลทางกม.เช่นรัฐธรรมนูญ
ในอเมริกาและยุโรป เห็นว่ามิใช่กม.และเป็ นคนละส่วนกับบทมาตรา
ในไทย ต้องมีพระราชปรารภเสมอ "โดยท่ีเห็นเป็ นการสมควรมีกม.ว่าด้วย….."
รัฐธรรมนูญฉบับเดียวมีบัญญัติคำาปรารภไว้สัน ้ ๆ คือ พรบ.ธรรมนูญการปกครอง
แผ่นดินสยามชั่วคราว 2475 (27 มิถุนายน)
รัฐธรรมนูญไทยฉบับชัว่คราวส่วนมากใช้ช่ือว่า "ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร"
มักมีข้อความในคำาปรารภสัน ้ กว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวร
รัฐธรรมนูญไทยถือเป็ นธรรมเนียมว่า มักมีคำาปรารภยืดยาว และมักจะมีข้อความนี้
1) แสดงให้ทราบท่ีมาหรืออำานาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ
2) แสดงให้เห็นความจำาเป็ นในการท่ีต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
3) แสดงวัตถุประสงค์ในการบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือปณิธานของรัฐธรรมนูญ
4) แสดงถึงอำานาจในการจัดทำารัฐธรรมนูญ
5) แสดงถึงประวัติของชาติ
6) ข้อความประกาศสิทธิและเสรีภาพราษฎร
อน่ ึงการยกร่างคำาปรารภรัฐธรรมนูญ ไม่ควรแย้งกับมาตราในรัฐธรรมนูญ(จึงควรร่าง
หลังจากร่างบทมาตราของรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว) และคำาปรารภควรเป็ นไปตาม
ขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศนัน ้ ๆ เอง และจำาต้องอาศัยนักอักษรศาสตร์
เพ่ ือให้ถ้อยคำาสละสลวย (นักนิติศาสตร์เป็ นผู้กำาหนดเน้ือหาสาระ ในขณะท่ีนัก
อักษรศาสตร์มีหน้าท่ีเขียนถ้อยคำาสำานวน)
ประโยชน์ของคำาปรารภ
1) ช่วยให้รัฐธรรมนูญสละสลวยขึ้น
2) ช่วยในการตีความบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
3) ช่วยให้ทราบประวัติการเมืองของประเทศ
4) ช่วยให้ทราบประวัติการจัดทำารัฐธรรมนูญฉบับนัน ้
5) บทบัญญัติบางเร่ ืองอาจบัญญัติไว้ท่ีอ่ืนไม่ได้ ก็นำามาไว้ในคำาปรารภ
เน้ือความรัฐธรรมนูญ
กฎเกณฑ์การปกครองประเทศ ในทางทฤษฎี กม.รัฐธรรมนูญถือว่าสาระรัฐธรรมนูญข้อนีส้ ำาคัญสุดยอด
(Organization chart) ในประเทศคอมมิวนิสต์ อำานาจทัง้ปวงเป็ นของประชาชนเต่แสดงออกทางพรรค
การกำาหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หาจำาต้องแสดงโดยชัดเจนไม่
บทบัญญติเก่ียวกับเสรีภาพ ถือเป็ นเร่ ืองสำาคัญท่ีต้องบัญญัติไว้
(Bill of Rights)
กฎเกณฑ์อ่ืน ๆ ในรัฐธรรมนูญ กฎการแก้ไขเพ่ิมเติม (Amendatory article)
(Technical Rules) ความเป็ นกฏหมายสูงสุด (Supremacy) อาจโดยชัดแจ้งหรือปริยายก็ได้
ไม่ปรากฏในรัฐธรรมนูญท่ีไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร เช่น อังกฤษ
ความเป็ นกฎหมายสูงสุดทำาให้ แก้ไขหรือยกเลิกได้ยาก และ ส่ิงใดจะแย้งไม่ได้
ซ่ ึงคำาว่า "ส่ิงใด" นีอ
้ าจรวามไปถึงการกระทำาของเจ้าพนักงานด้วย
หน้าท่ีพลเมือง (Civic duties)
แนวนโยบายแห่งรัฐ (State policy) เป็ นแนวทางตามรัฐธรรมนูญซ่ ึงกำาหนดไว้กว้าง ๆ
สำาหรับฝ่ ายนิติบัญญัติในการออกกม.และฝ่ ายบริหารในการกำาหนดนโยบายรัฐบาล
ซ่ ึงเป็ นเร่ ืองใหญ่มีไว้สำาหรับรัฐบาลทุกชุด
บทเฉพาะกาล(Interim provisions) ไว้สำาหรับช่วงเวลาหัวเลีย
้ วหัวต่อในการแก้ไข
สาระสำาคัญของรัฐธรรมนูญ หรือ การเปล่ียนรัฐธรรมนูญ
รูบของรัฐ
รัฐเด่ียว(Unitary state) รัฐเป็ นเอกภาพ ไม่ได้แบ่งแยกออกจากกัน มีการใช้อำานาจอธิปไตยอันเดียว
รัฐรวมสองรัฐ(Union) มีประมุขร่วมกัน หรือ ใช้อำานาจภายนอกร่วมกัน แต่อำานาจภายในแยกจากกัน
1) รัฐรวมท่ีมีประมุขร่วมกัน (Personal union) ปั จจุบันไม่มีแล้ว
2) รัฐรวมท่ีใช้อำานาจภายนอกร่วมกัน (Real union) มีลักษณะยัง่ยืนกว่าประเภทแรก
ปั จจุบันก็ไม่มีแล้ว
รัฐรวมหลายรัฐ (Federation) 1) สมาพันธรัฐ (Confederation) เกิดจากสนธิสัญญาร่วมกันของรัฐอิสระ ไม่มี
ลักษณะเป็ นรัฐขึ้นใหม่ เพราะยังมีอำานาจอธิปไตยทัง้ภายในและภายนอกอย่าง
สมบูรณ์ ปั จจุบันไม่มีแล้ว
2) สหรัฐ (United states) หรือ สหพันธรัฐ (Federal state) มลรัฐยังคงมีอธิปไตย
ท่ีจำากัดภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐ
การแบ่งปั นอำานาจระหว่างรัฐบาลกลางและมลรัฐเป็ นระบบคู่ (Dual system)
2.1) อำานาจนิติบัญญัติ ทุกมลรัฐจะมีรัฐสภาของตนเอง มีรัฐธรรมนูญของตนเอง
แต่ห้ามขัดกับรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง (Federal constitution) ซ่ึงกม.
ท่ีรัฐบาลกลางออกจะเรียกว่า Federal law
2.2) อำานาจบริหาร ทุกมลรัฐมีเมืองหลวงของตนเอง มีรัฐบาลของตนเอง มีผู้ว่าการ
รัฐ (Governor) รัฐบาลของมลรัฐเรียกว่า State Government
ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลางมีเมืองหลวงคือ Washington D.C. ซ่ ึงมิได้มี
ฐานะเป็ นรัฐ
2.3) อำานาจตุลาการ แต่ละรัฐมีศาลของตนเอง State court รัฐบาลกลางก็มี
ศาลของตนเองคือ Federal court แต่ถ้ามีการกล่าวหาว่าทำาผิดกม.ท่ีรัฐสภา
กลาง (Federal congress) ไม่ว่าจะเกิดในรัฐใด ก็ต้องพิจารณาในศาลของ
รัฐบาลกลาง
รัฐตามรัฐธรรมนูญไทย เป็ นรัฐเด่ียว (Unitary state) มีดินแดนเดียวกันทัง้ประเทศ (ความกว้างของอาณาเขต
ไทย ลงวันท่ี 3 ตุลาคม 2509 กำาหนดเป็ นระยะ 12 ไมล์ทะเล (1 Nautical mile =
1.1516 ไมล์ธรรมดา)
เป็ นราชอาณาจักร (Kingdom) ซ่ ึงต่างกับสาธารณรัฐ (republic)อันมีประธานาธิบดี
เป็ นประมุข
ประมุขของรัฐ
ประธานาธิบดี a) ในฐานะท่ีเป็ นประมุขรัฐและประมุขฝ่ ายบริหาร (Head of state and government)
รมต.รับผิดชอบโดยตรงต่อประธานาธิบดีเท่านัน ้ รัฐสภาไม่อาจควบคุมการบริหาร
ได้โดยตรงหรือการตัง้กระทู้การอภิปราย ทำาได้แต่เพียงออกกม.หรือการพิจารณา
อนุมัติงบประมาณแผ่นดินท่ีประธานาธิบดีขอมา เช่น USA, Mexico, Argentina,
Indenesia
b) เป็ นประมุขรัฐเท่านัน้ ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตัง้ ไม่ต้องรับผิดชอบทางการ
การเมือง มีใช้ใน India, Singapore
c) เป็ นประมุขรัฐและร่วมกันบริหารกับนายกรัฐมนตรี
พระมหากษัตริย์ a) Absoulte Monarchy (สมบูรณาญาสิทธิราช์ย)
b) Limited Monarchy (ปรมิตาญาสิทธิราช์ย) กษัตริย์มีอำานาจทุกประการ เว้นแต่
ท่ีต้องจำากัดโดยรัฐธรรมนูญ อำานาจบริหารเป็ นของกษัตริย์ เช่น SaudiArabia
c) Constitutional Monarchy พระมหากษัริย์ไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองจึง
ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
General information ระบอบประชาธิปไตยมีวิวัฒนาการจากเอเธนส์ของกรีก และมาเติบโตในอังกฤษ
Demo = People + Kratein = การปกครอง
แกะมีบทบาทสำาคัญในการก่อกำาเนิดระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในอังกฤษ
ความหมายของเสรีนิยมในทางเศรษฐกิจคือ ทุนนิยม
Montesquieu หลักการแบ่งแยกอำานาจ "อำานาจหยุดยัง้อำานาจ" (หนังสือ เจตนารมย์
ของกฎหมาย) มิได้หมายความว่าต้องแบ่งแยกอำานาจโดยเด็ดขาดแต่ป้องกันอำานาจ
มิให้ตกไปอยู่ในองค์กรเพียงองค์กรเดียว
Jean Jacques Rousseau อำานาจอธิปไตยเป็ นของประชาชน (หนังสือ สัญญาประชาคม)
เกณฑ์ขัน
้ ต่ำาของการปกครองประชาธิปไตย 1) ผู้ปกครองได้รับความยินยอมจากผู้ใต้ปกครอง
2) ผู้ใต้ปกครองมีสิทธิเปล่ียนตัวผู้ปกครองได้เป็ นครัง้คราว
3) สิทธิมนุษยชนขัน ้ มูลฐานต้องได้รับการคุ้มครอง
หลักเกณฑ์การเลือกตัง้ การยินยอมของประชาชนแสดงออกทางการเลือกตัง้และเป็ นไปตามหลักเกณฑ์
1-หลักอิสระแห่งการเลือกตัง้
2-หลักการเลือกตัง้ตามกำาหนดเวลา
3-หลักการเลือกตัง้อย่างแท้จริง
4-หลักการออกเสียงโดยทัว่ไป
5-หลักการเลือกตัง้อย่างเสมอภาค
6-หลักการลงคะแนนลับ
ระบบการเลือกตัง้ ก) การเลือกโดยตรงและโดยอ้อม
ข) แบบแบ่งเขตและรวมเขต
ค) ตามเสียงข้างมากและแบบสัดส่วน
ระบอบรัฐสภา อำานาจองค์การฝ่ ายบริหารและนิติบัญญำติเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกัน ต่างควบคุมซ่ ึงกัน
และกัน และในขณะเดียวกันก็ต้องประสานกัน
องค์กรฝ่ ายบริหารจะแบ่งออกเป็ น ประมุข และ คณะรัฐมนตรี
หากมีการขัดแย้งกันระหว่างประมุขของรัฐกับคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีมักเป็ นฝ่ ายชนะ
ฝ่ ายบริหารมีอำานาจยุบสภาเม่ ือฝ่ ายสภาลงมติไม่ไว้วางใจ
นายกจะมีอำานาจการเมืองมากกว่าประมุขของรัฐ
ระบอบประธานธิบดี รัฐมนตรีรับผิดชอบต่อประธานาธิบดีแต่ผู้เดียว รมต.ต้องไม่เป็ นสมาชิกรัฐสภา และ
ไม่ต้องร่วมประชุมกับรัฐสภาเพ่ ืออภิปรายหรือตอบกระทู้ถาม (ระบอบนีไ้ม่มีกระทู้)
รัฐสภาไม่มีอำานาจถอดถอนประธานธิบดีด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และประธานาธิบดี
ก็ไม่มีอำานาจยุบสภา
ฝ่ ายบริหารไม่มีอำานาจเสนอร่างกม.ต่อรัฐสภาโดยตรง ต้องใช้วิธีทางอ้อมเพ่ ือเสนอต่อสภา
ให้เห็นความจำาเป็ นในการมีกม. วิธีทางอ้อมท่ีสำาคัญคือ สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีท่ี
กล่าวต่อรัฐสภา (State of union)
ระบอบก่ึงประธานาธิบดี จะคล้ายกับระบอบรัฐสภามากกว่า ฝ่ ายบริหารมี 2 องค์กรคือ ประธานาธิบดี และ คณะ
รัฐมนตรี
คณะรัฐ้มนตรีรับผิดชอบทางการเมืองต่อรัฐสภาโดยการถูกอภิปราย ในขณะเดียวกัน
ฝ่ ายบริหารก็มีอำานาจยุบสภา
ส่ิงท่ีแตกต่างกับระบอบรัฐสภาคือ การเข้าสู่ตำาแหน่งประมุขของรัฐ ท่ีแทนท่ีจะเป็ น
กษัตริย์ หรือ เป็ นประธานาธิบดีท่ีได้รับการเลือกตัง้ทางอ้อม กลับมาจากการเลือกตัง้
โดยตรงของประชาชน ซ่ ึงทำาให้ประธานาธิบดีมีอำานาจสูงกว่าประธานาธิบดีในระบอบ
รัฐสภา ตัวอย่างคือประเทศฝรัง่เศส ซ่ ึงประธานาธิบดีมีอำานาจขอมติประชาชนใน
ปั ญหาการเมืองสำาคัญได้ และอำานาจการลงนามยุบสภาก็ไม่จำาต้องมีคณะรัฐมนตรี
ลงนามกำากับ ประเทศอ่ ืนท่ีใช้ระบบนีค ้ ือ Austria, Finland, Portugal, Ireland,
Iceland
ระบอบเผด็จการ มีสองนัย คือ แบบชัว่คราวเพ่ ือปกปั กษ์รักษาระบอบการปกครองเดิมของสังคม และ
แบบท่ีอำานาจการปกครองมิได้มาจากการเลือกตัง้ของประชาชน ทำาให้ประชาชน
ไม่สามารถถอดถอนรัฐบาลได้ รวมทัง้ไม่สามารถวิพากย์วิจารณ์รัฐบาล
ระบอบเผด็จการของประเทศท่ีมีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเกิดขึ้นเน่ ืองจากวิกฤติการณ์
ทางสังคม หรือ ความชอบธรรมแห่งอำานาจปกครอง
ผู้ใช้อำานาจปกครองแบบเผด็จการ แบบปฏิวัติ พยายามสร้างความชอบธรรมใหม่เพ่ ือทดแทนของเดิม
แบบปฏิรูป หรือ อนุรักษ์นิยม จะไม่มีความต้องการท่ีจะนำาความชอบธรรมแห่งอำานาจ
แบบใหม่ทัง้หมดมาทดแทนความชอบธรรมแห่งอำานาจเดิมท่ีมีอยู่ มุ่งเปล่ียนแปลง
ทัศนคติของประชาชน มักใช้วิธีการ2อย่างควบคู่กันคือ ลงโทษ และ โฆษณาชวนเช่ ือ
เผด็จการทุนนิยมโดยพรรการเมืองพรรคเด่ียว หรือเรียกว่า ฟาสซิสม์ เฃ่น ฮิตเลอร์ หรือ มุสโชลินี
- เป็ นการปกครองของประเทศอุตสาหกรรม
- พรรคการเมืองพรรคเด่ียวมีโครงสร้างพรรคอย่างดี และมีบทบาทสูง
พรรคการเมืองเป็ นฐานสำาคัญในการสนับสนุน มิใช่ทหาร (ทหารมักจะมีข้อขัดแย้ง
กับผู้ปกครอง)
- มีการโฆษณาชวนเช่ ือในรูปแบบทันสมัย
จะมีการตัง้กองกำาลังส่วนตัวในการควบคุมกองทัพ ซ่ ึงมิได้ประจำาการถาวร แต่มีความ
พร้อมในการปฏิบัติงาน
มีการจัดตัง้สมาคมอาชีพเพ่ ือมิให้มีการแข่งขันกันในการผลิต การนัดหยุดงานเป็ นส่ิง
ต้องห้าม ยกเลิกการเป็ นสมาชิกรัฐสภาโดยอาศัยพรรคการเมืองและรัฐสภา แต่ใช้
วิธีการตัง้ตัวแทนของกลุ่มผู้ประกอบการ (ยกเลิกสภาการเมืองและตัง้สภาเศรษฐกิจ)
เผด็จการทหาร ทหารเห็นความสับสนทางการเมืองเป็ นภัยต่อชาติ จึงไม่นิยมให้มีสหภาพและไม่นิยม
พรรคการเมืองฝ่ ายซ้าย
เผด็จการสังคมนิยม ถืออุดมการณ์มาร์กซิสก์เป็ นสำาคัญ แต่มีการแปลและนำาไปปฎิบัติต่างกัน
ถือว่าการประกอบการของเอกชนไม่สำาคัญ
ประเทศสังคมนิยม ยึดถือโครงสร้างในการผลิตเป็ นพ้ืนฐานสำาคัญทางสังคม โดยถือว่า
เคร่ ืองมือการผลิตเป็ นของสังคมส่วนรวม นอกจากนีย ้ ังยึดถืออุดมการณ์ว่าเป็ นส่ิง
ท่ีมีบทบาทสำาคัญย่ิง เพราะอุดมการณ์เป็ นความนึกคิดท่ีมีเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์
และเป็ นจุดเร่ิมต้นของโครงสร้างการผลิต
โครงสร้างส่วนล่างคือ วิธีการผลิต ระบบท่ีกำาหนดถึงกรรมสิทธิของเคร่ ืองมือการผลิต
ทุกประเทศปกครองด้วยอำานาจเผด็จการแบบปฏิวัติ
ทฤษฎีมาร์กซิสม์ ลอกเลียนทฤษฎีปฏิวัติของ จาโคแบงส์
พรรคคอมมิวนิสต์เป็ นพรรการเมืองแบบพรคคเด่ียว ห้ามมิให้มีการติดต่อระหว่างหน่วย
รองท่ีอยู่ในระดับเดียวกัน และประกอบด้วยนักปฏิวัติมืออาชีพเป็ นหลัก การติดต่อ
กันจะเป็ นในแนวด่ิง(ประชาธิปไตยรวมศูนย์)
อำานาจแท้จริงอยู่ท่ีผู้นำาพรรค
ลักษณะสำาคัญของรัฐธรรมนูญของประเทศสังคมนิยม คือ "การเลือกตัง้แบบหยัง่เสียง"
ผู้มีสิทธิเลือกตัง้ไม่สามารถเลือกผู้สมัคร ทำาได้แต่เพียงให้การรับรองหรือไม่รับรอง
กล่าวคือ จะไม่มีการแข่งขันกันในทางการเมืองในขณะท่ีมีการเลือกตัง้
ระบอบประชาธิปไตย อำานาจอธิปไตยเป็ นของปวงชน ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ อาศัยหลักการแบ่งแยก
อำานาจ และหลักการท่ีว่าด้วย"ความถูกต้องตามกฎหมาย"
General information นอกจากทำากม.แล้วยังควบคุมฝ่ ายบริหาร และให้ความเห็นชอบ
ระบบรัฐสภาของอังกฤษเป็ นแม่บทของทัว่โลก เกิดในคริสต์ศตวรรษท่ี 13
ในกรีกสมัยเอเธนส์ กม.คือข้อตกลงของราษฎรทุกคน
ในโรมสมัยราชาธิปไตย ถือว่าอำานาจสูงสุดเป็ นของราษฎร แต่แบ่งแยกอำานาจส่วน
หน่ ึงให้กษัตริย์ในการบริหารแผ่นดิน โดย Comicesเป็ นผู้เลือกกษัตริย์ และท่ี
ประชุมราษฎรมีหน้าท่ีจัดทำากม.
JohnLock การตัดสินคดีเป็ นส่วนหน่ ึงของอำานาจนิติบัญญัติ
Montesquieu อำานาจนิติบัญญัติ บริหารและ ตุลาการ ความเห็นนีถ ้ ูกอเมริกานำาไปใช้
เป็ นหลักในการร่างรัฐธรรมนูญ
Feudalism เป็ นลัทธิปกครองของอังกฤษท่ีมีรูปแบบใกล้เคียงกับสุโขทัยและอยุธยา
โดยมีเจ้าครองนครเรียกว่า Vassal
Magnum Cocillium เป็ นสภาท่ีปรึกษาการออกกม.ของพระมหากษัตริย์
Magna Carta เพ่ิมอำานาจให้สภาแมกนัม ่ ในด้านภาษี ประกันอิสรภาพ เสรีภาพ
King Edward I มีการเลือกตัง้ผู้แทนเป็ นครัง้แรก
ร. 5 ตราพรบ.ปกครองท้องท่ีรศ. 116 เลิกทาสเม่ ือ31มีนาคม 2448 ตราพรบ.จัดการ
สุขาภิบาลท่าฉลอม 2448 พรบ.สุขาภิบาลหัวเมือง2450
รง 6 สร้างดุสิตธานี มีตัวแทนบริหารคือ เชษฎบุรุษ ตราการศึกษาภาคบังคับ 2464
โดยให้เด็กอายุ 7-14 ปี เข้าเรียนจนจบประถมศึกษา
การประชุมสภาผู้แทนครัง้แรกเม่ ือ 28 มิ.ย. 2475
สมาชิกสภามาจากการเลือกตัง้โดยตรงจากประชาชน มาจากการเลือกตัง้โดยอ้อม
มาจากการสืบตระกูล และมาจากการแต่งตัง้
สมัยปะชุมสภา : รอบปี ท่ีกำานหดเป็ นระยะเวลาท่ีสมาขิกดำาเนินการทางรัฐสภา
สมัยสามัญ (กำาหนดไว้แน่นอน) และ สมัยวิสามัญ(ตามความจำาเป็ นพิเ้ศษ)
รูปแบบของรัฐสภา สภาเด่ียว (Unicameral) และ สภาคู่ (Bicameral)
ประเทศไทยใช้ทัง้สองระบบปะปนกันไป แต่ยังไม่เคยใช้ระบบสภาเดียวท่ีสมาชิกสภา
มาจากการเลือกตัง้ทัง้หมด
ประเทศสหพันธรัฐ (Federal state) ต้องเป็ นแบบสองสภาเท่านัน ้
Unicameral นิยมในรัฐเด่ียวและประเทศเล็ก เช่น Albania, Bulgaria, Chezko,
Hungary, Poland, Romania, Norway สมาชิกสภาได้อำานาจจากประชาชนโดย
ตรง
Bicameral วิวัฒนาการในอังกฤษเป็ นครัง้แรก เหตุผลท่ีใช้ได้แก่
1) Federal state มีโครงสร้างรัฐ 2 ระดับคือ ระดับชาติและระดับมลรัฐ ได้แก่ USA
Australia, Brazil, Switzerland
2) Unitary state เพ่อเสริมกลไกของรัฐสภาในการปฏิบัติหน้าท่ีให้รอบคอบ และ
สร้างสมดุลให้เกิดระหว่างนิติบัญญัติและบริหาร
การสรรหาแต่งตัง้ผู้พิพากษา ในทางปฏิบัติแล้วไม่มีการเลือกตัง้อย่างแท้จริง
ฝรัง่เศส:ได้จากการแต่งตัง้ พนักงานศาล Le magistrat ซ่ ึงได้รับเลือกมาเป็ นLeJuge
หากไม่มีคุณสมบัติพอก็จะไปเป็ นทนายความเรียกว่า อโวกา
พรบ.ระเบียบขรก.ตุลาการ 2521 ธรรมศาสตร์บัณฑิต หรือ นิติศาสตร์บัณฑิต หรือ ปริญญาตรี/ประกาศนียบัตรกม.
จากต่างประเทศซ่ ึงกต.เทียบไม่ต่ำากว่าปริญญาตรี และสอบได้เนติบัณฑิต มี
สัญชาติไทยโดยการเกิด อายุไม่ต่ำากว่า 25 ปี
ประกาศผลสอบตามลำาดับคะแนน
ถ้าได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรทางกม.สูงกว่าปริญญาตรี ถ้ากต.เห็นว่ามีคุณสมบัติ
ครบถ้วย จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องสอบคัดเลือก แต่ต้องทดสอบความรู้ทางกม.
ถ้าผ่านเกณฑ์ด้งกล่าวข้างต้น การบรรจุเป็ นผู้ช่วยผู้พิพากษาจะกระทำาโดยรมต.ยุติธรรม
เม่ ือตำาแหน่งว่าง ผู้ได้คะแนนสูงจะได้รับบรรจุก่อน หากคะแนนเท่ากันจะจับสลาก
ส่วนกรณีผู้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำาการสอบคัดเลือก จะใช้เกณฑ์บรรจุเช่นเดิม แต่
ถ้าเป็ นผู้ช่วยผุ้พิพากษามา2ปี แต่ผลการอบรมยังไม่เป็ นท่ีพอใจของกระทรวง รมต.
มีอำานาจสัง่ให้ออกจากราชการได้
การสรรหาตุลาการศาลทหาร
ตุลาการพระธรรมนูญ นายทหารสัญญาบัตรท่ีได้รับการตัง้เป็ น ตุลาการพระธรรมนูญประจำาศาลทหารกรุงเทพ
และศาลมณฑทหารบก ซ่ ึงมียศตามข้อบังคับตุลาการพระธรรมนูญ 2498 คือ
ศาลชัน
้ ต้น : ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรีขึ้นไป
ศาลทหารกลาง : พันตรี นาวาตรี นาวาอากาศตรี ขึ้นไป
ศาลทหารสูงสุด : พันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก ขึ้นไป
และต้องได้ปริญญาตรีกม.ในประเทศ สัญชาติไทยโดยการเกิด อายุ 18 ปี
ผ่านการศึกษาวิชาทหาร จะได้รับการบรรจุโดยรมต.กลาโหม หรืออาจรับโอนนาย
ทหารมาได้
ก่อนเข้ารับหน้าท่ี ต้องอบรมหลักสูตรนายทหารเหล่าพระธรรมนูญจากโรงเรียนทหาร
พระธรรมนูญ
ตุลาการศาลทหาร นายทหารสัญญาบัตรประจำาการ มียศ ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี ขึ้นไป อาจแต่งตัง้
นายทหารนอกประจำาการมาเป็ นได้
ศาสชัน ้ ต้น : คือศาลจังหวัดทหาร ศาลมณฑลทหาร ศาลทหารกรุงเทพ และ ศาล
ประจำาหน่วยทหาร มีตุลาการ 3 นายเป็ นองค์คณะ คือ ตุลาการศาลทหาร 2 และ ต
ตุลาการพระธรรมนูญ 1 (ยศชัน ้ ตรี) และตุลาการพระธรรมมูญต้องมียศสูงกว่า
จำาเลยท่ียศสูงสุด(ยศขณะฟ้ อง)
ผุ้มีอำานาจอาจตัง้ ตุลาการสำารองได้
ตุลาการท่ีมียศสูงเป็ นประธานในคดีนัน ้
การแต่งตัง้มี 2 แบบ คือ
เฉพาะคดี: ถ้าเป็ นคดีสำาคัญ ควรเสนอขอตลาการพระธรรมนูญไปนัง่ร่วม
ประจำา: หมุนเวียนกัน ควรเปล่ียนทุกปี
ศาลทหารกลาง : มีตุลาการ 5 นายเป็ นองค์คณะ (นายพลตรี 1-2 พันตรี 1-2 ตุลาการ
พระธรรมนูญ 2ชัน ้ พันตรี)
ศาลทหารสูงสุด : ตุลาการ 5 นาย (นายพล 2 ตุลาการพระธรรมนูญชัน ้ พันเอกท่ีได้
รับเงินเดือนชัน ้ พันเอกพิเศษ)
การแต่งตัง้ในเวลาไม่ปกติ ผุ้มีอำานาจตัง้ ผู้พิพากษาพลเรือนเป็ นตุลาการศาลทหาร
ความเป็ นอิสระของผู้พิพากษา มีข้อแม้ว่าจะบรรจุได้ในอัตราส่วนของจำานวนผู้ท่ีสอบคัดเลือกได้ไม่เกิน 1/4
พรบ.ระเบียบข้าราชการตุลาการ 2471 กำาหนดหลักชัดเจนท่ีสุดให้ผู้พิพากษมีอิสระ
พรบ. 2477แยกงานของศาลออกเป็ น2ฝ่ านคือ งานธุรการ งานตุลาการ ให้รมต.
ยุติธรรมดูแลเฉพาะงานธุรการ
กต.มี 12 ท่าน ประกอบด้วยกรรมการ 3 ประเภทคือ
1) โดยตำาแหน่ง 4 ท่าน คือ ประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
รองประธานศาลฎีกา ซ่ ึงมีอาวุโสสูงสุด ปลัดกท.ยุติธรรม
2) ผู้ทรงคุณวุฒิประเภทขรก.ตุลาการ 4 คน โดยผู้พิพากษาตัง้แต่ชัน ้ 2 เลือกขรก.
ตุลาการตัง้แต่ชัน ้ 7 มาดำารงตำาแหน่ง
3) ผู้ทรงคุณวุฒิประเภาขรก.บำานาญ 4 คน โดยผู้พิพากษาตัง้แต่ชัน ้ 2 เลือกขรก.
บำานาญ ทัง้นีต ้ ้องไม่เป็ นขรก.การเมือง สส. กรรมการพรรคการเมือง ทนายความ
กต.มีประธานศาลฎีกาเป็ นประธาน จนกว่าจะพ้นตำาแหน่ง
กรรมการทัง้ 8 นายอยู่ในตำาแหน่งคราวละ2ปี มีหน้าท่ีให้ความเห็นชอบการดำารงตำาแหน่ง
ยกเว้นตำาแหน่งผุ้ช่วยผู้พิพากษา มีหน้าท่ี แต่งตัง้ เล่ ือนตำาแหน่ง โอน พิจาณาโทษ
ปลัดกระทรวงแม้จะเป็ นขรก.ธุรการแต่มักจะโอนมาจากขรก.ตุลาการชัน ้ ผู้ใหญ่เสมอ
ขรก.ตุลาการต้องไม่ทำาอาชีพท่ีกระเทือนถึงการปฏิบัติหน้าท่ี ต้องไม่เป็ นกรรมการผู้
จัดการหรือท่ีปรึกษาทางกม. ดำารงตำาแหน่งในงานคล้ายกันนัน ้ ในหจก. ต้องไม่เป็ น
กรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการรัฐ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจาก กต.
รมต.กลาโหมรับผิดชอบเฉพาะงานธุรการของศาลทหารเท่านัน ้
การแต่งตัง้ตุลาการทหารให้เป็ นไปตามอำานาจของรมต.กลาโหมและผู้บังคับบัญชา
หน่วยทหารท่ีศาลนัน ้ ตัง้อยู่
General information เป็ นแนวคิดทางการเมืองของตะวันตกเพ่ ือจำากัดอำานาจรัฐ อันมาจากแนวคิดในเร่ ือง
กฎหมายธรรมชาติ คำาสอน หลักศาสนา กม และคำาประกาศรับรองสิทธิเสรีภาพ
ยังเป็ นสิทธิเรียกร้องต่อรัฐอีกด้วย
มีสองนัย สิทธิทางกม.(Positive right, ปพพ.) และสิทธิทางศีลธรรม (Moral right)
เสรีภาพ(Freedom) สถานภาพท่ีไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใคร มีอำานาจท่ี
จะตัดสินใจด้วยตนเอง มีอิสระท่ีจะกระทำาการหรือไม่กระทำาการตามท่ีกม.บัญญัติไว้
ตามแนวคิดเร่ ือง "สิทธิธรรมชาติ" และ "สิทธิในการจำากัดอำานาจรัฐ"
แนวคิดเร่ ืองกม.ธรรมชาติ กม.ธรรมชาติเกิดตามธรรมชาติ คนไม่ได้สร้างขึ้น ใช้บังคับได้ทุกเวลาและไม่จำากัดสถานท่ี
มุ่งหมายให้เป็ นหลักสำาคัญในการจำากัดอำานาจของผู้มีอำานาจปกครอง
แนวคิดนีเ้กิดขึ้นตัง้แต่สมัยกรีก ถ้ามีการแย้งกัน กฎหมายพระเจ้าเหนือกฎหมายบ้านเมือง
Cicero กฎหมายธรรมชาติเป็ นธรรมนูญของโลก คือเหตุผลท่ีถูกต้องสอดคล้องกับธรรมชาติ
โกรติอุส หนังสือเร่ ือง สงครามและสันติภาพ De jure belei pacis เป็ นรากฐานของกม.ธรรมชาติ
มีแหล่งท่ีมาโดยเฉพาะของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยอำานาจพระเจ้า มีท่ีมาจากธรรมชาติคน
ไม่มีการเปล่ียนแปลง เป็ นสากลใช้บังคับได้กับทุกชาติทุกภาษา ทุกยุคทุกสมัย
มนุษย์เป็ นสัตว์ใคร่สังคมจึงก่อตัง้สังคมมนุษย์และข้อตกลง "สัญญาประชาคม"
โทมัส ฮอบส์ หนังสือเร่ ือง Lecithan พ้ืนฐานของคนจะเห็นแก่ตัว ทำาให้สภาวะธรรมชาติยุ่งเหยิง
แม้จะมีอิสระเสรีภาพ แต่จะเป็ นประโยชน์เฉพาะคนท่ีแข็งแรง มนุษย์จึงมอบอำานาจ
ท่ีตนมีอยู่ให้ "องค์อธิบัตย์" จึงทำาให้องค์อธิปัตย์มีอำานาจไม่จำากัด
จอห์น ล็อค หนังสือเร่ ือง The second treaties of government
สภาวะธรรมชาติเป็ นสภาวะแห่งสันติสุข มนุษย์มีเจตนาดีต่อกัน ช่วยเหลือกัน
การล่วงละเมิดสภาวะธรรมชาติ เช่นสิทธิในชีวิต ไม่มีการลงโทษ หากมีก็จะเป็ น
การลงโทษท่ีเป็ น ความยุติธรรมส่วนตัว (Le Justice privee)
มนุษย์จึงละทิง้สภาวะธรรมชาติ เพ่ ือ ให้มีองค์กรลงโทษ และ คุ้มครองป้ องกันสิทธิ
รัฐจึงเกิดจากคนส่วนหน่ ึงท่ีละทิง้ สภาวะธรรมชาติ และมาทำา สัญญาประชาคม
ต่างจากฮอบส์ องค์อธิปัตย์ไม่ได้มีอำานาจไร้ขอบเขต (เด็ดขาด) แต่มีอำานาจเพียงเพ่ ือ
ช่วยเหลือคุ้มครองคนอ่อนแอ
ณอง ณาคส์ รุสโซ มองโลกในแง่ดีกว่าล็อค และตรงข้ามกับฮอบส์
สังคมท่ีมีระเบียบในทางการเมือง เป็ นผลจากวิวัฒนาการสังคมมนุษย์ เพ่ ือช่วยให้มี
เสรีภาพท่ีเคยมีอยู่ดัง้เดิม
การท่ีมนุษย์ร่วมกันทำาสัญญาประชาคม มนุษย์ย่อมต้องสละสิทธิทุกประการท่ีตนมี
เพ่ ือให้ก่อตัง้องค์อธิปัตย์ แต่การสละสิทธินีไ้ม่ได้ทำาให้สูญเสียเสรีภาพแต่อย่างใด
รุสโซกล่าวว่า "ไม่จำาเป็ นเสมอไปท่ีเสียงต้องเป็ นเอกฉันท์ แต่จำาเป็ นท่ีจะต้องนับเสียง
ทุกเสียง หากไม่นับทุกเสียงจะทำาให้ลักษณะร่วมของเจตนาย่อมเสียไป"
ดังนัน ้ มนุษย์จะมีเสรีภาพก็ต่อเม่ ือสังคมมีการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยตรง
คำาสอนและศาสนา พระพุทธศาสนาเป็ นศาสนาแรกท่ีส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยสอนให้เลิกทาส
กม.และคำาประกาศรับรองสิทธิเสรีภาพ ในอังกฤษ "The great charter" "Magna Carta" บุคคลจะถูกจับกุม กักขัง เนรเทศ
และประกาศว่าเป็ นoutlaw หรือถูกลงโทษใด ๆ หาได้ไม่ เว้นแต่จะได้รับการพิจารณา
อันเท่ียงธรรมจากบุคคลในชัน ้ เดียวกับเขาและตามกม.บ้านเมือง
ในอเมริกา "The declaration of independence" โดย Thomas Jefferson
กฎหมายปกครอง
1) ประเทศท่ีใช้ระบบโรมัน France, German, Italy แยกออกเป็ น กม.เอกชน และ กม.มหาชน
กม.ลายลักษณ์อักษรมีความสำาคัญมาก
2) ประเทศท่ีใช้ AngloSaxon ถือหลัก Common law ไม่มีการแยกออกเป็ นเอกชนและมหาชน
ไม่ได้แยกหลักกม.ปกครองออกจากหลักกม.ธรรมดา
ฝ่ ายปกครองอยู่ใต้ระบบกม.ธรรมดา
ยึดหลัก กม.ธรรมดาและเท่ียงธรรม (Equity)
ลักษณะสำาคัญของกฎหมายปกครอง เป็ นสาขากม.มหาชน วางหลักจัดระเบียบฝ่ ายปกครอง สัมพันธ์กันระหว่าง
ฝ่ ายปกครองด้วยกันเอง หรือ กับเอกชน
(ในทางทฤษฎี ไทยมีกม.3อย่าง กม.เอกชน (เพ่ง) กม.มหาชน (อาญา) กม.มหาชนเพ่ง
บ่อเกิดของกฎหมายปกครอง กฎหมายลายลักษณ์อักษร *** เป็ นท่ีมาท่ีสำาคัญ
จารีตประเพณี กม.เพ่งจะมีท่ีมาจากจารีตประเพณีเป็ นส่วนใหญ่
คำาพิพากษา ประเทศท่ีไม่มีกฎหมายปกครอง ศาลจะใช้หลักกม.เอกชน ซ่ ึง
คำาพิพากษาจะไม่ถือเป็ นท่ีมาของกม.ปกครอง
ทฤษฎีกฎหมาย เป็ นท่ีมาทางอ้อม
หลักกฎหมายทั่วไป ในกรณีท่ีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ
การกระทำาในทางปกครอง กิจกรรมท่ีฝ่ายปกครองดำาเนินไปเพ่ ือประโยขน์ของประชาชน เช่นการกระทำาฝ่ าย
เดียว (คำาสัง่) การกระทำาหลายฝ่ าย(การทำาสัญญา)
การกระทำาแก่บุคคลทัว่ไป ได้แก่ 1)คำาสัง่ฝ่ ายนิติบัญญัติ 2)ค่าสัง่ฝ่ ายตุลาการ 3)คำาสัง่ฝ่ ายบริหาร
พระราชกฤษฎีกา โดยกษัตริย์แต่ต้องไม่ขัดต่อกม. ศักดิต์่ำากว่าพรบ.
พระราชกำาหนด โดยอำานาจฝ่ ายบริหาร ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ปกติ ความลับ
การบังคับเท่าพรบ. แต่ต้องเสนอภายหลัง ถ้ารัฐสภาไม่อนุมัติ(สส.ไม่อนุมัติ
น้อยกว่าก่ ึงหน่ ึง)ก็จะตกไป แต่การตกไปจะไม่กระเทือนกิจการท่ีได้ทำาไป
ผลของการอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ
การไม่อนุมัติให้มีผลในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ประกาศพระบรมราชโองการ กษัตริย์ออกตามคำาแนะนำาของผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
กฎกระทรวง เม่ ือประกาศในราชกิจจา ก็บังคับใช้ได้ ไม่มีโทษจำาคุกผู้ฝ่าฝื น
กฎกระทรวงเป็ นกม.หลักการบริหารราชการแผ่นินและมีการใช้มากท่ีสุด
ประกาศกระทรวง กระทำาได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า เป็ นท่ีนิยม เพราะไม่จำาเป็ นต้องเสนอ
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอย่างกฎกระทรวง
ข้อบังคับกระทรวง
การกระทำาเฉพาะบุคคล
การควบคุมฝ่ายปกครองในประเทศไทย
การร้องทุกข์ อุทธรณ์ กรรมการควรจะรับราชการหรือเคยรับราชการไม่ต่ำากว่าอธิบดีมาไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือ
เคยเป็ นอาจารย์สอนกม.รัฐธรรมนูญ กม.ปกครอง ประสบการณ์บริหารราชการมา
ไม่น้อยกว่า 10 ปี คณะกรรมการมีหน้าท่ีเสนอความเห็นต่อนายก
ผู้ร้องทุกข์ต้องได้รับความเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียง เน่ ืองจากจนท.รัฐ
การอุทธรณ์เป็ นการควบคุมโดยฝ่ ายปกครองด้วยกันเอง
การควบคุมโดยฝ่ ายนิติบัญญัติ ทางอ้อม ได้แก่ การตัง้กระทู้ถาม การพิจารณาสอบสวนของกรรมธิการ (สามัญ:ต้อง
เป็ นสส.หรือสว. มีอายุตลอดอายุสภา วิสามัญ:เป็ นสส.สว.หรือไม่
ก็ได้ สิน
้ สภาพเม่ ือเสร็จเร่ ือง) การเปิ ดอภิปรายไม่ไว้วางใจ (สส.
ไม่น้อยกว่า 1/5)
ทางตรง นิติบัญญัติตัง้หน่วยงานขึ้นตรงมาควบคุมฝ่ ายปกครองประเทศ เช่น
อมบุดมาน (Ombudsman) ของสวีเดน ส่วนประเทศไทยมีหน่วยงาน
ท่ีคล้ายกันคือ ปปป.(พรบ. 2518) ซ่งึ อยู่ในการดูแลของรัฐสภา
ปปป. ประธานส่งเร่ ืองให้ผู้บังคับบัญชาภายใน 7 วันนับแต่สอบเสร็จ
ขณะเดียวกันก็ต้องรายงานนายก และ พนักงานสอบสวน (อาญา)
ผู้บังคับบัญชาต้องดำาเนินการภายใน 15 วัน
ประธานอยู่ในตำาแหน่ง 2 ปี ติดกันไม่เกิน 2 วาระ
เลขาและรองเลขา ดำารงตำาแหน่งติดต่อกันไม่เกิน 4 ปี
การฟ้ องฝ่ ายปกครองต่อศาลยุติธรรม ผู้มีอำานาจฟ้ องคือ อัยการ และ ผู้เสียหาย (ต้องเสียหายโดยตรงหรือโดยนิตินัย)
เอกชนสามารถฟ้ องข้าราชการหรือหน่วยราชการให้รับผิดชอบทางเพ่งต่อศาลยุติธรรม
ได้ทุกประเภท รวมทัง้คดีปกครอง
การฟ้ องฝ่ ายปกครองต่อศาลปกครอง
ระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน เป็ นข้อตกลงร่วมของทางราชการในการแบ่งหน่วยงาน แบ่งหน้าท่ี และแนวทางปฏิบัติ
กรุงสุโขทัย แบ่งออก 2 ส่วน คือ เขตราชธานี และ เขตเมืองพระยานคร
กรุงศรีอยุธยา ได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู
พระบรมไตรโลกนาถขยายเขตราธานีและหัวเมืองชัน ้ ในให้กว้างออก แยกข้าราชการ
เป็ นฝ่ ายทหาร และ พลเรือน
ราชการแผ่นดินส่วนกลางแยกเป็ น เวียง วัง คลัง นา
กรุงรัตนโกสินทร์ ร.5 แบ่งเป็ น ส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถ่ิน
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับท่ี 218 29 กันยายน 2515
ผู้มีอำานาจในการบริหารราชการ
นายกรัฐมนตรี แต่งตัง้ข้าราชการตัง้แต่อธิบดี ต้องได้รับอนุมัติจากครม.ก่อน
แต่งตัง้ผู้ทรงคุณวุฒิเป็ นท่ีปรึกษา หรือ กรรมการ กำาหนดเบีย ้ ประชุม ค่าตอบแทน
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รองฝ่ ายการเมือง เป็ นขรก.การเมือง รองฝ่ ายบริหาร เป็ นขรก.พลเรือนสามัญ
รมต. สัง่บรรจุขรก.พลเรือนให้ดำารงตำาแหน่งระดับ 10 และ 11 เม่ ือได้รับอนุมัติจากครม.
ส่วนการแต่งตัง้เป็ นอำานาจของนายกรัฐมนตรีท่ีจะนำาความกราบบังคมทูล
สัง่บรรจุและแต่งตัง้ ขรก.ให้ดำารงตำาแหน่งระดับ 9 หรือ รองอธิบดีหรือเทียบเท่า
ปลัดกระทรวง ไม่มอำ
ี านาจ บรรจุหรือแต่งตัง้ข้าราชการ
มีอำานาจเพียงให้ความเห็นชอบในการบรรจุและแต่งตัง้ขรก.พลเรือนสามัญระดับ 7, 8
อธิบดี มีอำานาจบรรจุและแต่งตัง้ระดับ 7,8 โดยความเห็นชอบของปลัดกระทรวง
มีอำานาจบรรจุและแต่งตัง้ตัง้แต่ระดับ 6 ลงมา
มีอำานาจโดยตรงท่ีจะติดต่อกระทรวง ทบวง กรม อ่ ืน ๆ โดยไม่ต้องเสนอผ่านปลัดกท.
ผู้ว่าราชการจังหวัด มีคณะกรรมการจังหวัดเป็ นท่ีปรึกษา ประกอบด้วยผู้ว่าเป็ นประธานโดยตำาแหน่ง
มีอำานาจสัง่ลงโทษทางวินัยแต่ข้าราชการของการบริหารส่วนภูมิภาคตัง้แต่ระดับ 4 ลงมา
แนวความคิดการจัดทำาบริการสาธารณะ
- รัฐไม่ควรทำาบริการท่ีเกียวข้องกับเศรษฐกิจ Adam Smith
- รัฐควรทำาบริการท่ีเกียวข้องกับเศรษฐกิจ Communist - รัฐครอบงำาทรัพย์สิน จำากัดเสรี ขยายกิจการของรัฐให้มาก
สังคมนิยม - รัฐให้เอกชนจัดทำาแต่รัฐควบคุม รัฐทำาเฉพาะอย่าง
สวัสดิการข้าราชการ มี ก.พ.รับผิดชอบอยู่
แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคือ
1) การจัดเงินเดือนให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ
2) การให้ความช่วยเหลืออ่ ืน ๆ เช่น ค่าเล่าเรียน บ้านพัก ค่ารักษา เงินเพ่ิม
ปัญหาของการบรรจุและแต่งตัง้ การไม่เข้าใจสาระสำาคัญแห่งกม.เก่ียวกับการบรรจุแต่งตัง้
วัตถุประสงค์ ดุลยภาพระหว่างการบริหารงานรัฐ กับสิทธิและประโยชน์ประชาชน
รัฐธรรมนูฐราชอาณาจักรไทย 2521 รมต.ไม่ตอบกระทู้ได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีเห็นว่าไม่ควรเปิ ดเผย เพ่ ือประโยชน์แห่งแผ่นดิน
สส.ไม่น้อยกว่า 1/5 ขอเปิ ดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
วิธีการควบคุม 1)โดยทางกฎหมาย 2)โดยทางองค์กร
ควบคุมทางกฎหมาย
พรบ. ปปป. เร่ ืองมีมูล --> ประธานปปป.ส่งเร่ ืองให้ผู้บังคับบัญชาสอบสวนวินัยภายใน 7 วัน นับแต่
วันท่ีสอบสวนเสร็จ --> ประธานปปป.รายงานนายกทราบ
ถ้าผิดอาญาด้วย ให้แจ้งพนักงานสอบสวนภายใน 7 วัน
ผู้บังคับบัญชาต้องดำาเนินการภายใน 15 วันนับแต่วันท่ีได้รับเร่ ือง
กฎกพ.ฉบับท่ี 10 (2518) สัง่ออกจากราชการ ต้องอุทธรณ์ต่อกพ.ใน 30 วัน(ผู้ถูกสัง่ย่ ืนเอง/ผ่านผูบ ้ ังคับบัญชา)
ถ้าย่ ืนผ่านผู้บังคับบัญชาต้องมีข้อความปรากฎชัดในหนังสืออุทธรณืว่าให้เสนอ กพ.
กฎอ่ ืน ๆ ท่ีใช้ควบคุม ประมวลกฎหมายอาญา มติคณะรัฐมนตรี
ควบคุมทางองค์กร 1)ให้คำาปรึกษาและพิจารณาคดีปกครอง
ฝรัง่เศส (กองเซย เดตาต์) อิตาลี กรีก ลักซัมเบอร์ก ตุรกี เลบานอน เบลเยียม อียิปต์
ข้อดีคือ รู้และเข้าใจข้อเท็จจริงในทางปกครอง เป็ นท่ีเคารพเช่ ือถือ
ข้อเสียคือ ไม่มีองค์กรใดท่ีเป็ นได้ทัง้ผู้พิพากษาและคู่ความและฝ่ ายปกครอง
2)ให้คำาปรึกษาอย่างเดียว(ชิลี โรมาเนีย)
ให้หลักประกันสิทธิเสรีแก่ประชาชนน้อยสุด
องค์กรบริหารงานบุคคลในประเทศไทย 12 องค์กร
กพ. (2518) นายกหรือรองนายกเป็ นประธาน
กรรมการข้าราชการทหาร (กขท) (2521) กรรมการไม่เกิน 11 คน ปลัดกห.เป็ นประธาน
ควบคุม ข้าราชการทหาร ทหารกองประจำาการ นักเรียนสังกัดกระทรวงกลาโหม
กต. (2521) ประธานศาลฎีกาเป็ นประธาน
กอ. (2521) รมต.มหาดไทยเป็ นประธาน คุมอัยการ(ไม่รวมข้าราชการธุรกิจสังกัดกรมอัยการ - กพ.)
กม. นายกเป็ นประธาน รมต.ทบวงเป็ นรองประธาน
กจ. กก. กท. รมต.มหาดไทยเป็ นประธาน
กส. ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็ นประธาน
กค. รมต. รมช. ศึกษาธิการเป็ นประธาน
ขัน
้ ตอนการลงโทษ ผิดไม่ร้ายแรง - ผู้บังคับบัญชาสัง่ลงโทษและเสนอปลัด ปลัดสัง่เปล่ียนบทลงโทษได้
โดยไม่ต้องย้อนกลับไปให้ผู้บังคับบัญชาออกคำาสัง่แก้ไข
สามารถอุทธรณ์ผู้บังคับบัญชาเหนือตน
ผิดร้ายแรง / ปลัดสัง่ให้ออก - นำาเข้าสู่ อกพ. เพ่ ือวินิจฉัยชีข้าด
อุทธรณ์ต่อ กพ.
ทัง้ 2 กรณีต้องรายงานต่อกพ. ถ้ากพ.ไม่เห็นด้วย กพ.จะรายงานนายกเพ่ ือเพ่ิมโทษได้
การควบคุมการใช้อำานาจของจนท.ในราชการ
- โดยฝ่ ายนิติบัญญัติ 1)งบประมาณ 2)คุมการออกกฎหมาย 3)ตัง้กระทู้
- โดยฝ่ ายบริหาร 1)โดยคณะรมต. 2)ตามลำาดับชัน
้ การบังคับบัญชา 3)โดยจนท.รัฐท่ีรับผิดชอบทางวินัย
2.1)ตรวจงาน 2.2)รายงาน
- โดยฝ่ ายตุลาการ 1)โดยศาล 2)โดยการดำาเนินการทางวินัย (ส่งเสริมให้มีวินัย หรือ ปราบปรามลงโทษ)
ประเทศไทยมีพรรคการเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายเม่ ือ 2524
สรุปขัน
้ ตอนการควบคุม 1) โดยองค์กรภายใน เช่น อุทธรณ์ ร้องทุกข์
2) โดยองค์กรภายนอก เช่น ทางการเมือง ทางองค์กรพิเศษ ทางศาล
General information วิวัฒนาการของศาลปกครองจะสอดคล้องกับระบบการปกครองประเทศ
จนท.ท่ีรับผิดชอบต้องมีความรู้การบริหารและการปกครอง
เป็ นองค์การของฝ่ายบริหารท่ีได้จัดตัง้ขึ้นเป็ นพิเศษ แยกจากศาลยุติธรรม
คดีท่ีเอกชนไม่ได้ความเป็ นธรรมจากรัฐ เจ้าพนง.ไม่ได้ความเป็ นธรรมจากผู้บังคับบัญชา
วิวัฒนาการของศาลปกครองในต่างประเทศเป็ นผลจากเหตุการณ์ประวัต ้ ิศาสตร์
และการเปล่ียนแปลงทางการเมือง
สมัยก่อนประชาชนไม่ขัดแย้งกับกษัตริย์ จึงไม่รู้จักการป้ องกันในทางปกครอง
ศาลปกครองประเทศออสเตรีย ได้บัญญัติประมวลกฎหมายหลักปฏิบัติในทางปกครองไว้
เช่นเดียวกับประเทศยูโกสลาเวีย
ประเทศแม่แบบศาลปกครองคือฝรัง่เศส ซ่ ึงมีสถาบันผลิดผู้พิพากษาศาลปกครองโดยเฉพาะ
นอกจากนีย ้ ังมี ศาลชึ้ขาดข้อขัดแย้ง (LeTribunal des Conflit) วินิจฉัยเร่ ืองอำานาจศาล
ผุ้พิพากษาศาลปกครองไม่อาจโยกย้ายกันกับศาลยุติธรรมได้
กองเซย เดตาต์ เป็ นศาลปกครองสูงสุดท่ีเป็ นอิสระอย่างแท้จริง มีศาลสูงสุดในสายงานของ
ตนเอง แยกเด็ดขาดจากศาลยุติธรรม (สังกัด สำานักนายกรัฐมนตรีของฝรัง่เศส)
อังกฤษไม่มีศาลปกครองเหมือนฝรัง่เศสและเยอรมัน การพิจารณาตกแก่ศาลยุติธรรม
หลักเกณฑ์ท่ีศาลปกครองได้ใช้เพิกถอนการกระทำาของฝ่ ายปกครองไม่อาจนำามาบันทึก
เป็ นบทบัญญัติแห่งกม.ตายตัวได้
ต่างประเทศไม่นิยมแต่งตัง้ผู้พิพากษาสมทบ นิยมใช้ผู้พิพากษาศาลปกครองอาชีพ
บ่อเกิดของศาลปกครอง หลักการรักษาดุลอำานาจการใช้อำานาจอธิปไตย
ความจำาเป็ นในการาจัดตัง้ศาลปกครอง ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐมีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป
ควรจะได้รับการพิจารณาจากผู้พิพากษาท่ีมีความรู้และมีประสบการณ์การบริหาร
Rule of Law บุคคลย่อมเสมอภาคและอยู่ใต้กม.เท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดถูกลงโทษเว้นแต่จะผิดกม.
ลักษณะเฉพาะของกม.มหาชน
อำานาจผูกพัน
หลักนิติรัฐ
หลักนิติรัฐสัมพันธ์กับกม.มหาชน
เหตุทีต้องมีกม.หมาชน
การปฏิรูปที่สำาคัญของประเทศไทย
ความแตกต่างกม.มหาชนและเอกชน
อำานาจของผู้บังคับบัญชา
ระบบการพิจาณาคดี ******
ระบบกล่าวหา
ระบบไต่สวน
ศาลรัฐธรรมนูญ
สส.
วุฒิสมาชิก
รัฐบาล
ประชากร + ดินแดน + อำานาจการเมือง
เป็ นกม.ท่ีใช้กับบุคคลสองกลุ่มท่ีมีสภานภาพทางกม.ไม่เท่าเทียมกัน เม่ ือมีเหตุ
ท่ีเกิดกรณีพิพาทกัน จึงต้องมีกม.พิเศษท่ีจะให้ความยุติธรรม
1) ใช้กับนิติบุคคล หรือ บุคคลธรรมดาตามกม.มหาชน เช่น กระทรวง กรม อบจ.
2) เป็ นกม.เพ่ ือสาธารณะประโยชน์ ในการให้อำานาจแก่จนท.รัฐเพ่ ือส่วนรวม
3) เป็ นกม.ท่ีไม่เสมอภาค ทำาให้จนท.รัฐมีอำานาจมาก
อำานาจท่ีกม.ให้องค์กรปกครอง โดยบังคับวิธีปฎิบัติไว้ล่วงหน้าให้ทำาตามถ้า
มีข้อเท็จจริงอย่างใดเกิดขึ้น
ประชาชนจะไม่ถูกละเมิดโดยจาการการใช้อำานาจของจนท.รัฐโดยอยุติธรรม
กม.มหาชนพัฒนามาจากการปกครองระบอบประชาธิปไตยท่ียึดหลักนิติรัฐ
เพ่ ือแก้ไขปั ญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐหรือจนท.รัฐกับประชาชนเพ่ ือให้เกิด
ความเป็ นธรรม และไม่ให้จนท.รัฐใช้อำานาจเกิดขอบเขต
1) สมัยพระบรมไตรโลกนาถ
2) สมัยรัชกาลท่ี 5
3) เปล่ียนแปลงการปกครอง 2475
4) รัฐธรรมนูญ 2540 จัดตัง้ศาลปกครองขึ้นมา ทำาให้ประเทศไทยเป็ นระบบศาลคุ่
a)ความแตกต่างด้านองค์กรหรือตัวบุคคลท่ีเข้าไปมีนิติสัมพันธ์
b)ด้านเน้ือหาและความมุ่งหมาย : กม.มหาชน จะเน้นเร่ ืองสาธารณะไม่ได้มุ่งหมาย
เร่ ืองกำาไร
c)ด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ : กม.มหาชนจะเป็ นการบังคับ คำาสัง่ให้ทำา ในขณะท่ี
กม.เอกชนตัง้อยู่บนพ้ืนฐานความเป็ นอิสระในการแสดงเจตนาเสมอภาค เสรีภาพ
d)ด้านนิติวิธี : กม.มหาชนจะสร้างกม.ขึน ้ มาเอง
e)ด้านิติปรัชญา :
f) ด้านเขตอำานาจศาล : ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ กัย ศาลยุติธรรม
ออกคำาสัง่ คุมกิจการ ลงโทษทางวินัย ให้บำาเหน็จความดีความชอบ