Professional Documents
Culture Documents
หน่วยท่ี 1 ลักษณะทั่วไปของกฎหมายอาญาและปรัชญากฎหมายอาญา
1.1 ลักษณะทั่วไปของกฎหมายอาญา
1. กฎหมายอาญาเป็ นกฎหมายท่ีว่า ด้ วยความผิ ดและโทษ โดย บั ญญั ติ การกระทำา เป็ นความผิ ด อาญา และ
กำาหนดโทษท่ีจะลงแก่ผู้กระทำาความผิดนัน
้
2. ในสังคมเร่ิมแรก กฎหมายให้อำา นาจแก่ บุค คลท่ีจะทำา การแก้แ ค้นต่อผู้กระทำา ผิ ด และเม่ ือรั ฐมั น
่ คงขึ้นจึง
กำาหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายแทนการแก้แค้น จนในท่ีสุดรัฐก็เข้าไปจัดการลงโทษผู้กระทำาผิดเอง
3. ความผิดอาญาหมายถึง การกระทำาหรือละเว้นการกระทำาท่ีกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้
4. ความผิดอาญาแบ่งแยกได้หลายประเภทแล้วแต่แนวความคิดและความมุ่งหมาย เช่น ตามความหนักเบา
ของโทษ ตามการกระทำา ตามเจตนา ตามศีลธรรม เป็ นต้น
5. กฎหมายอาญาเป็ นเร่ ืองระหว่างรัฐกับเอกชน และมุ่งท่ีจะลงโทษผู้กระทำาความผิด ส่วนกฎหมายแพ่งเป็ น
เร่ ืองเก่ียวกับสิทธิหน้าท่ีระหว่างเอกชนด้วยกัน การกระทำาความผิดทางแพ่งจึงไม่กระทบกระเทือนต่อสังคม
เหมือนความผิดอาญา
1.1.1 ความหมายของกฎหมายอาญา
กฎหมายอาญามีความหมายอย่างไรมีก่ีระบบ และแต่ละระบบมีความคิดในทางกฎหมายอย่างไร
กฎหมายอาญาจัดอยู่ในสาขากฎหมายมหาชน เป็ นกฎหมายท่เี ก่ียวกับการกระทำาความผิดและกำาหนดโทษ
ท่ีจะลงแก่ผู้ท่ีกระทำาความผิดนัน
้
กฎหมายอาญามี 2 ระบบคือ ระบบกฎหมายของประเทศท่ีใช้ประมวลกฎหมาย ซ่ึงบัญญัติความผิดอาญา
ไว้เป็ นลายลักษณ์อักษร และระบบคอมมอนลอว์ ซ่ึงความผิดอาญาเป็ นไปตามหลักเกณฑ์ในคำา พิพากษาของศาล
ความผิดในทางอาญาของประเทศท่ีใช้ระบบประมวลกฎหมายนัน ้ ถือว่า การกระทำา ใดๆจะเป็ นความผิดหรือไม่และ
ต้องรับโทษอย่างไร ต้องอาศัยตัวบทกฎหมายอาญาเป็ นหลัก การตีความวางหลักเกณฑ์ของความผิดจะต้องมาจากตัว
บทเหล่านัน ้ คำาพิพากษาของศาลไม่สามารถสร้างความผิดอาญาขึ้นได้ แต่ระบบคอมมอนลอว์นัน ้ การกระทำาใดๆจะ
เป็ นความผิดอาญาต้องอาศัยคำาพิพากษาท่ีได้วินิจฉัยไว้เป็ นบรรทัดฐานและนำาบรรทัดฐานนัน ้ มาเปรียบเทียบกับคดีท่ี
เกิดขึ้น
1.1.2วิวัฒนาการของกฎหมายอาญา
ประมวลกฎหมายอาญาในปั จจุบันมีวิวัฒนาการมาอย่างไร
แต่เดิมกฎหมายอาญาของไทยมิได้จัดทำาในรูปประมวลกฎหมาย แต่มีลักษณะเป็ นกฎหมายแต่ละฉบับไป
เช่ น กฎหมายลั ก ษณะโจร ลั ก ษณะวิ ว าท เป็ น ต้ น ต่ อ มาในรั ช การพระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่ หั ว
เน่ ืองจากความจำาเป็ นในด้านการปกครองประเทศ และความจำาเป็ นท่ีจะต้องเลิกศาลกงสุลต่างประเทศ จึงได้มีการจัด
ทำา ประมวลกฎหมายอาญาขึ้น ทำา นองเดียวกันกับกฎหมายอาญาของประเทศทางตะวันออก และญ่ีปุ่น เรี ยกว่ า
กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ซ่ึงเป็ นประมวลกฎหมายอาญาฉบับแรกของไทย กฎหมายลักษณะอาญาได้ใช้
บัง คับมาเป็ นเวลาประมาณ 48 ปี จนถึง พ.ศ. 2500 ก็ได้ย กเลิกไป และได้ป ระกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญา
พ.ศ. 2499 ซ่ึง เป็ นฉบับปั จจุ บั น และใช้บั ง คั บมาตั ง้ แต่ วัน ท่ี 1 มกราคม 2500 ซ่ึง ตรงกับ วาระฉลองครบ 25
พุทธศตวรรษ
ความผิดอาญาทุกอย่างได้นำามาบัญญัติรวบรวมไว้ในประมวลกฎหมายอาญาหมดหรือไม่
นำา มาบัญญัติได้ไม่หมดสิน้ ความผิดในประมวลกฎหมายอาญาเป็ นแต่เพียงส่วนหน่ึงของความผิดอาญา
เท่านัน
้ ยังมีความผิดอาญาพระราชบัญญัติต่างๆ อีกมากมาย เช่น พรบ. ป่ าไม้ พรบ. ยาเสพติดให้โทษ เป็ นต้น แต่
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญานัน ้ ๆ เป็ นความผิดท่ีมีลักษณะทัว่ไปคือ เป็ นความผิดท่ีสามัญชนย่อมกระทำาอยู่
เป็ นปกติ เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาย ทำาร้ายร่างกาย ลักทรัพย์ เป็ นต้น ส่วนความผิดอาญาตาม พระราชบัญญัติอ่ืน
เป็ นความผิดเฉพาะเร่ ืองนัน้ ๆ เช่น ความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ก็เป็ นเร่ ืองเก่ียวกับป่ าไม้ ว่าการกระทำา เช่นไร
เป็ นความผิดและมีโทษเท่าใด
ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปั จจุบันมีเค้าโครงอย่างไร
ประมวลกฎหมายอาญาฉบับปั จจุบัน แบ่งออกเป็ น 3 ภาค คือ ภาค 1 ว่าด้วยบทบัญญัติทัว่ไป คือ เป็ น
หลักเกณฑ์ทัว่ไปของกฎหมายอาญาทัง้ปวง ซ่ึงจะต้องนำาไปใช้บังคับในความผิดอาญาตามกฎหมายอ่ ืนด้วย ภาค 2
ว่าด้วยความผิดอาญาสามัญ และภาค 3 ว่าด้วยความผิดลหุโทษ
1.1.3 ประเภทของความผิด
ความผิดอาญาหมายความว่าอย่างไร เราอาจแบ่งความผิดอาญาได้ประการใดบ้าง
ความผิดอาญาหมายถึง การกระทำาหรือละเว้นการกระทำาท่ีกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิดและกำา หนดโทษ
ไว้
ความผิดอาญาอาจจำาแนกออกได้หลายประเภทแล้วแต่ข้อพิจารณาในการแบ่งประเภทนัน ้ ๆ เช่น
(1) พิจารณาตามความหนักเบาของโทษ แบ่งเป็ นความผิดอาญาสามัญและความผิดลหุโทษ
(2) พิจารณาในแง่เจตนา แบ่งเป็ นความผิดท่ีกระทำาโดยเจตนากับความผิดท่ีกระทำาโดยประมาท และความ
ผิดท่ีไม่ต้องกระทำาโดยเจตนา
(3) พิจารณาในแง่ศีลธรรม แบ่งเป็ นความผิดในตัวเอง เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาม ข่มขืน ลักทรัพย์ และ
ความผิดเพราะกฎหมายห้าม เช่น ความผิดฐานขับรถเร็วเกินสมควร
นอกจากนีอ ้ าจแบ่งได้โดยข้อพิจารณาอ่ ืนๆ อีก เช่น ตามลักษณะอันตรายต่อสังคม ตามลักษณะการกระทำา
และตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
1.1.4กฎหมายอาญากับกฎหมายแพ่ง
กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาต่างกันอย่างไร
มีความต่างกันในสาระสำาคัญดังต่อไปนี้
(1) แตกต่างกันด้วยลักษณะแห่งกฎหมาย กฎหมายแพ่ง เป็ นกฎหมายท่ีว่า ด้วยสิท ธิ หน้า ท่ี และความ
สัมพันธ์ระหว่างเอชนกับเอกชน อาทิ เช่น สิทธิและหน้าท่ีของบิดามารดาท่ีมีต่อบุตร การสมรส การ
หย่า มรดก ภูมิลำาเนาของบุคคล ส่วนกฎหมายอาญานัน ้ เป็ นกฎหมายท่ีว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง
รัฐกับเอกชน โดยเอกชนมีหน้าท่ต ี ้องเคารพต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซ่ึงกำาหนดให้การกระทำาอันใด
ก็ตามเป็ นความผิดถ้าหากฝ่ าฝื น โดยปกติต้องมีโทษ ตัวอย่างเช่น ความผิดฐานลักทรัพ ย์ ฐานปล้น
ทรัพย์ ฐานยักยอก และฐานหม่ินประมาท เป็ นอาทิ
(2) แตกต่างกันด้วยวัตถุประสงค์ของกฎหมาย กฎหมายแพ่งมีวัตถุประสงค์ในอันท่ีจะอำานวยและรักษาไว้
ซ่ึงความยุติธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันแม้บางกรณีรัฐจะเข้าไปเป็ นคู่กรณี
ในทางแพ่งก็ตาม รัฐอยู่ในฐานะเป็ นเอกชนมีสิทธิหน้าท่ีอย่างเดียวกับเอกชนอ่ ืนๆทุกประการ ส่วน
กฎหมายอาญานัน ้ มีเจตารมย์ในทางรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง มุ่งประสงค์คุ้มครองให้
ความปลอดภัยแก่สังคม เม่ ือบุคคลใดละเมิดบทบัญญัติแห่งกฎหมายอาญา กฎหมายถือว่ารัฐเป็ นผู้
เสียหายโดยตรง จริงอยู่ท่ีตามระบบกฎหมายอาญาของไทยเรานัน ้ เอกชนผู้ถูกล่วงละเมิดสิทธิก็ถือว่า
เป็ นผู้เสียหาย ฟ้ องร้องให้ศาลลงโทษผู้ล่วงละเมิดตนได้ดุจกัน แต่สิทธิของเอกชนดังกล่าว ต้องถือว่า
เป็ นเพียงข้อยกเว้นของหลักกฎหมายท่วี ่ารัฐเป็ นผู้เสียหายโดยตรงเท่านัน ้
(3) แตกต่ า งกั น ด้ ว ยการตี ค วาม ในกฎหมายแพ่ ง นั น ้ ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา 4
บัญญัติว่าการตีความกฎหมายย่อมต้องตีความตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
แห่ง กฎหมายถ้าหากไม่มีบทกฎหมายท่จี ะยกขึ้นปรับแก่ค ดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนัน ้ ตามจารีต ประเพณี
แห่งท้องถ่ิน
ส่ วนในกฎหมายอาญานั น ้ จะตีค วามอย่า งกฎหมายแพ่ ง ไม่ไ ด้ หากแต่ต้ องตีค วามโดยเคร่ ง ครั ดจะถือ ว่ า
บุคคลใดมีความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด ต้องตีความตามตัวอักษรท่ีปรากฏในบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
นัน
้ ๆ โดยตรงจะมีการขยายความในบทบัญญัติแห่งกฎหมายออกไปให้ครอบคลุมไปถึงการกระทำาอ่ ืนๆ อันใกล้เคียง
กับการกระทำาท่ีกฎหมายบัญญัติว่าเป็ นความผิดมิได้
(4) แตกต่างกันด้วยสภาพบังคับ ในกฎหมายแพ่งนัน ้ มีสภาพบังคับประเภทหน่ึง กล่าวคือถ้าหากมีการ
ล่วงละเมิดกฎหมายแพ่ง บุคคลผู้ล่วงละเมิดไม่ปฏิบัติตามคำาพิพากษาของศาล ก็อาจจะถูกยึดทรัพย์มา
ขายทอดตลาดเอาเงินท่ีขายได้มาชำาระหนีต ้ ามคำาพิพากษาของศาล หรือมิฉะนัน ้ อาจถูกกักขังจนกว่าจะ
ปฏิบัติตามคำาพิพากษาของศาลก็ได้ ส่วนในกฎหมายอาญานัน ้ มีสภาพบังคับอีกประเภทหน่ึง คือ โทษ
ทางอาญาซ่ึงกฎหมายได้บัญญัติไว้สำา หรับความผิด ซ่ึงโทษดัง กล่า วมีอยู่ 5 สถานด้วยกัน คือ โทษ
ประหารชีวิต จำาคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน
1.2 ปรัชญาของกฎหมายอาญา
1. วัตถุประสงค์กฎหมายอาญา คือ คุ้มครองส่วนได้เสียของสังคมให้พ้นจากการประทุษร้ายต่างๆ กฎหมาย
อาญาจึงเป็ นส่ิงจำาเป็ นย่ิงต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม
2. ทฤษฎีกฎหมายอาญา หมายถึง กลุ่มแนวความคิดหรือหลักการท่ีถือว่าเป็ นพ้ืนฐานของกฎหมายอาญา
ความมุ่งหมายของกฎหมายอาญา
1.2.1
กฎหมายอาญามีความมุ่งหมายอย่างไร และมีวิธีการใดให้บรรลุถึงความมุ่งหมายนัน
้
กฎหมายอาญามีความมุ่งหมายในอันท่ีจะคุ้มครองประโยชน์ของส่วนรวมให้พ้นจากการประทุษร้าย โดย
อาศัยการลงโทษเป็ นมาตรการสำาคัญ
รัฐมีเหตุผลประการใดในการใช้อำานาจลงโทษผู้กระทำาความผิด
เหตุผลหรือความชอบธรรมในการลงโทษของรัฐมีผู้ให้ความเห็นไว้ 3 ประการ คือ
(1) หลักความยุติธรรม
(2) หลักป้ องกันสังคม
(3) หลักผสมระหว่างหลักความยุติธรรมและหลักป้ องกันสังคม
ข้อจำากัดอำานาจในการลงโทษของรัฐมีอย่างไร
อำานาจในการลงโทษของรัฐมีข้อจำากัดโดยบทบัญญัติในกฎหมาย กล่าวคือ
(1) โทษจะต้องเป็ นไปตามกฎหมาย
(2) ในความผิดท่ีกฎหมายกำาหนดโทษขัน ้ สูงไว้ รัฐจะลงโทษผู้กระทำาความผิดเกิดกว่านัน ้ ไม่ได้ เว้นแต่จะ
มีเหตุเพ่ิมโทษตามกฎหมาย
(3) ในความผิดท่ีกฎหมายกำา หนดโทษขัน ้ ต่ำา ไว้ รัฐลงโทษผู้กระทำา ความผิดต่ำา กว่า นัน
้ ไม่ได้ เว้นแต่จะมี
เหตุลดโทษตามกฎหมาย
(4) ในความผิดท่ีกฎหมายกำา หนดโทษขัน ้ ต่ำา ไว้และขัน
้ สูงไว้ รัฐ มีอำา นาจลงโทษได้ต ามท่ีเ ห็นสมควรใน
ระหว่างโทษขัน ้ ต่ำาและขัน
้ สูงนัน
้
1.2.2ทฤษฎีกฎหมายอาญา
ทฤษฎีกฎหมายอาญาในทรรศนะตามคอมมอนลอว์ เป็ นประการใด
นักทฤษฎีกฎหมายอาญาในระบบคอมมอนลอว์เห็นว่า กฎหมายอาญาแบ่งได้เป็ น 3 ส่วน คือ ภาคความ
ผิด หลักทัว่ไป และหลักพ้ืนฐาน
ภาคความผิด เป็ นส่วนท่ีบัญญัติเก่ียวกับความผิดฐานต่างๆ หรือคำาจำากัดความของความผิดแต่ละฐานและ
กำาหนดโทษสำาหรับความผิดนัน ้ นัน
้ ด้วย เป็ นส่วนท่ีมีความหมายแคบท่ีสุด แต่มจี ำานวนบทบัญญัติมากท่ีสุด
หลักทัว่ไป เป็ นส่วนท่ีมีความหมายกว้างกว่าภาคความผิดและนำา ไปใช้บังคับแก่ความผิดต่างๆ เช่น เร่ ือง
วิกลจริต ความมึนเมา เด็กกระทำา ความผิ ด ความจำา เป็ น การป้ องกั นตัว พยายามกระทำา ความผิ ด ตัวการ ผู้ใช้ ผู้
สนับสนุน เป็ นต้น
หลักพ้ืนฐาน ส่วนนีถ ้ ือว่าเป็ นหัวใจของกฎหมายอาญาและเป็ นส่วนท่ีมีความหมายกว้างท่ีสุด ซ่ึงต้องนำาไป
ใช้บังคับแก่ความผิดอาญาต่างๆ เช่นเดียวกับหลักทัว่ไป หลักพ้ืนฐานของกฎหมายอาญา ได้แก่ (1) ความยุติธรรม
(2) เจตนา (3) การกระทำา (4) เจตนาและการกระทำา ต้องเกิดร่วมกัน (5) อันตรายต่อสังคม (6) ความสัมพันธ์
ระหว่างเหตุกับผล และ (7) ลงโทษ
บทบัญญัติทัง้ 3 ส่วนนีย ้ ่อมสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ถ้าจะเข้าใจผิดฐานใดฐานหน่ึงได้ชัดแจ้งจะต้องนำา หลัก
ทัว่ไปและหลักพ้ืนฐานไปพิจารณาประกอบด้วย เพราะลำาพังแต่บทบัญญัตภ ิ าคความผิดนัน
้ มิได้ให้ความหมายหรือคำา
จำากัดความท่ีสมบูรณ์ของความผิดแต่ละฐาน จะต้องพิจารณาประกอบกับหลักทัว่ไปและหลักพ้ืนฐานเสมอ
หน่วยท่ี 2 : อาชญากรรมในสังคม
1. อาชญากรรมคือการกระทำาท่ีมโี ทษทางอาญา
2. ตามแนวความคิดของนักอาชญาวิทยาต่างสำานักกัน อาชญากรรมอาจเป็ นพฤติกรรมท่ีคนเลือกกระทำาเพ่ ือ
แสวงหาความสุข หรืออาจเป็ นพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติเช่นเดียวกับปรากฏการณ์ท างธรรมชาติ
อ่ ืนๆ หรืออาจเป็ นพฤติกรรมท่ีขัดต่อบรรทัดฐาน ความประพฤติของคนส่วนใหญ่ในสังคม
3. สาเหตุของอาชญากรรมมีท่ีมาจากการศึกษาของนักอาชญาวิทยาสำานักโปซิตีพ ซ่ึงต่อมาได้มีผู้ศึกษาค้นคว้า
เพ่ิมเติมจนก่อตัง้เป็ นทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชีววิทยา ทางจิตวิทยาและทางสังคมวิทยา
แนวคิดทัว่ ไปเก่ียวกับอาชญากรรม
1. อาชญากรรมอาจนิยามได้หลายอย่าง อาชญากรรมตามกฎหมาย หมายถึงการกระทำา ท่ีฝ่าฝื นบทบัญญัติ
ของกฎหมายอาญา ส่วนอาชญากรรมตามนิยามทางสังคมหมายถึงการประทำา ท่ีฝ่าฝื นบรรทัดฐานความ
ประพฤติทางสังคม
2. อาชญากร เป็ นผู้กระทำาความผิดท่ีศาลได้พพ ิ ากษาแล้วว่าได้กระทำาความผิดและลงโทษตามกฎหมาย
3. เพศ อายุ การศึก ษาและฐานะทางสัง คมอ่ ืน ๆ เป็ น ปั จจั ยท่ีแสดงให้เ ห็ นสถานะของอาชญากรรมและ
อาชญากร
4. อาชญาวิทยาเป็ นวิชาท่ีศึกษาเก่ียวกับอาชญากรรมและอาชญากรโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
5. สำา นั ก อาชญาวิ ท ยาท่ีสำา คั ญ อาจแบ่ ง ออกเป็ น 2 กลุ่ ม กลุ่ ม ท่ี 1 เน้ น การศึ ก ษาทางด้ า นสาเหตุ
อาชญากรรม ซ่ึง มี สำา นัก โปซิตี พ เป็ น สำา นั กสำา คั ญ และกลุ่ ม ท่ี 2 เน้ นทางด้ า นการศึก ษาเก่ีย วกั บ การ
ลงโทษผู้กระทำาความผิดซ่ึงมีสำานักคลาสสิกเป็ นสำานักสำาคัญ
6. อาชญากรรมในสั ง คมอาจแบ่ ง ออกได้ ห ลายลั ก ษณะคื อ อาชญากรรมพ้ืน ฐาน อาชญากรรมจากการ
ประกอบอาชีพ อาชญากรรมท่ีทำา เป็ นองค์การ อาชญากรรมท่ีทำา เป็ นอาชีพ อาชญากรรมทางการเมือง
และอาชญากรรมท่ีขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ในประเทศไทยอาชญากรรมท่ีร้ายแรงและไม่ร้าย
แรงเกิดขึ้นมาก
7. การจัดทำาสถิติอาชญากรรมทำาได้ 2 ทางด้วยกันคือ อย่างเป็ นทางราชการและไม่เป็ นทางราชการ
8. สถิติอาชญากรรมท่ีไม่ใช่ทางราชการ อาจให้ข้อมูลเพ่ม ิ เติมได้ว่าอาชญากรรมเกิดขึ้นในสังคมมีมากกว่าท่ี
ปรากฏในสถิติของทางราชการ เกณฑ์วัดการเกิดขึ้นของอาชญากรรมว่าเพ่ม ิ ขึ้นหรือลดลงในระหว่างปี ท่ี
ศึกษา อาจทำาได้โดยเปรียบเทียบสถิติอาชญากรรมต่อประชากร 100,000 คน
อาชญากรรมและอาชญากร
นิยามอาชญากรรมมีแบ่งออกเป็ นก่ีนิยาม อะไรบ้าง และสถิติอาชญากรรมของทางราชการอาศัยนิยามอะไร
เป็ นหลัก
นิยามอาชญากรรมมี 2 นิยาม คือ นิยามตามกฎหมายและนิยามทางสังคม สถิติของทางราชการใช้นิยาม
ตามกฎหมาย
ผู้กระทำาความผิดท่ีต้องโทษในเรือนจำาไทยส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มอายุใด
ผู้กระทำาความผิดท่ีต้องโทษในเรือนจำาของไทยส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มอายุ 21-25 ปี
อาชญาวิทยาและสำานักอาชญาวิทยา
สำานักคลาสสิก มีทัศนะเก่ียวกับอาชญากรรมอย่างไร
สำานักคลาสสิกเห็นว่า อาชญากรรมเกิดจากเจตน์จำานงอิสระของบุคคลท่ีแสวงหาความสุขและได้ประกอบ
กรรมอันนัน
้ โดยเจตนา เพราะฉะนัน้ จึงเน้นการศึกษาท่ีอาชญากรรม
สำานักโปซิตีพและสำานักป้ องกันสังคมมีทัศนะเก่ียวกับอาชญากรรมเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
สำานักโปสซิตพ ี และสำานักป้ องกันสังคม เห็นพ้องกันว่าอาชญากรรมมิใช่เป็ นการกระทำาโดยเจตนาหากแต่ผู้
ถูกบังคับให้กระทำา อย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ และตัวท่ีบังคับให้กระทำา นัน
้ อาจเป็ นปั จจัยทางชีววิทยา ทางจิตวิทยา หรือ
ทางสังคมวิทยาก็ได้ เพราะฉะนัน ้ จึงเน้นให้ศึกษาผู้กระทำาความผิดเพ่ ือค้นหาสาเหตุโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
ลักษณะและขอบเขตของอาชญากรรม
อาชญากรรมพ้ืนฐานได้แก่ อาชญากรรมประเภทใด
อาชญากรรมพ้ืนฐานเป็ นอาชญากรรมท่ีเกิดขึ้นในทุกสังคมตัง้แต่โบราณกาล คือ ความผิดต่อชีวิตร่างกาย
และทรัพย์สินและเพศ เช่น ทำา ร้ายร่า งกาย ลักทรัพย์ ว่ิง ราวทรัพย์ ชิงทรัพ ย์ ปล้นทรัพ ย์ และข่มขื นกระทำา ชำา เรา
เป็ นต้น
อาชญากรรมพ้ืนฐานต่างจากอาชญากรรมท่ีจัดเป็ นองค์การอย่างไร
อาชญากรรมพ้ืน ฐานแตกต่ า งจากอาชญากรรมท่ีจั ด เป็ นองค์ ก าร ตรงท่ีอ าชญากรรมพ้ืน ฐานเป็ น
อาชญากรรมท่ีทำาเป็ นส่วนบุคคล ส่วนอาชญากรรมท่ีเป็ นองค์การ มิใช่อาชญากรรมท่ท ี ำาเป็ นส่วนบุคคล แต่มีหน่วย
งานเป็ นผู้ดำาเนินการรับผิดชอบ ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็ นองค์การอาชญากรรมหรือองค์การนอกกฎหมาย เช่น การจัดให้มี
การค้าประเวณี เล่นการพนัน ค้ายาเสพติดหรือลักลอบขนของหนีภาษี เป็ นต้น
การจัดทำาสถิติและเกณฑ์วัดแนวโน้มของอาชญากรรม
สถิติอาชญากรรมของทางราชการอาจบอกอะไรแก่ผู้อ่านได้บ้าง
สถิติอาชญากรรมของทางราชการอาจบอกให้ทราบว่ามีอาชญากรรมอะไรเกิดขึ้นในสังคมในแต่ละปี และ
สะท้อนให้เห็นการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานตำารวจเก่ียวกับการปราบปรามอาชญากรรม
ทฤษฎีสาเหตุของอาชญากรรม
1. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมมีท่ีมาจากทฤษฎีของสำานักคลาสสิกและสำานักโปซิตพ ี
2. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชีววิทยาบอกว่า อาชญากรรมเกิดจากความผิดปกติทางกายภาพอันมีผลสืบ
เน่ ืองมาจากพันธุกรรม
3. ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยาอธิบายว่า อาชญากรรมเกิดขึ้นจากความผิดปกติทางอารมณ์ ทางจิต
และทางบุคลิกภาพ
4. ทฤษฎี ส าเหตุ อ าชญากรรมทางสั ง คมวิ ท ยาอธิ บ ายว่ า อาชญากรรมเกิ ด จากอิ ท ธิ พ ลของสั ง คมและส่ิง
แวดล้อม
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางชีววิทยา
ทฤษฎีสาเหตุของอาชญากรรมทางชีววิทยาท่ีสำาคัญมีก่ีทฤษฎี อะไรบ้าง
มี 4 ทฤษฎีใหญ่ คือ
(1) ทฤษฎีรูปร่างลักษณะทางกาย
(2) ทฤษฎีโครโมโซม ผิดปกติ
(3) ทฤษฎีปัญญาอ่อนกับอาชญากรรม
(4) ทฤษฎีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
ทฤษฎีรูปร่างลักษณะทางกายเห็นว่าผู้ท่ีมีลักษณะทางกายอย่างไรจะประกอบอาชญากรรมมากท่ีสุด
ทฤษฎีรูปร่างลักษณะทางกายเห็นว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ท่ีมีร่างกายแข็งแรงแบบนักกีฬา จะกระทำาความผิดมาก
ท่ีสุด
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยา
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางจิตวิทยามีก่ีทฤษฎี อะไรบ้าง
ทฤษฎี ส าเหตุ อ าชญากรรมทางจิ ต วิ ท ยามี 4 ทฤษฎี ด้ ว ยกั น คื อ (1) ทฤษฎี ค วามผิ ด ปกติ ท างจิ ต กั บ
อาชญากรรม (2) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (3) ทฤษฎีปัญหาทางอารมณ์กับอาชญากรรม และ (4) ทฤษฎีพยาธิสภาพ
ทางจิตกับอาชญากรรม
ทฤษฎีพยาธิสภาพทางจิตกับอาชญากรรม สามารถอธิบายอาชญากรรมได้เพียงไร
ทฤษฎีพยาธิสภาพทางจิตกับอาชญากรรม พยายามอธิบายว่าอาชญากรรมเกิดจากพยาธิสภาพทางจิตต่างๆ
นานา แต่จากการศึกษาปรากฏว่า ไม่ปรากฏว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างพยาธิสภาพทางจิตกับอาชญากรรม และการ
วิเคราะห์พยาธิสภาพทางจิต เป็ นเร่ ืองอัตตวิสัยของจิตแพทย์แต่ละคน ทำาให้ผลการวิเคราะห์แตกต่างกันมาก
ทฤษฎีสาเหตุอาชญากรรมทางสังคมวิทยา
ทฤษฎีความไร้กฎเกณฑ์ของโรเบิร์ต เค เมอร์ตัน เสนอรูปแบบของการปรับตัวของชาวอเมริกันมีก่ีแบบ
อะไรบ้าง
ทฤษฎีความไร้กฎเกณฑ์เสนอรูปแบบของการปรับตัวของชาวอเมริกันไว้ 5 รูปแบบด้วยกัน คือ
(1) แบบคล้อยตาม
(2) แบบทำาขึ้นใหม่
(3) แบบพิธีการ
(4) แบบถอยหลังเข้าคลอง
(5) แบบปฏิวัติ
ทฤษฎีการควบคุมภายนอกและภายในกล่าวไว้อย่างไรเก่ียวกับสาเหตุของอาชญากรรม และท่านคิดว่าจะ
นำาทฤษฎีนีม
้ าใช้อธิบายสถานภาพอาชญากรรมในประเทศไทยได้หรือไม่ อย่างไร จงให้ความเห็น
ทฤษฎีการควบคุมภายนอกและควบคุมภายในเสนอว่าถ้าการควบคุมภายนอกเข้มแข็ง และบุคลิกมีการ
ควบคุมภายในเข้มแข็งด้วย อาชญากรรมจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าการควบคุมภายนอกเข้มแข็ง แต่การควบคุมภายในอ่อน
โอกาสประกอบอาชญากรรมย่อมเกิดขึ้น ซ่ึงถ้าการควบคุมทัง้ภายนอกและภายในอ่อนแอ อาชญากรรมย่อมจะเกิด
ขึ้นมากโดยไม่จำากัดเวลาและสถานท่ี
หน่วยท่ี 3 การใช้บังคับกฎหมายอาญา
3.1 ลักษณะการใช้กฎหมายอาญา
1. กฎหมายอาญาต้ องมี บ ทบั ญ ญั ติ ค วามผิ ด และบทลงโทษไว้ เ ป็ น ลายลั ก ษณ์ อั ก ษรอย่ า งชั ด แจ้ ง และ
แน่นอน
2. กฎหมายอาญาต้องตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด
3. กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้ผลร้ายแก่ผู้กระทำา โดยบัญญัติเป็ นความผิดหรือเพ่ิมโทษในภายหลังมิได้
3.1.1 กฎหมายอาญาต้องมีบทบัญญัติโดยชัดแจ้ง
กฎหมายอาญาต้องมีบทบัญญัติโดยชัดแจ้งนัน ้ หมายความว่าอย่างไร
กฎหมายอาญาต้องมีบทบัญญัติโดยชัดแจ้ง หมายความว่า กฎหมายอาญาจะต้องมีบทบัญญัติไว้เ ป็ นลาย
ลักษณ์อักษร โดยบัญญัตค ิ วามผิดและโทษไว้ในขณะกระทำา และบทบัญญัตินัน ้ ต้องชัดเจนปราศจากการคลุมเครือมิ
ฉะนัน
้ จะใช้บังคับมิได้ ซ่ึงประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติรับรองไว้ในมาตรา 2 ท่ีว่าบุคคลจักต้องรับโทษในทาง
อาญาต่อเม่ ือได้กระทำาการอันกฎหมายท่ีใช้ขณะกระทำาการนัน ้ บัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะ
ลงแก่ผู้กระทำาผิดนัน
้ ต้องเป็ นโทษท่กี ำาหนดไว้ในกฎหมาย
3.1.2 กฎหมายอาญาต้องมีตีความโดยเคร่งครัด
ท่ีวากฎหมายอาญาจะต้องตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดนัน ้ มีความหมายอย่างไร
ท่ีว่ากฎหมายอาญาจะต้องตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดนัน ้ หมายความว่า กฎหมายบัญญัติการกระทำา
ใดเป็ นความผิดและต้องรับโทษในทางอาญาแล้ว ต้องถือว่าการกระทำา นัน ้ ๆ เท่านัน ้ ท่ีเป็ นความผิดและผูกระทำา ถูก
ลงโทษจะรวมถึงการกระทำาอ่ ืนๆด้วยไม่ได้ อย่างไรก็ดีในบางกรณีการตีความตามตัวอักษรแต่เพียงอย่างเดียว ยังไม่
อาจทำา ให้ เ ข้ า ใจความหมายท่แี ท้ จ ริ ง ของบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง กฎหมายได้ ด้ ว ยเหตุ นี จ้ึ ง ต้ อ งคำา นึ ง ถึ ง เจตนารมณ์ ข อง
กฎหมายด้วยนอกจากนี ก ้ ารตีความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดดังกล่าวมีความหม
เป็ นคุณแก่ผู้กระทำาเท่านัน
้ มิใช่ในทางท่ีจะเป็ นโทษแก่ผู้กระทำา
3.1.3 กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้ผลร้ายมิได้
กฎหมายอาญาย้อนหลังเป็ นผลร้ายมิได้นัน ้ มีความหมายครอบคลุมเพียงใด
ท่ีว่ากฎหมายอาญาย้อนหลังเป็ นผลร้ายมิได้นัน ้ มีความหมายครอบคลุมใน 2 กรณี ดังต่อไปนี้
(1) กฎหมายอาญา จะย้อนหลังเพ่ อ ื ลงโทษมิได้ กล่าวคือในเม่ ือไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิดไว้ใน
ขณะกระทำา จึง ใช้บัง คับกฎหมายท่บ ี ั ญญัติใ นภายหลัง ย้อ นหลัง กลับ ไปให้ถือว่า การกระทำา นัน ้ เป็ น
ความผิด และลงโทษบุคคลผู้กระทำานัน ้ มิได้
(2) กฎหมายอาญาจะย้อนหลัง เพ่ อ ื เพ่ิมโทษหรือเพ่ิมอายุค วามมิได้ กล่าวคือในขณะกระทำา มีกฎหมาย
บัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้ ต่อมามีกฎหมายใหม่บัญญัติเพ่ิมโทษการกระทำา ดังกล่าวนัน ้
ให้หนักขึ้น หรือเพ่ิมอายุความแห่งโทษหรืออายุความแห่งการฟ้ องร้องผู้กระทำาผิดนัน ้ ให้ยาวย่ิงขึ้น จะ
3.2 การใช้กฎหมายอาญาในส่วนท่ีเก่ียวกับเวลา
1. กฎหมายท่ีบัญญัติขึ้นในภายหลังแตกต่างไปจากกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทำาผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วน
ท่ีเป็ นคุณแก่ผู้กระทำาผิด
2. วิธีการเพ่ ือความปลอดภัย จะใช้บัง คับแก่บุคคลใดก็ต่อเม่ ือมีบทบั ญญัติแห่ง กฎหมายให้ใ ช้บัง คับได้
เท่านัน ้ และกฎหมายท่ีจะใช้บังคับนัน
้ ให้ใช้กฎหมายในขณะท่ีศาลพิพากษา
กรณีกฎหมายใหม่เป็ นคุณแก่ผู้กระทำาผิด
3.2.1
การใช้บังคับกฎหมายอาญาย้อนหลังเป็ นผลดีแก่ผู้กระทำานัน ้ มีกรณีใดบ้าง อธิบาย
การใช้บังคับกฎหมายอาญาย้อนหลังเป็ นผลดีแก่ผู้กระทำา นัน ้ มี 2 กรณี ได้แก่กฎหมายใหม่ยกเลิกความ
ผิดตามกฎหมายเก่า และกรณีกฎหมายใหม่แตกต่างจากกฎหมายเก่า
(1) กรณีกฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดตามกฎหมายเก่า ได้แก่กฎหมายท่ีออกมาในภายหลังบัญญัติให้การ
กระทำานัน ้ ไม่เป็ นความผิดตามกฎหมายเก่า และกรณีใหม่แตกต่างจากกฎหมายเก่า
- ผู้ ก ระทำา นั น ้ พ้ น จากการเป็ น ผู้ ก ระทำา ผิ ด กล่ า วคื อ หากมี ก ฎหมายใหม่ ย กเลิ ก ความผิ ด ตาม
กฎหมายเก่า ในขณะท่ีไม่มีคำาพิพากษาถึงท่ีสุดให้คดีนัน ้ เป็ นอันยุติ นัน
้ คือผู้กระทำา ความผิดนัน้
พ้นจากการเป็ นผู้กระทำาความผิดโดยอัตโนมัติ
- กรณี ถื อ ว่ า ผู้ ก ระทำา ไม่ เ คยต้ อ งคำา พิ พ ากษา หรื อ ให้ พ้ น จากการถู ก กล่ า วโทษกล่ า วคื อ หากมี
กฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดตามกฎหมายเก่า ในขณะท่ีได้มีคำาพิพากษาถคงท่ีสุดให้ลงโทษแล้ว
ก็ให้ถือว่าผู้นัน
้ ไม่เคยต้องคำาพิพากษาว่าได้กระทำาความผิดนัน ้ เลย และหากเป็ นกรณีท่ีบุคคลนัน ้
ยังอยู่ในขณะรับโทษ ก็ให้การลงโทษนัน ้ สิน
้ สุดลงและปล่อยตัวบุคคลนัน ้ ไป
(2) กรณี ก ฎหมายใหม่ แ ตกต่ า งจากกฎหมายเก่ า ได้ แ ก่ ก ฎหมายท่ีใ ช้ บั ง คั บ ในภายหลั ง แตกต่ า งกั บ
กฎหมายท่ีใช้บังคับในขณะกระทำาความผิด ซ่ึงอาจแบ่งแยกได้เป็ น 2 กรณี ดังนี้
- กรณีคดียังไม่ถึงท่ีสุด กล่าวคือ หากกฎหมายท่ีใช้ภายหลังแตกต่างกับกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระทำา
ผิด ในกรณีคดียังไม่ถึงท่ีสุดให้ใช้กฎหมายในส่วนท่ีเป็ นคุณแก่ผู้กระทำาความผิด ไม่ว่าในทางใด
- กรณี ค ดี ถึ ง ท่ีสุ ด แล้ ว และโทษท่ีกำา หนดตามคำา พิ พ ากษาหนั ก แก่ โ ทษท่ีกำา หนดตามกฎหมายท่ี
บัญญัติในภายหลัง ในเม่ ือผู้กระทำายังไม่ได้รับโทษ หรือกำาลังรับโทษอยู่อาจแยกเป็ น 2 กรณี ได้แก่
กรณีโทษตามคำาพิพากษามิใช่โทษประหารชีวิต หากผู้กระทำาความผิดยังไม่ได้รับโทษศาลต้อง
กำาหนดโทษใหม่ตามกฎหมายท่ีใช้บัญญัติในภายหลังในเม่ ือผู้กระทำา ความผิด ผู้แทนโดยชอบ
ธรรมหรือพนักงานอัยการร้องขอและหากผู้กระทำาความผิดกำาลังรับโทษอยู่ ศาลจะต้องกำาหนด
โทษเสียใหม่ตามกฎหมายท่ีบัญญัติในภายหลัง ในกรณีท่ีศาลจะกำา หนดโทษใหม่นี ห ้ ากเห็น
เป็ นการสมควรจะกำา หนดโทษน้อยกว่า โทษขัน ้ ต่ำา ตามกฎหมายใหม่ หรื อศาลจะปล่ อ ยตั วผู้
กระทำาผิดไปก็ได้
กรณีโทษตามคำาพิพากษาเป็ นโทษประหารชีวิต และตามกฎหมายใหม่โทษท่ีจะลงแก่ผู้กระทำา
ความผิดไม่ถึงกับประหารชีวิต กรณีเช่นนีใ้ห้งดโทษประหารชีวิตแก่ผู้กระทำา ผิด และให้ถือว่า
โทษประหารชีวิตตามคำา พิพากษาได้เปล่ียนเป็ นโทษสูงสุดท่ีจะลงได้ตามกฎหมายใหม่ โดยไม่
ต้องมีการร้องขอหรือใช้ดุลพินิจของศาล
ศาลจัง หวั ด นนทบุ รีพิพ ากษาจำา คุ กนายเขี ย ว 1 เดื อน ฐานด่ ืม สุ ราในยามวิ กาล ต่อมารั ฐ ออกกฎหมาย
ยกเลิกความผิดดังกล่าว กฎหมายใหม่จะมีผลต่อนายเขียวประการใด ถ้าปรากฏว่า
(1) นายเขียวอุทธรณ์คำาพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์ และคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล
อุทธรณ์
(2) นายเขียวไม่อุท ธรณ์ ทำา ให้คำา พิพ ากษาศาลจัง หวัด นนทบุรี ถึง ท่ีสุดและนายเขียวกำา ลัง รั บ
โทษจำาคุกอยู่
(3) นายเขียวไม่อุทธรณ์ ทำาให้คำาพิพากษาศาลจังหวัดนนทบุรีถึงท่ีสุดโดยนายเขียวได้รับโทษจำา
คุกครบกำาหนดและพ้นโทษไปแล้ว
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 บัญญัติไว้ว่า “บุคคลจะต้องรับโทษทางอาญาต่อเม่ ือได้กระทำา การอัน
กฎหมายท่ีใช้ในขณะนัน ้ บัญญัติเป็ นความผิดและกำาหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะลงแก่ผู้กระทำา ผิดต้องเป็ นโทษตามท่ี
บัญญัติไว้ในกฎหมาย
ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายท่ีบัญญัติใ นภายหลัง การกระทำา เช่นนัน ้ ไม่เ ป็ นความผิดต่อไป ให้ผู้ท่ีได้
กระทำาการนัน ้ พ้นจากการเป็ นผู้กระทำาความผิด และถ้าได้มีคำาพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นัน ้ ไม่เคย
ต้องคำาพิพากษาว่าได้กระทำาความผิด ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษสิน ้ สุดลง
บทบัญญัตินีไ้ด้วางหลักในการบังคับใช้กฎหมายอาญาไว้ว่า กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังไปบังคับใช้กับ
ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นก่อนวันท่ีกฎหมายอาญาใช้บังคับ แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ว่าในกรณีกฎหมายภายหลัง
บัญญัติยกเลิกความผิด กฎหมายใหม่นีม ้ ีผลย้อนหลังได้ ซ่ึงจะมีผลต่อผู้การกระทำานัน้ ดังนี้
(1) ให้ผู้กระทำาพ้นความผิดทันที
(2) ถ้ามีคำาพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษแล้ว ให้ถือว่าผู้กระทำาไม่เคยต้องคำาพิพากษาว่าได้กระทำาความผิด
(3) ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษสิน ้ สุดลง
จากข้อเท็จจริงตามปั ญหา ศาลจังหวัดนนทบุรีพพ ิ ากษาจำาคุกนายเขียว 1 เดือน ฐานด่ ืมสุราในยามวิกาลต่อ
มามีกฎหมายยกเลิกความผิดนัน ้ เสีย กรณีนีเ้ป็ นเร่ ืองกฎหมายภายหลังออกมาการยกเลิกความผิด ฉะนัน ้ กฎหมาย
ใหม่ย่อมมีผลย้อนหลังได้ ซ่ึงย่อมทำาให้นายเขียวได้รับผลตามท่ีกฎหมายกำาหนดไว้ ดังต่อไปนี้
กรณีแรก นายเขียวอุทธรณ์คำาพิพากษา แสดงว่า คำาพิพากษายังไม่ถึงท่ีสุด เม่ อ ื เป็ นเช่นนีต
้ ้องถือว่า นาย
เขียวพ้นความผิดไปทันที เจ้าพนักงานจะดำาเนินคดีกับนายเขียวต่อไปอีกไม่ได้ ต้องปล่อยตัวนายเขียว
กรณีท่ีสอง นายเขียวไม่อุทธรณ์ และรับโทษตามคำาพิพากษา กรณีนีต ้ ้องระงับโทษนายเขียว และปล่อยตัว
โดยถือว่านายเขียวไม่เคยต้องคำาพิพากษาว่าได้กระทำาความผิด
กรณีท่ีสาม นายเขียว รับโทษตามคำา พิพากษาอันถึงท่ีสุดครบกำา หนด และพ้นโทษแล้ว ก็เป็ นกรณีท่ีมีคำา
พิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษ เม่ อื กฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดท่ีนายเขียวได้กระทำาก็ต้องถือว่า นายเขียวไม่เคยต้องคำา
พิพากษาว่าได้กระทำาความผิด
กรณีวิธีการเพ่ ือความปลอดภัย
3.2.2
การใช้บังคับวิธีการเพ่ ือความปลอดภัยมีหลักเกณฑ์ประการใดบ้าง
หลักเกณฑ์การใช้บังคับวิธีการเพ่ ือความปลอดภัยนัน ้ มีบทบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 12
ซ่ึงประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการดังต่อไปนี้
(1) วิธีการเพ่ ือความปลอดภัยท่ีจะใช้บังคับได้ต้องเป็ นวิธีการท่ีกฎหมายกำาหนดไว้ เพราะวิธีการเพ่ ือความ
ปลอดภัยเป็ นเร่ ืองของการจำากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ฉะนัน ้ จะใช้บังคับได้ต่อเม่ ือมีกฎหมายให้
อำานาจไว้โดยชัดแจ้งเท่านัน้ และ
(2) กฎหมายท่ีจะนำา มาใช้ บัง คับ เก่ีย วกั บ วิ ธีก ารเพ่ ือความปลอดภั ยได้ต้ องเป็ นกฎหมายในขณะท่ีศ าล
พิพากษาคดี มิใช่กฎหมายในขณะท่ีพฤติการณ์อันเป็ นเหตุให้อาจนำา วิธีการเพ่ ือความปลอดภัยมาใช้
นัน
้ ได้เ กิดขึ้น เหตุผลก็คือ วิธีการเพ่ ือความปลอดภัยไม่ใช่โทษ แต่เป็ นวิธีการเพ่ ือป้ องกันสัง คมให้
ปลอดภัยจากการท่ีบุคคลนัน ้ กระทำาความผิดในภายภาคหน้า
3.3 การใช้กฎหมายอาญาในส่วนท่ีเก่ียวกับพ้ืนท่ี
1. ผู้ใดกระทำา ความผิดในราชอาณาจักรต้องรับโทษตามกฎหมาย การกระทำา ความผิดในเรื อไทย หรือ
อากาศยานไทย ไม่ว่าจะอยู่ ณ ท่ีใด ให้ถือว่ากระทำาความผิดในราชอาณาจักร
2. รัฐมีอำา นาจลงโทษผู้กระทำา ความผิดนอกราชอาณาจักรได้ในความผิดท่ีเป็ นผลโดยตรงต่อความสงบ
เรียบร้อยและความมัน ่ คงแห่งราชอาณาจักร รวมทัง้ในระหว่างรัฐต่างๆ โดยไม่คำา นึงถึงสัญชาติของผู้
กระทำาผิด
3. รั ฐ บาลมี อำา นาจลงโทษคนในสั ญ ชาติ ท ่ีก ระทำา ความผิ ด ต่ อ บุ ค คลในสั ญ ชาติ แม้ ก ระทำา นอกราช
อาณาเขตก็ตาม ทัง้นีภ ้ ายใต้ขอบเขตท่ีจำากัด
4. การกระทำาความผิดอันเดียวอาจตกอยู่ในอำานาจของศาลหลายรัฐ ดังนัน ้ หากมีการดำาเนินคดีเดียวกัน
ซ้ำา อี ก ครั ง้ หน่ึง ก็ จ ะเกิ ด ความไม่ เ ป็ น ธรรมท่ีผู้ ก ระทำา ความผิ ด อาจถู ก ลงโทษสองครั ง้ ในความผิ ด
เดียวกัน จึงต้องอาศัยหลักการคำานึงถึงคำาพิพากษาของศาลต่างประเทศประกอบด้วย
3.3.1 หลักดินแดน
ในกรณีใดบ้างท่ีกฎหมายให้ถือว่าเป็ นการกระทำาความผิดในราชอาณาจักร จงอธิบาย
กรณีท่ีกฎหมายให้ถือว่าเป็ นการกระทำาความผิดในราชอาณาจักรมีดังต่อไปนี้
(1) กระทำา ความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยไม่ว่าอยู่ท่ีใด(แต่ต้องอยู่นอกราชอาณาจักร)
ตามมาตรา 4 วรรค 2
(2) การกระทำาความผิดบางส่วนในราชอาณาจักร และบางส่วนนอกราชอาณาจักรตามมาตรา 5
วรรคแรก
(3) การกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทำาเกิดขึ้นในราชอาณาจักร โดยผู้
กระทำาประสงค์ให้ผลเกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(4) การกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร และผลแห่งการกระทำา ผิดเกิดในราชอาณาจักรโดย
ลักษณะแห่งการกระทำา ผลนัน ้ ควรเกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(5) การกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร และผลของการกระทำา เกิดขึ้นในราชอาณาจักร โดย
ย่อมจะเล็งเห็นได้ว่า ผลนัน ้ จะเกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 5 วรรคแรก
(6) การตระเตรียมการนอกราชอาณาจักร ซ่ึงกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิด ถ้าหากการกระทำา
นัน้ จะได้กระทำาตลอดไปจนถึงขัน ้ ความผิดสำาเร็จ ผลจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 5
วรรค 2
(7) การพยายามกระทำาการนอกราชอาณาจักร ซ่ึงกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิด ถ้าหากการกระ
ทำา นัน
้ จะได้กระทำาตลอดไปจนจนถึงขัน ้ ความผิดสำา เร็จ ผลจะเกิดขึ้นในราชอาณาจักร ตาม
มาตรา 5 วรรค 2
(8) ตัวการร่วม ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ได้กระทำานอกราชอาณาจักรโดยความผิดนัน ้ ได้กระทำาใน
ราชอาณาจักรหรือกฎหมายให้ถือว่าได้กระทำาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 6
บุคคลผู้กระทำาความผิดในราชอาณาจักรจะต้องรับโทษตามกฎหมายเสมอไปหรือไม่เพราะเหตุใด
บุคคลผู้กระทำาความผิดในราชอาณาจักร โดยหลักแล้วจะต้องรับโทษตามกฎหมาย ดังท่ี ปอ. บัญญัติไว้ใน
มาตรา 4 วรรคแรก โดยไม่คำานึงถึงว่าผู้กระทำาผิดจะเป็ นบุคคลสัญชาติใด อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นบางประการดังนี้
(1) ข้อยกเว้นตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ได้แก่ องค์พระมหากษัตริย์ซ่ึงดำา รงอยู่ในฐานะอันเป็ น
ท่เี คารพสักการะผู้ใ ดจะละเมิดมิ ได้ รวมทัง้ สมาชิกสภานิ ติบั ญ ญัติ ผู้ท ่ีเ ก่ีย วข้ องแต่ภ ายใต้
ขอบเขตท่จี ำากัด
(2) ข้อยกเว้นตามกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได้แก่ ประมุขของรัฐต่างประเทศ ทูต
และบุ ค คลในคณะทู ต ตลอดจนครอบครั ว เรื อ รบและกองทหารของต่ า งประเทศในราช
อาณาจักร
(3) ข้ อ ยกเว้ น ตามกฎหมายพิ เ ศษ เช่ น พระราชบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยการดำา เนิ น งานขององค์ ก าร
สหประชาชาติและทบวงการชำา นาญพิเศษแห่งสหประชาชาติในประเทศไทย พ.ศ. 2495
เป็ นต้น
3.3.2 หลักอำานาจลงโทษสากล
เพราะเหตุใดกฎหมายไทยจึงรับรองหลักอำานาจโทษสากล ซ่ึงมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา
7
เหตุท่ีกฎหมายไทยรับรองอำานาจลงโทษสากล โดยมีบัญญัติไว้ในมาตรา 7 เพราะการกระทำาความผิดนอก
ราชอาณาจักรตามท่ีระบุไว้ในมาตรา 7 เป็ นภัยโดยตรงต่อความสงบเรียบร้อยและความมัน ่ คงของประเทศรวมทัง้ใน
ระหว่างรัฐต่างๆ กล่าวคือ ความผิดเก่ียวกับความมัน
่ คงแห่งราชอาณาจักรตามมาตรา 7(1) เป็ นหลักป้ องกันตนเอง
ของรัฐ ความผิดเก่ียวกับการปลอมแปลงเงินตรา แสตมป์ ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือตัว๋เงิน ตามมาตรา 7(2) เป็ นหลัก
ป้ องกันทางเศรษฐกิจ และความผิดฐานชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ในทะเลหลวง ตามมาตรา 7(3) เป็ นหลักป้ องกัน
สากล
3.3.3 หลักบุคคล
หม่อง คนพม่า ข่มขืน กี คนเวียตนามในเรือของมาเลเซีย ในขณะแล่นอยู่ในทะเลหลวง หากหม่องคนพม่า
หนีการจับกุมเข้ามาในประเทศไทย กี จะร้องขอให้ศาลไทยลงโทษหม่องในประเทศไทยได้หรือไม่เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 8 (3) มีสาระสำาคัญว่า ผู้ใดกระทำาความผิดฐานกระทำาชำาเราตามมาตรา
276 นอกราชอาณาจักร จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร ถ้า
(1) ผู้กระทำา ความผิดนัน ้ เป็ นคนไทย และรัฐ บาลแห่ง ประเทศท่ค ี วามผิดนัน
้ เกิดขึ้น หรือผู้
เสียหายได้ร้องขอ ให้ลงโทษ หรือ
(2) ผู้กระทำา ความผิดนัน ้ เป็ นคนต่างด้า ว และรัฐ บาลไทยหรือคนไทยเป็ นผู้เ สียหาย และผู้
เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ
ตามปั ญหา แม้ ค วามผิ ด ฐานข่ ม ขื น กระทำา ชำา เราจะเป็ นความผิ ด ท่ีร ะบุ ไ ว้ ใ นมาตรา 8 (3) แต่ ก ารกระ
ทำาความผิดฐานข่มขืนกระทำาชำาเรานอกราชอาณาจักรดังกล่าว หม่องผู้กระทำาความผิดและกีผู้เสียหายต่างก็เป็ นคน
ต่ า งด้ า ว กรณี ดั ง กล่ า วจึ ง ไม่ ต้ อ งด้ ว ยมาตรา 8 ทั ง้ (ก) และ (ข) กี ผู้ เ สี ย หายจึ ง ขอให้ ศ าลไทยลงโทษหม่ อ งใน
ประเทศไทยไม่ได้
3.3.4การคำานึงถึงคำาพิพากษาของศาลต่างประเทศ
ยูโซป คนมาเลเซีย ทำาร้ายกายแดงคนไทย เป็ นอันตรายสาหัส เหตุเกิดในสิงค์โปร์ ศาลสิงค์โปร์พพ ิ ากษาจำา
คุกเพียง 6 เดือน เม่ ือพ้นโทษยูโซป ได้เดินทางมาท่องเท่ียวประเทศไทย แดงร้องขอให้ศาลไทยลงโทษอีก เพราะ
เห็นว่ายูโซปรับโทษจำา คุกในสิงค์โปร์เพียง 6 เดือน เท่านัน
้ ไม่สาสมกับความผิด ดังนีศ้ าลไทยจะลงโทษยูโซปได้อีก
หรือไม่เพราะเหตุใด
ตาม ปอ. มาตรา 10(2) มีสาระสำา คัญ ว่า ผู้ใ ดกระทำา การนอกราชอาณาจักรซ่ึง เป็ นความผิ ด ตามมาตรา
ต่างๆ ท่ีระบุไว้ในมาตรา 8 ห้ามมิใ ห้ลงโทษผู้นัน้ ในราชอาณาจักรเพราะการกระทำา นัน ้ อีก ถ้าศาลในต่างประเทศ
พิพากษาให้ลงโทษและผู้นัน ้ ได้พ้นโทษแล้ว
ตามปั ญหาท่ีกล่าวถึง ยูโซปคนมาเลเซีย ทำาร้ายร่างกายแดงคนไทยเป็ นอันตรายสาหัส เหตุเกิดในสิงค์โปร์
ซ่ึงเป็ นสถานท่ีนอกราชอาณาจักร ความผิดฐานทำาร้ายร่างกายจนเป็ นเหตุให้ผู้ถูกทำาร้ายได้รับอัตรายสาหัสตามมาตรา
297 เป็ นความผิดท่ีระบุไว้ในมาตรา 8 (5) ในเม่ ือศาลสิงค์โปร์พิพากษาให้ลงโทษยูโซปและยูโซปผู้กระทำาความผิด
ได้พ้นโทษแล้ว แม้แดงจะร้องขอให้ศาลลงโทษตามมาตรา 8 (ก) ศาลไทยก็จะพิพากษาลงโทษยูโซปอีกไม่ได้ตาม
มาตรา 10(2) ดังกล่าว
เย คนพม่ า ชิ ง ทรั พ ย์ ล่ คนสิ ง ค์ โ ปร์ ในเรื อ ไทยขณะจอดอยู่ ท ่ีท่ า เรื อ ในประเทศพม่ า หากศาลพม่ า ได้
พิพากษาลงโทษจำาคุกเย 5 ปี เม่ อ ื พ้นโทษแล้ว เยได้เดินทางเข้ามาติดต่อการค้าท่ีจังหวัดระนอง และลีมิได้ร้องขอให้
ศาลไทยลงโทษอีก เช่นนีศ ้ าลไทยจะลงโทษเยอีกสำาหรับความผิดนัน ้ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
1. บุคคลจะต้องรับโทษในทางอาญาตามหลักเกณฑ์คือ กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำาบัญญัติว่าการกระทำานัน
้ เป็ น
ความผิดและกำาหนดโทษไว้
2. การใช้บังคับกฎหมายนัน
้ เม่ ือไม่ มี กฎหมายท่ีจะยกมาปรั บแก่ ค ดี ได้ จ ะต้ องดำา เนิ น การคื อ จะต้ อ งปล่ อ ยตัว ผู้
ต้องหาไป
3. กรณีกฎหมายใหม่บัญญัติแตกต่างไปจากกฎหมายขณะกระทำาความผิด จะใช้กฎหมายใหม่ในส่วนที่เป็ นคุณแก่
ผูก้ ระทำาความผิดไม่ว่าทางใดๆ
4. วิ ธี ก ารเพ่ ือ ความปลอดภั ย นั น้ จะใช้ บั ง คั บ ในกรณี กฎหมายให้ อำา นาจไว้ แ ละให้ ใ ช้ ก ฎหมายในขณะที่ ศ าล
พิพากษา
5. ความหมายของราชอาณาจักรนัน ้ รวมถึงทะเล อาณาเขตระยะ 12 ไมล์ทะเล ห่างจากชายฝั่ ง อันเป็ นอาณาเขต
ของประเทศไทย
6. กระทำา ความผิด ในอากาศยานไทยซ่ ึงอยู่นอกประเทศไทย กฎหมายให้ถือว่ากระทำา ความผิดในราชอาณาจักร
ตามประมวลกฎหมายอาญา
7. การตระเตรียมการกระทำาความผิดนอกราชอาณาจักร เช่น ตระเตรียมการวางเพลิงเผาทรัพย์ ท่ีต้องรับโทษใน
ราชอาณาจักร
8. ความผิ ด เก่ียวกั บ ชิงทรัพ ย์ และปล้ น ทรัพ ย์ หากเป็ นความผิ ดท่ไี ด้ กระทำา ในทะเลหลวงจะต้ องรั บโทษในราช
อาณาจักร โดยไม่คำานึงถึงว่าผู้กระทำาหรือผู้เสียหายจะเป็ นคนสัญชาติใด
9. แดงอยู่ฝั่งลาว ใช้ปืนยิงดำา ซ่ ึงอยู่ฝั่งไทยถึงแก่ความตาย แดงต้องรับโทษในประเทศไทยเพราะ ความผิดนัน ้ ได้
กระทำาความผิดส่วนหน่ ึงส่วนใดในราชอาณาจักร
10. ขาวคนมาเลเซียชิงทรัพย์เขียวคนไทยในเรือไทยท่จี อดอยู่ท่าเรือสิงคโปร์ ศาลสิงคโปร์ได้ลงโทษจำาคุกขาว เม่ ือพ้น
โทษแล้ว ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และเขี ยวมิได้ร้องขอให้ศาลไทยลงโทษขาวอีก ดังนั น ้ ศาลไทยจะ
ลงโทษขาวสำาหรับความผิดนัน ้ อีกได้ โดยคำานึงถึงโทษท่ีได้รับมาแล้ว
11. หลักการตีความกฎหมายอาญา คือตีความโดยเคร่งครัดตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมาย
12. บทบัญญัติของกฎหมายอาญาท่ีว่า ต้องชัดเจนปราศจากความคลุมเครือ นัน ้ หมายความว่า ต้องชัดเจนแน่นอน
พอสมควร
13. เข้ าทำา ไร่ ใ นป่ าสงวน เป็ น ความผิ ด ตาม พ.ร.บ. ป่ าไม้ พ.ศ. 2507 ต่ อมามี ห นัง สื อของนายกรั ฐมนตรีไม่ใ ห้
เอาผิดแก่ราษฎรท่ีเข้าทำาไร่อยู่ก่อน ทัง้นีร้าษฎรนัน ้ ยังต้องมีความผิดหรือต้องรับโทษเพราะหนังสือของนายก
รัฐมนตรีมิใช่กฎหมาย
14. วัตถุประสงค์ของวิธีการเพ่ ือความปลอดภัย เพ่ ือป้องกันสังคมให้ปลอดภัยจากการที่บุคคลนัน ้ จะกระทำาความผิด
ในอนาคต
15. การใช้ปืนยิงคนจนถึงแก่ความตายนัน ้ ขณะถูกยิงแล้วก่อนจะสิน ้ ใจ คือผลท่ีเป็ นจุดประสงค์ใกล้ชิด
16. กระทำา ความผิ ด ในเรื อไทยซ่ ึง อยู่ น อกประเทศไทย กฎหมายให้ ถือ ว่ ากระทำา ความผิ ด ในราชอาณาจั ก รตาม
ประมวลกฎหมายอาญา
17. หม่องคนพม่าเข้ามาราดน้ำามันเพ่ ือเผาส้มคนไทยในเขตไทย แต่ยังไม่ทันได้จุดไฟก็ถูกตำา รวจไทยจับได้เสียก่อน
โดยท่ีหม่องได้ตระเตรียมอุปกรณ์วางแผนตัง้แต่อยู่ในเขตพม่า หม่องจะต้องรับโทษในประเทศไทยด้วยเหตุผล
กระทำาความผิดในราชอาณาจักร
หน่วยท่ี 4 ความรับผิดทางอาญา
โครงสร้างรับผิดทางอาญา
1. การกระทำาครบ “องค์ประกอบ” ท่ีกฎหมายบัญญัติหมายความว่า
(1) ผู้กระทำาจะต้องมี “การกระทำา”
(2) การกระทำานัน ้ จะต้องครบ “องค์ประกอบภายนอก” ท่ีกฎหมายบัญญัติไว้
(3) การกระทำาจะต้องครบ “องค์ประกอบภายใน” ท่ีกฎหมายบัญญัติไว้
(4) ผลของการกระทำาจะต้องสัมพันธ์กับการกระทำาตามหลักในเร่ ืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและ
ผล
2. การกระทำาท่ีครบตามหลักเกณฑ์ข้างต้นทัง้ 4 ประการนัน
้ จะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
3. การกระทำาท่ีไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษด้วย
การกระทำาครบองค์ประกอบท่ีกฎหมายบัญญัติ
การกระทำาท่ีครบ “องค์ประกอบ” ท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ หมายความว่าอย่างไร
การกระทำาท่ีครบองค์ประกอบ ท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ หมายความว่า ผู้กระทำามีการกระทำา การกระทำานัน
้
ครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดในเร่ ืองนัน ้ ๆ การกระทำานัน
้ ครบองค์ประกอบภายในของความผิดในเร่ ือง
นัน
้ ๆ และผลกระทบของการกระทำาสัมพันธ์กับการกระทำาตามหลักในเร่ ืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผล
การกระทำาไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
การกระทำาไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดหมายความว่าอย่างไร
การกระทำาท่ีไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดหมายความว่า ผู้กระทำาไม่มีอำานาจตามกฎหมายท่ีจะกระทำาการ
ซ่ึง ครบองค์ ป ระกอบท่ีก ฎหมายบั ญ ญั ติ ไ ว้ ซ่ึง เม่ อ
ื ไม่ มี ก ฎหมายยกเว้ น ความผิ ด ผู้ ก ระทำา ก็ มี ค วามผิ ด แต่ ถ้ า มี
กฎหมายยกเว้นความผิด ผู้กระทำาก็ไม่มีความผิด กฎหมายท่ียกเว้นความผิดอาจจะบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย
อาญา เช่น เร่ ืองป้ องกันตัว ตาม ปอ. มาตรา 68 หรือไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรง เช่น หลักในเร่ ืองความยินยอมหรือ
บัญญัติไว้ในกฎหมายอ่ ืน เช่น ปพพ. มาตรา 1567 (2) ให้อำา นาจผู้ใช้อำา นาจปกครองทำา โทษบุตรตามสมควร
เพ่ อ
ื ว่ากล่าวสั่งสอน หรือในรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 125 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2534 ซ่ึงให้เอกสิทธิในการอภิปรายในสภาแก่สมาชิกรัฐสภาเป็ นต้น
การกระทำาไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
การกระทำาไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษหมายความอย่างไร
การกระทำาไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ หมายความว่าการกระทำา ซ่ึงครบองค์ประกอบท่ีกฎหมายบัญญัติซ่ึง
ไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดนัน ้ ไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทำาเช่นกัน แต่ถ้ามีกฎหมายยกเว้นโทษแล้ว
ผู้กระทำาก็ไม่ต้องรับผิดในทางอาญา กฎหมายท่ียกเว้นโทษมีหลายกรณี เช่น การกระทำา ความผิดโดยจำา เป็ นตาม
ปอ. มาตรา 67 เด็กกระทำาความผิดตาม ปอ. มาตรา 73 74 ผู้กระทำาวิกลจริต ตาม ปอ. มาตรา 65 วรรคแรก
ผู้กระทำามึนเมาตาม ปอ. มาตรา 66 การกระทำาตามคำา สั่งมิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานตาม ปอ. มาตรา
70 การกระทำาความผิดต่อทรัพย์ในระหว่างสามีภรรยาตาม มาตรา 71 เป็ นต้น
การกระทำา
1. ความรับผิดในทางอาญาของบุคคลจะเกิดขึ้นเม่ ือบุคคลนัน ้ มี “การกระทำา ” หากไม่มีการกระทำา แล้ว
บุคคลก็ไม่ต้อรับผิดในทางอาญา
2. การกระทำาคือ การเคล่ ือนไหวร่างกายหรือไม่เคล่ ือนไหวร่างกายโดยรู้สึกนึกกล่าวคือ อยู่ภายใต้บังคับ
ของจิตใจ
3. ในการท่ีจะวินิจฉัยว่าผู้กระทำามีการกระทำาหรือไม่นัน ้ ต้องพิจารณาว่าผู้กระทำาคิดท่ีจะกระทำาตกลงใจท่ี
จะกระทำาตามท่ีได้คิดไว้ และได้กระทำาไปตามท่ีตกลงใจนัน ้ หรือไม่ หากเป็ นไปตามขัน ้ ตอนดังกล่าวก็
ถือว่ามีการกระทำา
4. การกระทำาโดยทัว่ไปเกิดขึ้นเม่ ือผู้กระทำา เคล่ ือนไหวร่างกาย แต่การไม่เคล่ ือนไหวร่างกายก็อาจถือว่า
เป็ นการกระทำาได้ ซ่ึงแบ่งการกระทำาโดยงดเว้นและการกระทำาโดยละเว้น
5. การกระทำาโดยงดเว้น หมายถึงงดเว้นการท่ีจักต้องกระทำาเพ่ อ ื ป้ องกันผล
6. การกระทำาโดยละเว้น หมายถึงการละเว้นไม่กระทำาในส่ิงซ่ึงกฎหมายบังคับให้กระทำา
7. หน้าท่ีของการกระทำา โดยงดเว้น คือหน้าท่ีซ่ึงจะต้องกระทำา เพ่ ือป้ องกันผล กล่า วคือ เป็ นหน้าท่โี ดย
เฉพาะท่ีจะต้องป้ องกันมิให้เกิดผลขึ้น ส่วนหน้าท่ีของการกระทำา โดยละเว้นเป็ นหน้า ท่โี ดยทัว่ๆ ไป
มิใช่หน้าท่ีโดยเฉพาะเจาะจงท่ีจะต้องป้ องกันมิให้เกิดผลขึ้น
ความหมายของการกระทำา
จงอธิบายความหมายของ “การกระทำา”
การกระทำา หมายถึง การเคล่ ือนไหวร่างกายหรือไม่เคล่ ือนไหวร่างกายโดยรู้สึกนึก กล่าวคือ อยู่ภายใต้
บังคับของจิตใจ
หลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าผู้กระทำามีการกระทำาหรือไม่มีอย่างไร
ต้องพิจารณาว่าผู้กระทำาคิดท่ีจะกระทำา ตกลงใจท่ีจะกระทำา และกระทำาไปตามท่ีตกลงใจอันสืบเน่ ืองมาจาก
ความคิดหรือไม่ หากเป็ นไปตามขัน้ ตอนดังกล่าวก็ถือว่ามีการกระทำาแล้ว
การกระทำาโดยการเคล่ ือนไหวร่างกาย
การกระทำาโดยการเคล่ ือนไหวร่างกายนัน ้ จำาเป็ นหรือไม่ ท่ีผู้กระทำาจะต้องสัมผัสหรือแตะต้องกับวัตถุแห่ง
การกระทำาโดยตรง
ไม่จำาเป็ นท่ีผู้กระทำาจะต้องสัมผัสหรือแตะต้องกับวัตถุแห่งการกระทำาโดยตรง ผู้กระทำาอาจใช้บุคคลอ่ ืนๆ
เป็ นเคร่ ืองมือ เช่น หลอกให้บุคคลท่ีสามส่งทรัพย์ของผู้เสียหายให้ หรือใช้สุนัขไปคาบทรัพย์ของผู้เสียหายมาส่งให้
หรือหลอกให้ผู้เสียหายเดินไปตกหน้าผา เป็ นต้น
การกระทำาโดยการไม่เคล่ อ ื นไหวร่างกาย
การกระทำาโดยงดเว้น หมายความว่าอย่างไร
การกระทำาโดยงดเว้น หมายความถึง การให้เกิดผลอันใดอันหน่ึงขึน ้ ด้วยการงดเว้นไม่กระทำาในสิ่งที่ตน
มีหน้าท่ีต้องกระทำา ซ่ึงเป็ นหน้าท่ีโดยเฉพาะท่จี ะต้องกระทำาเพ่ ือป้ องกันมิให้เกิดผลนัน้
การกระทำาโดยละเว้นหมายความว่าอย่างไร
การกระทำาโดยละเว้น หมายความว่า ผู้กระทำาไม่กระทำาในส่ิงซ่ึงกฎหมายบังคับให้กระทำาซ่ึงเป็ นเร่ ืองทั่วๆ
ไป มิใช่กรณีโดยเฉพาะที่จะต้องป้ องกันมิให้เกิดผลนัน
้ ขึน
้
จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการกระทำาโดยงดเว้นและการกระทำาโดยละเว้น
แตกต่างกันตรงท่วี ่า หน้าท่ีของการกระทำาโดยงดเว้นนัน ้ เป็ นหน้าท่ีโดยเฉพาะเจาะจงท่จี ะต้องป้ องกันมิให้
เกิดผล ส่วนการกระทำาโดยละเว้นนัน ้ เป็ นกรณีที่กฎหมายบังคับให้กระทำาในเร่ ืองทัว่ๆไป มิใช่บังคับให้กระทำาโดย
เฉพาะเจาะจง เพ่ ือป้ องกันมิให้เกิดผลขึ้น
องค์ประกอบภายนอก
1. องค์ประกอบภายนอก หมายความถึง ผู้กระทำา การกระทำา และวัตถุแห่งการกระทำา
2. ผู้กระทำาแบ่งออกเป็ น ผู้กระทำาความผิดเอง ผู้กระทำาความผิดโดยทางอ้อมและผู้ร่วมกระทำาความผิด
3. การกระทำา จะถึง ขัน้ ท่ีมี กฎหมายบั ญ ญั ติเ ป็ น ความผิ ด เช่น เข้ า ขั น
้ ลงมื อ ตาม ปอ. มาตรา 80 หรื อตระ
เตรียมในบางกรณี เช่น ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ ซ่ึง ปอ. มาตรา 219 ถือว่าเป็ นความผิด
4. วัตถุแห่งการกระทำา หมายถึง ส่ิงท่ีผู้กระทำา มุ่งหมายกระทำาต่อ เช่น “ผู้อ่ืน” ในความผิดฐานฆ่าคน ตาม
ปอ. มาตรา 288 “ทรัพย์ของผู้อ่ืน” ในความผิดฐานลักทรัพย์ ตาม ปอ. มาตรา 334 หรือฐานทำาให้เสีย
ทรัพย์ ตาม ปอ. มาตรา 358
5. การขาดองค์ประกอบภายนอกหมายความว่า องค์ประกอบภายนอกข้อใดข้อหน่ึงไม่มีอยู่ตามความเป็ นจริง
เช่น ยิงไปท่ีศพ หรือลักทรัพย์ของตนเอง เป็ นต้น
ความหมายขององค์ประกอบภายนอก
องค์ประกอบภายนอกของความผิดแต่ละฐานหมายความว่าอย่างไร จงยกตัวอย่างประกอบ
องค์ ประกอบภายนอกของความผิด แต่ ล ะฐาน คือ ผู้กระทำา การกระทำา และวั ตถุ แห่ ง การกระทำา เช่ น
ความผิดฐานฆ่าคนตายคือ (1) ผูใ้ ด (2) ฆ่า (3) ผูอ
้ ่ ืน
ผู้กระทำา ความผิดเองและผู้ก ระทำา ความผิดโดยทางอ้อม และผู้ใ ช้ใ ห้กระทำา ความผิดแตกต่า งกันอย่า งไร
ความแตกต่างดังกล่าวมีผลทางกฎหมายอย่างไร
ผู้กระทำาความผิดเอง คือ ผู้ลงมือกระทำาความผิดด้วยตนเอง หรือใช้สัตว์หรือบุคคลที่ไม่มีการกระทำา ใน
ทางอาญาเป็ นเคร่ ืองมือในการกระทำาความผิด
ผู้กระทำาความผิดในทางอ้อม คือ ผู้ทใ่ี ช้หรือหลอกให้บุคคลที่ไม่ต้องรับผิดในทางอาญาเพราะขาดเจตนา
เป็ นเคร่ ืองมือในการกระทำาความผิด
ผู้ใช้ให้กระทำาความผิด หมายถึง ผู้ท่ีก่อให้ผู้อ่ืนไปกระทำาความผิดโดยผู้อ่น
ื มีเจตนาในการกระทำาความผิด
ผลของความแตกต่างคือ เร่ ือง การพยายามกระทำาความผิด ผู้กระทำาความผิดเองรับผิดฐานพยายามเม่ ือ
ได้ลงมือกระทำาความผิด ผูก ้ ระทำาความผิดโดยทางอ้อมรับผิดฐานพยายามเม่ ือใช้หรือหลอกแล้ว ผูใ้ ช้ให้กระทำาความ
ผิด รับผิดฐานพยายาม เม่ ือผู้ถูกใช้ลงมือกระทำาความผิดท่ีใช้แล้ว
นิติบุคคลอาจต้องรับผิดในทางอาญาอย่างใดหรือไม่
นิติบุคคลมีความรับผิดในทางอาญาได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาเว้นแต่โทษที่ลงแก่นิติบุคคลนัน ้ ลงได้แต่
เฉพาะโทษปรั บและริบ ทรัพ ย์สิ น เท่ า นัน
้ เพราะโดยสภาพแล้ว ไม่ อ าจลงโทษประหารชี วิต จำา คุก หรื อ กั ก ขั ง แก่
นิติบุคคลได้
การขาดองค์ประกอบภายนอก
ขาดองค์ประกอบภายนอก หมายความว่าอย่างไร
การขาดองค์ประกอบภายนอก หมายความว่า ตามความเป็ นจริงขาดองค์ประกอบภายนอกบางประการไป
เช่น ในความผิด ฐานค่ าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ขาด “ผู้อ่ ืน” หรือ ในความผิด ฐานลั กทรัพ ย์ต าม ปอ.
มาตรา 334 ขาดทรัพย์ของผู้อ่ืน
องค์ประกอบภายใน (เจตนา)
เจตนาตามความเป็ นจริง
ในการท่ีจะถือว่าผู้กระทำามีเจตนาได้จะต้องมีหลักเกณฑ์อย่างไร
ผู้กระทำาต้อง “รู้” ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และผู้กระทำาจะต้องประสงค์ต่อ
ผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำานัน ้
เจตนาประสงค์ต่อผลหมายความว่าอย่างไร
เจตนาประสงค์ต่อผล หมายความว่า มุ่งหมายหรือประสงค์ต่อผลโดยตรง ในความผิดต่อชีวิต และความ
ผิดต่อร่างกาย ในการวินิจฉัยต้องใช้หลักกรรมเป็ นเคร่ ืองชีเ้จตนาเป็ นแนวทางในการพิจารณา เช่น ผู้กระทำาใช้ปืน
ยิงไปท่ีผู้เสียหาย โดยยิงไปท่ีอวัยวะสำา คัญๆ ต้อ งถือว่าประสงค์ต่อผลหรือมุ่งหมายให้ผู้เสียหายตาย แต่ถ้าใช้มีด
เล็กๆ แทงทีเดียวในเวลามืดค่ำาขณะท่ีมองเห็นไม่ถนัด อาจต้องถือว่าประสงค์หรือมุ่งหมายต่ออันตรายแก่กายหรือ
จิตใจของผู้เสียหายเท่านัน
้ ก็ได้
เจตนาเล็งเห็นผลหมายความว่าอย่างไร
เจตนาเล็งเห็นผล หมายความว่า ผู้กระทำาไม่ประสงค์ต่อผลแต่เล็งเห็นได้ว่าจะเกิดผลอย่างแน่นอน เท่าท่ี
จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นเดียวกับผู้กระทำาโดยปกติเล็งเห็นได้
ในการวินิจฉัยนัน ้ ให้พิจารณาถึงเร่ ืองประสงค์ต่อผลก่อน หากพิจารณาเห็นว่าผู้กระทำาไม่ประสงค์ต่อผล
จึงค่อ ยมาพิจ ารณาต่อ ไปว่าผู้กระทำา เล็งเห็นผลหรือ ไม่ เจตนาประสงค์ต่อผลหรือ เล็งเห็นผลก็มีผ ลทางกฎหมาย
อย่ า งเดี ย วกั น กล่ า วคื อ ถ้ า เป็ น เจตนาฆ่ า ประเภทประสงค์ ต่ อ ผล ผู้ ก ระทำา ก็ ผิ ด ฐานฆ่ า คนตายโดยเจตนา ตาม
ปอ.มาตรา 288 ถ้าเป็ นเจตนาฆ่าประเภทเล็งเห็นผล ผู้กระทำา ก็ผิด ฐานฆ่ าคนตายโดยเจตนาตาม ปอ. มาตรา
288 เช่นเดียวกัน
เจตนาพิเศษหมายความว่าอย่างไร
เจตนาพิเศษคือ มูลเหตุจูงใจในการกระทำาความผิด เจตนาพิเศษเป็ นคนละกรณีกับเจตนาธรรมดา เจตนา
ธรรมดาคือประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผล
เจตนาโดยผลของกฎหมาย
เจตนาโดยผลของกฎหมายหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า กฎหมายถือว่าผู้กระทำามีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลต่อผู้อ่ืนซ่ึงได้รับผลจากการก
ระทำาแม้ว่าความจริงผู้กระทำาจะมิได้ประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลนัน
้ ๆ เลย
ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติเก่ียวกับเร่ ืองนีไ้ว้ในมาตรา 60 ซ่ึงเรียกกันว่าการกระทำาโดยพลาด
จงอธิบายหลักเกณฑ์ท่ีสำาคัญของการกระทำาโดยพลาดตามมาตรา 60
การท่ีจะถือว่าเป็ นการกระทำาโดยพลาดนัน ้ ผู้ถูกกระทำาจะต้องมีตัง้แต่สองฝ่ ายขึ้นไป และผู้กระทำาจะต้อง
มิได้มีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลต่อผู้รับผลของการกระทำาโดยพลาด
หากผู้กระทำา มีเจตนากระทำา ต่อชีวิติของบุคคลหน่ึง หากผลไปเกิดแก่ทรัพย์ของอีกบุคคลหน่ึงก็ไม่ถือว่า
เป็ นการกระทำาโดยพลาด เพราะผู้กระทำารู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานฆ่าคนตายตาม
ปอ. มาตรา 288 ผู้กระทำาไม่รู้ขอ ้ เท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด ฐานทำาให้เสียทรัพย์ตาม ปอ .
มาตรา 358 จึงถือว่ามีเจตนาทำา ให้เสียทรัพย์ไม่ได้ เช่น ม่วงต้องการฆ่าแดงใช้ปืนยิงไปท่ีแดงกระสุนไม่ถูกแดง
แต่ถูกแจกันลายครามทองเหลืองแตกเสียหาย เช่นนีจ้ะถือว่าม่วงกระทำาโดยเจตนาต่อทรัพย์ของเหลืองไม่ได้
ดำา ต้องการฆ่า ม่วงซ่ึง เป็ นศัต รูของตน แต่กระสุน ไม่ถูกม่วงกั บพลาดไปถูกขาวซ่ึง เป็ นพนักงานซ่ึง กำา ลัง
กระทำาตามหน้าท่ีถึงแก่ความตาย เช่นนีจ้ะมีความผิดฐานใด
ดำาผิดฐานพยายามฆ่าม่วง ตาม ปอ. มาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80 และผิดฐานฆ่าขาวในฐานะท่ี
เป็ นคนธรรมดา มิใช่ฐานะท่ีเป็ นเจ้าพนักงานซ่ึงกระทำาการตามหน้าท่ีตาม 289 (2) เพราะดำารู้ว่ากำาลังกระทำาต่อ
คนธรรมดาแต่ไม่รู้ว่ากระทำาต่อผู้ซ่ึงมีฐานะกล่าวคือ เจ้าพนักงานซ่ึงกระทำาการตามหน้าท่ี จึงจะถือว่ามีเจตนาต่อเจ้า
พนักงานซ่ึงกระทำาตามหน้าท่ไี ม่ได้ นอกจากนัน ้ มาตรา 60 ตอนท้ายก็ยังห้ามมิให้นำากฎหมายท่ีลงโทษหนักขึ้น
เพราะฐานะของบุคคลมาใช้บังคับกับกรณีนีด ้ ว้ ย
ดำา ต้องการฆ่าเหลืองซ่ึง เป็ นบิดาของตน ดำา ยิงไปท่ีเหลืองกระสุนไม่ถูกเหลือง แต่พ ลาดไปถูกฟ้ าซ่ึง เป็ น
มารดาของดำาตาย ดำาจะมีความผิดฐานใด
ดำาผิดฐานพยายามฆ่าเหลืองซ่ึงเป็ นบุพการีตาม ปอ. มาตรา 289 (1) ประกอบกับมาตรา 80 และผิด
ฐานฆ่าฟ้ าซ่ึงเป็ นบุพการีตายตาม ปอ. มาตรา 289 (1) ด้วย เพราะดำารู้อยู่แล้วว่าตนกำาลังกระทำาต่อบุพการีและ
ผลก็เกิดแก่บุพการีอีกคนหน่ึง จึงถือว่ากระทำาโดยเจตนาต่อบุพการีได้
ดำา ต้ องการฆ่า เหลื องซ่ึง เป็ น บิ ด า ดำา ยิ ง ไปท่ีเ หลื อ งกระสุ น ไม่ ถู ก เหลื อ ง แต่พ ลาดไปถู ก เขี ย วซ่ึง เป็ น เจ้ า
พนักงานซ่ึงกระทำาตามหน้าท่ีตาย ดำามีความผิดฐานใด
ดำาผิดฐานพยายามฆ่าบุพการีตาม ปอ. มาตรา 289 (1) ประกอบกับมาตรา 80 และผิดฐานฆ่าเขียวใน
ฐานะท่ีเป็ นคนธรรมดาตายมิใช่ในฐานะเจ้าพนักงานซ่ึงกระทำาตามหน้าท่ีตาม ปอ. มาตรา 289 (2) เพราะดำารู้ว่า
ตนกำาลังกระทำาต่อบุพการีไม่รู้ว่าตนกำาลังกระทำาต่อเจ้าพนักงานซ่ึงกระทำาตามหน้าที่ จึงจะถือว่ามีเจตนากระทำาต่อ
เจ้าพนักงานซ่ึงกระทำาตามหน้าท่ีไม่ได้ นอกจากนัน ้ หากให้ดำา ต้องรับผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงานซ่ึงกระทำา ตามหน้าท่ี
แล้ว ก็จะเป็ นการขัดต่อมาตรา 60 ตอนท้าย ท่ีห้ามมิให้นำากฎหมายท่ล ี งโทษหนักขึ้นเพราะฐานะของบุคคลมาใช้
บังคับกับผู้กระทำา เพ่ อ
ื ลงโทษผู้กระทำาให้หนักขึ้น
การสำาคัญผิดในตัวบุคคล
การสำาคัญผิดในตัวบุคคลหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า ผูก้ ระทำาได้กระทำาต่อบุคคลซ่ึงได้รับผลร้ายโดยเข้าใจว่า ผู้ได้รับผลร้ายนัน ้ เป็ นอีกบุคคลหน่ึง
เช่น ม่วงต้อ งการฆ่าเหลือ ง ม่ว งเห็ นฟ้ าเดินมาในความมืด คิด ว่าเป็ น เหลือ ง จึงใช้ปืนยิงฟ้ าตาย เช่นนี ถ ้ ื อ ว่าม่ว ง
กระทำาโดยเจตนาต่อฝ้ าแล้ว เพราะม่วงรู้ว่าตนกำา ลังฆ่าผู้อ่ืน และม่วงต้องการให้ผู้อ่ืนนัน ้ ตาย จึงถือว่าม่วงกระทำา
โดยเจตนาต่อฟ้ า ม่วงยกเอาความสำาคัญผิดว่าฟ้ าคือเหลืองมาแก้ตัวว่าไม่มีเจตนา ซ่ึงมีอยู่แล้วนัน ้ ไม่ได้
การสำาคัญผิดในตัวบุคคลต่างกับการกระทำาโดยพลาดอย่างไร จงยกตัวอย่าง
สำาคัญผิดในตัวบุคคลมีผู้เสียหายเพียงฝ่ ายเดียว กล่าวคือผู้ท่ีได้รับผลร้ายจากการกระทำา ส่วนพลาดนัน ้ มีผู้
เสียหายสองฝ่ ายคือ ผูเ้ สียหายฝ่ ายแรกท่ีผู้กระทำามุ่งหมายกระทำาต่อ (ผลจะเกิดแก่ผู้เสียหายฝ่ ายแรกหรือไม่ก็ตาม)
และผู้เสียหายฝ่ ายท่ีสองซ่ึงได้รับผลร้ายจากการกระทำานัน ้
ตัวอย่าง
แดงต้องการฆ่าดำา เห็นเหลืองเดินมาคิดว่าเป็ นดำา จึงใช้ปืนยิงเหลืองตาย เช่นนี ถ ้ ือว่าเป็ นการสำา คัญผิด
ในตัว บุคคล เพราะมีผู้เสียหายฝ่ ายเดียวคือ เหลือ ง ในกรณีนีแ ้ ดงผิด ฐานฆ่าเหลือ งตายโดยเจตนา แต่ไม่ผิด ฐาน
พยายามฆ่าดำาด้วย เพราะดำาไม่ได้รับผลอะไรจากการกระทำาของแดงด้วย
ถ้าปรากฏว่า แดงต้องการฆ่าขาว แดงยิงไปท่ีขาวแต่ขาวหลบทัน กระสุนพลาดไปถูกม่วงตาย เช่นนีถ ้ ือว่า
เป็ นการกระทำาโดยพลาด เพราะมีผู้เสียหายสองฝ่ ายคือ ขาวและม่วง ในกรณีนีแ ้ ดงผิดฐานพยายามฆ่าขาว และผิด
ฐานฆ่าม่วงตามโดยเจตนาอีกบทหน่ึงด้วย
หากความสำาคัญผิดดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยความประมาทจะมีผลอย่างไร
ผู้กระทำาต้องรับผิดฐานประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติว่า การกระทำาโดยประมาทเป็ นความผิด
ตัวอย่าง
ม่วงต้องการล้อแดงเล่น จึงเอาปื นเด็กเล่นขู่ว่าจะยิงแดง แดงไม่ทันดูให้ดี คิดว่าม่วงใช้ปืนจริงๆ จะยิงตน
แดงจึงใช้ปืนของตนยิงม่วงตาย แดงอ้างป้ องกันโดยสำาคัญผิด เพ่ อ ื ยกเว้นความผิดฐานฆ่าม่วงตามโดยเจตนาได้ แต่
แดงจะต้องรับผิดฐานฆ่าม่วงตายโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 291 เพราะความสำาคัญผิดของตนเองเกิดขึ้นด้วย
ความประมาท
การเปรีย บเทีย บการขาดองค์ป ระกอบภายนอกของความผิด การไม่ รู้ ข้อ เท็จ จริ งอั น เป็ นองค์ ป ระกอบ
ภายนอกของความผิด และการสำาคัญผิดว่ามีข้อเท็จจริงซ่ึงเป็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลด
โทษ
การขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด การไม่รู้ข้อเท็จจริง ซ่ึงเป็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษหรือ
ลดโทษ หมายความว่าอย่างไร
การขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริงไม่ครบองค์ประกอบภายนอกของ
ความผิด เช่น ขาด “ผู้อ่ืน” ในความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 ขาด “ทรัพย์ของผู้อ่ืน” ในความ
ผิดฐานลักทรัพย์ตาม ปอ. มาตรา 334
การไม่รู้ข้อ เท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด หมายความว่า ความจริงมีอ งค์ประกอบ
ภายนอกของความผิดอยู่ครบ เช่นมี “ผู้อ่น ื ” ในความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ปอ. มาตรา 288 มี “ทรัพย์ของผู้
อ่ ืน” ในความผิด ฐานลั กทรั พย์ ตาม ปอ. มาตรา 334 แต่ผู้กระทำา เข้าใจว่าองค์ประกอบภายนอกไม่ ครบ เช่น
เข้าใจว่ากำาลังยิง “ศพ” ทัง้ๆ ท่ีความจริงคือการยิง “ผู้อ่น
ื ” เข้าใจว่าทรัพย์ท่ีเอาไปเป็ นของตน ทัง้ๆ ท่ีความจริงคือ
ทรัพย์ของผู้อ่ืน
ผลในทางกฎหมายของการขาดองค์ประกอบภายนอกของความผิดมีอย่างไร
ถือว่าผู้กระทำาไม่มีความผิดเพราะขาดองค์ประกอบ เช่น ยิงศพคิดว่ายิงคนถือว่าไม่มีความผิดฐานฆ่าคน
เพราะไม่มี “ผู้อ่ืน” ลักทรัพย์ของตนเองโดยคิดว่าเป็ นทรัพย์ของผู้อ่ืนถือว่าไม่ผิดฐานลักทรัพย์ เพราะไม่มี “ทรัพย์
ของผู้อ่ น
ื ” อย่า งไรก็ต าม มี บางความเห็น ถื อ ว่า ผู้ก ระทำา ผิด ฐานพยายามซ่ึง เป็ น ไปไม่ ไ ด้ อย่ า งแน่ แ ท้ ต าม ปอ.
มาตรา 81 ได้
การไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดมีผลทางกฎหมายอย่างไร
ผลคือ ถือว่าผู้กระทำาไม่มีเจตนา เพราะฉะนัน ้ จึงไม่ต้องรับผิดในความผิดท่ีต้องการเจตนา แต่อาจต้องรับ
ผิดฐานประมาท หากการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกนัน ้ เกิดขึ้นด้วยความประมาท และมีกฎหมาย
บัญญัติว่าการกระทำาโดยประมาทนัน ้ เป็ นความผิด
ในการวินิจฉัยกรณีทัง้สามนี ม ้ ีขัน
้ ตอนอย่างไร
ให้ดูว่าเป็ นเร่ ืองการขาดองค์ประกอบภายนอกหรือไม่ หากความจริงมีองค์ประกอบภายนอกครบ จึงค่อยดู
ต่อ ไปว่าผู้กระทำา ขาดเจตนาเพราะไม่รู้ข้อเท็จ จริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกหรือ ไม่ หากปรากฏว่าผู้กระทำา มี
เจตนาเพราะรู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกครบถ้วน และประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำา
นัน้ แล้วจึงค่อยดูต่อไปในขัน ้ สุดท้ายว่า ผู้กระทำาสำาคัญผิดในข้อเท็จจริงซ่ึงเป็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือ
ลดโทษหรือไม่ หากเป็ นกรณีสำาคัญผิดดังกล่าวก็อาจนำามาอ้างเพ่ ือยกเว้นความผิดซ่ึงผู้กระทำามีเจตนากระทำา หรือ
ยกเว้นโทษในความผิดซ่ึงผู้กระทำามีเจตนาหรือลดโทษในความผิดซ่ึงผู้กระทำามีเจตนาอยู่แล้วก็ได้
ข้อสำาคัญอยู่ตรงท่วี ่า ให้นำาเร่ ืองการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดขึน ้ วินิจฉัย
ก่อนเร่ ือ งการสำา คัญผิดว่ามีข้อเท็จ จริงซ่ึงเป็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษหรือ ลดโทษ หากถือว่าไม่มีเจตนา
เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด ก็ไม่ต้องพิจารณาเร่ ืองการสำาคัญผิดว่ามีข้อเท็จจริง
ซ่ึงเป็ นเหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ ลดโทษเร่ ืองการสำาคัญผิดในข้อเท็จจริงนัน ้ นำามาพิจารณาหลังจากที่ถือว่าผู้
กระทำามีเจตนาเพราะรู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดแล้วเท่านัน ้
ตัวอย่าง
ม่วงหยิบเอาสายสร้อยของเหลืองไปขาย โดยม่วงเข้าใจว่าเป็ นสายสร้อยของม่วงเอง เช่นนี ถ ้ ือว่าม่วงไม่
เจตนาลักทรัพย์ของเหลืองเพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ปอ.
มาตรา 334 ม่วงจึงไม่ผิดฐานลักทรัพย์เหลือง ในกรณีดังกล่าวนี เ้ม่ อ ื ใช้มาตรา59 วรรค 3 เป็ นคุณแก่ม่วงได้
แล้ว ก็ไม่ต้องพิจารณาเร่ ืองการสำาคัญผิดในข้อเท็จจริงตามมาตรา 62 วรรคแรกเลย
ตัวอย่าง
ม่วงหยิบเอาสายสร้อยของเหลือ งไปขาย โดยม่วงเข้าใจว่า เป็ นสายสร้อ ยของขาวภรรยาม่ว ง เช่นนีต ้ ้อง
ถือว่าม่วงมีเจตนาลักทรัพย์เพราะม่วงรู้ขอ ้ เท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานลักทรัพย์ กล่าวคือ
รู้อยู่แล้วว่าเป็ น “ทรัพย์ของผู้อ่น ื ” จึงถือว่าม่วงมีเจตนาลักทรัพย์ของผู้อ่น ื ในกรณีดังกล่าวนีเ้ม่ ือ ใช้มาตรา 59
วรรค 3 ให้เป็ นคุณแก่ม่วงไม่ได้ (เพราะม่วงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกกล่าวคือ เข้าใจว่าเป็ นทรัพย์
ของภรรยาซ่ึงจะถือว่ารู้ว่าเป็ น “ทรัพย์ของผู้อ่ืน” แล้ว) ก็ต้องพิจารณามาตรา 62 วรรคแรก เร่ ืองการสำาคัญผิด
ในข้อเท็จจริง ซ่ึงจะเห็นได้ว่าม่วงสำาคัญผิดว่าเป็ นสร้อยของภรรยา ซ่ึงก็หมายความว่าสำาคัญผิดว่ามีข้อเท็จจริง ซ่ึง
เป็ นเหตุยกเว้นโทษนั่นเอง จึงต้องถือตามความเข้าใจของม่วง ซ่ึงผลก็คือ ม่ว งไม่ต้องรับโทษในการลักทรัพย์ของ
เหลือง
การไม่ รู้ข้อเท็จจริง อันเป็ น องค์ประกอบภายนอกของความผิ ด และการสำา คัญ ผิ ดในข้อ เท็ จจริง ว่า มีเ หตุ
ยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ ลดโทษ มีข้อท่ีจะต้องพิจารณาร่วมกันอย่างไร
ข้อท่จี ำาต้องพิจารณาร่วมกันก็คือ หากการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิด และ
การสำา คัญผิด ในข้อ เท็จ จริง ซ่ึงเป็ น เหตุยกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษ เกิด ขึ้นเพราะความประมาท ผู้
กระทำาก็จะต้องรับผิดฐานประมาท หากมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำาโดยประมาทในกรณีดังกล่าวเป็ นความผิด
องค์ประกอบภายใน (ประมาท)
1. การกระทำาโดยประมาท ไดแก่ความผิดมิใช่โดยเจตนา
2. ผู้กระทำาได้กระทำาไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นนีจ้ักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์
และผู้กระทำาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านัน
้ ได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
3. ในการท่ีจะวินิจฉัยว่าผู้กระทำาได้กระทำาโดยประมาทหรือไม่นัน ้ ต้องสมมติบุคคลขึ้นเปรียบเทียบมีทุกอย่าง
เหมือนเหมือนผู้กระทำา นัน ้ กล่าวคือ อยู่ในภาวะอย่างเดียวกัน ตามวิสัยแลพฤติการณ์เหมือนๆ กัน โดย
ทัว่ไปแล้วอาจใช้ความระมัดระวังได้หรือไม่ ระดับความระมัดระวังในท่ีนีต ้ ้องใช้มาตรฐานของบุคคลทัว่ไปซ่ึง
มีทุกอย่างเหมือนผู้กระทำา
4. หากบุคคลท่ีสมมติขึ้นซ่ึงมีทุกอย่างเหมือนผู้กระทำาโดยทัว่ไปอาจใช้ความระมัดระวังได้และผู้กระทำาไม่ใช้ ก็
ถื อ ว่ า ผู้ ก ระทำา ประมาท แต่ ถ้ า บุ ค คลท่ีส มมติ ขึ้ น ซ่ึง มี ทุ ก อย่ า งเหมื อ นผู้ ก ระทำา โดยทั ว่ ไปไม่ อ าจใช้ ค วาม
ระมัดระวังได้ การท่ีผู้กระทำาขาดความระมัดระวังก็ไม่ถือว่าผู้กระทำาประมาท
5. การวินิจฉัยว่าผู้กระทำาประมาทหรือไม่นัน ้ พิจารณาจากการกระทำาของผู้กระทำาฝ่ ายเดียวเป็ นเคร่ ืองวินิจฉัย
อีกฝ่ ายหน่ึงจะประมาทหรือไม่ไม่สำาคัญ
6. การกระทำาโดยประมาท เป็ นการกระทำาโดยขาดเจตนา จึงมีการพยายามกระทำาโดยประมาทไม่ได้ เพราะการ
พยายามกระทำาความผิดมีได้เฉพาะในความผิดท่ีกระทำาโดยเจตนาเท่านัน ้
7. การกระทำาโดยประมาท จะมีการร่วมกระทำาตาม ปอ. มาตรา 83 ใช้ให้กระทำาตาม ปอ. มาตรา 84 มาตรา
85 หรือสนับสนุนให้กระทำา ตาม ปอ. มาตรา 86 ไม่ได้ เพราะการกระทำาโดยประมาทมิใช่การกระทำาโดย
เจตนา ผู้กระทำาไม่ได้มุ่งหมายให้ผลเกิดขึ้น จึงไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดผลขึ้นเม่ ือใดเพราะฉะนัน ้ โดยสภาพจึงจะ
มีการร่วมกระทำา ใช้ให้กระทำา หรือสนับสนุนให้กระทำาไม่ได้
8. ความรับผิดฐานประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาบางมาตรา จะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ ือมีผลของการกระทำาโดย
ประมาทแล้ ว เท่ า นั น ้ หากยั ง ไม่ เ กิ ด ขึ้ น ก็ ยั ง ไม่ ต้ อ งรั บ ผิ ด ฐานกระทำา โดยประมาท และจะถื อ ว่ า เป็ น การ
พยายามกระทำาความผิดก็ไม่ได้ เพราะการพยายามกระทำาความผิดจะมีได้ก็แต่เฉพาะการกระทำาโดยเจตนา
เท่านัน ้
อย่างไรก็ตามผลของการกระทำาโดยประมาทอาจเกิดขึ้นได้แตกต่างกันไป การขับรถชนคนตาย ถือว่าความตายคือผล
แต่แม้ว่ารถจะไม่ได้ชนแต่ก็ทำา ท่าว่าจะชน และคนท่ีจะถูกชนเกิดตกใจกลัวหัวใจวายตาย ก็ถือว่าเกิดผลขึ้นแล้วเช่น
เดียวกัน
หลักในการวินิจฉัยเร่ ืองประมาท
การกระทำาโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 59 วรรค 4 มีหลักเกณฑ์อย่างไร
มีหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) มิใช่เป็ นการกระทำาความผิดโดยเจตนา
(2) กระทำาไปโดยปราศจากความระมัดระวัง ซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นนีจ้ักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์
(3) ผูก
้ ระทำาอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านัน
้ ได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ข้อสังเกตบางประการเก่ียวกับการกระทำาโดยประมาท
ม่วงขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตให้ขับข่ี แต่ม่วงขับรถไปตามถนนด้วยความระมัดระวัง แดงว่ิงตัดหน้ารถของ
ม่วงในระยะกระชัน ้ ชิด รถของม่วงชนแดงตาย เช่นนี จ้ะถือว่าการท่ีม่วงฝ่ าฝื นกฎหมายด้วยการขับรถโดยไม่มีใ บ
อนุญาต เป็ นการกระทำาโดยประมาทตาม ปอ. มาตรา 59 วรรค 4 และต้องรับผิดตาม ปอ. มาตรา 291 ฐานทำาให้
คนตายโดยประมาทเลยจะถูกต้องหรือไม่
ไม่ถูกต้อง การท่ีม่วงฝ่ าฝื นกฎหมายด้วยการขับรถยนต์ไปตามถนนโดยไม่มีใบอนุญาตขับข่ีนัน ้ จะถือว่า
การกระทำาดังกล่าวเป็ นประมาททันทีไม่ได้ การกระทำาของม่วงจะเป็ นประมาทหรือไม่จะต้องเป็ นไปตามหลักเกณฑ์
ของมาตรา 59 วรรค 4 การขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตให้ขับข่อ ี าจจะถือว่าไม่ป ระมาทก็ได้ หากไม่เป็ น การ
กระทำาโดยปราศจากความระมัดระวังตามหลักเกณฑ์ของ ปอ. มาตรา 59 วรรค 4
การกระทำา โดยประมาทจะมีการร่วมกระทำา ตาม ปอ. มาตรา 83 ใช้ใ ห้กระทำา ตาม ปอ. มาตรา 84 หรือ
สนับสนุนให้กระทำาตาม ปอ. มาตรา 86 ได้หรือไม่
การร่ ว มกระทำา ความผิ ด ตาม ปอ. มาตรา 83 การใช้ ใ ห้ ก ระทำา ความผิ ด ตาม ปอ. มาตรา 84 การ
สนับสนุนให้กระทำาความผิดตาม ปอ . มาตรา 86 มีได้เฉพาะในความผิดท่ีกระทำาโดยเจตนา ความผิดท่ีกระทำาโดย
ประมาท ไม่อาจทราบได้ว่าผลจะเกิดขึ้นเม่ ือใด โดยสภาพจึงไม่อาจร่วมกระทำา ใช้ให้กระทำา หรือสนับสนุนให้กระทำา
ไม่ได้
องค์ประกอบภายใน (ไม่เจตนาและไม่ประมาท)
1. ความผิดอาญาในบางเร่ ือง กฎหมายกำาหนดให้ผู้ซ่ึงมีการกระทำา อันครบองค์ประกอบภายนอกต้องรับ
ผิดทันทีโดยไม่ต้องคำา นึงถึงองค์ประกอบภายใน กล่า วคือแม้ผู้กระทำา จะไม่เ จตนาและไม่ ประมาท ผู้
กระทำาซ่ึงมีการกระทำาอันครบองค์ประกอบภายนอกก็ต้องมีความผิด
2. ประมวลกฎหมายอาญา ได้บัญญัติเก่ียวกับความผิดท่ีผู้กระทำา ไม่ต้องเจตนาและไม่ต้องประมาทไว้ใน
ความผิดลหุโทษ นอกจากนัน ้ ยังมีพระราชบัญญัติอ่ืนๆ อีกบางเร่ ือง เช่น พระราชบัญญัติศุลกากรซ่ึง
ลงโทษผู้ท่ีย่ืนรายการเสียภาษีศุลกากรท่ีไม่ตรงกับความเป็ นจริงโดยไม่คำา นึงว่า ผู้นัน ้ เจตนาย่ ืนไม่ตรง
กับความจริงหรือประมาทในการย่ ืนไม่ตรงกับความจริงนัน ้ หรือไม่
3. ความผิดท่ีไม่ต้องมีเจตนาและไม่ต้องประมาทนี ก ้ ็ยังอยู่ภายใต้ห ลักทัว่ไปท่ีว่า ผู้กระทำา ต้องมีการกระ
ทำา หากไม่มีการกระทำาแล้ว ก็ไม่มีความผิด
4. เน่ ืองจากไม่มีเจตนา ผู้กระทำาก็มีความผิด เพราะฉะนัน ้ ผู้กระทำาจะยกเอาข้อแก้ตัวว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงอัน
เป็ นองค์ประกอบภายนอกของความผิดมาอ้าง เพ่ อ ื ไม่ต้องรับผิดไม่ได้ เพราะข้ออ้างดังกล่าวใช้ได้เฉพาะ
สำาหรับความผิดท่ีต้องการแสดงเจตนาเท่านัน ้
5. อย่างไรก็ตาม ข้อแก้ตัวอ่ ืนๆ เช่น กระทำาไปเพราะความจำาเป็ นตาม ปอ. มาตรา 67 หรือสำาคัญผิดในข้อ
เท็จจริงตาม ปอ. 62 ก็ยังนำามาอ้างเพ่ ือเป็ นคุณแก่ผู้กระทำาได้อยู่เสมอ
ความหมายของการกระทำา “ไม่เจตนาและไม่ประมาท”
ความผิดท่ีไม่ต้องมีเจตนาไม่ต้องประมาทก็เป็ นความผิด หมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า แม้ผู้กระทำาไม่มีเจตนาและไม่ประมาท ผู้กระทำาก็ต้องมีความผิด กล่าวคือเป็ นความผิดท่ีไม่
คำา นึงถึงองค์ประกอบภายในใดๆ เลย เม่ ือการกระทำาครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดในเร่ ืองนัน ้ ๆ แล้วก็
ถือว่าผู้กระทำามีความผิดทันที ไม่ตอ้ งคำานึงถึงสภาพจิตใจของผู้กระทำาแต่อย่างใดเลย
ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติเก่ียวกับความผิดท่ีไม่ต้องมีเจตนา ไม่ต้องประมาทนีไ้ว้อย่างไรหรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญาได้ บั ญ ญั ติ เ ก่ีย วกั บ เร่ ือ งนี ไ้ ว้ ใ นความผิ ด ลหุ โ ทษ เพราะมาตรา 104 ซ่ึง เป็ น
บทบัญญัติทั่ว ไปท่ีใช้แก่ความผิด ลหุโทษได้ให้หลักไว้ว่า การกระทำา ความผิด ลหุโทษแม้ผู้กระทำา ไม่มีเจตนาหรือ
ประมาทก็เป็ นความผิด เว้นแต่ถ้อยคำาในบทบัญญัติความผิดลหุโทษมาตรานัน ้ ๆ เอง จะแสดงให้เห็นว่าต้องเจตนา
หรือประมาทจึงจะเป็ นความผิด
ข้อสังเกตบางประการเก่ียวกับการกระทำาโดยไม่เจตนาและไม่ประมาท
หากผู้กระทำา ไม่มีการกระทำา ตามความหมายของกฎหมาย ผู้กระทำา จะมีความผิดในความผิดท่ีไม่ต้องการ
เจตนาและไม่ต้องการประมาทหรือไม่
ผู้กระทำา จะไม่ มีความผิด เพราะความผิด ท่ีไม่ต้ อ งเจตนาและไม่ป ระมาทก็ เ ป็ น ความผิด ได้นี ย
้ ั งต้อ งอยู่
ภายใต้หลักทั่วไปท่ีว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาเม่ ือมีการกระทำาตามความหมายของกฎหมาย หากไม่มีการก
ระทำาก็ไม่มีความผิด
6.1 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผล
1. ความผิดท่ีต้องมีผลแยกออกจากการกระทำา หรือท่ีเรียกกันว่า ความผิดท่ีต้องมีผลปรากฏ เช่นความผิด
ฐานฆ่าคนตาย ตาม ปอ. มาตรา 288 นัน ้ หากมีผลคือความตายของผู้กระทำา เกิดขึ้น ผู้กระทำา จะต้อง
รับผิดฐานฆ่าคนตายก็ต่อเม่ ือความตายนัน ้ สัมพันธ์กับการกระทำา ของผู้กระทำา ตามหลักในเร่ ืองความ
สัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผล หากความตายนัน ้ ไม่สัมพันธ์กับการกระทำาของผู้กระทำา ตามหลักใน
เร่ ืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาแล้วผู้กระทำาก็ไม่ต้องรับผิดในความตายนัน ้ แต่อาจต้องรับผิดใน
การกระทำาของตนก่อนเกิดผลนัน ้ เช่น รับผิดฐานพยายามฆ่า เป็ นต้น
2. ผู้กระทำาจะต้องรับผิดในผลนัน ้ ผากผลนัน ้ เป็ นผล “ผลโดยตรง” หากไม่ใช่ “ผลโดยตรง” ก็ไม่ต้องรับ
ผิดในผลนัน ้
“ผลโดยตรง” คือผลตาม “ทฤษฎีเง่ อ ื นไข” ซ่ึงมีหลักว่า “ถ้าไม่มีการกระทำา ผลไม่เกิดถือว่า ผลเกิดจาก
การกระทำานัน ้ แม้ผลนัน ้ จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีเหตุอ่ืนๆ ร่วมด้วยก็ตาม”
3. ถ้า “ผลโดยตรง” เกิดจาก “เหตุแทรกแซง” ผู้กระทำาจะต้องรับผิดในผลนัน ้ ก็ต่อเม่ ือ ผลนัน
้ เกิดจาก “
เหตุแทรกแซง” ท่ีคาดหมายได้ในการวินิจฉัยว่าคาดหมายได้หรือไม่ ต้องใช้มาตรฐานของวิญญูชน
“เหตุแทรกแซง” ท่ี “คาดหมายได้” คือเหตุตาม “ทฤษฎีเหตุท่ีเหมาะสม” นัน ่ เอง
4. ในกรณีท่ีผลของการกระทำา ทำาให้ผู้กระทำาต้อรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำาจะต้องรับผิดในผลนัน ้ ก็ต่อเม่ ือ
เป็ นทัง้ “ผลโดยตรง” และผลธรรมดา
“ผลธรรมดา” คือผลตาม “ทฤษฎีเหตุท่ีเหมาะสม” กล่าวคือเป็ นผลท่ีผู้กระทำาสามารถ “คาดเห็น” ความ
เป็ นไปได้ของผลนัน ้ การวินิจฉัยความสามารถในการคาดเห็นใช้มาตรฐานของวิญญูชน
6.1.1 หลักทั่วไปเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผล
จงอธิบายหลักทัว่ไปเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผล
หลักทั่วไปคือ หากผลนัน ้ เป็ น “ผลโดยตรง” ผูก ้ ระทำาต้องรับผิดในผลนัน
้ หากไม่ใช่ “ผลโดยตรง” ก็ไม่
ต้องรับผิดชอบ
ในกรณีที่ “ผลโดยตรง” นัน ้ เกิด จาก “เหตุแทรกแซง ” ผู้กระทำา จะรับ ผิด ในผลนั น
้ ก็ ต่อ เม่ อ
ื “ เหตุ
แทรกแซง” นัน ้ วิญญูชนคาดหมายได้ หากคาดหมายไม่ได้ก็ต้องรับผิด
ในกรณีที่ผลของการกระทำาความผิด ทำาให้ผู้กระทำาต้องรับโทษหนักขึ้น ผ฿้กระทำาจะต้องรับผิดในผลนัน ้
ก็ต่อเม่ ือผลนัน
้ เป็ นทัง้ “ผลโดยตรง” และ “ผลธรรมดา” หากเป็ นผลผิดปกติธรรมดาก็ไม่ต้องรับผิดในผลนัน ้ แต่
อย่างใด
ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติหลักในเร่ ืองความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผลไว้อย่างไรบ้างหรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญา มิได้บัญญัติหลักทั่วไปในเร่ ือง “ผลโดยตรง” ไว้แต่อย่างใดเพียงแต่บัญญัติไว้ใน
ปอ. มาตรา 63 ว่า “ถ้าผลของการกระทำาความผิดใดทำาให้ผู้กระทำาต้องรับโทษหนักขึ้น ผลของการกระทำาความ
ผิดนัน
้ ต้องเป็ นผลท่ีตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้” ตาม ปอ. มาตรา 63 คือหลัก “ผลธรรมดา” นั่นเอง
6.1.2 “ผลโดยตรง”
ผลโดยตรง ตามทฤษฎีเง่ ือนไขหมายความว่าอย่างไร
ผลโดยตรงตามทฤษฎีเง่ ือนไขคือ ผลท่ีเกิดขึ้นตามหลักของทฤษฎีเง่ ือนไขท่ีว่า “ถ้าไม่มีการกระทำา (ของ
จำาเลย) ผลไม่เกิด ถือว่าผลเกิดจากการกระทำา (ของจำาเลย) นัน ้ แม้ว่า ผลนัน
้ จะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีเหตุอ่ืนๆ ในการ
ก่อให้เกิดผลนัน ้ ขึ้นด้วย ก็ตาม แต่ถ้าไม่มีการกระทำา (ของจำาเลย) นัน
้ แล้ว ผลก็ยังเกิดขึ้น เช่นนี จ ้ ะถือว่าผลนัน
้
เกิดจากการกระทำา (ของจำาเลย)ไม่ได้
“ผลโดยตรง” ซ่ึงเกิดจากเหตุแทรกแซง
6.1.3
ทฤษฎีเหตุท่ีเหมาะสมหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่าเหตุนัน้ เหมาะสมเพียงพอตามปกติท่ีจะก่อให้เกิดผลอันเป็ นความผิดขึ้นหรือไม่ หากเหมาะ
สมผู้กระทำาต้องรับผิดในผลอันนัน
้ หากไม่เหมาะสมก็ไม่ต้องรับผิด
“ผลธรรมดา”
6.1.4
ในกรณีใดท่ีจะต้องใช้หลัก “ผลธรรมดา” วินิจฉัยความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผล
ในการวินิจฉัยว่าผลท่ีเกิดขึ้นเป็ นผลธรรมดาหรือไม่นัน
้ ต้องใช้มาตรฐานของผู้ใดเป็ นหลักในการพิจารณา
ในกรณีที่ผลของการกระทำาความผิดจะทำาให้ผู้กระทำาต้องรับโทษหนักขึน ้ ในกรณีเช่นนี ผ
้ ู้กระทำา จะต้อง
รับโทษหนักขึ้นเฉพาะเม่ อื ผลท่ีเกิดขึ้นนัน
้ เป็ น ผลธรรมดาของการกระทำา ความผิด ในตอนแรก หากเป็ นผลผิด
ธรรมดา ผู้กระทำาก็ไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นแต่รับโทษเฉพาะเท่านัน้ ท่ีได้กระทำาไปโดยเจตนาในตอนแรก ในการวิจัย
ผลธรรมดานัน ้ ต้องใช้มาตรฐานของวิญญูชนเป็ นหลัก
ม่วงวางเพลิงเผาบ้านของแดงในขณะท่ีแดงไปพักผ่อนต่างจังหวัดปรากฏว่าไฟคลอดเหลืองเพ่ ือของแดงซ่ึง
แอบมานอนพักอยู่ตาย เช่นนี ม ้ ่วงต้องรับผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์เป็ นเหตุให้คนตายหรือไม่
หากปรากฏว่าม่วงวางเพลิงเผาโกดังเก็บสินค้าของแดงท่ีทิง้ไว้รกร้างว่างเปล่า ในท่เี ปล่ียวไม่มีผู้คนอยู่อาศัย
แต่เหลืองซ่ึงหลงทางมาและแอบเข้าไปนอนพักอยู่ถูกไฟคลอกตาย เช่นนี ม ้ ่วงจะมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์
เป็ นเหตุให้คนตายหรือไม่
6.2 ปั ญหาความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผลในความผิดบางมาตรา
1. ความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตาม ปอ. มาตรา 290 ผู้กระทำา ไม่มีเจตนาฆ่าแต่มีเจตนาทำา ร้าย
และการทำาร้ายนัน ้ เป็ นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย ปั ญหาในเร่ ืองสันพันธ์ระหว่างการทำาร้ายและความ
ตายนัน ้ มีความเห็นอยู่ 2 แนว ความเห็นแรกถือว่าต้องใช้หลักผลธรรมดาตามมาตรา 63 เพราะถือว่า
ผลคือความตายของผู้ถูกทำาร้าย ทำาให้ผู้กระทำาต้องรับโทษหนักขึ้นจากการทำาร้ายตามมาตรา 295 หรือ
มาตรา 391 อีกความเห็นหน่ึง ถือว่า ความตายของผู้ถูกทำา ร้า ยไม่ใ ช่ผลท่ีทำา ให้ผู้ก ระทำา ต้องรั บโทษ
หนั ก ขึ้ น จึ ง ไม่ ต้ อ งใช้ ห ลั ก ผลธรรมดา แต่ ใ ช้ ห ลั ก “ ผลโดยตรง ” ตามทฤษฎี เ ง่ ือ นไข หากมี เ หตุ
แทรกแซงเกิดขึ้นก็ใช้ทฤษฎีเหตุท่ีเหมาะสมเพ่ ือดูว่าคาดหมายได้หรือไม่
2. ความผิดฐานทำาร้ายร่างกายจนเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจตามมาตรา 295 นัน ้ ก็มีความ
เห็นอยู่ 2 แนวทางเช่นเดีย วกัน ความเห็นแรกถือว่า ต้องใช้ห ลักผลธรรมดาตาม มาตรา 63 เพราะ
ถือว่า ผลคืออันตรายแก่กายหรือจิตใจ ทำาให้ผู้กระทำา ต้องรับโทษหนักขึ้นจากการกระทำาความผิดตาม
มาตรา 391 อีกความเห็นหน่ึงถือว่า อันตรายแก่กายหรือจิตใจไม่ใ ช่ผลท่ีทำา ให้ผู้ก ระทำา ต้องรั บโทษ
หนักขึ้น แต่เป็ นผลท่ีผู้กระทำา จะต้องมีเจตนาโดยตรงให้เกิดผลนัน ้ ขึ้น หากมีเจตนาให้เกิดผลดังกล่าว
แต่ผ ลไม่เ กิดก็ ผิดฐานพยายาม แต่ถ้า ไม่ม รเจตนาจะให้เ กิดผลเป็ นอั นตรายแก่ กายหรื อจิ ต ใจ แม้ใ น
บัน
้ ปลายจะเกิดผลเป็ นอันตรายแก่กายหรือจิตใจก็อาจเป็ นเร่ ืองของการกระทำาโดยประมาทมิใช่เจตนา
6.2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผลในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
ในการวินิจฉัยความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผลในส่วนในส่วนท่ีเก่ียวกับความผิดฐานฆ่าคนตายโดย
ไม่เจตนา ตาม มาตรา 290 มีแนวความคิดอย่างไรบ้าง
มีสองความเห็นคือ ความเห็นแรก ถือ มาตรา 290 เป็ นบทหนักของมาตรา 295 หรือมาตรา 391 จึง
ต้องใช้หลักผลธรรมดาเป็ นหลักในการวินิจฉัย ซ่ึงหมายความว่าหากความตายไม่ใช่ผลธรรมดาจากการกระทำาความ
ผิดตามมาตรา 295 หรือมาตรา 391 ผู้กระทำา ก็ผิดเพียง มาตรา 295 หรือมาตรา 391 แล้วแต่กรณี แต่ถ้า
ความตายเป็ นผลธรรมดา ผู้กระทำา ความผิดตามมาตรา 290 ส่วนอีกความเห็นหน่ึงถือว่า มาตรา 290 มิใช่บท
หนักของมาตรา 295 หรือมาตรา 391 จึงไม่ใช่หลักผลธรรมดาแต่ใช้หลัก “ผลโดยตรง” ตามทฤษฎีเง่ อ ื นไข
และหากมีเหตุแทรกแซงก็ใช้ทฤษฎีเหตุท่ีเหมาะสมวินิจฉัยว่า เหตุแทรกแซงนัน
้ คาดหมายได้หรือไม่นั่นเอง
6.2.2 ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำาและผลในความผิดฐานทำาร้ายร่างกาย
ในการวิ นิจฉัยความสัมพันธ์ ระหว่า งการกระทำา และผลในความผิ ด ฐานทำา ร้า ยร่ า งกายตาม ปอ. มาตรา
295 มีแนวคิดในการวินิจฉัยอย่างไร
มี 2 ความเห็น ความเห็นแรกถือว่าต้องใช้หลักธรรมผลธรรมดาตามมาตรา 63 เพราะมาตรา 295 เป็ น
บทหนักของมาตรา 391 แต่ความเห็นท่ี 2 ถือว่าจะใช้หลักผลธรรมดาไม่ได้เพราะ มาตรา 295 มิใช่บทหนักของ
มาตรา 391 เน่ ืองจากการทำาร้ายตามมาตรา 295 และการใช้กำาลังทำาร้ายตามมาตรา 391 ไม่เหมือนกันเพราะ
การทำา ร้ายตามมาตรา 295 ไม่ต้องมีการใช้กำาลัง ส่วนการทำา ร้ายตามมาตรา 391 ต้องมีการใช้กำาลังด้วยเหตุนี้
มาตรา 295 จึงมิใช่บทหนักของมาตรา 391 จึงนำาหลักผลธรรมดาตามมาตรา 63 มาใช้ไม่ได้
หน่วยท่ี 7 การพยายามกระทำาความผิด
หลักทั่วไปของการพยายามกระทำาความผิด
1. การกระทำาจะเร่ิมเป็ นความผิดต่อเม่ ือพ้นขัน
้ ตระเตรียมการเข้าสู่ขัน
้ ลงมือทำา
2. แนวความคิดเร่ ืองการลงมือกระทำาความผิดมีหลายแนวแต่ของไทยใช้อยู่ 2 หลัก คือ หลักความใกล้ชิดกับ
ผลและหลักการกระทำาความผิดท่ีประกอบไปด้วยกรรมเดียวหรือหลายกรรม
3. การพยายามกระทำาความผิด ผู้กระทำาต้องมีเจตนากระทำา ให้บรรลุผลตามเจตนา แต่ผู้กระทำา กระทำา ไปไม่
ตลอด หรือกระทำาไปตลอดแล้วแต่การกระทำานัน ้ ไม่บรรลุผล
การเริม่ ต้นของความผิด
นักกฎหมายได้แยกการกระทำาทางอาญาออกเป็ นก่ีวาระ อะไรบ้าง และตามปกติจะลงโทษการกระทำาท่ีอยู่
ในวาระใด
นักกฎหมายได้แยกการกระทำาทางอาญาออกได้เป็ น 3 วาระคือ
(1) วาระทางจิตใจ คือ ความคิดท่ีจะกระทำาความผิดและการตัดสินใจกระทำาความผิด
(2) วาระการเตรียมการ คือ การหาเคร่ ืองไม้เคร่ ืองมือหรือรวบรวมสิ่งต่างๆ สำาหรับกระทำาความผิด
(3) วาระลงมือกระทำา คือใช้เคร่ ืองมือที่หาไว้นัน้ กระทำาความผิด
ตามปกติแล้วจะลงโทษการกระทำาท่อ ี ยู่ในวาระลงมือกระทำาแล้ว เพราะถือว่าเป็ นการกระทำาท่ีใกล้ชด
ิ ความ
ผิด สำา เร็จ แม้ว่าความผิด จะสำา เร็จหรือ ไม่ก็ตาม แต่อ ย่างไรก็ดีบ างกรณีก ารกระทำา ที่อ ยู่ในวาระตระเตรีย มการ ผู้
กระทำา ก็ อ าจได้รั บโทษเช่ นกั น ถ้ าเป็ นกรณี ความผิด ที่ ร้ า ยแรง เช่ น การตระเตรี ย มการเพ่ ือ ปลงพระชนม์ ห รื อ
ประทุษร้ายต่อพระมหากษัตริย์ การตระเตรียมการเพ่ ือเป็ นกบฏ การตระเตรียมการเพ่ ือกระทำาความผิดต่อความ
มั่นคงของรัฐ
การลงมือกระทำาความผิด
ปั จจุบันนีศ้ าลฎีกาของไทยใช้หลักอะไรในการวินิจฉัยเร่ ืองการลงมือกระทำา ความผิด และหลักนีม ้ ีข้อดีข้อ
เสียอย่างไร
ปั จจุบันนีศ
้ าลฎีกาของไทยใช้หลักความใกล้ชิดกับผลเป็ นหลักในการวินิจฉัยเร่ ืองการลงมือกระทำาความผิด
โดยหลักนีใ้ห้ดูว่าการที่ได้กระทำาไปนัน ้ ใกล้ชิดกับความผิดสำาเร็จหรือไม่ ถ้าใกล้ชิดก็ถือว่าลงมือกระทำาความผิดแล้ว
อย่ า งไรก็ ดี หลั ก นี ก
้ ็ มี ทั ง้ ข้ อ ดี แ ละข้ อ เสี ย กล่ า วคื อ ในข้ อ ดี นั น
้ หลั ก ความใกล้ ชิ ด กั บ ผลนี ส
้ ะดวกดี ที่
สามารถยืดหยุ่นได้ ทำาให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจเป็ นเร่ ืองๆว่า การกระทำา นัน ้ ใกล้หรือไกลกับผลสำา เร็จ แต่ก็มีข้อ
เสียคือจะถือว่าการกระทำาเพียงใด จึงจะเรียกว่าใกล้ชิดกับความผิดสำา เร็จ ย่อมต้องแล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละ
บุคคล ซ่ึงแต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกัน ดังนัน ้ หลักนีจ้ึงขาดความแน่นอน ทำาให้ต้องอาศัยดูจากแนวคำาพิพากษา
ฎีกาท่ีเคยวินิจฉัยไว้แล้วในเร่ ืองนัน ้ ๆ เป็ นเกณฑ์ว่าแค่ไหนใกล้หรือไกลกับความผิดสำาเร็จ
นักทฤษฎีได้พยายามวางหลักเกณฑ์เร่ ืองการลงมือกระทำาความผิดไว้อย่างไร
นักทฤษฎีได้พยายามวางหลักเกณฑ์เร่ ืองการลงมือกระทำาความผิด โดยแยกพิจารณาว่า การกระทำาความ
ผิดนัน้ ประกอบด้วยกรรมๆ เดียวหรือหลายกรรม ถ้าการกระทำาความผิดประด้วยกรรมๆเดียว การกระทำาใดซ่ึงใน
ทางธรรมชาติเป็ นอันหน่ึงอันเดียวกันกับการกระทำาความผิดถือว่าเป็ นการลงมือกระทำาความผิดแล้ว เช่น ในการ
ฟั น การท่ผี ู้กระทำาเง้ือดาบขึ้นจะฟั น การเง้ือดาบขึ้นถือเป็ นการกระทำาในทางธรรมชาติเช่นเดียวกับการฟั นแล้ว ก็
เป็ นการลงมือแล้วเป็ นต้น ส่วนการกระทำาประกอบด้วยหลายกรรม ถ้าผู้กระทำาได้กระทำากรรมหน่ึงกรรมใดลงไป
หรือกระทำากรรมใดอันเป็ นการกระทำาในทางธรรมชาติกับกรรมใดกรรมหน่ึงดังกล่าว ก็ถือว่าได้ลงมือกระทำาความ
ผิดแล้ว เช่น ความผิดฐานชิงทรัพย์ประกอบด้วย 2 กรรม คือลักทรัพย์ และใช้กำาลังประทุษร้าย ถ้าผู้กระทำาได้ใช้
กำาลังประทุษร้ายแล้ว แม้จะยังไม่ทันได้ลักทรัพย์ก็ถือว่าได้ลงมือชิงทรัพย์แล้ว
หลักเกณฑ์การพยายามกระทำาความผิด
จงบอกหลักเกณฑ์ทัว่ไปของการพยายามกระทำาความผิด
จากบทบัญญัติ มาตรา 80 เราสามารถแยกหลักเกณฑ์การพยายามกระทำา ความผิดได้เป็ น 3 ประการ
คือ
การพยายามกระทำาความผิดท่ีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
1. กรณีท่ีจะเป็ นการพยายามกระทำา ความผิดท่ีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ได้ จะต้อง
ผ่านหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันกับการพยายามกระทำาความผิดตามมาตรา 80 ด้วย
2. แม้การกระทำา บางอย่างจะไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ แต่เ ม่ ือการกระทำา นัน ้ มุ่งต่อผลซ่ึง กฎหมาย
บัญญัติเป็ นความผิด การกระทำาก็แสดงถึงเจตนาชัว่ร้ายของผู้กระทำาการนัน ้ แล้วจึงสมควรท่ีจะต้องลงโทษ
บ้าง เพ่ อ
ื ดัดนิสัยของผู้กระทำา
3. การไม่สามารถบรรลุผลอย่างแน่แท้นี ก ้ ฎหมายบัญญัติสาเหตุไว้เพียง2 ประการ คือปั จจัยท่ีใช้ในการกระทำา
อย่างหน่ึง และวัตถุท่ีมุ่งหมายกระทำาต่ออีกอย่างหน่ึง
4. ผลของการพยายามกระทำา ความผิดซ่ึงเป็ นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ กฎหมายให้ลงโทษได้ไม่เ กินก่ึง หน่ึงของ
โทษท่ีกฎหมายกำา หนดไว้สำา หรับความผิดนัน ้ แต่อย่างไรก็ดีศาลจะไม่ลงโทษเลยก็ได้ หากการกระทำา ซ่ึง
เป็ นไปไม่ได้อย่างแน่แท้นัน้ ได้กระทำาไปโดยความเช่ ืออย่างงมงาย
5. การพยายามกระทำา ความผิดโดยทัว่ๆ ไป และการพยายามกระทำา ความผิดท่ีไม่สามารถบรรลุผ ลได้อย่า ง
แน่แท้ แม้จะเป็ นการพยายามกระทำาความผิดเหมือนกันแต่ก็มีข้อแตกต่างกันหลายประการ
หลักเกณฑ์ของการพยายามกระทำาความผิดท่ีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นาย ก ต้องการฆ่านาย ข จึงเตรียมปื นบรรจุกระสุนไว้พร้อมวางไว้หัวเตียง ภรรยาของนาย ก ไม่อยากให้
นาย ก ทำา ผิดกฎหมาย จึงแอบถอดเอากระสุ นออกหมด นาย ก ไม่รู้ จึง นำา ปื นท่ีไม่มีลูกนัน ้ ไปยิง นาย ข ให้ท่า น
วินิจฉัยว่า นาย ก มีความผิดฐานใดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 81 ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ท่ีกระทำา การโดยมุ่งต่อผลซ่ึงกฎหมายบัญญัติ
เป็ นความผิด แต่การกระทำานัน ้ ไม่สามารถจะบรรลุผลอย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยซ่ึงใช้ในการกระทำา หรือเหตุแห่ง
วัตถุท่ีมุ่งหมายกระทำาต่อให้ถือว่าผู้นัน
้ พยายามกระทำาความผิด
จากข้อเท็จจริงตามปั ญหา การท่ี นาย ก ต้องการฆ่า นาย ข จึงเตรียมปื นบรรจุกระสุนไว้พร้อมแล้ว เห็น
ได้ว่า นาย ก มีเจตนาฆ่านาย ข แล้วแต่ปรากฏว่าภรรยานาย ก ไม่อยากให้นาย ก ทำาผิดกฎหมายจึงแอบถอดเอา
กระสุนออกหมด นาย ก ไม่รู้จึงนำา ปื นท่ีไม่มีกระสุนนัน ้ ไปยิงนาย ข เห็นว่ากรณีนี น ้ ายกได้ลงมือกระทำา ความ
ผิดตามเจตนาของตนแล้วแต่การกระทำาของนาย ก ไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยท่ีใช้ในการกระทำาคือซ่ึง
ไม่มีกระสุน นาย ก จึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านาย ข ตามมาตรา 81 ดังกล่าวมาแล้ว
ผลของการพยายามกระทำาความผิดท่ีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นาง ก ภรรยาน้อยของนาย ข ต้องการจะฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข นาง ก เป็ นคนเช่ ือทางไสยศาสตร์ จึง
ไปให้หมอผีเสกขนม หมอผีได้ทำาพิธีและบอกว่า ถ้าภรรยาหลวงของนาย ข กินขนมนีแ ้ ล้ว จะต้องตายภายใน 3 วัน
นาง ก จึงนำาขนมนัน ้ ไปให้ภรรยาหลวงของนาย ข กิน กรณีนี น ้ างกจะมีความผิดฐานใด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 วรรค 2 ได้บัญญัติว่า ถ้าการกระทำาดังกล่าวในวรรคแรก กล่าว
คือ กระทำา การมุ่งต่อผลซ่ึงกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิด แต่การกระทำา นัน ้ ไม่สามารถจะบรรลุผ ลได้อ ย่างแน่แท้
เพราะเหตุปัจจัยซ่ึงใช้กระทำา หรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำานัน
้ ได้กระทำาไปโดยความเช่ ืออย่างงมงายศาลจะไม่
ลงโทษก็ได้
จากข้อเท็จจริงตามปั ญหา การท่ีนาง ก ภรรยาน้อยของนาย ข ต้องการจะฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข เห็น
ว่า นาง ก มีเจตนาจะฆ่าภรรยาหลวงของนาย ก แล้ว จึงได้ไปหาหมอผีเสกขนม เพราะตนมีความเช่ ือว่า หมอผี
สามารถเสกขนมให้เป็ นพิษ และนำาไปฆ่าภรรยาหลวงของนาย ข ตายได้ หลังจากหมอผีทำา พิธีเสร็จ นาง ก ก็นำา
ขนมนัน ้ ไปให้ภรรยาหลวงของนาย ข กิน การกระทำาดังกล่าวของนาง ก เห็นว่า นาง ก ได้ลงมือกระทำาโดยมุ่งต่อ
ผลซ่ึงกฎหมายบัญญัติเป็ นความผิดแล้ว แต่การกระทำาของนาง ก ไม่บรรลุผลปั จจัยท่ีใช้ในการกระทำาคือขนมนัน ้ ไม่
ปั ญหาของการพยายามกระทำาความผิดท่ไี ม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
นักกฎหมายมีความเห็นอย่างไรบ้างสำาหรับปั ญหาเร่ ืองการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 และเร่ ือง
การขาดองค์ประกอบ
สำาหรับปั ญหาเร่ ืองการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 และเร่ ืองการขาดองค์ประกอบ ซ่ึงมักจะพูด
ถึงกันอยู่เสมอว่า การขาดองค์ประกอบ นีจ้ะถือว่าเป็ นเร่ ืองของการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ด้วย
หรือไม่ ในเร่ ืองนีม้ ีนักกฎหมายให้ความเห็นแตกต่างกันเป็ น 2 ฝ่ าย
ฝ่ ายแรก เห็นว่าการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 นี บ ้ ัญญัติขึ้นเป็ นพิเศษเพ่ ือท่จี ะใช้กับกรณี
การขาดองค์ประกอบด้วยและกล่าวว่าการขาดองค์ประกอบไม่ใช่พยายามตามหลักทั่วไปในมาตรา 80 แต่ท่ีผิดตาม
มาตรา 81 เพราะมีกฎหมายบัญญัติเป็ นพิเศษ สังเกตจากตัว บทท่ีว่า “ให้ถือว่าผู้นัน ้ พยายามกระทำา ความผิด”
ฝ่ ายนีจ้ึงเห็นว่าการลักทรัพย์ของตนเองโดยคิดว่าเป็ นทรัพย์ของตนเองโดยคิดว่าเป็ นทรัพย์ของผู้อ่ืนก็ดี การยิงศพ
โดยคิดว่าเป็ นคนดี หรือการข่มขืนภรรยาตนเองโดยคิดว่าเป็ นหญิงอ่ ืนอันมิใช่ภรรยาตนก็ดี แม้จะเป็ นการขาดองค์
ประกอบ แต่ก็เป็ นเร่ ืองการไม่บรรลุผลอย่างแน่แท้ ตามมาตรา 81 ด้วย ซ่ึงฝ่ ายนีถ ้ ือว่าผู้กระทำามีเจตนาร้ายและ
ลงมือกระทำาแล้ว ก็ควรได้รับโทษบ้าง
อีกฝ่ ายหน่ึง เห็นว่า กรณีดังกล่าว เป็ นเร่ ืองของการขาดองค์ประกอบ โดยฝ่ ายนีใ้ห้เหตุผลว่า ความผิดท่ี
เป็ นไปไม่ได้โดยแน่แท้ตามมาตรา 81 นัน ้ จะต้องมีของแท้จริงอันเป็ นองค์ประกอบของความผิดครบบริบูรณ์ หาก
แต่ด้วยเหตุปัจจัยท่ีใช้ในการกระทำาความผิดหรือด้วยเหตุวัตถุที่กระทำานัน ้ ไม่สามารถเป็ นไปได้โดยแน่แท้เท่านัน ้ ถ้า
หากไม่มีข้อเท็จจริงอันเป็ นองค์ประกอบความผิดเลย ก็ไม่ควรจะถือว่าเป็ นพยายามกระทำาความผิด
ข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทำาความผิดตามมาตรา 80 มาตรา 81
จงกล่าวถึงข้อเหมือนและข้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทำา ความผิดตามมาตรา 80 และมาตรา 81
พอสังเขป
ข้อเหมือนระหว่างการพยายามกระทำาความผิดตามมาตรา 80 และมาตรา 81 มีอยู่ 2 ประการ คือ
(1) ผูก
้ ระทำามีเจตนากระทำาความผิดเหมือนกัน
(2) ผูก้ ระทำาความผิดได้ลงมือกระทำาไปแล้วเหมือนกัน
ข้อแตกต่างระหว่างการพยายามกระทำาความผิดตามมาตรา 80 และ มาตรา 81 มีอยู่ 3 ประการคือ
(1) การไม่บรรลุผลตามมาตรา 80 เป็ นเพราะเหตุบังเอิญแต่การไม่บรรลุตามมาตรา 81 เป็ นการไม่
บรรลุผลอย่างแน่แท้
(2) การไม่บรรลุผลตามมาตรา 80 อาจเกิดจากปั จจัยซ่ึงใช้ในการกระทำาหรือวัตถุที่มุ่งหมายกระทำาต่อ
หรือเพราะเหตุอ่ืนๆ ก็ได้ แต่การไม่บรรลุผลตามมาตรา 81 ต้องเกิดจากปั จจัยซ่ึงใช้ในการกระทำา
หรือวัตถุที่มุ่งหมายกระทำาต่อเท่านัน
้
(3) การพยายามตามมาตรา 80 กฎหมายกำา หนดโทษไว้ว่าให้รับโทษ 2 ใน 3 ของโทษท่ีกฎหมาย
กำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้ แต่การพยายามตามมาตรา 81 กฎหมายกำาหนดโทษไว้ว่าให้รับโทษ
ไม่เกินก่ึงหน่ึงของโทษที่กฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน
้
การพยายามกระทำาความผิดท่ีผู้กระทำายับยัง้หรือกลับใจแก้ไข
1. การยับยัง้ หมายถึง การสมัครใจยุติการกระทำาของตัวเอง เม่ ือตัวได้กระทำาถึงขัน ้ ลงมือแล้วจนกระทัง่
ก่อนความผิดจะสำาเร็จลง ซ่ึงหมายถึงจะต้องกระทำาระหว่างท่ีการกระทำาเข้าขัน ้ พยายามแล้ว
2. การกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำา บรรลุผล เป็ นกรณีท่ีผู้กระทำา ได้กระทำา ทุกส่ิงทุกอย่างซ่ึงเขาเช่ อ
ื ว่า
จำา เป็ นสำา หรับความผิดสำา เร็จ แต่เ ขาได้กลับใจโดยความสมัครใจเข้าแก้ไขไม่ใ ห้ไม่ให้การกระทำา นัน ้
บรรลุผล
3. เม่ ือได้มีการกระทำา ท่ีเ ข้า ขัน
้ พยายามกระทำา ความผิ ดแล้ว โดยปกติผู้ก ระทำา ต้องต้องได้ รับโทษฐาน
พยายามเสมอ แต่ถ้าผู้กระทำาได้ยับยัง้หรือกลับใจแก้ไขมิให้การกระทำานัน ้ บรรลุผลด้วยความสมัครใจ
ของผู้กระทำา โดยมิใช่ถูกกดดันจากภายนอก กฎหมายก็ยอมยกเว้น ไม่เ อาโทษ คงเอาโทษในฐาน
ความผิดท่ีกระทำาการเช่นนัน ้ เป็ นความผิดสำาเร็จในตัวเองขึ้นแล้ว
หลักเกณฑ์การยับยัง้หรือกลับใจแก้ไข
จงบอกหลักเกณฑ์ของการพยายามกระทำาความผิดท่ีผู้กระทำายับยัง้หรือกลับใจแก้ไข พร้อมทัง้ยกตัวอย่าง
ประกอบ
จากบทบัญญัติมาตรา 82 เราสามารถแยกหลักเกณฑ์การพยายามกระทำาความผิดท่ีผู้กระทำายับยัง้หรือ
กลับใจแก้ไขได้เป็ น 3 ประการคือ
(1) ผูก้ ระทำาจะต้องลงมือกระทำาความผิดแล้ว
(2) ความผิดท่ีกระทำาจะต้องยังไม่สำาเร็จผลตามท่ีผู้กระทำาเจตนา
(3) ผูก ้ ระทำายับยัง้เสียเองไม่กระทำาการให้ตลอดหรือกระทำาไปตลอดแล้วแต่กลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำา
นัน ้ บรรลุผล
ตัวอย่าง
ผลของการท่ผ ี ู้กระทำายับยัง้หรือกลับใจแก้ไข
จงกล่าวถึงผลของการพยายามกระทำาความผิดท่ีผู้กระทำายับยัง้หรือกลับใจแก้ไข
ผลของการพยายามกระทำาความผิดท่ผ ี ู้กระทำายับยัง้หรือกลับใจแก้ไข แยกได้เป็ น 2 ประการคือ
(1) ผูก
้ ระทำาไม่ต้องรับโทษสำาหรับการพยายามกระทำาความผิดนัน ้
(2) แต่ถ้าการท่ีได้กระทำา ไปแล้ว ต้อ งตามบทกฎหมายท่ีบัญ ญัติเป็ นความผิด ผู้นัน ้ ต้อ งรับโทษสำา หรั บ
ความผิดนัน ้
บทบัญญัติพิเศษเก่ียวกับการพยายามกระทำาความผิดบางลักษณะ
1. มีความผิดบางประเภทท่ีไม่มค ี วามผิดฐานพยายาม เช่น ความผิดฐานประมาทจะมีพยายามไม่ได้ เพราะ
ไม่ได้กระทำาโดยเจตนา
2. โดยทัว่ไปการพยายามกระทำาความผิดจะมีโทษสองในสามส่วนหรือไม่เกินก่ึงหน่ึงของโทษท่ีกฎหมาย
กำาหนด แต่ก็มีข้อยกเว้นการกระทำาความผิดบางประเภทท่ีไม่ต้อรับโทษ
3. การพยายามกระทำาความผิดบางอย่าง ซ่ึงมีลักษณะรุนแรง กฎหมายได้เอาโทษผู้พยายามกระทำาความ
ผิดนัน้ เท่ากับการกระทำาความผิดสำาเร็จ
ความผิดท่ีมีพยายามไม่ได้
จงยกตัวอย่างความผิดท่ีมีพยายามมา 5 ตัวอย่าง
ความผิดบางฐานหรือการกระทำาบางลักษณะมีการพยายามไม่ได้โดยสภาพของตัวเองได้แก่
1. ความผิดฐานประมาท
2. ความผิดลหุโทษโดยทั่วไป
3. ความผิดฐานเป็ นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน
4. ความผิดฐานละเว้น
5. ความผิด บางอย่าง แม้ก ระทำา สำา เร็จ แล้ว ยังไม่เป็ นความผิด เด็ด ขาด จนกว่ าจะผ่า นพ้ น เวลา หรื อ มี
พฤติการณ์อ่ืนมาประกอบจึงจะเป็ นความผิด
การพยายามกระทำาความผิดท่ีไม่ต้องรับโทษ
มีกรณีใดบ้างท่ีพยายามกระทำาความผิดแล้ว แต่ไม่ต้องรับโทษ
โดยหลักแล้วเม่ อ
ื บุคคลกระทำาผิดถึงขัน
้ พยายามแล้ว บุคคลนัน ้ ก็ต้องรับโทษตามกฎหมาย แต่มีบางกรณี
ท่ีกฎหมายไม่เอาโทษการกระทำาท่ีถึงขัน
้ พยายามแล้ว ด้วยเหตุผลท่ตี ่างกันได้แก่
1. การกระทำาความผิดลหุโทษ
2. การพยายามทำาแท้ง
3. การยับยัง้เสียเิอง
จงกล่าวถึงความผิดท่ีการพยายามกระทำาความผิดฐานนัน ้ ๆ กฎหมายบัญญัติโทษไว้เท่ากับโทษในความผิด
สำาเร็จและการพยายามกระทำาความผิดท่ีกฎหมายถือว่าเป็ นความผิดเช่นเดียวกับความผิดสำาเร็จ
ความผิดบางฐาน การพยายามกระทำาความผิดก็มีผลร้ายแรงไม่น้อยไปกว่าความผิดสำาเร็จ จึงสมควรท่จี ะ
ลงโทษการพยายามกระทำาความผิดฐานนัน ้ ๆ เท่ากับโทษในความผิดสำาเร็จหรือถือว่าการพยายามกระทำาความผิด
เช่นเดียวกับความผิดสำาเร็จ ได้แก่
1. การพยายามปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์
2. การพยายามกระทำาการประทุษร้ายต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์
3. การพยายามปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือฆ่าผู้สำาเร็จราชการแทนพระองค์
4. การพยายามกระทำา การประทุษร้ายต่อ พระองค์หรือเสรีภาพของพระราชิ นีหรือ รัชทายาท หรือ ต่อ
ร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำาเร็จราชการแทนพระองค์
5. การพยายามกระทำาความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร
6. การพยายามทำาร้ายร่างกายหรือประทุษร้ายต่อเสรีภาพของราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาทหรือ
ประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ท่ีมีสัมพันธ์ไมตรี
7. การพยายามฆ่าราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาทหรือประมุขของรัฐต่างประเทศที่มีสัมพันธไมตรี
หรือผู้แทนของรัฐต่างประเทศ ซ่ึงได้รับแต่งตัง้ให้มาสู่พระราชสำานัก
1. การกระทำาในขัน
้ ตอน ท่ีบุคคลต้องรับผิดฐานพยายาม ได้แก่ การลงมือกระทำา
2. การพยามกระทำาความผิด เช่น แดงเห็นดำาเดินผ่านมาเลยยกปื นจ้องไปทางดำา
3. ม่วงเอายาพิษใส่ในถ้วยกาแฟให้ฟ้ากิน แต่เหลืองปั ดถ้วยกาแฟตกแตกก่อน กรณีนีถ้ือว่า เป็ นการลงมือ
กระทำาความผิดแล้ว
4. ความหมายของการพยายามกระทำาความผิด เช่น ลงมือกระทำาความผิดและกระทำาไปตลอดแล้วแต่การนัน
้
ไม่บรรลุผล
5. ขาวเจตนาจะฆ่าเขียว จึงยิงปื นไปท่ีเขียว แต่เขียวหลบกระสุนปื นทัน ทำา ให้กระสุนไม่ถูกเขียวดังนี้ ขาวมี
ความผิดฐานพยายามฆ่าเขียว
6. ส้มจะฆ่าน้ำาเงิน จึงใช้ปืนยิงน้ำาเงิน แต่ยิงไม่ถูกน้ำาเงิน จึงไม่ตาย กรณีนีไ้ม่ถือเป็ นการพยายามกระทำาความ
ผิดท่ีไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะปั จจัยท่ีใช้ในการกระทำา
7. ต้อยต้องการฆ่าต่ิง ต้อยเห็นตอไม้คิดว่าเป็ นต่ิง แต่แท้ท่ีจริ งต่ิงไปต่ างจั งหวั ดหลายวั นแล้ ว ต้อยผิด ฐาน
พยายามฆ่าผู้อ่ืนโดยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะวัตถุท่ีมุ่งกระทำาต่อ
8. การพยายามกระทำา ความผิดท่ีผู้กระทำา ยับยัง้เสียเองหมายความว่า ผู้กระทำา ได้ลงมือกระทำา แล้ว แต่เกิด
เปล่ียนใจด้วยความสมัครใจของตนเองไม่กระทำาให้ตลอด
9. กฎหมายได้กำาหนดผลของการยับยัง้หรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำาบรรลุผล ผู้ยับยัง้หรือกลับใจแก้ไขไม่
ต้องรับโทษสำา หรับการพยายามกระทำา ความผิดนัน ้ แต่ถ้าการท่ีได้กระทำา ไปแล้วนัน ้ ต้องตามบทบัญญัติ
เป็ นความผิด ผูก ้ ระทำานัน้ ต้องรับโทษสำาหรับความผิดนัน ้
10. กฎหมายได้กำา หนดโทษฐานพยายามกระทำา ความผิ ดโดยทัว่ไปไว้คื อ 2 ใน 3 ส่วนของโทษท่ีกฎหมาย
กำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้
11. การท่ีผู้กระทำาได้ลงมือกระทำาความผิดแล้ว แต่กระทำาไปไม่ตลอดหรือกระทำาไปตลอดแล้วแต่ไม่บรรลุผล ผู้
กระทำานัน ้ ต้องรับผิด ฐานพยายาม
12. การพยายามกระทำาความผิดหมายความว่า ลงมือกระทำาแล้ว แต่การกระทำานัน ้ ไม่บรรลุผล
13. การกระทำาท่ีขาดองค์ประกอบของความผิด ถือว่า ไม่เป็ นความผิดตามกฎหมาย
14. ผู้ ก ระทำา ยับยัง้ หรื อกลั บใจแก้ ไขมิใ ห้การกระทำา ของคนบรรลุ ผ ล บุ คคลนั น ้ ไม่ต้ อ งรั บโทษฐานพยายาม
กระทำาความผิด
15. เก้งข่มขืนกระทำาชำาเรา ด.ญ. เก่ง อายุ 3 ขวบ แต่กระทำาไม่สำาเร็จ เพราะอวัยวะเพศของ ด.ญ. เก่งเล็กเกิน
ไป เก้งจะต้องรับโทษไม่เกินก่ึงหน่ึงของโทษที่กฎหมายกำาหนดไว้
16. ในปั จจุบันนีศ ้ าลฎีกาไทยใช้หลักในการวินิจฉัยปั ญหาเร่ ืองการลงมือกระทำา ความผิดคือ หลักความใกล้ชิด
กับผล
17. ป้ ุมยกปื นขึ้ นเล็ งจะยิ งป้ อม แต่ คิดถึ ง ลู ก ของป้ อมจะต้ อ งกำา พร้ า เกิ ดสงสารจึ ง ยั บยั ง้ ไม่ ยิ ง กรณี นีถ้ือ ว่ า
เป็ นการยับยัง้เสียเองอันมีผลให้กระทำาไม่ต้องรับโทษสำาหรับการพยายามกระทำาความผิดนัน ้
18. ความผิดท่ีประกอบด้วยหลายกรรม มีหลักเกณฑ์อย่างไรในการพิจารณาเร่ ืองการลงมือกระทำา ความผิด
การกระทำากรรมหน่ึงกรรมใดลงไป ถือว่าลงมือกระทำาแล้ว
19. กุ้งใช้กรรไกรตัดสร้อยคอของไก่ขาดจากกัน และตกลงยังพ้ืนดิน แต่กุ้งยังไม่ได้เอาสร้อยคอไปเพราะตำารวจ
ร้องบอกให้ไก่รู้ตัว และเก็บสร้อยเสียก่อน กุ้งมีความผิดฐานลักทรัพย์
หน่วยท่ี 8 เหตุยกเว้นความผิด
กฎหมายและจารีตประเพณีให้อำานาจกระทำาได้
1. บุคคลอาจกระทำาการอย่างใดอย่างหน่ึงได้โดยไม่ต้องรับผิดในทางอาญาถ้ามีกฎหมายให้อำานาจบุคคล
กระทำาการเช่นนัน ้ ได้
2. ถ้าได้มีจารีตประเพณีให้อำานาจบุคคลกระทำาการอย่างหน่ึงอย่างใดได้ หากบุคคลได้กระทำาการเช่นนัน
้
ลงไปก็ไม่มีความผิดในทางอาญาเช่นเดียวกัน
กฎหมายให้อำานาจกระทำาได้
เราแยกพิจารณากรณีท่ีกฎหมายให้อำานาจแก่บุคคลกระทำาการใดได้โดยกว้างๆ อย่างไรบ้าง
เราอาจแยกพิจารณากรณีที่กฎหมายให้อำานาจแก่บุคคลกระทำาการใดได้โดยกวางๆ ดังต่อไปนี้
(1) ให้อำานาจแก่พนักงานเจ้าหน้าท่ีในการปฏิบัติการตามหน้าท่ี เช่น ให้อำา นาจตำา รวจใน
การจับกุมผู้กระทำาผิดเป็ นต้น
(2) ให้อำา นาจแก่บุคคลโดยผ่านการกลั่นกรองของพนักงานเจ้าหน้าท่ีก่อ น เช่น บุคคลท่ี
ต้องการจะทำาไม้หวงห้าม ต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ีก่อน
(3) ให้อำานาจแก่บุคคลในการท่ีจะกระทำากิจการเพ่ ือประโยชน์สาธารณะหรือเพ่ ือผูอ
้ ่ ืน เช่น
สมาชิ กสภาผู้ แทนราษฎรมี เ อกสิท ธิ ในการแสดงความคิ ด เห็ นต่ า งๆ ในสภาผู้แ ทน
ราษฎร บุคคลใดจะนำาไปฟ้ องร้องไม่ได้
(4) ให้อำานาจแก่บุคคลเพ่ อ
ื การปกป้ องคุ้มครองสิทธิหรือประโยชน์สุขส่วนตน เช่น คูค ่ วาม
ซ่ึง แสดงความคิ ด เห็ น ในกระบวนการพิ จ ารณาคดี ใ นศาลไม่ มี ค วามผิ ด ฐานหม่ิน
ประมาท
จารีตประเพณีให้อำานาจกระทำาได้
จารีตประเพณีคืออะไร จารีตประเพณียกเว้นความผิดทางอาญาของบุคคลได้อย่างไร
จารีตประเพณีคือข้อบังคับแห่งความประพฤติของมนุษย์ในเร่ อ ื งใดเร่ อ
ื งหน่ึงซ่ึงถือปฏิบัติตามสืบเน่ ือง
กันมาตลอดเสมือนเป็ นกฎหมาย โดยมิได้มีการเขียนบัญญัติไว้เป็ นลายลักษณ์อักษร หากมีบันทึกอยู่ในความจำา
และความคิดของบุคคลจารีตประเพณียกเว้นความผิดทางอาญาของบุคคลได้ โดยการท่ีจ ารีตประเพณี ให้อำา นาจ
บุคคลท่ีจะกระทำาการอย่างใดอย่างหน่ึงได้ และแม้การนัน ้ จะเข้าองค์ประกอบความผิดอาญาบุคคลนัน ้ ก็ไม่ต้องรับผิด
แต่อย่างใด เช่น ถ้าจารีตประเพณีให้อำานาจบุคคลเข้าไปเก็บเห็ด เก็บไม้ฟืนในท่ีดินของผู้อ่น ื ได้ และได้มีบุคคลเข้าไป
กระทำาการดังกล่าว เจ้าของท่ีดินจะฟ้ องร้องดำาเนินคดีกับบุคคลนัน ้ ในความผิดฐานบุกรุกและลักทรัพย์ไม่ได้
ให้พ้นภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
นายม่วงทะเลอะวิวาทกับนายคราม จนถึงขัน ้ ชกต่อยกัน มีผู้เข้าไปห้ามปราม ทัง้สองฝ่ ายจึงเลิกราแยก
ย้ายกันไป นายครามเข้าไปนัง่ด่ ืมน้ำาอยู่ท่ีร้านขายกาแฟ ส่วนนายม่วงพบไม้ท่อนโตขนาดเท่าแขนยางสองศอก จึงถือ
ตามไปตีนายครามหลายครัง้ ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง นายครามหนีไปจนตรอกอยู่หลังร้าน นายม่วงก็ยังตามไปตีอีก นาย
ครามหยิบได้มีดปอกผลไม้ท่ีวางอยู่ จึงแทงสวนไปหน่ึงที ถูกท่ีช่องท้องของนายม่วงจนเป็ นเหตุให้ถึงแก่ความตามใน
เวลาต่อมาไม่นาน นายครามจะอ้างว่ากระทำาไปเพ่ ือป้ องกันตาม ปอ. มาตรา 68 ได้หรือไม่เพียงใด
ตาม ปอ. มาตรา 68 บัญญัติว่า “ผู้ใดจะกระทำา การใดเพ่ ือป้ องกันสิทธิของตน หรือของผู้อ่ืนให้พ้น
ภยัน ตรายซ่ึง เกิด จากการประทุ ษ ร้ ายอัน ละเมิ ด ต่ อ กฎหมาย และเป็ น ภยั นตรายท่ีใกล้จ ะถึ ง ถ้ าได้ก ระทำา ไปพอ
สมควรแก่เหตุ การกระทำานัน ้ เป็ นการป้ องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นัน ้ ไม่มีความผิด”
หลั ก สำา คัญ ประการหน่ึงซ่ึง เป็ น เง่ ือ นไขให้ ผู้ ก ระทำา ไม่ มี ค วามผิ ด คือ ภยั น ตรายท่ีเ กิ ด ขึ้ น จะต้อ งเป็ น
ภยันตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ถ้าผู้กระทำาเป็ นผู้ก่อภยันตรายนัน ้ ขึ้นด้วยความผิดของ
ตน จะอ้างอำานาจป้ องกันตาม ปอ . มาตรา 68 ไม่ได้ เช่น ถ้าผู้กระทำาสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับผู้อ่ืนย่อมไม่อาจอ้าง
อำานาจป้ องกันตาม ปอ. มาตรา 68 ได้ และต้องมีความผิดตามท่ีได้กระทำาลงไป
แต่กรณีนายม่วงกับนายครามนี แ ้ ม้ในชัน
้ แรกนายครามจ
ห้ามปราม นายคราม ก็ได้เลิกราไป และได้ไปด่ ืมน้ำาอยู่ท่ีร้านขายกาแฟแล้ว ถือว่าการสมัครใจได้ขาดตอนไป เม่ ือ
นายม่วงได้ใช้ไม้ตีทำาร้ายนายครามอีก ถือว่านายม่วงได้ก่อให้เกิดภยันตรายขึ้นมาใหม่ เป็ นภยันตรายซ่ึงเกิดจากการ
ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและใกล้จะถึง โดยนายครามมิได้มีส่วนในการก่อภยันตรายนีข ้ ึน
้ มาแต่อ ย่างใด
การท่ีนายครามหยิบมีดปอกผลไม้จึงแทงสวนไปหน่ึงที ในขณะท่ีนายม่วงกำา ลังใช้ไม้ไล่ตีทำา ร้ายตนอยู่นัน ้ ถือว่า
เป็ นการกระทำา ไปพอสมควรแก่เหตุ และไม่เกินกว่ากรณีที่จำา ต้องกระทำา เพ่ ือป้ องกัน เพราะกรณีฉุกเฉินเช่นนัน ้
นายครามย่อมไม่มีโอกาสเลือกได้ว่าจะแทงส่วนใดของร่างกายได้ ฉะนัน ้ แม่นายม่วงจะถึงแก่ความตาย นายครามก็
ไม่มีความผิด (นัย ฎ 2520/2529)
เป็ นกรณีจำาต้องกระทำา
มีคนร้ายลักกระบือ 1 ตัว ของนายขวัญไป นายขวัญจึงตามคนร้ายไปโดยอาศัยรอยกระบือ และไปพบ
กระบือผูกอยู่ในป่ าละเมาะ แต่ไม่พบคนร้าย ขวัญเช่ ือว่าคนร้ายจะต้องกลับมาเอากระบือไป จึงดักซุ่มอยู่คร่ึงชัว่โมง
ได้มีคนร้าย 1 คน จะมาแก้เชือกท่ีล่ามเพ่ อ ื เอากระบือไป ขวัญจึงใช้ปืนท่พ
ี กมาด้วยยิงคนร้ายถึงแก่ความตาย ถามว่า
ขวัญจะอ้างว่ากระทำาเพ่ ือป้ องกันทรัพย์ได้หรือไม่
เป็ นการกระทำาพอสมควรแก่เหตุ
นายผาดซ่ึงเป็ นคนสงบเสง่ียมเรียบร้อยถูกนายโผนซ่ึงเป็ นนักเลงอันธพาลหาเร่ ืองชกต่อยทำาร้ายบาดเจ็บ
ในร้ายขายของชำา นายผาดล้มลงแล้วนายโผนก็ยังกระทืบซ้ำาหลายครัง้ และไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรา นายผาดกลัวว่านาย
โผนจะฆ่าตน จึงคว้าขวานผ่าฟื นของเจ้าของร้านท่ีวางอยู่ใกล้มือฟั นไปท่ีแข้งของนายโผน 1 ที เป็ นแผลเหวอะหวะ
นายโผนล้มลงนอนดิน ้ ครวญคราง นายผาดลุกขึ้นฟั นซ้ำาแล้วซ้ำาอีกด้วยความกลัวว่านายโผนจะลุกขึ้นมาทำาร้ายตนจน
นายโผนถึงแก่ความตาย นายผาดมีความผิดหรือไม่เพียงใด
ตาม ปอ. มาตรา 68 การป้ องกันสิทธิของตนหรือของผู้อ่ืนให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จ ะถึง จะต้อง
กระทำาไปพอสมควรแก่เหตุ จึงจะได้รับยกเว้นความผิด แต่ถ้ากระทำาไปเกินสมควรแก่เหตุ ตามมาตรา 69 ศาลจะ
ลงโทษน้อ ยเพียงใดก็ได้ และถ้ากระทำา ไปเพราะความต่ ืนเต้น ความตกใจกลัว หรือความกลัว ศาลจะไม่ล งโทษผู้
กระทำาก็ได้
จากอุทาหรณ์ กรณีนายผาดใช้ขวานฟั นนายโผนไปหน่ึงที จนนายโผนได้รับบาดแผลท่แ ี ข้งเหวอะหวะ
ล้มลงนอนดิน ้ ครวญคราง ถือว่าภยันตรายได้หมดสิน ้ ลงแล้ว หากนายผาดจะกระทำา ไปเพียงเท่านัน ้ ย่อ มเป็ นการ
กระทำาท่ีพอสมควรแก่เหตุ แต่การท่ีนายผาดยังคงฟั นซ้ำาแล้วซ้ำาอีกจนนายโผนถึงแก่ความตาย เพราะยังไม่หายกลัว
นายโผนนัน ้ ถือว่าเป็ นการกระทำาท่ีท่ีเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ได้รับยกเว้นความผิด แต่ศาลอาจไม่ลงโทษนายผาดเลย
ก็ได้ตาม ปอ. มาตรา 69
ความยินยอมให้กระทำาและเหตุอ่ืน
1. ในบางกรณี ถ้าผู้เสียหายยินยอมให้กระทำา การอย่างหน่ึงอย่างใดและยินยอมนัน ้ ไม่ขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ผู้กระทำาก็ไม่มีความผิดทางอาญา
2. ถ้า บุค คลมีห น้า ท่ท
ี ่ีปฏิบัติต ามคำา สัง่ โดยชอบของเจ้า พนักงาน บุค คลนัน
้ ไม่ต้ องรับ ผิ ด ในทางอาญา
แม้ว่าจะได้กระทำาการซ่ึงกฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็ นความผิด
ความยินยอมให้กระทำา
ความยินยอมของผู้เสียหายท่ีไม่ก่อให้เกิดความรับผิดในทางอาญาในบางกรณีนัน
้ มีหลักเกณฑ์อย่างไร
บ้าง
มีหลักเกณฑ์คือ
(1) ต้องเป็ นความยินยอมท่ีไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชน
(2) ต้องเป็ นความยินยอมท่ีใ ห้ไว้ต่อผู้กระทำา ก่อนหรื อขณะกระทำา การอัน กฎหมายบั ญ ญัติ ไว้ ว่ า เป็ น
ความผิด
(3) ต้องเป็ นความยินยอมโดยสมัครใจ
การกระทำาตามคำาสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงาน
ปอ.ได้บัญญัติถึงเร่ ืองการกระทำา ตามคำา สัง่โดยชอบของเจ้าพนักงานไว้ หรือไม่ อย่างไร และคำา สัง่โดย
ชอบของเจ้าพนักงานนัน ้ เป็ นอย่างไร
ตาม ปอ. มิได้มีบทบัญญัติท่ีกล่าวถึงการกระทำาตามคำาสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงานไว้แต่อย่างไร ซ่ึงต่าง
จากกฎหมายลักษณะอาญาท่ีบัญญัติว่า การกระทำาตามคำาสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ต้องรับโทษ และตาม ปพพ.
บั ญ ญั ติ ว่ า การกระทำา ตามคำา สั่ ง โดยชอบด้ ว ยกฎหมายไม่ ต้ อ งใช้ ค่ า สิ น ไหมทดแทน อย่ า งไรก็ ต าม แม้ จ ะไม่ มี
บทบัญญัติดังกล่าวใน ปอ. แต่ย่อ มมีผลโดยปริยายว่า เม่ ือผู้ออกคำา สั่งมีอำา นาจออกคำา สั่ งโดยชอบด้ว ยกฎหมาย
ระเบียบแบบแผน ผู้ปฏิบัติตามคำาสั่งก็ย่อมปฏิบัติตามคำาสั่งนัน ้ โดยชอบเช่นกัน
คำาสั่งโดยชอบของเจ้าพนักงานนัน ้ ในชัน ้ ต้นผู้สั่งต้องเป็ นเจ้าพนักงานและมีอำานาจออกคำาสั่งนัน ้ ได้โดย
ชอบกฎหมายระเบียบแบบแผน ส่วนคำา สั่งนัน ้ ไม่จำา ต้องระบุว่าเป็ นคำา สั่งเสมอไป อาจใช้ถ้อยคำา อย่างอ่ ืนท่ีมีความ
หมายว่าสั่งให้กระทำาตาม ซ่ึงอาจเป็ นข้อตกลงหรือสัญญาอย่างใดอย่างหน่ึง ซ่ึงถ้าไม่กระทำาตามย่อมถือว่าผิดสัญญา
ก็ได้
หน่วยท่ี 9 เหตุยกเว้นโทษ
1. บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญาหากได้กระทำาความผิดด้วยความจำาเป็ น
2. บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญา ถ้าได้กระทำาตามคำาสัง่ท่ีมช
ิ อบของเจ้าพนักงานซ่ึงตนมีหน้าท่ต
ี ้องปฏิบัติตาม
3. บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญาหากเป็ นเด็กอายุไม่เกินสิบส่ีปี
4. สามีภริยาซ่ึงกระทำาความผิดต่อกันในความผิดบางประเภทซ่ึงเก่ียวกับทรัพย์กฎหมายยกเว้นโทษให้
9.1 การกระทำาความผิดด้วยความจำาเป็ น
1. หากบุคคลกระทำา ความผิดด้วยความจำาเป็ น เพราะอยู่ในท่ีบังคับหรือภายใต้อำา นาจซ่ึงไม่สามารถหลีก
เล่ียงขัดขืนได้ และกระทำาไปพอสมควรแก่เหตุ บุคคลนัน้ ไม่ต้องได้รับโทษ
2. หากบุคคลกระทำาความผิดด้วยความจำาเป็ นเพราะเพ่ ือให้พ้นจากภยันตรายท่ีใกล้จะถึง และไม่สามารถ
หลีกเล่ียงให้พ้นโดยวิธีอ่ืนได้ หากกระทำาไปพอสมควรแก่เหตุบุคคลนัน ้ ไม่ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกัน
9.2 ความไม่สามารถรับผิดชอบและความอ่อนอายุ
1. หากบุคคลกระทำาความผิดในขณะไม่สามารถรับผิดชอบหรือบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องโรคจิต
หรือจิตฟั่ นเฟื อน บุคคลนัน้ ได้รับการยกเว้นโทษ
2. หากบุคคลเสพสุราหรือส่ิงมึนเมาโดยไม่รู้ว่าส่ิงนัน ้ จะทำา ให้มึนเมาหรือถูกขืนใจให้เสพ และได้กระทำา
ความผิดในขณะท่ีไม่สามารถรู้ ผิ ดชอบหรื อ บัง คับ ตนเองได้ เ พราะความมึน เมา บุ ค คลนั น้ ได้รั บ การ
ยกเว้นโทษเช่นเดียวกัน
3. เด็กอายุไม่เกินสิบส่ีปี โดยสภาพจิตใจถือว่ายังไม่อาจจะรู้ผิดชอบชัว่ดีหากกระทำาความผิด เด็กนัน้ ได้รับ
ยกเว้นโทษ
9.2.1 กระทำาความผิดในขณะจิตผิดปกติ
นายสุรบาล เป็ นพยานศาลในคดีฆ่าคนตาย ซ่ึงตนเห็นคนร้ายกำาลังฆ่าบุตรชายของตนเองอยู่ แต่ในชัน ้ เบิก
ความต่อศาล นายสุรบาล กลับให้การว่าตนไม่เห็นเหตุการณ์ ไม่ทราบว่าบุตรชายของตนถูกฆ่าตาย และไม่เคยมีบุตร
ชายแต่อย่างใด พนักงานอัยการโจทย์พยายามซักถามอย่างหนัก แต่พยานกลับให้การเลอะเลือนจำา อะไรไม่ได้เ ลย
ทัง้ๆท่ีเหตุการณ์เพ่ิงผ่านมาเพียงเดือนเศษ อัยการจึงแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำา เนินคดีกับนายสุรบาล ฐานเบิก
ความเท็จ พนักงานสอบสวนได้ส่งนายสุรบาลไปให้จิตแพทย์ตรวจ จิตแพทย์รายงานว่านายสุรบาลเป็ นโรคท่เี กิดจาก
พิษสุรา เรียกว่า Korsakov’s Psychosis ทำาให้ความจำาแคบลงอย่างเห็นได้ชัดและเป็ นอยู่นาน จำา เหตุการณ์ท่ี
เพ่ิงผ่านมาไม่ได้ ไม่เข้าใจกาลเวลาอย่างลึกซ่ึงและพูดตอแหล ถามว่า นายสุรบาลมีความผิดและต้องรับโทษฐานเบิก
ความเท็จหรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 65 ผู้ใดกระทำา ความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิด ชอบหรือ ไม่ส ามารถบังคับตนเองได้
เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่ นเฟื อน ผูน ้ ัน
้ ไม่ต้องรับโทษสำาหรับความผิดนัน
้
จากปั ญหา ปรากฏว่านายสุรบาลเป็ นโรคจิตคอร์ซาคอฟว์ มีอาการจำาเหตุการณ์ท่ีเพ่ิงผ่านมาไม่ได้และพูด
ตอแหลน่าเช่ ือว่าการเบิกความต่อศาลไปเช่นนัน ้ เป็ นเพราะไม่รู้สึกผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ หากรู้สึก
ผิดชอบหรือสามารถบังคับตนเองได้แล้ว น่าเช่ ือว่านายสุรบาลจะไม่เบิกความเท็จอย่างแน่นอน เพราะคดีดังกล่าว
บุตรชายของตนถูกฆ่าตาย บิดาย่อมต้องมุ่งหวังให้คนร้ายถูกลงโทษ ทัง้การให้การก็เลอะเลือนอย่างไม่น่าจะเป็ นไป
ได้ ย่อมไม่มีขอ
้ สงสัยเลยว่านายสุรบาลกระทำาเพ่ อ ื ช่วยเหลือคนร้ายให้พ้นผิดหรือเพราะเกรงกลัวอันตรายจะเกิดขึ้น
กับตน
กรณีนีน้ ายสุรบาลมีความผิดฐานเบิกความเท็จ แต่ได้รับยกเว้นโทษ ตาม ปอ. มาตรา 65
9.2.2กระทำาความผิดในขณะมึนเมา
บุคคลท่ีเป็ นโรคจิตจากพิษสุราหรือจากยาเสพติดได้กระทำา ความผิดในขณะท่ีไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือใน
ขณะท่ีไม่สามารถบังคับตนเองได้ บุคคลนัน ้ จะได้รับยกเว้นโทษหรือไม่ อย่างไร
บุคคลนัน้ ได้รับยกเว้นโทษตาม ปอ. มาตรา 65 โดยตรง เพราะถือว่ากระทำาผิดในขณะท่ีไม่รู้สึกผิดชอบ
หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะโรคจิตตามมาตรา 65 มิใช่กรณีมึนเมาเพราะเสพสุราหรือสิ่งเมาอย่างอ่ ืนตาม
ปอ. มาตรา 66
9.2.3 เด็กอายุไม่เกินสิบส่ีปีกระทำาความผิด
9.3.1 การกระทำาตามคำาสั่งท่ีมิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงาน
เหตุใดกฎหมายจึงต้องยกเว้นโทษให้แก่ผู้ปฏิบัติตามคำาสัง่ท่ีมิชอบของเจ้าพนักงานตามมาตรา 70
เหตุท่ีกฎหมายต้องยกเว้นโทษให้แก่ผู้ปฏิบัติตามคำาสั่งท่ีมิชอบของเจ้าพนักงานตามมาตรา 70 เน่ ืองจากผู้
กระทำามีหน้าท่ีหรือเช่ ือโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ถ้าลงโทษก็จะไม่เป็ นธรรมแก่เขา อีกทัง้ เพ่ ือจะมิให้ผอ
ู้ ยู่
ใต้บังคับบัญชาต้องเกิดความไม่แน่ใจในความถูกต้องของคำาสั่งของผู้บังคับบัญชา อันจะเกิดผลเสียต่อการปฏิบัติงาน
ราชการทั่วๆไปได้
ท่ีว่าบุคคลมีหน้าท่ต
ี ้องปฏิบัติตามคำาสัง่ของเจ้าพนักงานนัน
้ หน้าท่ีดังกล่าวกำาหนดไว้ด้วยหรือไม่
หน้าท่ข ี องบุคคลตามมาตรา 70 นัน ้ อาจกำาหนดไว้ในกฎหมาย ระเบียบแบบแผน คำาสั่งทั่วไปหรือคำาสั่ง
เฉพาะคราวก็ได้
9.3.2สามีภริยากระทำาความผิดต่อกันในความผิดบางประเภท
สามีภรรยากระทำาความผิดต่อกันหมายความว่าอย่างไร
สามีภริยากระทำาความผิดต่อกันหมายความว่า สามีหรือภริยาเป็ นผู้กระทำาความผิดโดยลำาพังผู้เดียว เป็ น
ตัวการร่วมกันกับผู้อ่ืน เป็ นผู้ก่อให้ผู้อ่ืนกระทำาความผิดหรือเป็ นผู้สนับสนุนผู้อ่ืนกระทำา ความผิด และภริยาหรือ
สามีเป็ นผู้เสียหายโดยตรงในการกระทำาความผิดนัน ้ เช่น สามีเป็ นผู้ลักทรัพย์ของภริยา สามีร่วมกับผู้อ่น
ื ลักทรัพย์
ของภริยา สามีใช้คนอ่ ืนลักทรัพย์ของภริยา เป็ นต้น
หน่วยท่ี 10 เหตุลดโทษ
1. บุคคลอาจได้รับการลดโทษหากได้กระทำาความผิดขณะบันดาลโทสะ
2. บุคคลอาจได้รับการลดโทษเช่นกัน หากได้กระทำา ความผิดโดยไม่รู้ว่ามีกฎหมายอันบัญญัติไว้เ ป็ นความผิด
เป็ นญาติใ กล้ชิดกระทำา ความผิดต่อกันในความผิดประเภท เป็ นบุค คลอายุกว่า สิ บส่ีปีแต่ไม่เ กิน ย่ีสิบ ปี หรือมีเหตุ
บรรเทาโทษ
10.1 บันดาลโทสะ
1. ผู้ท่ีจะอ้างเหตุบันดาลโทสะเพ่ ือการลดหย่อนโทษได้จะต้องถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง และด้วยเหตุอันไม่เป็ น
ธรรม
2. กระทำา ความผิดต่อผู้ข่มเหงจะต้องกระทำาในขณะท่ีมีการข่มเหงนัน ้ จึงจะถือว่าเป็ นการกระทำา โดยบันดาล
โทสะ
10.1.2 กระทำาความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนัน
้
นายเหลืองข่มขืนกระทำา ชำา เรานางม่วงภริยานายคราม นายครามกับมาถึง บ้า นทราบจากนางม่วงว่า นาย
เหลืองเพ่งิ จะลงจากเรือนไป นายครามเกิดโทสะคว้าปื นไล่ตามนายเหลืองไป ระหว่างทางพบนายแสดบิดานายเหลือง
จึงยิงนายแสดถึงแก่ความตาย เพราะโกรธนายเหลือง ถามว่า นายครามจะอ้างเหตุบันดาลโทสะได้หรือไม่
ตาม ปอ. มาตรา 72 การกระทำาบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็ นธรรมนัน ้
จะต้องเป็ นการกระทำาต่อผู้ข่มเหงนัน
้ แต่ตามอุทาหรณ์ นายแสดมิได้เป็ นผู้ข่มเหงหรือร่วมกันในการข่มเหง แม้จะ
เป็ นบิดาของนายเหลืองก็มิได้มีส่วนในการข่มเหงรังแกแต่อย่างใด การท่ีนายครามยิงนายแสดแม้จะยิงเพราะโกรธ
นายเหลืองก็ไม่อาจอ้างว่ามาทำาเพราะบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้
10.2.2 ญาติใกล้ชิดกระทำาความผิดต่อกันในความผิดบางประเภท
นายต้นเป็ นพ่ช ี ายของนายตาล นายต้นมีบุตรชายท่ช ี อบด้วยกฎหมาย 3 คน คือนายก่ิง นายก้าน และนาย
ผล มีบุตรสาวคนเล็กท่ีชอบด้วยกฎหมาย 1 คน คือนางดอกไม้ นางดอกไม้มีบุตรกับสามีท่ีไม่ได้จดทะเบียน 1 คน
ช่ ือนางสาวเกสร ต่อมา นางดอกไม้กับนายผลร่วมกันว่ิงราวสร้อยคอนางสาวเกสรไปแบ่ง ให้กับนายต้น นายตาล
นายก่ิง และนายก้าน คนละ 1 ส่วน ถามว่า นายต้น นายตาล นายก่ิง นายก้าน นายผล และนางดอกไม้ จะได้รับ
การลดหย่อนผ่อนโทษตาม ปอ. มาตรา 71 หรือไม่ อย่างไร
ตาม ปอ.มาตรา 71 ถ้า ผู้บุ พการี กั บ ผู้ สื บ สั น ดานกระทำา ความผิด ต่ อ กั น ในความผิ ด มาตรา 334 ถึ ง
มาตรา 336 วรรคแรก และมาตรา 341 ถึงมาตรา 364 แม้กฎหมายจะมิได้บัญ ญัติให้เป็ นความผิด อันยอม
ความกันได้ ก็ให้เป็ นความผิดอันยอมความกันได้ และศาลจะลงโทษน้อยกว่าท่ีกฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิด
นัน ้ เพียงใดก็ได้ ซ่ึงผู้บุพการีนัน้ จะต้องเป็ นผู้สืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไป และผู้สืบสันดานก็จะต้อ งเป็ นผู้สืบสาย
โลหิตโดยตรงลงมา ทัง้จะต้องมีความสัมพันธ์กันโดยชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย
ตามอุทาหรณ์ นางดอกไม้ร่ว มกับนายผลว่งิ รางทรัพย์นางเกสรถือว่าบุคคลทัง้สองมีความผิด ตาม ปอ.
มาตรา 336 วรรคแรก เม่ ือว่งิ ราวทรัพย์แล้วก็นำาไปมอบให้แก่นายต้น นายตาล นายก่ิง และนายก้าน บุคคลทัง้ส่ี
จึงมีความผิดตาม ปอ. มาตรา 357 ฐานรับของโจร ปั ญหาว่าผู้กระทำาความผิดทัง้หกคนจะได้รับการลดหย่อนโทษ
ตามมาตรา 71 หรือไม่นัน ้ จะต้องแยกพิจารณาเป็ นแต่ละคนไป กล่าวคือ
นางดอกไม้แม้จะมิได้จดทะเบียนกับสามี แต่ตาม ปพพ. ถือว่านางดอกไม้เป็ นมารดาท่ีชอบด้วยกฎหมาย
ของนางสาวเกสร นางดอกไม้จึงได้รับการลดหย่อนโทษตามมาตรา 71 นั่นก็คือ แม้ความผิดฐานว่ิงราวทรัพย์จะ
มิใช่เป็ นความผิดอันยอมความได้ ก็ถือเป็ นความผิดอันยอมความได้ แต่ถ้าไม่มีการยอมความกัน ศาลจะลงโทษนาง
ดอกไม้น้อยกว่าท่ีกฎหมายกำาหนดเพียงใดก็ได้
สำาหรับนายผล นายก่ิง และนายก้านมีศักดิเ์ป็ นลุงของนางสาวเกสร มิใช่เป็ นผู้บุพการี จึงไม่ได้รับการลด
หย่อนโทษ ตามมาตรา 71 นีแ ้ ต่อย่างใด
ส่วนนายต้นเป็ นพ่อท่ีชอบด้วยกฎหมายของนางดอกไม้ และเป็ นตาท่ีชอบด้วยกฎหมายของนางสาวเกสร
นายต้น จึง ได้ รั บการลดหย่อ นโทษตามมาตรา 71 เช่ น เดี ยวกับ นางดอกไม้ แต่ นายตาลแม้ จ ะถื อ ว่ า เป็ น ตาของ
นางสาวเกสร ก็มิใช่ผู้บุพการี เพราะมิได้สืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไป นายตาลจึงไม่ได้รับลดหย่อนโทษตามมาตรา
71
10.2.4 มีเหตุบรรเทาโทษ
ในคดี ฆ่า คนตาย จำา เลยซ่ึง ให้ก ารรั บ สารภาพชัน ้ สอบสวน ได้ม าให้ ก ารปฏิ เ สธชั น
้ ศาล อั ย การโจทก์ นำา
ประจักษ์พยานเข้าสืบยืนยันความผิดของจำาเลย 10 ปาก และมีพยานแวดล้อมกรณีอีกหลายปากรับฟั งได้สอดคล้อง
ต้องกันว่าจำาเลยเป็ นคนร้ายฆ่าคนตายจริง ถึงแม้จำาเลยจะไม่ให้การรับสารภาพชัน ้ สอบสวน ศาลก็มีพยานหลักฐาน
เพียงพอท่ีจะลงโทษจำาเลยตามฟ้ องได้ เช่นนี ถ ้ ้าจำาเลยย่ ืนฎีกาขอให้ศาลลดโทษให้เพราะคำารับสารภาพชัน ้ สอบสวน
เป็ นประโยชน์ในชัน ้ พิจารณา ถ้าท่านเป็ นศาลฎีกาจะลดโทษแก่จำาเลยเพราะเหตุบรรเทาโทษหรือไม่
ตาม ปอ.มาตรา 78 เม่ ือปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินก่ึงหน่ึงของโทษ
ท่ีจะลงแก่ผู้กระทำาความผิดก็ได้ เหตุบรรเทาโทษเหตุหน่ึงได้แก่ ผูก ้ ระทำาความผิดให้ความรู้แก่ศาลอันเป็ นประโยชน์
แก่การพิจารณา
ตามอุทาหรณ์ แม้จำาเลยให้การรับสารภาพชัน ้ สอบสวน แต่จำาเลยก็ให้การปฏิเสธในชัน ้ ศาล อัยการโจทก์
ได้นำาประจักษ์พยานเข้าสืบยืนยันความผิดของจำาเลยถึง 10 ปาก และมีพยานแวดล้อมกรณีอีกหลายปาก รับฟั งได้
ว่าจำาเลยเป็ นคนร้ายฆ่าคนตายจริง ถึงแม้จำา เลยจะไม่ให้การรับสารภาพชัน ้ สอบสวน ศาลก็มีพยานหลักฐานเพียง
พอท่ีจะลงโทษจำาเลยได้ คำาให้การชัน ้ สอบสวนของจำาเลยจึงไม่เป็ นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล ถ้าข้าพเจ้า
เป็ นศาลฎีกาจะไม่ลดโทษให้แก่จำาเลย เพราะมีเหตุบรรเทาโทษตาม ปอ. มาตรา 78
11.1 ตัวการ
1. การกระทำา ร่วมกันอาจเป็ นกรณีบุคคลตัง้ แต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกระทำา ส่วนใดส่วนหน่ึงอันเป็ นองค์
ประกอบความผิด หรือเป็ นการแบ่งหน้าท่ีกันทำา หรือร่วมอยู่ในท่ีเกิดเหตุใ นลักษณะท่ีสามารถเข่า
ช่วยเหลือผู้กระทำาผิดคนอ่ ืนทันทีก็ได้
2. การมีเจตนาร่วมกันของตัวการ หมายความว่า ผู้กระทำา ผิดทุกคนได้รู้ถึง การกระทำา ของกันและกัน
และต่างถือเอาการกระทำาของคนอ่ ืนเป็ นการกระทำาของตนเอง
3. ตัวการต้องรับโทษตามท่ีกฎหมายกำา หนดไว้สำา หรับความผิดนัน ้ แต่ตัวการแต่ละคน อาจรับโทษไม่
เท่ากันก็ได้
11.1.1 การกระทำาร่วมกัน
ขาวกับดำาวางแผนร่วมกันเพ่ ือจะไปทำาร้ายแดง ขาวไปดักซุ่มอยู่ในท่ีเปล่ียว ส่วนดำา ไปพูดจาชักชวนให้แดง
ให้เดินมายังท่ท ี ่ีขาวซุ่มอยู่ พอได้โอกาสขาวก็ใช้ไม้ตีศีรษะแดงหลายครัง้ แดงได้รับบาดเจ็บโลหิตไหล ดังนี ข้าวและดำา
มีความผิดใดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ในกรณีความผิดได้เกิดโดยการกระทำาของบุคคลตัง้แต่สองคน
ขึ้นไป ผูท้ ่ีได้รว่ มกระทำาความผิดด้วยกันนัน ้ เป็ นตัวการ
จากปั ญหาแม้ดำาจะมิได้ลงมือทำาร้ายแดง แต่ก็มีส่วนร่วมในการทำาร้ายโดยไปพูดจาชักชวนล่อให้แดงมาถูก
ทำาร้ายเป็ นการแบ่งหน้าท่ีกันทำาระหว่างขาวกับดำา ขาวและดำาจึงเป็ นตัวการต้องรับผิดในความผิดฐานทำาร้ายร่างกาย
ผู้อ่ืนจนเป็ นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ตาม ปอ. มาตรา 295
11.1.2 เจตนาร่วมกัน
มกราและกุมภาสมคบกันไปลักทรัพย์ของมีนา มกราปี นขึ้นไปบนบ้านของมีนา และหยิบได้สายสร้อยเพชร
กับแหวนเพชรนำามาส่งให้กุมภาและบอกให้หลบหนีไปก่อน กุมภารับของมาแล้วหลบหนีไป มกรากับขึ้นไปลักของ
คนอ่ ืนอีก พอดีมีนาต่ ืนขึ้น มกราจึงใช้ปืนยิงมีนาตาย ดังนี ก้ ุมภาต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ในกรณีความผิดได้เกิดขึน ้ โดยการกระทำาของบุคคลตัง้แต่สองคน
ขึ้นไป ผูท
้ ่ีได้รว่ มกระทำาความผิดด้วยกันนัน
้ เป็ นตัวการ ต้องระวางโทษตามท่ีกฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้
จากปั ญหาดังกล่าวกุมภามีเจตนาเพียงลักทรัพย์มีนา และขณะท่ีมกรายิงมีนา กุมภามิได้ยู่ในท่ีเกิดเหตุแล้ว
ถือไม่ได้ว่ากุมภามีเจตนาร่วมกันกับมกราในการฆ่ามีนา เพราะฉะนัน ้ กุมภาไม่ต้องรับผิดฐานชิงทรัพย์และฆ่าผู้อ่ืน
11.1.3 ความรับผิดของตัวการ
นายสมกับนายศักดิร์่วมกันชิงทรัพย์ข้อเท็จจริงฟั งได้ว่านายสมเป็ นคนลักเอาสายสร้อยและทำาร้ายเจ้าทรัพย์
ส่วนนายศักดิเ์ป็ นคนดูต้นทาง ดังนี ถ
้ ้าศาลจะพิพากษาลงโทษจำาคุกนายสม 10 ปี ศาลจะต้องลงโทษนายศักดิ จ์ำาคุก
10 ปี ด้วยหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ผู้ท่ีได้ร่วมกระทำาความผิดด้วยกันนัน ้ เป็ นตัวการต้องระวางโทษ
ตามท่ีกฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้
จากปั ญหากฎหมายกำา หนดให้ตัวการต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน แต่มิได้หมายความว่า โทษท่ีศาลจะลง
แก่ตัวการทุกคนจะต้องเท่ากัน ดังนัน้ ศาลไม่จำาเป็ นต้องลงโทษนายศักดิเ์ท่านายสม
11.2 ผู้ใช้
1. การก่อให้ผู้อ่ืนกระทำา ผิ ด คือการทำา ให้บุค คลอ่ ืนซ่ึง ยัง ไม่ มีเ จตนาท่ีจะกระทำา ความผิ ด ตกลงใจท่ีจะ
กระทำาความผิดนัน ้
2. ผู้ใช้จะต้องมีเจตนาก่อให้ผู้อ่ืนกระทำาผิดด้วย ลำาพังผู้กระทำาผิดตัดสินใจกระทำาผิดเพราะคำาพูดของผู้ใช้
โดยผู้ใช้มิได้มีเจตนา ผู้ใช้ไม่ต้องรับผิด
3. ความรับผิดของผู้ใช้ขึ้นอยู่กับการกระทำาของผู้ถูกใช้ ถ้าผู้ถูกใช้มิได้กระทำาความผิด ผู้ใช้ต้องระวางโทษ
หน่ึงในสามของความผิด ผู้ใช้ต้องระวางโทษตามท่ีกฎหมายกำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้
11.2.1 การก่อให้ผู้อ่น
ื กระทำาผิด
ขาวต้องการจะฆ่าดำา จึงให้แดงไปติดต่อจ้างมือปื นเพ่ ือยิงดำา ในราคา 80,000 บาท แดงไม่สามารถติดต่อ
มือปื นได้ พอดีตำารวจทราบเร่ ือง จึงจับกุมขาวและแดง ดังนี ข้าวและแดงต้องรับผิดหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 กฎหมายถือว่าผู้ก่อให้ผู้อ่น ื กระทำาความผิด เป็ นผู้ใช้กระทำาความ
ผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำาความผิด ผูใ้ ช้ต้องรับโทษเสมือนตัวการ แต่ถ้าความผิดยังมิได้กระทำาลง ไม่ว่าจะเป็ นเพราะผู้
ถูกใช้ไม่ยอมกระทำา ยังไม่ได้กระทำา หรือเหตุอ่ืนใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหน่ึงในสามของโทษที่กำาหนดไว้สำาหรับ
ความผิดนัน ้
11.2.2 เจตนาของผู้ใช้
แดงถูกดำา ข่มเหงรัง แกรู้สึกโกรธ จึงบ่นออกมาดังๆว่า ถ้ามีใครทำา ให้ดำา ตายได้ ห้า หม่ ืนบาทก็ไม่เ สียดาย
ทัง้นีแ
้ ดงคิดว่าตนอยู่แถวนัน
้ คนเดียว แต่เผอิญขาวได้ยินคิดว่าจริงจึงไปยิงดำาถึงแก่ความตาย ดังนีแ ้ ดงมีความผิดหรือ
ไม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 ผู้ก่อ ให้ผู้อ่ ืนกระทำา ความผิด กฎหมายถือ ว่าเป็ นผู้ใช้ให้กระทำา
ความผิด ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำาความผิดผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนตัวการ
แดงไม่มีความผิด เพราะแดงไม่ทราบว่าจะมีคนได้ยินคำาพูดของตน จึงไม่มีเจตนาก่อให้ผู้อ่น ื กระทำาผิด
11.2.3 ความรับผิดของผู้ใช้
เหลืองจ้างให้ฟ้าไปฆ่าแดง ฟ้ าตกลงรับจ้างและไปดักซุ่มอยู่ พอแดงเดินผ่านมาก็ยกปื นขึ้นจ้องเล็งไปท่ีแดงก็
พอดีตำารวจผ่านมาจึงจับฟ้ าได้ ดังนี เ้หลืองมีความผิดฐานใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 ผูท ้ ่ีก่อให้ผู้อ่ืนกระทำาความผิดด้วยการจ้างเป็ นผู้ใช้กระทำาความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำา ความผิดนัน้ ผู้ใช้ต้องรับโทษเหมือนตัวการและ มาตรา 80 ผู้ลงมือกระทำา ความผิดแล้ว แต่
กระทำาไปไม่ตลอดผู้นัน ้ พยายามกระทำาความผิด
จากปั ญหา ฟ้ าได้ล งมือ กระทำา ผิด แล้ว แต่ก ระทำา ไปไม่ ต ลอดจึ ง เป็ น ความผิ ด ฐานพยายามฆ่ า ผู้ อ่ ืน โดย
ไตร่ตรองไว้ก่อน เหลืองซ่ึงจ้างฟ้ าต้องรับโทษเสมือนตัวการ คือรับโทษเช่นเดียวกับฟ้ า
11.3.1 ลักษณะการใช้โดยวิธีโฆษณาหรือประกาศ
แดงต้องการฆ่าขาว จึงเรียกเหลือง ดำา และ ฟ้ า มาประชุมกันและถามว่าใครจะสามารถไปฆ่าขาวได้บ้าง ดำา
รับอาสาไปฆ่าขาว แต่ยังไม่ทันลงมือทำาก็ถูกจับเสียก่อน ดังนีแ้ ดงจะมีความผิดหรือไม่ เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 ผู้ท่ีโฆษณาหรือประกาศแก่คนทั่วไปให้กระทำาความผิดและความ
ผิดนัน ้ มีกำาหนดโทษไม่ต่ำากว่าหกเดือนต้องรับโทษก่ึงหน่ึงของโทษที่กฎหมายได้กำาหนดไว้ และ มาตรา 84 ผูท ้ ่ีก่อ
ให้ผู้อ่ืนกระทำาความผิดด้วยประการใดๆ เป็ นผู้ใช้ให้กระทำาความผิด ถ้าความผิดยังไม่ได้กระทำาลงด้วยเหตุใดก็ตาม
ผู้ใช้ต้องรับโทษเพียงหน่ึงในสามของโทษที่กำาหนดไว้สำาหรับความผิดนัน ้
จากปั ญหาการใช้ของแดงมิใช่การประกาศหรือ โฆษณา เพราะใช้ในกลุ่มคนจำา กัด ตัว เม่ ือ ความผิด มิได้
กระทำาลงเพราะดำาท่ีรับอาสาไปฆ่าขาว ถูกเจ้าพนักงานตำารวจจับเสียก่อน แดงจึงรับผิดพียงหน่ึงในสาม
11.3.2 ความรับผิดผู้ใช้โดยวิธีโฆษณาหรือประกาศ
พลตำารวจแสงว่ิงไล่ตามจับนายสอนคนร้าย พลตำารวจแก้วร้องบอกแก่คนท่ีเดินผ่านไปมาช่วยกันรุมทำาร้าย
นายสอน นายสมศักดิ ไ ์ ด้ยินจึงคว้ามีดเข้าไปขวางหน
ตัวนายสมศักดิ ไ ์ ว้ได้ดังนีพ
้ ลตำารวจแสงมีความผิดฐานใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 85 ผู้ท่ีโฆษณาหรือประกาศให้บุคคลทั่วไปกระทำาผิด ซ่ึงความผิดนัน ้
มีกำา หนดโทษไม่ต่ำา กว่าหกเดือ น และมีผู้กระทำา ผิด นัน
้ ตามโฆษณาหรือ ประกาศ ต้อ งรังโทษเสมือ นตัว การและ
มาตรา 80 ผู้ท่ีลงมือกระทำา ผิดแล้วแต่กระทำา ไปไม่ตลอด เป็ นผู้พยายามกระทำา ความผิด ต้อ งรับโทษสองในสาม
สำาหรับความผิดนัน
้
จากปั ญหาพลตำารวจแสง ใช้ให้นายสมศักดิ ท ์ ำาผิดโดยการประกาศเม่ ือนายสมศักดิล์งมือกระทำา ผิดแล้ว
พลตำารวจแสงต้องรับโทษเสมือนตัวการ คือรับผิดฐานพยายามทำาร้ายร่างกายผู้อ่ืน
หน่วยท่ี 12 ผูม
้ ีส่วนเก่ียวข้องในการกระทำาความผิด (ต่อ)
12.1 ผู้สนับสนุน
1. การช่วยเหลือท่ีเป็ นการสนับสนุนจะต้องกระทำาก่อนหรือขณะกระทำาผิด
2. ผู้สนับสนุนจะต้องมีเจตนาให้ความช่วยเหลือผู้กระทำา ผิด ทัง้นีโ้ดยไม่ต้องคำา นึงว่าผู้ได้รับการสนับสนุนจะ
ทราบถึงการช่วยเหลือนัน ้ หรือไม่
3. ผู้สนับสนุนมีความรับผิดเพียงสองในสามของความผิดท่ีกระทำาลง
12.1.1 การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำาความผิด
ส้มโอและส้มจุกเป็ นพ่อค้าขายส้มในตลาด ส้มโอต้องการฆ่าส้มจุกเพราะส้มจุกชอบแย่งลูกค้าของตน ส้ม
เกลีย้ งซ่ึงเป็ นเพ่ อ
ื นกับส้มโอรู้เข้า จึงเสนอให้ส้มโอยืมปื นเพ่ อ ื จะนำาไปฆ่าส้มจุก ส้มโอรับปื นจากส้มเกลีย
้ งไปถึงบ้าน
ส้มจุก เห็นส้มจุกกำาลังเล่นอยู่กับลูก จึงเกิดความสงสารไม่ลงมือยิงส้มจุก กรกรีดังกล่าวส้มเกลีย ้ งจะมีความผิดฐาน
เป็ นผู้สนับสนุนหรอไม่อย่างไร
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำาด้วยประการใดๆ อันเป็ นการช่วยเหลือ
หรือให้ความสะดวกในการที่ผอ ู้ ่ ืนกระทำาความผิดก่อนหรือขณะกระทำาความผิด แม้ผู้กระทำาความผิดจะมิได้รู้ถึงการ
ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนัน ้ ก็ตาม ผูน
้ ัน
้ เป็ นผู้สนับสนุนการกระทำาความผิด” ถ้าการกระทำาของตัวการไม่เป็ น
12.1.2 เจตนาและความรับผิดของผู้สนับสนุน
สมใจบอกสมจิตว่า อยากได้ยาเบ่ ือไปเบ่ ือหนูท่ีบ้าน เพราะหนูท่ีบ้านชุกชุมมาก สมจิต จึง นำา ยาเบ่ ือมาให้
สมใจ เม่ ือสมใจได้ยาเบ่ ือแล้วแทนท่ีจะนำาไปเบ่ ือหนู กลับนำาไปใส่แกงให้สามีกิน สามีถึงแก่ความตาย กรณีดังกล่าว
สมจิตจะต้องรับผิดเพียงใดหรือไม่เพราะเหตุใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำาด้วยประการใดๆ อันเป็ นการช่วยเหลือ
หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อ่ืนกระทำาความผิด ก่อนหรือขณะกระทำา ความผิด แม้ผู้กระทำา ความผิดจะมิได้รู้ถึง
การช่ว ยเหลือ ให้ความสะดวกนัน ้ ก็ตาม ผู้นัน้ เป็ นผู้สนับสนุ นการกระทำา ความผิด ” การช่ว ยเหลือ หรือ ให้ ความ
สะดวกในการกระทำาความผิด อันจะทำาให้ผู้กระทำารับผิดฐานเป็ นผู้สนับสนุนนัน ้ จะต้องปรากฏว่าผู้ช่วยเหลือหรือ
ให้ความสะดวกนัน ้ จะต้องกระทำาโดยเจตนาด้วย คือทำาไปโดยรู้หรือตัง้ใจที่จะช่วยเหลือผูอ ้ ่ ืนในการกระทำาความผิดไม่
ว่าจะเป็ นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลก็ตาม
จากข้อเท็จจริงตามปั ญหา การท่ีสมใจบอกสมจิตว่าอยากได้ยาเบ่ อ ื ไปเบ่ ือหนูท่ีบ้าน เพราะหนูท่ีบ้านชุกชุม
มาก สมจิตจึงให้ยาเบ่ ือสมใจไป ปรากฏว่าเม่ ือสมใจได้ยาเบ่ ือไปแล้วแทนท่ีจะนำาไปเบ่ ือหนู กลับนำาไปใส่ในแกงให้
สามีกิน สามีจึงถึงแก่ความตายกรณีดังกล่าวเห็นว่า การท่ีสมจิตให้ยาเบ่ อ ื แก่สมใจไป สมจิตไม่ทราบว่าสมใจจะนำายา
เบ่ ือนัน
้ ไปฆ่าสามี คิดว่าจะนำา ไปเบ่ ือหนู จึงเห็นว่าสมจิตไม่มีเจตนาท่ีจะช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกแก่สมใจใน
การกระทำาความผิดฐานฆ่าคนตาย แม้การกระทำาของสมจิตจะเป็ นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก็ตาม แต่เม่ ือ
ขาดเจตนาแล้ว การกระทำาของสมจิตก็ไม่มีความผิดแต่อย่างใด สมจิตจึงไม่ต้องรับผิดในกรณีดังกล่าว
12.2 ขอบเขตความรับผิดของผู้ใช้และผู้สนับสนุน
1. ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนไม่ต้องรับผิดเกินขอบเขตแห่งการใช้หรือสนับสนุนของตน เว้นแต่ตนจะเล็งเห็นได้เช่น
นัน้
2. ถ้าผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนกลับใจเข้าขัดขวางการกระทำา ความผิดทำา ให้ความผิดไม่สำา เร็จ ผู้ใช้คงรับผิดเสมือน
ความผิดนัน ้ มิได้ทำาลง ส่วนผู้สนับสนุนไม่ต้องรับผิด
12.2.1 กรณีผู้ถูกใช้หรือผู้รับการสนับสนุนกระทำาเกินขอบเขตแห่งการใช้หรือการสนับสนุน
เพชรจ้างพลอยไปฆ่าเพ่ิม โดยท่ีเพชรไม่รู้ว่าเพ่ิมเป็ นตำารวจ แต่พลอยรู้ว่าเพ่ิมเป็ นตำารวจ ซ่ึงกระทำาการตาม
หน้าท่ี แต่ด้วยความอยากได้เงินค่าจ้าง พลอยจึงไปดักยิงเพ่ิมถึงแก่ความตาย กรณีดังกล่าวเพชรต้องรับผิดชอบหรือ
ไม่เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 87 บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีการกระทำาความผิดเพราะมีผู้ใช้ให้กระทำา
ตามมาตรา 84 เพราะมี ผู้โ ฆษณาหรือ ประกาศแก่ บุค คลทั่ว ไปให้ ก ระทำา ความผิ ด ตามมาตรา 85 หรือ โดยมี ผู้
สนั บ สนุ น ตามมาตรา 86 ถ้ า ความผิ ด ท่ีเ กิ ด ขึ้ น นั น
้ ผู้ ก ระทำา ได้ ก ระทำา ไปเกิ น ขอบเขตท่ใี ช้ ห รื อ ที่ โ ฆษณาหรื อ
ประกาศหรือ เกินไปจากเจตนาของผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้ก ระทำา ความผิดผู้โฆษณาหรือ ประกาศแก่บุคคลทั่ว ไปให้
12.2.2 กรณีผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนขัดขวางการกระทำาของผู้ถูกใช้หรือผู้รับการสนับสนุน
นงเยาว์ใช้ให้แจ๋วซ่ึงสาวใช้ของสมศักดิ น ์ ำา ยาพิษไปใส่ในถ้วยกาแฟของสมศักดิเ์พ่ ือจะฆ่า สมศักดิใ์ห้ตาย
แจ๋วได้นำายาพิษไปใส่ในถ้วยกาแฟของสมศักดิใ์นขณะท่ีสมศักดิก ์ ำาลังจะยกถ้วยกาแฟท่ผ ี สมยาพิษนัน ้ ขึ้นด่ ืม นงเยาว์
ซ่ึงแอบดูอยู่เกิดความสงสารสมศักดิ จ ์ ึ งตรงเข้า ไปปั ดถ้วยกาแฟหกหมดกรณีดังกล่าวนง
เพียงใด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 88 บัญญัติว่า “ถ้าความผิด ท่ีได้ ใช้ ท่ีได้ โฆษณาหรือ ประกาศแก่
บุคคลทั่วไปให้กระทำา หรือที่ได้สนับสนุนให้กระทำา ได้กระทำาถึงขัน ้ ลงมือกระทำาความผิด แต่เน่ ืองจากการเข้าขัด
ขวางของผู้ใช้ ผู้โฆษณาหรือประกาศหรือผู้สนับสนุน ผู้กระทำาได้กระทำา ไปไม่ตลอด หรือกระทำา ไปตลอดแล้วแต่
การกระทำานัน ้ ไม่บรรลุผล ผูใ้ ช้หรือผู้โฆษณาหรือประกาศ คงรับผิดเพียงท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง หรือ
มาตรา 85 วรรคแรก แล้วแต่กรณี ส่วนผู้สนับสนุนนัน ้ ไม่ต้องรับโทษ”
จากข้อเท็จจริงตามปั ญหา การท่ีนงเยาว์ใช้ให้แจ๋วซ่ึงเป็ นสาวใช้ของสมศักดิ น ์ ำา ยาพิษไปใส่ในถ้วยกาแฟ
ของสมศักดิ เ ์ พ่ อ
ื เจตนาจะฆ่าสมศักดิใ์ห้ตาย
เป็ นผู้กระทำาได้ลงมือกระทำาความผิดแล้วตามท่ีนงเยาว์ได้ใช้ แต่ในขณะท่ค ี วามผิดยังไม่บรรลุผล นงเยาว์ซ่ึงแอบดู
อยู่เห็นสมศักดิย์กถ้วยกาแฟขึ้นด่ ืมเกิดความสงสารสมศักดิ จ ์ ึ งตรงเข้าไปปั ดถ้วย
ซ่ึงเป็ นผู้ใช้ให้กระทำาความผิดได้เข้าขัดขวางเพ่ ือมิให้การกระทำาของแจ๋วบรรลุผล กรณีดังกล่าวกฎหมายได้บัญญัติ
ให้ผู้ใช้นัน้ คงรับผิดเพียงท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 84 วรรคสอง กล่าวคือ รับผิดเสมือนหน่ึงความผิดที่ใช้มิได้กระทำา
ลงไป ทัง้ๆท่ีความจริงความผิดกระทำาถึงขัน ้ พยายามแล้ว
สรุป นงเยาว์รับโทษเพียงหน่ึงในสามของความผิดฐานฆ่าคนตาย
12.3.1 เหตุส่วนตัวและเหตุในลักษณะคดี
เหตุส่วนตัวและเหตุในลักษณะคดีหมายความว่าอย่างไร
ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 89 บัญญัติว่า “ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษหรือเพิ่ม
โทษแก่ผู้กระทำาความผิดคนใด จะนำาเหตุนัน
้ ไปใช้แก่ผู้กระทำา ความผิดคนอ่ ืนในการกระทำา ความผิดนัน
้ ด้วยไม่ได้
แต่ถ้าเหตุอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษหรือเพิ่มโทษเป็ นเหตุในลักษณะคดี จึงให้ใช้แก่ผู้กระทำาความผิดในการกระ
ทำาความผิดนัน้ ด้วยกันทุกคน”
จากบทบัญญัติดังกล่าว สามารถให้ความหมายของคำาว่าเหตุส่วนตัวและเหตุในลักษณะคดได้ดังนี้
12.3.2 เหตุเฉพาะตัวของผู้กระทำาในความผิดบางฐาน
แดงเป็ นข้าราชกรกรม กรมหน่ึงได้รับแต่งตัง้เป็ นประธานกรรมการสอบบรรจุเข้ารับราชการ แดงต้องการ
รับเงินสินบนในการสอบครัง้นี จ้ึงร่วมวางแผนกับภรรยาโดยแบ่งงานกันทำา ให้ภรรยาเป็ นผู้รับเงินจากผู้มาติดต่อ
และแดงเป็ นผู้กระทำาการช่วยให้บุคคลท่ีให้เงินนัน้ สอบบรรจุเข้ารับราชการได้ กรณีดังกล่าวแดงและภรรยาจะต้องรับ
ผิดเพียงใดหรือไม่
ในประมวลกฎหมายอาญา กฎหมายได้ กำา หนดความผิ ด บางอย่ า งต้ อ งมี อ งค์ ป ระกอบความผิ ด เป็ น
คุณสมบัติเฉพาะตัว หรือลักษณะเฉพาะตัวผู้กระทำา ดังนัน ้ บุคคลทั่วไปซ่ึงไม่มีคุณสมบัติเช่นนัน
้ ย่อมไม่อาจกระทำา
ความผิด นัน ้ ได้ เพราะองค์ป ระกอบความผิ ด แต่ถ้ า บุค คลทั่ว ไปร่ว มกระทำา ความผิ ด ในลั ก ษณะตั ว การกั บ ผู้ ท่ีมี
คุณสมบัติเฉพาะตัวท่ีจะกระทำาความผิดนัน ้ ได้ บุคคลทั่วไปนัน ้ ก็จะกลายเป็ นผู้สนับสนุน แทนท่ีจะเป็ นตัวการร่วม
กระทำาความผิด
จากข้อ เท็จ จริ งตามปั ญหาการที่ แ ดงเป็ น ประธานกรรมการสอบบรรจุ เ ข้ า รั บ ราบการ ซ่ึง ถื อ ว่ า เป็ น เจ้ า
พนักงานได้ร่วมวางแผนกับภรรยาโดยแบ่งงานกันทำา ให้ภรรยาเป็ นผู้รับเงินสินบนซ่ึงมีผู้มาติดต่อ และแดงเป็ นผู้
กระทำาการช่วยให้บุคคลท่ีให้เงินนัน้ สอบบรรจุเข้ารับราชการได้ กรณีดังกล่าวเห็นว่า แดงและภรรยาเป็ นตัวการร่วม
ในการกระทำาความผิดฐานเจ้าพนักงานรับสินบน แต่เน่ ืองจากความผิดดังกล่าว กฎหมายกำา หนดคุณสมบัติของผู้
กระทำาว่าต้องเป็ นเจ้าพนักงาน ดังนัน้ บุคคลอ่ ืนท่ีไม่ได้เป็ นเจ้าพนักงานก็ถือว่าขาดคุณสมบัติจึงไม่อาจกระทำาความ
ผิดนัน
้ ได้ กรณีดังกล่าว ภรรยาของแดงเป็ นบุคคลธรรมดาทั่วไปไม่ได้เป็ นเจ้าพนักงาน แม้จะได้รว่ มกระทำาความผิด
กับแดงซ่ึงเป็ นเจ้าพนักงานในลักษณะตัวการ ก็ไม่อาจมีความผิดฐานนีไ้ด้ ภรรยาของแดงจึงเป็ นเพียงผู้สนับสนุน
การกระทำาความผิดดังกล่าว แดงเพียงผู้เดียวท่ีมีความผิดฐานเจ้าพนักงานรับสินบน
13.1 ทฤษฎีการลงโทษ
1. การลงโทษเกิดจากปฏิกิริยาของผู้เสียหายท่ีจะตอบโต้กับผู้ประทุษร้ายในรูปแบบของการแก้แค้นและ
ต่อมารัฐดำาเนินการแทนผู้เสียหาย เป็ นการทดแทนอย่างในระบบ “ตาต่อตา ฟั นต่อฟั น”
2. การลงโทษควรจะมองไปถึงประโยชน์ท่ีจะเกิดแก่สังคมในอนาคตด้วย โดยคำานึงถึงความปลอดภัยของ
สังคมเป็ นหลักด้วยวิธีการยับยัง้ ป้ องกันและปรับปรุงผู้กระทำาความผิด
3. การลงโทษควรจะเปล่ียนเป็ นการปฏิบัติต่อผู้กระทำา ผิดโดยมุ่งต่อการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทำา ความผิดให้
กลับตนเป็ นคนดี ยกเว้นในกรณีแก้ไขปรับปรุงไม่ได้ ก็ให้กำาจัดไปจากสังคม
4. การลงโทษควรจะเปล่ียนเป็ นการปฏิบัติต่อผู้กระทำาความผิด โดยมุ่งต่อการคุ้มครองสังคมให้ปลอดภัย
จากอาชญากรรม โดยวิธีการแก้ไขฟ้ืนฟูและอ่ ืนๆท่ีเหมาะสม
5. การลงโทษมีวัตถุประสงค์เพ่ ือแก้แค้น ทดแทน ยับยัง้ คุม ้ ครองสังคม และแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทำาความผิด
6. แบบของการลงโทษมี 4 ประการด้วยกัน คือลงโทษโดยการกำา จัดออกไปจากสัง คม ลงโทษโดยการ
ทรมานทางกาย ลงโทษโดยการประจาน และลงโทษโดยการทำาให้สูญเสียทางการเงิน
13.1.2 ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์
ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์ มีท่ีมาจากสำานักอาชญาวิทยาสำานักใด และมีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง
ทฤษฎีการลงโทษแบบอรรถประโยชน์มีท่ีมาจากสำานักคลาสสิกซ่ึงวางหลักเกณฑ์ไว้ว่า การลงโทษควรจะ
มองไปในอนาคตมากกว่ามองย้อนหลังไปในอดีต การลงโทษผู้กระทำาความผิดควรจะเน้นไปท่ีการลดอาชญากรรม
และทำาให้ประชาชนเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย การลงโทษจึงควรจะเน้นท่ีการป้ องกัน การยับยัง้และการแก้ไข
ปรับปรุงผู้กระทำา ความผิด การท่ีจะให้มีผลในการยับยัง้ การลงโทษจะต้องทำา อย่างรุนแรง และอย่างเปิ ดเผ การ
แก้ไขปรับปรุงใช้หลักการขังเด่ียว และหลักการทางศาสนาเพ่ ือให้สำานึกในความผิดและกลับตัวเป็ นพลเมืองดีให้ได้
13.1.5 วัตถุประสงค์และแบบของการลงโทษ
วัตถุประสงค์ของการลงโทษมีก่ีข้อ อะไรบ้าง
วัตถุประสงค์ของการลงโทษ มี 4 ข้อ คือ
(1) เพ่ ือแก้แค้นทดแทน
(2) เพ่ ือยับยัง้หรือป้ องกัน
(3) เพ่ ือคุ้มครองสังคม
(4) เพ่ ือปรับปรุงและแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทำาผิด
การลงโทษมีก่ีแบบ อะไรบ้าง
การลงโทษมี 4 แบบ คือ
(1) กำาจัดออกจากหมู่คณะหรือสังคม
(2) ทรมานร่างกาย
(3) ประจาน
(4) ทำาให้สูญเสียทางการเงิน
13.2 การปฏิบัติต่อผู้กระทำาผิดในสังคม
1. อุดมการณ์ในการปฏิบัติต่อผู้กระทำาความผิดมีท่ีมาจากทฤษฎีและวัตถุประสงค์ในการลงโทษซ่ึงเน้น
ไปใน 3 ทาง คือ มุ่ง ลงโทษ มุ่ง แก้ไขฟ้ืนฟู และมุ่ง ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปรับปรุง ผู้
กระทำาความผิด
2. ผู้ท่ีกระทำาความผิดท่ีมีโทษไม่ร้ายแรงอาจได้รับการแก้ไขฟ้ืนฟูให้เป็ นคนดีได้โดยใช้ชุมชนเป็ นท่ีแก้ไข
3. ผู้ท่ีกระทำาความผิดท่ีมีโทษร้ายแรง อาจแก้ไขให้กลับเป็ นคนดีได้โดยใช้เรือนจำา เป็ นท่ีแก้ไขและขณะ
เดียวกันก็เป็ นการกำาจัดเสรีภาพของผู้ต้องโทษด้วย
13.2.1 อุดมการณ์ในการปฏิบัติต่อผู้กระทำาผิด
อุดมการณ์ในการปฏิบัติต่อผู้กระทำาผิดมีก่ีอย่าง อะไรบ้าง
อุดมการณ์ในการปฏิบัติต่อผู้กระทำาผิดมี 3 อุดมการณ์ คือ
(1) อุดมการณ์ท่ีมุ่งต่อการลงโทษ
(2) อุดมการณ์ท่ีมุ่งต่อการแก้ไขฟ้ืนฟู
(3) อุดมการณ์ท่ีมุ่งต่อการแก้ไขฟ้ืนฟูในชุมชน
13.2.2 การปฏิบัตต
ิ ่อผู้กระทำาความผิดในชุมชน
หลักเกณฑ์ในการพิจารณารอการลงโทษ มีก่ีข้อ อะไรบ้าง
มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณารอการลงโทษมี 3 ข้อคือ
(1) โทษนัน้ เป็ นโทษจำาคุก
(2) ศาลจะลงโทษจริงไม่เกิน 2 ปี
(3) ไม่เคยต้องโทษจำาคุกมาก่อนเว้นแต่ได้กระทำาความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ
(3) ห้ามทำาผิดกฎหมายทุกชนิด
(4) ห้ามประพฤติตนในทางเส่ ือมเสีย
(5) ห้ามพกอาวุธทุกชนิด
(6) ห้ามไปเย่ียมและติดต่อกับนักโทษอ่ ืนท่ีไม่ใช่ญาติ
13.2.3 การปฏิบัตต
ิ ่อผู้กระทำาความผิดในสถานท่ีควบคุม
ในปั จจุบันเรือนจำาใช้อุดมการณ์อะไรในการปฏิบัติต่อผู้กระทำาความผิด
ใช้อุดมการณ์แก้ไขฟ้ืนฟู แต่ในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มจะหันมาใช้การปฏิบัติต่อผู้กระทำาความผิดโดยมุ่ง
ต่อการลงโทษอย่างเป็ นธรรม
13.3 ทฤษฎีวิธีการเพ่ อ
ื ความปลอดภัย
1. การกักกันมีท่ีมาจากทฤษฎีคุ้มครองสังคม ทฤษฎียับยัง้ และทฤษฎีแก้ไขฟ้ืนฟู
2. การห้ามเข้าเขตกำา หนด การเรียกประกันทัณฑ์บน การคุมตัวไว้ในสถานพยาบาล และการห้ามประกอบ
อาชีพบางอย่าง มีท่ีมาจากทฤษฎีคุ้มครองสังคมเป็ นส่วนใหญ่
13.3.1 ทฤษฎีเก่ียวกับการกักกัน
กักกันตาม ปอ.มาตรา 40 มีท่ีมาจากทฤษฎีอะไรบ้าง
มาจากทฤษฎีคือ
(1) ทฤษฎีคุ้มครองสังคม
(2) ทฤษฎียับยัง้อาชญากรรม
(3) ทฤษฎีแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทำาความผิด
14.1 โทษ
โดยลักษณะของโทษท่ีจะบังคับแก่ผู้กระทำาผิดมี 3 ลักษณะคือ
1. โทษท่ีบังคับต่อชีวิต ได้แก่
โทษประหารชีวิต ด้วยการเอาไปยิงเสียให้ตาย
2. โทษท่ีบังคับต่อเสรีภาพได้แก่
โทษจำาคุก โดยมีกำาหนดระยะเวลาและไม่มีกำาหนดระยะเวลา ซ่ึงการคำานวณเก่ียวกับระยะเวลาจำา
คุกจะเป็ นไปตามท่ีกฎหมายกำาหนด
โทษกักขัง ให้กักขังผู้ต้องโทษไว้ในสถานท่ีอันมิใช่เรือนจำา โดยมีระยะเวลาอยู่ภายในเง่ ือนไขของ
กฎหมาย และจะนำา ไปใช้เป็ นการลงโทษหรือเป็ นมาตรการบังคับในกรณีท่ีฝ่าฝื นการ
ลงโทษปรับ ริบทรัพย์สิน ตลอดจนเรียกประกันทัณฑ์บน ในวิธีเพ่ ือความปลอดภัย
3. โทษท่ีบังคับต่อทรัพย์สินได้แก่
โทษปรับ ผู้นัน
้ ต้องชำาระเงินตามจำานวนท่ีกำาหนดไว้ในคำาพิพากษา หากขัดขืนผู้นัน ้ จะต้องถูกยึด
ทรัพย์สินใช้คา่ ปรับหรือกักขังแทนค่าปรับ โทษนีม ้ ักใช้คู่กับโทษจำาคุก
โทษริบทรัพย์ บังคับเอาแก่ทรัพย์ทท ่ี ำาหรือมีไว้เป็ นความผิด ได้ใช้หรือมีไว้เพ่ ือใช้ในการกระทำา ความ
ผิ ด ได้ มาโดยการกระทำา ความผิ ด และได้ใ ห้เ ป็ น สิ น บนหรื อ ได้ใ ห้ เ พ่ อ
ื จูง ใจเพ่ ือเป็ น
รางวัลในการกระทำาความผิด
14.1.1 โทษประหารชีวิต
วิ ธี ป ระหารชี วิต ในปั จจุ บั นทำา อย่ า งไร หากผู้ ต้ อ งโทษประหารชี วิ ต เป็ น หญิ ง มี ค รรภ์ หรื อ วิ ก ลจริ ต จะทำา
อย่างไร
วิธีการประหารชีวิตในปั จจุบันคือเอาไปยิงเสียให้ตาย ตาม ปอ.มาตรา 19 หากผู้ต้องโทษประหารชีวิต
เป็ นหญิงมีครรภ์ ต้องรอโทษประหารชีวิตไว้ก่อนจนกว่าจะคลอดบุตรแล้วจึงให้ประหารได้ ตาม ปวอ. มาตรา 247
วรรค 2
หากผู้ต้องโทษประหารชีวิตเป็ นคนวิกลจริตก่อนถูกประหารชีวิต ต้องรอการประหารชีวิตไว้จนกว่าจะหาย
ถ้าหายหลัง 1 ปี นับแต่คำาพิพากษาถึงท่ีสุด ก็ให้ลดโทษลงเป็ นจำาคุกตลอดชีวิต ตาม ปวอ. มาตรา 248
การท่ีกฎหมายอาญาของไทยยังคงโทษประหารชีวิตเอาไว้สมควรหรือไม่ จงอธิบายและให้เหตุผลประกอบ
โทษประหารชีวิตเป็ นโทษท่ีรุนแรงสามารถยับยัง้อาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถกำาจัด
บุ คคลท่ีสัง คมไม่ต้ อ งการได้ โดยเด็ด ขาด มิใ ห้ มี โ อกาสก่ อ ความเดื อ ดร้อ นให้ กั บ สั ง คมได้ อี ก ทั ง้ ยั ง เหมาะสมกั บ
ประเภทของความผิดร้ายแรงและทารุณโหดร้าย อย่างไรก็ดีโทษประหารชีวิตเป็ นโทษท่ีเม่ อ ื เกิดความผิดพลาดแล้วก็
จะไม่มีทางแก้ไขได้เลย ย่ิงกว่านัน้ ยังขัดต่อหลักมนุษยธรรม เพราะมนุษย์ด้วยกันไม่ควรมีอำานาจเหนือความตายซ่ึง
กันและกัน
ฉะนัน้ ไม่ใช่กฎหมายไทยเพียงประเทศเดียวท่ียังคงมโทษประหารชีวิตไว้ ประเทศอ่ ืนๆ ก็ยังนิยมมีโทษ
ประหารชีวิตอยู่ เพียงแต่แตกต่างกันซ่ึงวิธีการประหารชีวิตเท่านัน ้
14.1.2 โทษจำาคุก
อธิบายหลักเกณฑ์การคำานวณระยะเวลาจำาคุก พร้อมทัง้ยกตัวอย่างประกอบ
การคำานวณระยะเวลาจำาคุก มีหลักเกณฑ์ตาม ปอ. มาตรา 21 คือ
ให้นับวันเริ่มจำาคุกคำานวณเข้าด้วย และให้นับเป็ นหน่ึงวันเต็ม โดยไม่ต้องคำานึงถึงจำานวนชั่วโมง เช่น ศาล
พิพากษาให้จำาคุกจำาเลย วันท่ี 3 มกราคม 2530 เวลา 15.30 น. ส่งตัวจำาเลยเข้าเรือนจำาเวลา 16.30 น. ดัง
นั่นให้นับวันท่ี 3 มกราคม 2530 เป็ นวันแรกของการลงโทษจำาคุก และให้นับเป็ น 1 วันเต็ม ไม่เหมือนกับนับ
ระยะเวลาใน ปพพ. มาตรา 158 ซ่ึงจะไม่นับวันแรกของระยะเวลารวมคำานวณเข้าไปด้วย
ในกรณีที่กำาหนดโทษไว้เป็ นเดือน ไม่ถือตามเดือนปฏิทิน แต่เอา 30 วัน เป็ นหน่ึงเดือน เช่น เริ่มต้นจำา
คุกวันท่ี 1 กุมภาพันธ์ 2530 มีกำาหนด 1 เดือน ครบกำาหนดวันท่ี 2 มีนาคม 2530 ไม่เหมือนกับการนับระยะ
เวลาใน ปพพ. มาตรา 159 วรรคต้น ซ่ึงให้คำานวนตามปฏิทิน
ถ้ากำาหนดเป็ นปี ให้คำานวณตามปฏิทินในราชการ ซ่ึงอาจมี 365 วันหรือ 366 วัน ก็ได้ เช่น เริ่มต้นจำา
คุกวันท่ี 1 ตุลาคม 2530 ครบกำาหนด 1 ปี เม่ อ ื วันท่ี 30 กันยายน 2531
อน่ึงการกำา หนดโทษจำา คุ ก ถ้ากฎหมายระวางโทษไว้อ ย่างไร ศาลก็ต้อ งกำา หนดให้เป็ นไปตามนัน้ เช่น
กฎหมายระวางโทษเป็ นเดือน ศาลก็ต้องกำาหนดโทษเป็ นเดือนด้วย
อธิบายหลักเกณฑ์การเร่ิมรับโทษจำาคุก พร้อมทัง้ยกตัวอย่างประกอบ
หลักเกณฑ์การเริ่มรับโทษจำาคุก เป็ นไปตาม ปอ.มาตรา 22 วรรคแรก คือให้เริม ่ แต่วันมีคำาพิพากษา แต่
ถ้าผู้ต้องคำาพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาให้หักจำานวนวันท่ีถูกคุมขังออกจากระยะเวลาตามคำาพิพากษาเช่น
จำา เลยกระทำา ความผิด ฐานลัก ทรั พย์ ถู กตำา รวจจับ ได้ ในวั นท่ี 1 มกราคม 2531 และได้ถูควบคุม ขัง ไว้ท่ีสถานี
ตำารวจ จนพนักงานอัยการนำาตัวขึ้นฟ้ องในวันท่ี 1 เมษายน 2531 และศาลได้พิพากษาให้จำาคุก 2 ปี ในวันท่ี 1
กรกฎาคม 2531 ดังนีศ ้ าลต้องหักวันคุมขังตัง้แต่วันที่ 1 มกราคม 31 ถึง 1 กรกฎาคม 31 เป็ นเวลา 6 เดือน
1 วัน ออกจากระยะเวลาจำาคุกก่อน ผลสุดท้ายจำาเลยต้องรับโทษจำาคุกในเรือนจำาเพียง 1 ปี 5 เดือน 29 วัน
ตาม ปอ. มาตรา 22 ความว่า “เว้ นแต่คำา พิพ ากษานัน ้ จะกล่า วไว้เ ป็ นอย่า งอ่ ืน” หมายความว่า อย่ า งไร
อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
“เว้นแต่คำาพิพากษานัน ้ จะกล่าวไว้เป็ นอย่างอ่ ืน” หมายความว่า ศาลอาจจะพิพากษาว่าให้เริ่มนับโทษจำา
คุกตามคำาพิพากษาโดยไม่หักจำานวนวันท่ีผู้ต้องคำาพิพากษาถูกคุมขัง ก่อนศาลมีคำาพิพากษาออกจากระยะเวลาตาม
คำา พิพากษาก็ได้ ทัง้นีต
้ ้องไม่เกินอัตราโทษขัน ้ สูงของกฎหมายที่กำา หนดไว้สำา หรับความผิดที่ได้กระทำา ลง และไม่
กระทบกระเทือน ปอ.มาตรา 91 เช่น ในคดีความผิดฐานลักทรัพย์ ตาม ปอ.มาตรา 334 ซ่ึงมีโทษจำา คุกได้ไม่
เกิน 3 ปี นัน
้ ถ้าจำาเลยได้ถูกคุมขังอยู่ก่อนศาลพิพากษาในคดีความผิดฐานลักทรัพย์นีเ้ป็ นเวลา 1 ปี 4 เดือนแล้ว
ศาลจะพิพากษาให้ลงโทษจำาคุกเกินกว่า 1 ปี 8 เดือน โดยไม่หักวันท่ีจำาเลยถูกคุมขังก่อนพิพากษาไม่ได้ เพราะเกิน
กำาหนดโทษขัน ้ สูงของความผิดฐานลักทรัพย์คือ เกิน 3 ปี
14.1.3 โทษกักขัง
อธิบายโดยสรุปถึงหลักเกณฑ์การบังใช้โทษกักขังและสิทธิของผู้ถูกกักขัง
โทษกักขังเป็ นโทษท่ีเก่ียวกับเสรีภาพของผู้กระทำา ความผิดเช่นเดียวกับโทษจำา คุกแต่เป็ นโทษที่เบากว่า
เพราะไม่ได้ถูกกักขังในเรือนจำาและผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิต่างๆ มากกว่าผู้ต้องโทษจำาคุก
การบังคับใช้โทษกักขัง ในปั จจัย ในปั จจุบันไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในประมวลกฎหมายอาญาท่ีกำาหนด
โทษกักขังแก่ผู้กระทำาความผิดสำาหรับการกระทำาความผิดฐานใดฐานหน่ึงโดยเฉพาะ มีแต่เพียงท่ีบัญญัติความผิด
บางมาตราท่ีให้เปล่ียนโทษอย่างอ่ ืนมาเป็ นโทษกักขัง หรือใช้วิธีการลงโทษกักขังเพ่ ือเป็ นมาตรการเร่งรัดให้กระทำา
การตามท่ีกฎหมายบัญญัติได้แก่
(1) การท่ีเ ปล่ียนโทษจำา คุ ก เป็ นโทษกั ก ขั ง ตามมาตรา 23 (การเปล่ียนโทษกั ก ขั ง กลั บ เป็ น
โทษจำาคุกมาตรา 27)
(2) กรณีต้องโทษปรับแล้วไม่ชำาระค่าปรับ หรือศาลสงสัยว่าจะมีการหลีกเลี่ยงไม่ชำาระค่าปรับ
ให้มีการกักขังแทนค่าปรับ (มาตรา 29)
(3) กรณี ขัด ขืน คำา พิพ ากษาของศาลให้ริ บ ทรั พย์ สิ น ให้ กัก ขัง จนกว่ า จะปฏิ บั ติ ต าม (มาตรา
34)
(4) กรณีไม่ยอมทำาทัณฑ์บนหรือหาประกันไม่ได้ ให้กักขังจนกว่าจะปฏิบัติตาม (มาตรา 46)
(5) ในกรณีไม่ชำา ระเงินตามที่ศ าลสัง่ เม่ ือ กระทำา ผิดทัณฑ์บน ให้มีการกักขังจนกว่าจะมีก าร
ชำาระ (มาตรา 47) สถานท่ีกักขัง ตามมาตรา 34 แยกเป็ น 2 ประเภท คือ
(1) สถานท่ีกักขังซ่ึงกำาหนดไว้อันมิใช่เรือนจำา คือสถานีตำารวจ หรือสถานกักขังของกรมราชทัณฑ์
(2) สถานท่ีอ่น ื ซ่ึงไม่ใช่สถานท่ีกักขังซ่ึงกำาหนดได้แก่ ท่ีอาศัยของผู้นัน
้ เอง ท่ีอาศัยของผู้อ่น ื ท่ียินยอม
รับผู้นัน
้ และสถานท่ีอ่ืนท่ีอาจกักขังได้
สิทธิของผู้ต้องโทษกักขัง (มาตรา 25-26) คือ
กรณีที่ผู้ต้องโทษกักขังในสถานทีซ ่ ่ึงกำาหนด มีสิทธิได้รับการเลีย
้ งดูจากสถานท่ีนัน
้ มีสิทธิได้รับอาหารจาก
ภายนอกโดยเสีย ค่ าใช้จ่ ายของตนเอง ใช้ เ ส้ือ ผ้ า ของตนเอง ได้ รั บ การเย่ีย มอย่ า งน้ อ ยวั น ละ 1 ชม. และรั บ ส่ ง
จดหมายได้ (มาตรา 25)
ในกรณีที่ผู้ต้องโทษกักขังถูกกักตัวไว้ในสถานที่อ่ืน ผู้ต้องโทษกักขังมีสิทธิต่างๆ ดีกว่าผู้ถูกกักขังในสถาน
ท่ีซ่ึงกำาหนด มีสิทธิจะดำาเนินการใช้วิชาชีพของตนเองได้ตามแต่ศาลจะเห็นสมควรกำาหนดเง่ ือนไข
14.1.4 โทษปรับ
โทษปรั บคืออะไร ถ้า ผู้ต้องโทษปรับไม่ชำา ระค่า ปรั บภายในเง่ ือนไขของกฎหมาย จะมีวิธีการบัง คับผู้นัน
้
อย่างไร
โทษปรับเป็ นโทษอาญาในทางทรัพย์สิน การเสียค่าปรับคือการชำาระเงินจำานวนหน่ึงต่อศาลตามจำานวนที่
ศาลกำาหนดเอาไว้ในคำาพิพากษา (มาตรา 28)
ถ้าผู้ต้องโทษปรับไม่ชำาระค่าปรับภายในเง่ อ
ื นไขของกฎหมาย คือภายใน 30 วัน นับแต่วันท่ีศาลพิพากษา
ผู้นัน
้ ก็อาจจะถูกยึดทรัพย์สินใช้แทนค่าปรับ หรือถูกกักขังแทนค่าปรับ แต่ศาลก็อาจเรียกประกันหรือกักขังแทนค่า
ปรับไปพลางก่อนก็ได้ ถ้ามีเหตุอันสมควรสงสัยว่าผู้นัน ้ จะหลีกเล่ียงไม่ชำาระค่าปรับ (มาตรา 29)
อธิบายหลักเกณฑ์วิธีคำานวณระยะเวลากักขังแทนค่าปรับพร้อมทัง้ยกตัวอย่างประกอบ
วิธีคำานวณระยะกักขังแทนค่าปรับ ปอ.มาตรา 30 มีหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) ในการกักขังแทนค่าปรับให้ถือ 70 บาทต่อวัน เช่น ถูกปรับ 700 บาท ไม่มีเงินเสียค่ า
ปรับ ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับเป็ นเวลา 10 วัน เศษของค่าปรับให้ปัดทิง้
(2) การกั กขังแทนค่าปรั บ นี ศ ้ าลจะกำา หนดระยะเวลาเกิ น กว่ าท่ีกฎหมายกำา หนดระยะเวลา
กักขังสิน
้ สุดไม่ได้ คือ
ในกรณีค่าปรับรวมไม่เกิน 40,000 บาท ไม่ว่าเป็ นความผิดกระทงเดียวหรือหลายกระทง ศาลจะกักขัง
ได้ไม่เกิน 1 ปี
ในกรณีที่มีค่าปรับรวมกันตัง้แต่ 40,000 บาทขึ้นไป ศาลจะสั่งให้กักขังแทนค่าปรับเกินระยะเวลา 1 ปี
แต่ไม่เกิน 2 ปี ก็ได้
ให้เริ่มนับวันกักขังแทนค่าปรับรวมเข้าด้วย และให้นับเป็ น 1 วันเต็ม ไม่ว่าจะเริ่มกักขังในเวลาใดของวัน
นัน
้
ในกรณี ที่ ผู้ ต้ อ งโทษกั ก ขั ง แทนค่ า ปรั บ ถู ก คุ ม ขั ง มาก่ อ นศาลพิ พ ากษาไม่ ว่ า จะเป็ น การคุ ม ขั ง ระหว่ า ง
สอบสวนหรือระหว่างพิจารณาของศาล ให้หักจำานวนวันท่ีถูกคุมขังออกจากจำานวนค่าปรับ ให้ถอ ื อัตรา 70 บาทต่อ
1 วัน เว้นแต่ผู้นัน้ ต้องคำาพิพากษาให้ลงโทษจำาคุกและปรับ จะหักจำานวนวันท่ีถูกคุมขังออกจากจำานวนค่าปรับทันที
ไม่ได้
และเม่ ือถูกกักขังแทนค่าปรับครบกำาหนดแล้วก็ให้ปล่อยในวันรุ่งขึ้นถัดจากวันท่ีครบกำา หนด เช่นจำา เลย
ถูกศาลพิพากษาให้ปรับ 1,400 บาท ในวันท่ี 1 มกราคม 2530 จำาเลยไม่ชำาระค่าปรับจึงถูกกักขังแทน เม่ อ ื ถูก
กักขังได้ 20 วัน ก็ปล่อยตัวในวันท่ี 21 มกราคม 2530
อย่างไรก็ดี ถ้าจำาเลยนำาเอาเงินค่าปรับมาชำาระจนครบจำานวนท่ีขาดระหว่างท่ีต้องถูกกักขังแทนค่าปรับก็ให้
ปล่อยตัวในทันท่ี ไม่ต้องรอให้ถึงวันรุ่งขึ้น
14.1.5 โทษริบทรัพย์สิน
ทรัพย์สินท่ีกฎหมายริบได้ มีก่ีประเภท อะไรบ้าง ยกตัวอย่างประกอบ
ทรัพย์สินท่ีกฎหมายริบได้มี 4 ประเภท คือ
(1) ทรั พ ย์ สิ น ท่ีศ าลต้ อ งริ บ โดยเด็ ด ขาด ปอ.มาตรา 32 เป็ น ทรั พ ย์ สิ น ประเภทท่ีก ฎหมาย
บัญญัติว่าผู้ใดทำาเป็ นความผิด เช่น เงินตราปลอม หรือผู้ใดมีไว้เป็ นความผิด เช่น ปื นเถ่ ือน
ฝิ่นเถ่ ือน
(2) ทรัพย์สินท่ศ ี าลต้องริบเด็ดขาด ตาม ปอ.มาตรา 34 ส่วนใหญ่เป็ นทรัพย์สินท่ีเก่ียวข้องกับ
สิ น บนของเจ้ า พนั ก งาน หรื อ เพ่ ือ จู ง ใจ เพ่ อ ื เป็ นรางวั ล ในการกระทำา ความผิ ด เว้ น แต่
ทรัพย์สินนัน ้ เป็ นของผู้อ่นื ซ่ึงมิได้รู้เห็นเป็ นใจในการกระทำาความผิดด้วย
(3) ทรั พ ย์ สิ น ท่ศี าลริ บ โดยใช้ ดุ ล พิ นิจ ตาม ปอ.มาตรา 33 เป็ น ทรั พ ย์ สิ น ซ่ึง ใช้ ใ นการกระ
ทำาความผิด เช่น ปื นท่ีใช้ฆ่าคน หรือมีไว้เพ่ ือใช้ในการกระทำาความผิด เช่น เคร่ ืองมือที่ใช้
ในการโจรกรรม หรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทำาความผิด
(4) ทรั พ ย์ สิ น ท่ศ ี าลต้ อ งริ บ ตามกฎหมายอ่ ืน ๆ ตาม ปอ. มาตรา 17 เช่ น พรบ. ป่ าไม้
พรบ.ศุลกากร และ พรบ. การพนัน เป็ นต้น
1. ในการเพ่ิมโทษ ห้ า มเพ่ิม ถึ ง ขั น
้ ประหารชี วิ ต จำา คุ ก ตลอดชี วิ ต หรื อ จำา คุ ก เกิ น ห้ า สิ บ ปี สำา หรั บ โทษ
ประหารชีวิตในการลดโทษ ถ้าจะลด 1 ใน 3 ให้ลดเป็ นโทษจำาคุกตลอดชีวิต ถ้าลดก่ึงหน่ึงให้ลดเป็ น
โทษจำา คุกตลอดชีวิต หรือโทษจำา คุกตัง้แต่ย่ีสิบห้าปี ถึงห้า สิบปี สำา หรับโทษจำา คุกในกรณีท่ีมีการเพ่ิม
โทษหรือลดโทษจำาคุก โดยปกติแล้วคำานวณจากระวางโทษหรือโทษท่ีศาลจะลงเป็ นหลักแล้วจึงเพ่ม ิ หรือ
ลดตามเกณฑ์ท่ีกฎหมายกำาหนด แต่ถ้าเป็ นการลดโทษจำาคุกตลอดชีวิตให้เปล่ียนเป็ นโทษจำาคุกห้าสิบปี
2. การเปล่ียนโทษ อาจจะเปล่ียนจากโทษจำาคุกเป็ นโทษกักขังหรือเปล่ียนจากโทษกักขังกลับไปเป็ นโทษจำา
คุกอีก ถ้าปฏิบัติผิดเง่ ือนไขของกฎหมาย แต่ถ้าเป็ นการลงโทษจำา คุกระยะสัน ้ และมีโทษปรับด้วย ศาล
จะยกโทษจำาคุกให้คงเหลือแต่โทษปรับอย่างเดียวก็ได้
3. การกระทำาความผิด ซ่ึงศาลลงโทษจำาคุกไม่เกิน 2 ปี ประกอบกับเหตุผลอ่ ืนๆ ท่ีกฎหมายกำาหนด ศาล
จะพิพากษาว่ามีความผิดแล้วแต่อาจให้รอการลงโทษหรือรอการกำาหนดโทษ โดยกำาหนดเง่ ือนไขการคุม
ความประพฤติไว้ด้วยก็ได้
4. โทษทางอาญาระงับเม่ ือผู้กระทำาความผิดตาย หรือชำาระค่าปรับอย่างสูงสำาหรับความผิดบางประเภท
14.2.1 การเพ่ิมโทษและการลดโทษ
การเพ่ม
ิ หรือลดมาตราส่วนโทษหมายถึงอะไร กรณีท่ีมีการเพ่ิมและลดโทษท่ีจะลงในคดีเดียวกันศาลจะทำา
อย่างไร
การเพ่ิม หรื อ ลดมาตราส่ ว นโทษ หมายถึ ง วิ ธี ก ารเพ่ิม หรื อ ลดตามสั ด ส่ ว นของระวางโทษที่ ก ฎหมาย
บัญญัติไว้สำาหรับความผิดนัน้ ๆ เช่นกฎหมายกำา หนดโทษจำา คุก 3 ปี เม่ อ ื เพ่ิม 1 ใน 3 ก็คือจำา คุก 4 ปี เป็ นการ
เพ่ิมตามสั ด ส่ว นกั บอั ตราโทษท่ีกำา หนดไว้ ต ามกฎหมาย การลดโทษก็ เ ช่ น กั น ถ้ า ลด 1 ใน 3 ก็คื อ จำา คุ ก 2 ปี
ฉะนัน้ ในการคิดเพ่ิมหรือลดมาตราส่วนโทษนีห ้ ากหากมีทัง้การเพิ่มและลดมาตราส่วนโทษแล้วจะเพิ่มก่อนหรือลด
ก่อนก็จะได้ผลลัพธ์ เท่ากัน
ในกรณีที่มีการเพิ่มและลดโทษที่จะลงด้วยในคดีเดียวกัน ศาลต้องเพ่ิมหรือลดมาตราส่วนเสียก่อน แล้วจึง
กำาหนดโทษท่ีจะลง ต่อไปจึงค่อยเพ่ิมหรือลดโทษที่จะลงอีกขัน ้ หน่ึง
อธิบายหลักเกณฑ์ในการเปล่ียนโทษ และการยกโทษ
หลักเกณฑ์การเปล่ียนโทษ ได้แก่ การเปล่ียนโทษจำา คุกเป็ นกักขังและการเปล่ียนโทษกักขังเป็ นจำา คุ ก
ส่วนการยกโทษ ได้แก่มาตรา 23 27 และมาตรา 55 ตามลำาดับ
หลักเกณฑ์การเปล่ียนโทษจำาคุกเป็ นโทษเป็ นโทษกักขัง ตามมาตรา 23 มีดังนี้
1) การกระทำาความผิดซ่ึงมีโทษจำาคุกและคดีนัน ้ ศาลลงโทษจำาคุกไม่เกิน 3 เดือน ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นัน ้
ไม่เ คยรั บโทษจำา คุ ก มาก่ อ น หรื อ ปรากฏว่ า ได้ รั บ โทษจำา คุ ก มาก่ อ นแต่ เ ป็ น โทษสำา หรั บ ความผิ ด ที่
กระทำาโดยประมาทหรือลหุโทษ
2) ศาลจะพิพากษาให้ลงโทษกักขังไม่เกิน 3 เดือน แทนโทษจำาคุกนัน ้ ก็ได้
หลักเกณฑ์การเปล่ียนโทษกักขังเป็ นโทษจำาคุกตามมาตรา 27 มีดังนี้
ศาลอาจเปล่ียนโทษกักขังเป็ นจำาคุกมีกำาหนดเวลาตามท่ีศาลเห็นสมควรแต่ห้ามเกินกำาหนดเวลาของโทษ
กักขังท่ีผู้นัน
้ จะต้องได้รับต่อไป หากปรากฏแก่ศาลเองหรือตามคำาแถลงของพนักงานอัยการหรือตามคำาแถลงของผู้
ควบคุมดูแลสถานท่ีกักขังว่าในระหว่างท่ีผู้ตอ ้ งโทษกักขังอยู่นัน
้
(1) ฝ่ าฝื นระเบียบข้อบังคับ หรือวินัยของสถานที่กักขัง
(2) ไม่ปฏิบัติตามเง่ อ
ื นไขท่ีศาลกำาหนด หรือ
(3) ต้องคำาพิพากษาให้ลงโทษจำาคุก
หลักเกณฑ์การยกโทษจำาคุกตามมาตรา 55 มีดังนี้
1) ถ้าโทษจำาคุก หรือผู้กระทำาผิดต้องรับผิดมีกำาหนด 3 เดือน หรือน้อยกว่าและมีโทษปรับด้วย
2) ศาลกำาหนดโทษจำาคุกให้น้อยลงก็ได้ (แต่ไม่มีโทษปรับอยู่ด้วย) หรือยกโทษจำาคุกเสียและปรับสถาน
เดียวก็ได้
14.2.3 การรอการลงโทษ
อธิบายถึงหลักเกณฑ์การรอการลงโทษและให้บอกถึงระยะเวลาในการรอการลงโทษ
หลักเกณฑ์การรอการลงโทษมีบัญญัติในมาตรา 56 ดังต่อไปนี้
1) มีการกระทำาความผิดซ่ึงมีแต่เฉพาะโทษจำาคุก และในคดีนัน้ ศาลลงโทษจำาคุกไม่เกิน 2 ปี ไม่
ว่าจะมีอัตราโทษเท่าไรก็ตาม และเป็ นโทษตาม ปอ. หรือตามประมวลกฎหมายอ่ ืนก็ได้
2) ไม่ปรากฏว่าผู้กระทำา ความผิดได้รับโทษจำา คุกมาก่อน โทษจำา คุกต้อ งหมายถึงโทษจำา คุกมา
แล้วจริงไม่ใช่ได้รับการยกเว้นโทษจำา คุก (ตามมาตรา 55) เปล่ียนโทษจำา คุกเป็ นกักขัง (
ตามมาตรา 23) เคยต้องคำาพิพากษาให้จำาคุกแต่ให้รอไว้
หรือต้องคำาพิพากษาให้จำาคุกแต่หลบหนีหรือปรากฏว่าได้รับโทษจำาคุกมาก่อน แต่เป็ นโทษสำาหรับความ
ผิดท่ไี ด้กระทำาโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
3) ต้องอ้างเหตุท่ีให้รอการลงโทษตามมาตรา 56 ได้แก่ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา
การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ ส่ิงแวดล้อม สภาพความผิด เหตุอ่ีนอัน
ควรปราณี ประกอบดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาให้รอการลงโทษหรือไม่ก็ได้
ส่วนระยะเวลาในการรอการลงโทษ มีกำาหนดไม่เกิน 5 ปี
14.2.4 การระงับโทษ
การระงับแห่งโทษทางอาญาท่ีทำาให้สิทธิในการลงโทษระงับ นอกจากโดยอายุความแล้ว จะรับได้โดยวิธีใด
สิทธิในการลงโทษระงับ ได้แก่ ตาม ปอ. มาตรา 38 และ 79 คือ
(1) โดยความตายของผู้กระทำาความผิด
(2) ในคดีท่ีมีโทษปรับสถานเดียว ผู้ต้องหาได้นำาค่าปรับในอัตราอย่างสูงสำาหรับความผิดนัน
้ มาชำาระก่อน
ศาลเริ่มต้นสืบพยาน
14.3.1 กักกัน
จำาเลยซ่ึงมีอายุเกินหน่ึงปี แล้ว และเคนต้องโทษจำาคุกฐานลักทรัพย์ของแสงโสมมาแล้ว 2 ครัง้ ครัง้ละ 1 ปี
หลังพ้นโทษจำาคุกครัง้ท่ี 2 มาแล้วเพียง 3 เดือน จำาเลยก็ไปลักทรัพย์ของแสงโสมอีกครัง้ ซ่ึงเป็ นความผิดท่ีกฎหมาย
ระบุไว้ให้กักกันได้ ดัง นี แ้ สงโสมจะฟ้ องขอให้ศาลกักกันจำา เลยเพ่ ือป้ องกันมิใ ห้มาลักทรัพ ย์ของตนอีก ได้ห รือไม่
เพราะเหตุใด
แม้การกระทำาของจำาเลยจะเข้าเง่ ือนไขหลักเกณฑ์ของการกักกัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 41
เพราะจำาเลยได้กระทำาความผิดฐานลักทรัพย์ซ่ึงบัญญัติไว้ในมาตรา 41 (8) มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ครัง้ และในคดี
ทัง้สองศาลก็ได้พิพากษาให้จำาคุก 1 ปี ก็ตาม แต่แสงโสมจะฟ้ องขอให้ศาลกักกันจำาเลยไม่ได้ เพราะอำานาจในการ
ฟ้ องขอให้กักกันนัน ้ เป็ นอำานาจของพนักงานอัยการ
14.3.2 ห้ามเข้าเขตกำาหนด
การห้ามเข้าเขตกำาหนดคืออะไร มีหลักเกณฑ์อย่างไร
การห้ามเข้าเขตกำา หนดคือวิธีการเพ่ อื ความปลอดภัยประเภทหน่ึง โดยห้ามเข้าไปในท้องท่ีหรือสถานที่ที่
กำาหนดไว้ในคำาพิพากษา
หลักเกณฑ์คือต้องมีคำาพิพากษาและเป็ นคำาพิพากษาให้ลงโทษชนิดใดชนิดหน่ึงในความผิดฐานใดฐานหน่ึง
ศาลจะห้ า มเข้ าเขตกำา หนดก็ เ พ่ ือ ความปลอดภั ยของประชาชนโดยไม่ จำา เป็ น ต้ อ งมี ก ารร้ อ งขอซ่ึง ต้ อ งสั่ ง ไว้ ใ นคำา
พิพากษาโดยระบุท้องท่ีหรือสถานทีท
่ ี่กำาหนดไว้ชัดเจน การห้ามเข้าเขตกำาหนดจะมีผลบังคับก็ต่อเม่ ือได้พ้นโทษตาม
คำาพิพากษาแล้ว และศาลจะกำาหนดห้ามไว้เป็ นเวลานานเท่าใดก็ได้ แต่ตอ ้ งไม่เกิน 5 ปี
14.3.3 เรียกประกันทัณฑ์บน
อธิบายหลักเกณฑ์การเรียกประกันทัณฑ์บน และอายุความการบังคับตามทัณฑ์บน
หลักเกณฑ์การเรียกประกันทัณฑ์บน มี 2 กรณี ตามบทบัญญัติ ปอ. มาตรา 46 คือ
1. กรณี พ นั ก งานอั ย การเสนอศาลให้ เ รี ย กประกั น ทั ณ ฑ์ บ นเม่ ือ ยั ง ไม่ มี ก ารกระทำา ผิ ด แต่
เพราะพนักงานอัยการเห็นว่าผู้นัน ้ จะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
ของผู้อ่น ื
2. กรณีมีการกระทำาความผิดเกิดขึน ้ แล้ว ความปรากฏแก่ศาลและศาลพิพากษาไม่ลงโทษผู้
ถูกฟ้ อง แต่ศาลเห็นว่าบุคคลนัน ้ น่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
ของผู้อ่น ื
3. การเรียกประกันทัณฑ์บนเป็ นดุลพินิจของศาล
4. ผู้ ถู ก ฟ้ องต้ อ งมี อ ายุ เ กิ น 17 ปี ขณะท่ีมี ก ารกระทำา อั น เป็ นเหตุ ใ ห้ ศ าลเรี ย กประกั น
ทัณฑ์บนได้
5. ศาลมีอำานาจท่ีจะสั่งให้ผู้นัน ้ ทำาทัณฑ์บนกำาหนดจำานวนเงินไม่เกิน 5,000 บาท แต่ไม่เกิน
2 ปี และอาจจะสั่งให้มีประกันด้วยหรือไม่ก็ได้
อายุความการบังคับตามทัณฑ์บนมี 2 กรณีตามบทบัญญัติ ปอ.สามาตรา 101 คือ
(1) การบังคับตามคำาสั่งศาลในการเรียกประกันทัณฑ์บนต้องดำาเนินการบังคับภายใน 2 ปี นับ
แต่วันท่ีศาลมีคำาสั่ง
(2) การร้องขอให้ศาลสั่งให้ใช้เงินเม่ ือผู้ทำาทัณฑ์บนประพฤติผิดทัณฑ์บนต้องร้องขอภายใน 2
ปี นับแต่วันท่ีทำาทัณฑ์บนประพฤติผิดทัณฑ์บน
14.3.4 คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล
เหตุใดต้องมีการคุมตัวไว้ในสถานพยาบาล ศาลจะใช้วิธีการนีเ้ม่ ือใด
เหตุท่ีต้องมีการคุมตัวไว้ในสถานพยาบาลก็เพ่ ือป้ องกันประชาชนให้พ้นจากบุคคลผู้วิกลจริต หรือเสพสุรา
เป็ นอาจิณหรือติดยาเสพติดให้โทษ
ศาลจะใช้วิธีการนีเ้ม่ ือศาลเห็นสมควรว่าหากปล่อยบุคคลประเภทดังกล่าวไปแล้ว จะเป็ นภัยแก่ประชาชน
จึงสั่งให้ส่งผู้นัน
้ ไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาล และคำาสั่งเก่ียวแก่บุคคลวิกลจริตนีศ ้ าลจะเพิกถอนเสียเม่ ือใดก็ได้ ส่วน
คำาสั่งกรณีกระทำาความผิดเกี่ยวเน่ อ ื งกับการเสพสุราเป็ นอาจิณ หรือการเป็ นผู้ติดยาเสพติดให้โทษ มีกำาหนดเวลาไม่
เกิน 2 ปี
14.3.5 ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง
อธิบายหลักเกณฑ์ซ่ึงศาลจะสัง่ห้ามผู้กระทำาความผิดประกอบอาชีพบางอย่าง
ศาลจะสั่งให้คำาพิพากษาห้ามการประกอบอาชีพบางอย่างเม่ ือ
1. ศาลได้พิพากษาให้ลงโทษผู้นัน ้ ตามฐานความผิด
2. ศาลเห็นว่า ผู้ท่ีถูกลงโทษนัน้ กระทำา ความผิด โดยอาศัยโอกาสจากการประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพ
หรือความผิดเน่ ืองจากการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ
3. ศาลเห็นว่าถ้าผู้นัน
้ ประกอบอาชีพหรือวิชาชีพนัน้ ต่อไปอาจจะกระทบความผิดเช่นนัน
้ ขึ้นอีก
15.1 การกระทำาความผิดหลายอย่าง
1. การกระทำากรรมเดียว ซ่ึงอาจเป็ นการกระทำาอันเดียวหรือเป็ นการกระทำาหลายอันแต่มีเจตนาเป็ นอย่าง
เดียวกัน ถ้า ไปเข้าความผิดตามกฎหมายตัง้ แต่ 2 บทขึ้นไป ถือว่า เป็ นการกระทำา ความผิดหลายบท
ต้องใช้กฎหมายบทท่ีมโี ทษหนักท่ีสุดลงโทษแก่ผู้กระทำาความผิด
15.1.1 การกระทำาความผิดหลายบท
นายม่วงบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของนายฟ้ า เม่ ือลักทรัพย์แล้วลักเอากระบือของนายฟ้ าไป ดังนี ก ้ ารก
ระทำาของนายม่วงเป็ นการกระทำากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทหรือไม่ และจะต้องรับโทษอย่างไร
การกระทำาของนายม่วงเป็ นการกระทำากรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เพราะแม้ว่านายม่วงจะมีการกระ
ทำา หลายอัน คือมีทัง้การบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของนายฟ้ าและลักเอากระบือของนายฟ้ าไป แต่นายม่วงก็ได้
กระทำาไปโดยมีวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ เพ่ อ
ื ลักทรัพย์ของนายฟ้ า ซ่ึงเป็ นการกระทำากรรมเดียวผิดกฎหมาย
หลายบท ในกรณีเช่นนี ศ ้ าลจะต้องใช้กฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดแก่นายม่วงเพียงบทเดียว
อธิบายหลักเกณฑ์การพิจารณากฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตาม ปอ.มาตรา 90
หลักเกณฑ์การพิจารณากฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตาม ปอ. มาตรา 90 มีดังนี้
1) พิจารณาลำาดับโทษตาม ปอ. มาตรา 18 โดยโทษท่ีอยู่ลำาดับก่อนเป็ นโทษหนักกว่าโทษใน
ลำาดับถัดไป
2) ถ้าความผิดแต่ละบทมีโทษลำาดับเดียวกัน ให้พิจารณาอัตราโทษขัน ้ สูงเป็ นเกณฑ์
3) ถ้ า ความผิ ด แต่ ล ะบทมี อั ต ราโทษขั น
้ สู ง เท่ า กั น ให้ พิ จ ารณาโทษลำา ดั บ ถั ด ไปในบทนั น้ ๆ
ประกอบ
4) ถ้าความผิดแต่ละบทมีอัตราโทษขัน ้ สูงเท่ากันและโทษลำา ดับถัดไปก็มีอัตราโทษเท่ากัน ให้
พิจารณาอัตราโทษขัน ้ ต่ำาเป็ นเกณฑ์
5) ถ้าความผิดแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันทุกอย่างทัง้อัตราโทษขัน ้ สูงและอัตราโทษขัน ้ ต่ำา ให้
อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะลงโทษตามบทหน่ึงบทใดก็ได้
15.1.2 การกระทำาความผิดหลายกระทง
นายม่วงใช้มีดฟั นนายฟ้ าถึงแก่ความตาย นายแสดบิดาของนายฟ้ าเข้ามาขัดขวาง นายม่วงจึงใช้มีดฟั นนาย
แสดถึงแก่ความตายด้วย ดังนี ก ้ ารกระทำาของนายม่วงเป็ นการกระทำาผิดหลายกระทงหรือไม่
การท่ีนายม่วงใช้มีดฟั นนายฟ้ าถึงแก่ความตาย และต่อมาก็ใช้มีดฟั นนายแสดบิดาของนายฟ้ าถึงแก่ความ
ตายด้วยนัน ้ ถือ ได้ว่า การกระทำา ของนายม่วงเป็ นการกระทำา หลายกรรม และการกระทำา หลายกรรมนัน ้ เป็ น การ
กระทำาท่ีแยกออกจากกันได้ จึงเป็ นความผิดหลายกระทงตาม ปอ. มาตรา 91
15.2 การกระทำาความผิดอีก
1. ผู้ท่ีเคยถูกลงโทษจำาคุกมาแล้ว หากได้กระทำาความผิดอีกภายในระยะเวลาท่ีกฎหมายกำาหนดและศาลจะ
ลงโทษจำาคุก ผู้นัน ้ อาจถูกเพ่ม ิ โทษให้หนักขึ้นอีกหน่ึงในสามก็ได้
2. ผู้ ท่ีเ คยถู ก ลงโทษจำา คุ ก ไม่ น้ อ ยกว่ า 6 เดือ นมาแล้ ว หากได้ ก ระทำา ความผิ ด ซ้ำา ในความผิ ด ประเภท
เดียวกันอีก ภายในระยะเวลาท่ีกำาหนดและศาลจะลงโทษจำาคุก ผู้นัน ้ อาจจะถูกเพ่ิมโทษให้หนักขึ้นอีก
ก่ึงหน่ึงได้
3. ความผิดท่ีกระทำาโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิดซ่ึงกระทำา ในขณะมีอายุยังไม่เกิน 17 ปี
ไม่ถือเป็ นเหตุเพ่ิมโทษ
15.2.1 การเพ่ิมโทษเพราะกระทำาความผิดอีกโดยทัว่ไป
การเพ่ิมโทษพร้อมการกระทำาความผิดอีกโดยทัว่ไปตาม ปอ. มาตรา 92 มีดังนี้
หลักเกณฑ์การเพ่ิมโทษเพราะการกระทำาความผิดอีกโดยทัว่ไปตาม ปอ. มาตรา 92 มีดังนี้
(1) ผู้นัน
้ เคยต้องคำาพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษจำาคุก
(2) ได้กระทำาความผิดใดๆ อีกในระหว่างท่ียังต้องรับโทษอยู่ หรือภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ
(3) ศาลจะพิพากษาลงโทษครัง้หลังถึงจำาคุก
15.2.2 การเพ่ิมโทษเพราะกระทำาความผิดอีกเฉพาะทาง
การเพ่ิมโทษเพราะการกระทำาผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ.มาตรา 93 มีหลักเกณฑ์อย่างไร
หลักเกณฑ์การเพ่ิมโทษเพราะกระทำาความผิดอีกเฉพาะอย่างตาม ปอ. มาตรา 93 มีดังนี้
(1) ผู้นัน
้ เคนต้องคำาพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษจำาคุกไม่น้อยกว่า 6 เดือน
(2) ได้กระทำา ความผิดอย่างหน่ึงอย่างใดซ้ำา ในมาตราเดียวกันอีกในระหว่างยังต้องรับโทษอยู่หรือภายใน
เวลา 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ
(3) ศาลจะพิพากษาลงโทษครัง้หลังถึงจำาคุก
15.3 อายุความ
1. ในการฟ้ องคดี แ ละฟ้ องขอให้ กัก กัน ผู้ ก ระทำา ความผิ ด ต่อ ศาลนัน
้ จะต้ องกระทำา ภายในระยะเวลาท่ี
กฎหมายกำาหนด มิฉะนัน ้ จะฟ้ องร้องผู้นัน้ ไม่ได้
2. การลงโทษผู้ ก ระทำา ความผิ ด ตามคำา พิ พ ากษาของศาลจะต้ อ งกระทำา ภายในระยะเวลาท่ีก ฎหมาย
กำาหนด
3. การบังคับตามคำา พิพากษาหรือคำา สัง่ของศาลเก่ียวกับวิธีการเพ่ ือความปลอดภัยจะต้องกระทำา ภายใน
ระยะเวลาท่ีกฎหมายกำาหนด
อธิบายถึงอายุความการฟ้ องคดีความผิดอันยอมความกันได้
อายุความฟ้ องคดีความผิดอันยอมความได้มีหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันรู้เร่ ืองความผิด และรู้ตัวผู้กระทำาความผิด
(2) ภายในอายุค วามตาม ปอ.มาตรา 95 หมายความว่า แม่ผู้เ สียหายจะร้อ งทุ กข์ภ ายใน 3 เดือนแล้ ว
ก็ตาม การฟ้ องคดีความผิดอันยอมความได้ก็อยู่ภายในกำาหนดอายุความฟ้ องคดีทัว่ไปตาม ปอ.มาตรา
95 ด้วย
15.3.2 อายุความการลงโทษ
อธิบายหลักเกณฑ์อายุความการลงโทษทัว่ไป
หลักเกณฑ์อายุความการลงโทษทัว่ไป คือ เม่ ือมีคำาพิพากษาถึงท่ีสุดให้ลงโทษผู้กระทำาผิด และผู้นัน
้ ยังมิได้
รับโทษหรือรับโทษมาบ้างแล้ว แต่หลบหนีไปในระหว่างต้องโทษอยู่ ถ้าไม่ได้ตัวผู้กระทำา ความผิดมารับโทษภายใน
ระยะเวลาท่ีกฎหมายกำาหนดไว้ นับแต่วันท่ีมีคำา พิพากษาถึงท่ีสุดหรือนับแต่วันท่ีหลบหนีเป็ นต้นไป ถือว่าขาดอายุ
ความการลงโทษ จะลงโทษผู้กระทำาความผิดตามคำาพิพากษานัน ้ อีกไม่ได้
อธิบายหลักเกณฑ์อายุความยึดทรัพย์หรือกักขังแทนค่าปรับ
หลักเกณฑ์อายุความยึดทรัพย์สินหรือกักขังแทนค่าปรับ คือ การยึดทรัพย์สินหรือการกักขังแทนค่าปรับใน
กรณีท่ีผู้ต้องคำาพิพากษาให้ปรับไม่นำาค่าปรับมาชำาระแก่ศาลภายในกำาหนด จะต้องกระทำาภายในกำาหนดอายุความคือ
ภายในกำาหนด 5 ปี นับแต่วันท่ีมีคำาพิพากษาถึงท่ีสุด มิฉะนัน้ จะถือว่าขาดอายุความ จะยึดทรัพย์หรือกักขังผู้นัน
้ ไม่
ได้
อายุความกักกันคืออะไร
อายุความกักกันคือ เม่ ือมีคำาพิพากษาให้กักกันผู้ใด ถ้าผู้นัน
้ ยังไม่ได้รับการกักกัน หรือได้รับการกักกันยัง
ไม่ครบถ้วนเพราะหลบหนีไป ถ้าไม่ได้ตัวผู้นัน ้ มาทำา การกักกันภายในกำา หนด 3 ปี นับแต่วันท่พ ี ้นโทษไม่ว่าจะพ้น
เพราะได้รับโทษตามคำาพิพากษาแล้ว หรือเพราะล่วงเลยอายุความการลงโทษหรือนับแต่วันท่ีผู้นัน ้ หลบหนีไป ถือว่า
ขาดอายุความกักกัน จะกักกันผู้นัน ้ อีกไม่ได้
อธิบายอายุความการบังคับตามทัณฑ์บน
อายุความการบังคับตามทัณฑ์บนคือ ในกรณีท่ีศาลสัง่ให้บุคคลใดทำาทัณฑ์บนหรือหาประกันว่าจะไม่ก่อเหตุ
ร้าย ถ้าผู้นัน
้ ไม่ปฏิบัติตามคำาสัง่ศาล ศาลมีอำานาจสัง่กักขังผู้นัน
้ หรือจะสัง่ห้ามผู้นัน
้ เข้าเขตกำาหนดก็ได้ แต่การกักขัง
หรือห้ามเข้าเขตกำาหนดจะต้องทำาภายในกำาหนด 2 ปี นับแต่วันท่ีศาลมีคำาสัง่ มิฉะนัน ้ จะเป็ นอันขาดอายุความ
ในกรณีผู้ท่ีศาลมีคำา สัง่ให้ทำา ทัณฑ์บน ประพฤติผิดทัณฑ์บน ศาลมีอำา นาจหรือให้ผู้ผู้นัน ้ ชำา ระเงินไม่เ กิน
จำานวนท่ีกำาหนดไว้ในทัณฑ์บน การร้องขอให้ศาลสัง่ให้ชำาระเงินนีจ้ะต้องกระทำาภายในกำาหนด 2 ปี นับแต่วันท่ีผู้ทำา
ทัณฑ์บนประพฤติผิดทัณฑ์บน มิฉะนัน ้ ขาดอายุความ
15.4 บทบัญญัติท่ีใช้แก่ความผิดลหุโทษและการใช้บทบัญญัติทั่วไปในกฎหมายอ่ ืน
1. กฎหมายได้บัญญัติให้นำาหลักเกณฑ์ทัว่ไปของกฎหมายอาญาในลักษณะ 1 มาใช้กับความผิดลหุโทษ
ด้ วย เว้น แต่ จะเข้า ข้อ ยกเว้ น ท่ีบั ญ ญั ติไ ว้ เ ป็ น พิเ ศษในมาตรา 104 105 และ 106 ซ่ึง กฎหมายได้
บัญญัติให้แตกต่างไปจากความผิดสามัญ
2. บทบัญญัติทัว่ไปในภาค 1 ให้นำาไปใช้แก่ความผิดตาม พรบ. อ่ ืน ซ่ึงกำาหนดความผิดทางอาญาด้วย แต่
มีข้อยกเว้นว่าถ้า พรบ. อ่ ืนนัน ้ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในเร่ ืองนัน ้ ๆ ไว้โดยเฉพาะแล้ว ก็ให้ใช้หลักเกณฑ์
ตาม พรบ. อ่ ืนนัน ้
15.4.1 บทบัญญัติท่ีใช้แก่ความผิดลหุโทษ
ความผิดลหุโทษคืออะไร
ความผิดลหุโทษได้แก่ ความผิดตาม ปอ. และความผิดตามกฎหมายอ่ ืนท่ีมีอัตราโทษดังนี้
(1) จำาคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ
(2) ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือ
(3) จำาคุกไม่เกิน 1 เดือน และปรับไม่เกิน 1,000 บาท
บทบัญญัติพิเศษท่ีใช้กับความผิดลหุโทษแตกต่างจากบทบัญญัติท่ีใช้แก่ความผิดทัว่ไปอย่างไร
บทบัญญัติพิเศษที่ใช้กับความผิดลหุโทษ แตกต่างจากบทบัญญัตท ิ ี่ใช้แก่ความผิดทั่วไป ดังนี้
(1) เจตนาในการกระทำาความผิด คือ การกระทำาความผิดลหุโทษแม้กระทำาโดยไม่มีเจตนาก็เป็ นความ
ผิด
(2) การพยายามกระทำาความผิด คือ ผูท้ ี่พยายามกระทำาความผิดลหุโทษ ผู้นัน ้ ไม่ต้องรับโทษ
(3) ผู้สนับสนุนการกระทำาความผิดคือ ผูท้ ี่สนับสนุนการกระทำาความผิดลหุโทษผู้นัน ้ ไม่ต้องรับโทษ
15.4.2 การใช้บทบัญญัติทัว่ไปในกฎหมายอ่ ืน
อธิบายหลักเกณฑ์การนำาบทบัญญัติทัว่ไปใน ปอ. ไปใช้ในกฎหมายอ่ ืน
ปอ. มาตรา 17 บัญญัติให้นำาบทบัญญัติในภาคหน่ึงแห่ง ปอ. ไปใช้กับความผิดตามกฎหมายอ่ ืนด้วย เว้น
แต่กฎหมายอ่ ืนนัน
้ จะได้บัญญัตห
ิ ลักเกณฑ์เร่ ืองนัน
้ ๆ ไว้โดยเฉพาะแล้ว ก็ให้ใช้หลักเกณฑ์ด้วย พรบ. อ่ ืนนัน
้
*********************************************